ชาวเชียรใหญ่ร่วมใจทอดผ้าป่าสามัคคี ครั้งที่ 5 สืบทอดเจตนา “ตอบแทนคุณแผ่นดิน”

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม 2565 มูลนิธิ/ชมรมชาวเชียรใหญ่ชาวเฉลิมพระเกียรติ (คลองเชียร) รวมใจจัดงานทอดผ้าป่าการกุศลตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยมี พลตำรวจตรี นิพนธ์ ภู่พันศรี ประธานมูลนิธิ , อาจารย์สุจินต์ ธรรมชาติ รองประธานที่ปรึกษา และนายธนวัตร ภัทราพงศ์ธร กรรมการมูลนิธิ เป็นประธานคณะจัดงานรวมใจทำบุญตอบแทนคุณแผ่นดินและ คณะกรรมการ สมาชิกในชมรมต่างร่วมกันเดินทางมาทำบุญทอดผ้าป่าการศึกษา ครั้งที่ 5 ประจำปี 2565 ณ วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร จังหวัดนนทบุรี

สำหรับการจัดกิจกรรมทอดผ้าป่าการกุศลตอบแทนคุณแผ่นดินในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการระดมทุนสนับสนุนแจกทุนการศึกษา ส่งเสริมพัฒนาการศึกษาตามโครงการศาสตร์พระราชาในสถานศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนและเยาวชน น้อมนำโครงการเศรษฐกิจพอเพียงขององค์รัชกาลที่ 9 มาขยายผลการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียน พร้อมทั้งให้ชาวเชียรใหญ่เฉลิมพระเกียรติได้ร่วมกันถวายมุทิตาสักการะแก่พระครูอุดม ศีลาจาร(วิลาส) ฉายา อคฺควโร (ชาติภูมิเชียรใหญ่) ในโอกาสรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง

พลตำรวจตรี นิพนธ์ ภู่พันศรี ประธานมูลนิธิชาวเชียรใหญ่ชาวเฉลิมพระเกียรติ (คลองเชียร) กล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่เราจัดงานทอดผ้าป่าตอบแทนคุณแผ่นดิน ครั้งที่ 5 คำว่าผ้าป่าตอบแทนคุณแผ่นดินหมายถึง รายได้จากการร่วมกันทำบุญในครั้งนี้เราจะนำไปช่วยเหลือแจกทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนที่ลำบากในท้องถิ่นชาวเชียรใหญ่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบรรพบุรุษของพวกเรา ซึ่งผมเองก็ถือกำเนิดที่นี่เหมือนกัน เราจึงอยากทำกิจกรรมเพื่อเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน สร้างคน สร้างชีวิตให้กับลูกหลานที่ดีต่อไป นอกจากนี้เรายังแจกอุปกรณ์กีฬา พร้อมกันนี้เราได้น้อมนำศาสตร์พระราชาของรัชกาลที่ 9 ไปให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนต่าง ๆ ได้ทำเป็นโครงการกัน เช่นเลี้ยงไก่ ปลูกผัก เพื่อนำผลผลิตที่ได้มาเป็นอาหารกลางวัน โดยเราเป็นผู้ลงทุนให้ทั้งหมด”

ในฐานะที่ผมเป็นประธานมูลนิธิชาวเชียรใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ได้มอบหมายให้ท่านธนวัตร ภัทราพงศ์ธร กรรมการมูลนิธิฯ เป็นประธานการจัดงานในครั้งนี้ เราอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสได้แสดงออกในภาวการณ์เป็นผู้นำ เพื่อสร้างคนให้เป็นผู้สืบทอดโดยรุ่นสู่รุ่นสืบทอดตามเจตนารมณ์อันดีงามนี้ เรามีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คือเพื่อเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน

ท้ายที่สุดท่านประธานมูลนิธิ ฝากถึงแนวคิดที่อยากให้คนไทยทุกคนได้มีจิตสำนึกรักบ้านเกิด มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพียงแค่เราทำดี รู้จักเสียสละเมื่อมีโอกาส ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจกันก็เป็นสิ่งดีแล้ว ส่วนตัวผมเองมีความตั้งใจที่จะทำความดีเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดีแบบดนี้ตลอดไป

รฟฟท. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ 4 สถาบันการศึกษา

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ 4 สถาบันการศึกษา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีแดง (CT Depot) บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงทางวิชาการกับ 4 สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และวิทยาลัยเทคโนโลยียโสธรอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยระบบราง ผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางระบบรางในภูมิภาค โดยมี ดร.รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน อธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีปทุม ดร.รัญญา ชุปวา ที่ปรึกษาฝ่ายบริหาร ผู้แทนจากวิทยาลัยเทคโนโลยียโสธรอินเตอร์เนชั่นแนล รองศาสตราจารย์ ดร.รสสุคนธ์ แสงมณี อธิการบดีจาก มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมทั้งผู้บริหารเข้าร่วมลงนาม

บริษัทฯ และ 4 สถาบันการศึกษาได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อพัฒนาบุคลากร องค์ความรู้ด้านงานวิจัยรวมทั้งนวัตกรรมระบบรางร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลาง หรือฮับระบบรางของภูมิภาค โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ซึ่งเป็นระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสู่ปริมณฑล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขยายขีดความสามารถและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการขนส่งทางราง ยกระดับมาตรฐานการให้บริการประชาชน ให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ด้วยมาตรฐานในระดับสากล มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของคนทุกกลุ่ม ด้วยการพัฒนาการให้บริการควบคู่กับการเดินรถไฟฟ้าที่มีคุณภาพ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้ทันสมัยด้วยการพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพ เพิ่มความรู้และทักษะที่ตรงต่อความต้องการของอุตสาหกรรม รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์ความรู้ ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อระบบคมนาคมขนส่งทางรางแก่หน่วยงานภายนอกด้วยความเข้มแข็งในการพัฒนาองค์ความรู้และบุคลากรเพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของประเทศในด้านระบบขนส่งทางรางที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งภายในประเทศและภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาคต่อไปในอนาคต ซึ่ง 4 สถาบันการศึกษานี้ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านงานวิจัยและนวัตกรรมจนเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ได้ร่วมมือด้านวิชาการในครั้งนี้ รวมถึงกำหนดแผนการพัฒนาหลักสูตร Upskill & Reskill ในงานระบบราง โดยเน้นสร้างทักษะด้านระบบขนส่งทางรางระดับสูง และเปิดอบรมให้กับผู้ที่สนใจทั้งในและต่างประเทศ

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง แหล่งเรียนรู้ระบบขนส่งทางราง สร้างบุคลากร พัฒนาประเทศ

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง

ปลดล็อกอาการปวดหลัง กลับมาใช้ชีวิตอิสระได้อีกครั้ง

นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยให้ความเจ็บป่วยกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป การเกิดอาการปวดที่กระดูกสันหลัง ซึ่งในอดีตถือเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ในรายที่รุนแรงถึงขนาดไม่สามารถเดิน หรือ นั่ง แม้กระทั่งนอนได้ อาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเปิดหลังเป็นแผลยาวเพื่อเลาะกล้ามเนื้อเข้าไปจัดการกับต้นตอของความเจ็บปวด ไม่เพียงผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวด หลังการผ่าตัดยังต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลายาวนานกว่าร่างกายจะฟื้นกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

จากจุดเริ่มต้นที่ โรงพยาบาลนครธน มุ่งมั่นในการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางชั้นนำในย่านพระรามที่ 2 ที่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล จัดตั้ง ศูนย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง โดยความร่วมมือกับ บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก ให้บริการเฉพาะทางสำหรับผู้ที่มีปัญหาความผิดปกติทางกระดูกสันหลัง ไขสันหลัง และเส้นประสาท พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง และทีมสหสาขา ด้วยการใช้เครื่องมือ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อผลการรักษา และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยเป็นสำคัญ พร้อมได้รับการรักษาในราคาที่สามารถเข้าถึงได้

รศ.ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการบริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด กล่าวว่า รูปแบบความร่วมมือระหว่าง โรงพยาบาลนครธน และบำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก เป็นการนำองค์ความรู้ทางการแพทย์ บุคลากรที่มีประสบการณ์ โดยเฉพาะทีมแพทย์เฉพาะทางในการรักษาโรคกระดูกสันหลัง มาร่วมมือกับ โรงพยาบาลนครธน เพื่อร่วมกันจัดตั้งศูนย์กระดูกสันหลัง ณ โรงพยาบาลนครธน รวมทั้ง เทคโนโลยีการรักษาโรคกระดูกสันหลังที่ทันสมัย เพื่อผลการรักษา และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยเป็นสำคัญ พร้อมได้รับการรักษาในราคาที่สามารถเข้าถึงได้

“โรงพยาบาลนครธน เปิดให้บริการมากว่า 25 ปี ได้มีการพัฒนาเพื่อคุณภาพการรักษา และการบริการมาตลอด    จากโรงพยาบาลรักษาโรคทั่วไปสู่การเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง เพื่อตอกย้ำเป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางชั้นนำ    ในย่านพระรามที่ 2 ตามวิสัยทัศน์ที่จะมุ่งมั่นสู่ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ตามมาตรฐานสากล และให้การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized Healthcare)”

นายสมศักดิ์ วิวัฒนสินชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก กล่าวว่า “จากความร่วมมือในการจัดตั้ง ศูนย์กระดูกสันหลัง รพ.นครธน เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ทางบำรุงราษฎร์ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลนครธน เพื่อยกระดับความรู้ความสามารถในการให้การรักษาตามแนวทางของโรงพยาบาล   บำรุงราษฎร์ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าว นับเป็นรูปแบบใหม่ของธุรกิจการให้บริบาลทางการแพทย์ในประเทศไทย ส่งผลให้ผู้ป่วยของโรงพยาบาลนครธน สามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพตามแนวทางของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในราคาที่สอดคล้องกับกลุ่มคนไข้ของโรงพยาบาลนครธน ซึ่งตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น ถึงแม้ว่า ทางศูนย์ฯ ต้องเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ปรากฏว่ามีผู้ป่วยเข้ามาใช้การบริบาลของศูนย์อย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย ซึ่งมั่นใจว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่โควิด-19 คลี่คลายไปในทางที่ดี  การให้บริการของศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลนครธน ก็จะยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยมากขึ้นเป็นลำดับ ในการรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังที่ครบวงจร ด้วยความชำนาญของทีมแพทย์เฉพาะทาง และด้วยผลลัพธ์ของการรักษาที่ดีที่สุด

นพ.วีระพันธ์ ควรทรงธรรม ผู้อำนวยการสถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ และผู้อำนวยการศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลนครธน กล่าวว่า ศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลนครธน มีการวางแผนหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีการประชุมทีมร่วมกับแพทย์เฉพาะทางอย่างน้อย 4 ท่านขึ้นไป เพื่อนำเอาความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์เฉพาะทางแต่ละสาขามาร่วมกันดูแลผู้ป่วย ฉะนั้นผู้ป่วยจึงไม่ต้องเสียเวลาหาข้อมูล หรือพบแพทย์หลายโรงพยาบาล เพราะที่นี่รวบรวมหลากหลายความคิดเห็นจากทีมแพทย์ไว้ให้ในที่เดียวกันแล้ว ถือเป็นความคิดเห็นที่ดีและเหมาะสมที่สุด

โดยทีมแพทย์มีประสบการณ์ในการดูแลรักษาโรคกระดูกสันหลังกว่า 10 ปี รักษาผู้ป่วยมาแล้วกว่า 10,000 ราย        ซึ่งวิธีการรักษาอาการปวดหลัง ปวดคอ มีตั้งแต่แค่ทานยา การทำกายภาพบำบัดเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง การฉีดยาระงับปวด ไปจนถึงการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ซึ่งในรายที่รักษาด้วยการทานยาแล้วไม่ดีขึ้น หรืออาการเป็นมากตั้งแต่แรก เมื่อประเมินดูแล้วว่าการรักษาด้วยยาอาจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร อาจจะพิจารณาให้รักษาด้วยการทำ Intervention ซึ่งเป็นการรักษาแบบโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือ การผ่าตัด โดยแพทย์ประจำศูนย์จะให้คำแนะนำ ให้การรักษา และให้ทางเลือกกับผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินใจ

ทั้งนี้ คนไข้ที่มีอาการปวดคอ ปวดหลัง บริเวณเอว ปวดร้าวลงแขนลงขา หรือมีอาการชาบริเวณแขน หรือ ขาข้างใดข้างหนึ่ง คนไข้เหล่านี้มีโอกาสเป็นอาการกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท สาเหตุโดยหลักเกิดจากการเสื่อมของกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการมีอายุที่มากขึ้น การใช้งาน เช่น มีการยกของหนัก ก้มเงยบ่อย นั่งนานๆ หรือเล่นกีฬาบางประเภทที่ทำให้เกิดการกระแทกกับกระดูกสันหลัง ฉะนั้น หากมีอาการปวดเรื้อรังร่วมกับอาการชาหรือการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

 การผ่าตัดกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอ็นโดสโคป และไมโครสโคป เป็นเทคนิค และวิธีการผ่าตัดที่ทำให้คนไข้บอบช้ำน้อยที่สุด โดยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งมีลักษณะเป็นท่อขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึง 1 เซ็นติเมตร มีเลนส์ติดอยู่ที่ปลาย เปรียบเสมือนดวงตาของศัลยแพทย์ มีใยแก้วนำแสงเพื่อช่วยในการมองเห็น ทำให้ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจนตรงจุด นอกจากนี้ ยังมี O-arm navigation เครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ เป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับศัลยแพทย์ในการผ่าตัด

คุณดาววิภา ฉายางาม เล่าถึงอาการก่อนการรักษาว่า อาการปวดเริ่มจากปวดบริเวณสะโพกร้าวลงมาที่ขาขวา และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันในเรื่องของการเดิน หลังจากรักษาด้วยการทานยา และกายภาพบำบัดแล้วอาการไม่ดีขึ้น

“กังวลว่าหากปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้อาจจะทำให้ถึงขั้นเดินไม่ได้ ซึ่งหลังจากการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดด้วยกล้อง       เอ็นโดสโคป ที่ศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลนครธน  ทำให้สามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติ ไม่กลับมาปวดซ้ำอีก ใครที่มีอาการปวดหลังร้าวลงขา หรือปวดสะโพก มีอาการชา อ่อนแรงร่วมด้วย อย่าปล่อยทิ้งไว้ อยากให้รีบมาปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาค่ะ”

คุณไพลิน สุรนาถกิตติธร อีกหนึ่งผู้รับบริการที่ ศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลนครธน ที่มีความกังวลกลัวการผ่าตัดเป็นอย่างมาก เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ในการผ่าตัดรักษาอาการปวดหลังด้วยวิธีอื่นมาก่อน

“ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้รู้สึกกลัวการผ่าตัด เพราะเจ็บปวด และใช้เวลาพักฟื้นนาน คุณหมอศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลนครธน ได้ช่วยหาแนวทางการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องเอ็นโดสโคป ที่เป็นการผ่าตัดแผลเล็ก ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังการผ่าตัด ทำให้หมดกังวลใจทันที สำหรับการผ่าตัดครั้งนี้ เพียง 1 วันหลังการผ่าตัด ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม”

คุณรชานนท์ เอี่ยมละออ เล่าถึงประสบการณ์เข้ารับการรักษาปวดคอเรื้อรัง เนื่องจากทำงานเป็นนักบัญชี ซึ่งต้องนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน จึงมีอาการปวดคอ ร้าวลงแขน ลงมา บ่า และไหล่ จุดเปลี่ยนที่ทำให้ต้องรีบมารักษาอย่างจริงจัง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์สำลักน้ำ แล้วเกิดอาการเหมือนไฟฟ้าช็อตตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงขา ทำให้ร่างกายรวมทั้งแขนไม่มีแรง แม้แต่การเขียนหนังสือก็เป็นเรื่องยาก เมื่อเข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลนครธน แพทย์อธิบายอย่างละเอียดถึงอาการว่าเกิดจากปัญหาใด การรักษาควรจะไปในทิศทางไหน การรักษาด้วยการผ่าตัดกระดูกคอผ่านกล้องเอ็นโดสโคปว่าใช้ระยะเวลาสั้น แผลเล็ก เจ็บน้อย จึงเกิดความมั่นใจ และตัดสินใจรักษา  

“หลังจากเข้ารับการผ่าตัดไม่นานก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ เขียนหนังสือได้ ทำงานบ้านได้ ทั้งยังสามารถเล่นงัดข้อกับลูกได้เหมือนเมื่อก่อน”

สำหรับผู้ที่กำลังมีปัญหาโรคกระดูกสันหลัง หากมีอาการ เช่น ปวดคอ หรือ ปวดหลัง เรื้อรัง ปวดคอร้าวลงแขน ปวดหลังร้าวลงขา หรือ มีอาการแขนชา มือชา หรือ ขาชา ร่วมด้วย ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทาง อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม และดีที่สุด ทำให้กลับมามีคุณภาพชีวิตได้อย่างอิสระอีกครั้ง.

สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ โรงพยาบาลนครธน

สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่

ฝ่ายสื่อสารการตลาด โรงพยาบาลนครธน คุณปุณรดา ดุลยโกเมศ ผู้จัดการแผนกการตลาดดิจิทัล และสื่อสารการตลาด

คุณภานิชา ตันติพรปัญญา รองผู้จัดการแผนกสื่อสารการตลาด

ตัวแทนประชาสัมพันธ์โดย คุณ ปิยะเรศ สาตร์พันธุ์ (ปุย) 094-185-1735

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โปรดให้ผู้แทนพระองค์ ไปเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “คนดีศรีสยาม” เพชรแห่งสยาม ครั้งที่ 11

28 กันยายน 2565 ที่ห้องดอนเมืองบอลรูม โรงแรมอมารี ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โปรดให้ นายบุญเชิด กันภัย รองผู้อำนวยการกองงานในพระองค์ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เป็นผู้แทนพระองค์ไปเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “คนดีศรีสยาม” เพชรแห่งสยาม ครั้งที่ 11

ซึ่งโครงการเทิดพระเกียรติองค์ราชัน ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดขึ้นเพื่อยกย่อง เป็นกำลังใจ รณรงค์ และส่งเสริมให้เกิดการทำความดีในสังคม ตามคติที่ว่า “คุณธรรมนำแผ่นดิน” โดยได้น้อมนำพระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในเรื่องหลักแห่งการทำความดี มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และส่งเสริมให้เกิดการทำความดีเป็นต้นแบบตัวอย่างในสังคมไทย ซึ่งได้พิจารณาคัดเลือกบุคคล หน่วยงาน และองค์กร จากหลากหลายสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยปีนี้ มีผู้ได้รับคัดเลือกให้เข้ารับรางวัล จำนวน 58 คน ประกอบด้วย พระสงฆ์ จำนวน 8 รูป, บุคคล หน่วยงาน องค์กร จำนวน 50 คน รวมถึงผู้จัดละครคนดังละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” และเป็นผู้กำกับรายการโทรทัศน์ผู้หญิงคนแรกของประเทศไทย คุณหน่อง-อรุโณชา ภาณุพันธุ์ ร่วมเข้ารับรางวัลในครั้งนี้

ภายในงาน นางสาวสิริภา สัจจเดชะ อายุ 29 ปี ผู้ได้รับรางวัล คนดีศรีสยาม “เพชรแห่งสยาม” ครั้งที่ 11 ประจำปี 2565 ในโครงการเทิดพระเกียรติองค์ราชัน สาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมดีเด่น พร้อมกับ นางสิริยา สัจจเดชะ (มารดา) ซึ่งได้รับรางวัล คนดีศรีสยาม “เพชรแห่งสยาม” สาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมดีเด่น ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

โดยนางสาวสิริภา สัจจเดชะ กล่าวว่า “รู้สึกดีใจ และภาคภูมิใจ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลถึง 2 ครั้ง ภายใน 1 เดือน รู้สึกดีที่เราได้มีโอกาสสร้างคุณธรรมให้กับสังคม เกิดประโยชน์กับสังคมที่ได้รับเป็นอย่างดี และอยากจะทำความดีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อพัฒนาสังคมไปในทางที่ดี และเป็นกำลังเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับสังคมต่อไป ทุกรางวัลที่ได้จะรู้สึกตื่นเต้นตลอด เป็นการดีใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราที่ได้รับรางวัลต่อเนื่องถึง 2 รางวัลในหนึ่งเดือน”

นางสาวสิริภา ได้ฝากถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ ขอให้ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เราได้แชร์ในเรื่องที่ดี ๆ ให้แก่กันและกัน เรื่องการทำความดีเพื่อสนับสนุนคนทั่วไปให้มองเห็นความสำคัญในขณะที่ได้เจอมูลนิธิ หรือเจอสังคมที่พอช่วยเหลือกันได้เราก็จะช่วยขับเคลื่อนและร่วมกันพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ ให้น่ารักแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ สำหรับตัวดิฉันเองก็ยังขอมุ่งมั่นที่จะทำความดีแบบนี้ต่อไปในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ค่ะ

นางสาวสิริภา กล่าวเพิ่มเติมว่า “อยากให้ทุกคนสำนึกในคุณของแผ่นดินเกิด และทำความดีสนองคุณ แผ่นดินตามโอกาสและกำลังของแต่ละคน อยากฝากถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ ขอให้ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เราได้แชร์ในเรื่องที่ดี ๆ ให้แก่กันและกัน เรื่องการทำความดีเพื่อสนับสนุนคนทั่วไปให้มองเห็นความสำคัญในขณะที่ได้เจอมูลนิธิ หรือเจอสังคมที่พอช่วยเหลือกันได้เราก็จะช่วยขับเคลื่อนและร่วมกันพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ ให้น่ารักแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ สำหรับตัวดิฉันเองก็ยังขอมุ่งมั่นที่จะทำความดีแบบนี้ต่อไปในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ค่ะ”

ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา เปิดงานสัมมนาเรื่อง “การรับงานไปทำที่บ้านในยุคชีวิตวิถีใหม่”

คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา
พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเรื่อง “การรับงานไปทำที่บ้านในยุคชีวิตวิถีใหม่” โดยมี ณรงค์ รัตนานุกูล เลขานุการคณะกรรมาธิการฯ พล.ต.อ. อำนาจ อันอาตม์งาม อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย สุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณรงค์ฤทธิ์ วรรณโส ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มาร่วมในงานด้วย ที่ห้องบอลรูม 2 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ เมื่อวันก่อน

รฟฟท.จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ณ ชุมชนตลาดล่าง เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์วิกฤติอุทกภัยในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในหลายพื้นที่ทั้งในต่างจังหวัดและในพื้นที่เขตปริมณฑล บริษัทฯมีความตระหนักและห่วงใยในความเป็นอยู่รวมถึงสุขอนามัยของประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งวิกฤติอุทกภัยที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เกิดจากปริมาณน้ำสะสมที่ไหลเข้าท่วมอาคารบ้านเรือน ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงชุมชนตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงด้วย

บริษัทฯ จึงได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วเห็นว่า ชุมชนตลาดล่าง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีหลักหก ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนหลายครัวเรือน จึงดำเนินการจัดทำถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และสิ่งของอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นการเร่งด่วน โดยนำไปมอบให้แก่ชุมชนตลาดล่าง ตำบลบางพูน จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ซึ่งโครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมถึงได้น้อมนำพระราชปณิธานการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ และการทำความดีด้วยหัวใจของในหลวงรัชกาลที่ 10 ในการร่วมกันทำประโยชน์และพัฒนาสังคมเพื่อประเทศชาติ อีกทั้งโครงการดังกล่าวนั้น ยังถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม(CSR) อีกด้วย

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนชานเมือง Call Center 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง

“เฉลิมชัย”คิกออฟโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน 7,255 ตำบลทั่วประเทศ

“อลงกรณ์”ออกสตาร์ท”เพชรบุรี”เป็นจังหวัดแรก
จับมือผู้ว่าฯ.ผนึกศูนย์AIC รวมพลังทุกภาคส่วนเดินหน้าเต็มสูบสร้างศักยภาพใหม่ของตำบลหมู่บ้านแบบยั่งยืน

ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน เปิดเผยวันนี้(20 ก.ย)ว่า
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล 7,255 ตำบลใน76จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานอพก.จังหวัดได้ดำเนินการร่วมกับเกษตรและสหกรณ์จังหวัดออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลแล้วนอกจากนี้ยังได้รับรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการนี้จากนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนว่าได้เริ่มการประชุมชี้แจงแนวทางการบริหารและการขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีที่ศูนย์AIC มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีเป็นจังหวัดแรก ถือเป็นการคิกออฟโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลซึ่งเป็นกลไกการปฏิรูปภาคเกษตรครั้งสำคัญของประเทศ

ทางด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเพื่อสร้างการรับรู้ และมอบนโยบาย แนวทางการขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลของจังหวัดเพชรบุรี ณ ห้องประชุมคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี และรูปแบบออนไลน์ผ่าน Zoom Cloud Meeting โดยมี นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ดร.วนิดา มากศิริ คณบดี คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ผู้อำนวยการศูนย์AICจังหวัดเพชรบุรี เกษตรจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด สภาเกษตรกรแห่งชาติ นายอำเภอ เกษตรอำเภอ นายกและสมาชิกอบต. กำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครเกษตร ศพก. เกษตรกรรุ่นใหม่ (young smart farmer )เกษตรปราดเปรื่องวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ เกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มแม่บ้านเกษตร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอี. ทีมงานเพชรบุรีโมเดล หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคเกษตรกร เข้าร่วมประชุม โดยมีนางสาวศิริวรรณ เครือเล็ก เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเพชรบุรี เป็นฝ่ายเลขานุการ
นายอลงกรณ์ กล่าวว่าวันนี้เป็นวันแรกของการขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลครอบคลุม7,255ตำบลใน878อำเภอและ76จังหวัดเป็นครั้งแรกของประเทศควบคู่กับโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองเพื่อสร้างฐานใหม่ที่เข้มแข็งในการยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับท็อปเทนของโลกในฐานะมหาอำนาจทางอาหารและครัวของโลกตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ. จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ13ของโลกโดยจัดประชุมสร้างการรับรู้แนวทางการบริหารจัดการคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนที่เพชรบุรีเป็นจังหวัดแรก ภายใต้แนวคิด “บริหารโดยชุมชน เป็นของชุมชน และเพื่อชุมชน” ซึ่งเป็นกลไกปฏิรูปภาคการเกษตรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ในระดับฐานรากเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและชุมชนตำบลหมู่บ้านและแก้ปัญหาหนี้สิน ความยากจนและลดความเลื่อมล้ำอย่างยั่งยืนภายใต้เกษตรกรรมยั่งยืน 5 สาขา คือ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรทฤษฎีใหม่ และเกษตรผสมผสาน มีภารกิจ2ประการคือเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)และพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครด้วยการยกระดับภาคเกษตรกรรมสู่เกษตรมูลค่าสูง

นายอลงกรณ์กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลประกอบด้วย ปลัดอำเภอ เกษตรตำบล อบต. ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนประชาสังคมและอาสาสมัครเกษตร (อกษ.) เป็นแกนหลักร่วมกับตัวแทนภาคเอกชน ภาคเอกชน และภาควิชาการ ในหมู่บ้านตำบลเชื่อมโยงกับคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรระดับอำเภอ (SCD)และคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรระดับจังหวัด (SCP)และศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ในแต่ละจังหวัด
โดยคณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลมีหน้าที่จัดทำและขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจเกษตรแบบยั่งยืนระดับตำบลภายใต้แพลตฟอร์มการพัฒนาหลากหลายรูปแบบ เช่น 1ตำบล 1โครงการชลประทานชุมชน 1ตำบล1โครงการเกษตรอินทรีย์ 1ตำบล1ศูนย์บริการจัดการดิน-ปุ๋ยชุมชน 1ตำบล 1 ร้านค้าเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัย(Green Shop) 1 ตำบล 1 ตลาดออนไลน์ 1 ตำบล 1 สตาร์ทอัพเกษตร 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์แชมเปี้ยน(product champion) 1 ตำบล 1 ธนาคารต้นไม้ (ผลิตและจำหน่ายต้นกล้า) 1 ตำบล 1 เกษตรแปลงใหญ่ 1 ตำบล 1 ฟาร์มเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) 1 ตำบล1 แบรนด์ผลิตภัณฑ์ 1 ตำบล 1 เครือข่ายศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.)1 ตำบล 1 เครือข่ายศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC) 1 ตำบล 1 องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น(ประมงทะเลหรือประมงน้ำจืด) 1 ตำบล 1 กลุ่มประมง 1 กลุ่มปศุสัตว์ 1 กลุ่มเกษตรพลังงาน 1 เกษตรสุขภาพ 1 เกษตรท่องเที่ยว 1โครงการอาหารแห่งอนาคต (แมลง ผำ สาหร่าย แหนแดง) 1 โรงเรียนสีเขียว( Green School ) 1 วัดสีเขียว(Green Temple) และศูนย์ความรู้เกษตร(Agriculture Knowledge Center) เป็นต้น เพื่อปักหลักวางหมุดหมายการพัฒนาแบบยั่งยืนลงไปถึงระดับชุมชนหมู่บ้าน ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ของ รมว.เกษตรฯ ได้แก่ ตลาดนำการผลิต-เทคโนโลยีเกษตร4.0-เกษตรปลอดภัย-เกษตรยั่งยืน-เกษตรมั่นคง การบูรณาการทำงานเชิงรุกทุกภาคส่วนและเกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่
นายอลงกรณ์ได้มอบแนวทางในการบริหารโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล จังหวัดเพชรบุรีในระยะตั้งต้นไว้ 6 ประเด็น ดังนี้

  1. จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล โดยอบต. จัดสถานที่มีเจ้าหน้าที่ของอบต. ที่ทำหน้าที่กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ เป็นผู้ดูแลและมีอาสาสมัครที่สรรหาในตำบลช่วยปฏิบัติงาน
  2. จัดให้มีสภากาแฟเกษตรกรรมยั่งยืนประชุมเดือนละครั้งเป็นเวทีปรึกษาหารือไม่เป็นทางการ
  3. คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลควรประชุมเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วง 6 เดือนแรก จากนั้นประชุมทุก 2 เดือน
  4. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนก่อนหมดหน้าที่
  5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน
  6. การจัดทำระบบฐานข้อมูล
    ซึ่งหวังว่า กลไกนี้จะเป็นแนวทางการขับเคลื่อนที่สามารถยกระดับอัพเกรดให้แก่ภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืน.

ทางด้าน นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีได้กล่าวเสริมว่าจังหวัดเพชรบุรี พร้อมสานต่อนโยบายขับเคลื่อนเมืองเสบียงแห่งอาหาร สู่โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ระดับตำบล เน้นประโยชน์ของพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งแต่ละตำบลดูจุดแข็งของตำบลทั้งด้าน ปศุสัตว์ ประมง พืช สมุนไพร ผลไม้ รวมทั้งให้ความสำคัญด้านชลประทาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะดำเนินการทั้งในระดับจังหวัด หรือเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัด ที่ต้องทำงานร่วมกันเพิ่มศักยภาพพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง ที่จะขับเคลื่อนร่วมกันโดยสามารถเสนอโครงการและแผนงานจากงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดได้

หม่อมหลวง ชาญโชติ ชมพูนุช ได้เป็นประธานพิธีมอบรางวัลญาณสังวร “คนดีศรีแผ่นดิน”

เมื่อวันอาทิตย์ ที่18 กันยายน 2565 หม่อมหลวง ชาญโชติ ชมพูนุช ได้เป็นประธานพิธีมอบรางวัลญาณสังวร “คนดีศรีแผ่นดิน” และงานประกาศรางวัลเกียรติคุณ คนดีของแผ่นดินตามรอยพระยุคลบาท ครั้งที่ 11 ประจำปี พ.ศ. 2565 แสดงความยินดีกับนางสิริยา สัจจเดชะ ผู้ได้รับรางวัลญาณสังวร “คนดีศรีแผ่นดิน” พร้อมบุตรสาว นางสาวสิริภา
สัจจเดชะ
 มหาบัณฑิต สาขา บริหารธุรกิจ จากประเทศอังกฤษ (Master of Business Administration) ผู้รับรางวัล “แก้วมณีเมขลา” เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ผู้สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมมาโดยตลอด ณ โรงแรม อมารี ดอนเมืองแอร์พอร์ต ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

“อลงกรณ์”รวมพลคนประมงพื้นบ้านกว่า100,000คนจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น 2,776 องค์กรใน50จังหวัดตั้งงบสนับสนุนปีละ200องค์กร

พร้อมเปิดตัวหมู่บ้านประมงท่องเที่ยวอีก 53 แห่ง เร่งพัฒนาอาชีพแปรรูปผลิตภัณฑ์ออกมาตรฐานประมงพื้นบ้านยั่งยืนสร้างแบรนด์ขยายตลาด Fisheries Shopเพิ่มรายได้ชาวประมงภายใต้นโยบายส่งเสริมพัฒนาประมงพื้นบ้านของรัฐมนตรีเกษตรฯ.”เฉลิมชัย ศรีอ่อน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงชชเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยเปิดเผยวันนี้(18 ก.ย.)ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยครั้งที่4 ว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการ โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพื้นบ้าน รายงานผลการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นแล้วจำนวนทั้งสิ้น 2,776 องค์กร สมาชิกจำนวน 104,891 ราย และความคืบหน้าโครงการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนประมง องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ องค์กรชุมชนประมงด้านชายฝั่ง 80 ชุมชน ด้านน้ำจืด 84 ชุมชน ด้านแปรรูป 36 ชุมชน และได้อนุมัติโครงการและกิจกรรมตามความต้องการของชุมชน เพื่อพัฒนาอาชีพประมง จำนวน 200 องค์กรเรียบร้อยแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 20 ล้านบาทและจะสนับสนุนงบประมาณทุกปีๆละอย่างน้อย200 องค์กรๆละ100,000บาท

“ภายใต้นโยบายสร้างความเข้มแข็งชุมชนและองค์กรเกษตรกรโดยเฉพาะประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นชาวประมงรายย่อยของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย กรมประมงโดยนายเฉลิมชัย สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมประมงได้บูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนร่วมมือกันเร่งดำเนินการพัฒนาชุมชนและหมู่บ้านประมงพื้นบ้านเพื่อเพิ่มรายได้ด้วยโครงการใหม่ๆโดยจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นทั้งประมงน้ำจืดและน้ำเค็มให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนและต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยว”

นายอลงกรณ์ยังเปิดเผยต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาผลิตผลผลิตภัณฑ์ประมงและการพาณิชย์ ที่ได้ถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านสุขลักษณะที่ดีในการแปรรูปสัตว์น้ำ มีการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์และน้ำอุปโภคบริโภคมาตรวจคุณภาพ รวมทั้งถ่ายทอดเทคนิคการแปรรูปผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำและบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม ในองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น จำนวน 25 แห่ง จาก 18 จังหวัด ซึ่งอยู่ในภาคต่าง ๆ ได้แก่ภาคใต้ จำนวน 6 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 8 แห่ง ภาคเหนือ จำนวน 3 แห่ง ภาคตะวันออกจำนวน 2 แห่ง และภาคกลาง จำนวน 6 แห่ง และการออกหนังสือรับรองมาตรฐานการทำการประมงพื้นบ้านอย่างยั่งยืนและการแปรรูปสินค้าประมงพื้นบ้าน พร้อมกับการพัฒนาแบรนด์โดยให้การรับรองมาตรฐานการทำการประมงพื้นบ้านอย่างยั่งยืนให้แก่ชาวประมงพื้นบ้าน จำนวน 128 ราย และการรับรองสินค้าประมงที่จำหน่ายบนเว็ปไซต์ Fisheries Shop ของกรมประมง
สำหรับการพัฒนาหมู่บ้านประมงเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายใต้โครงการฟิชเชอร์แมนวิลเลจรีสอร์ต ( Fisherman’s Village Resort )มีความคืบหน้าโดยกรมประมงได้ส่งเสริมชุมชนประมงชายฝั่งที่มีศักยภาพ 22 จังหวัด สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ 53 แห่ง โดยมอบหมายให้กรมประมงขยายความร่วมมือกับทุกภาคีภาคส่วนพัฒนาอาชีพและส่งเสริมความเข้มแข็งชุมชนประมงด้วย โดยนำแนวทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(wellness tourism)มาประยุกต์ใช้ และให้ส่งเสริมการตลาดแบบออนไลน์(Online Market)เพื่อช่วยสนับสนุนการขายและการประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับหมู่บ้านประมงทางด้านการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย
ในการประชุมคณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 4/2565 ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ zoom cloud meeting มี นายอรุณชัย พุทธเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกรมเจ้าท่า ผู้แทนองค์การสะพานปลา ผู้แทนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้แทนภาคเอกชน สมาคมการประมง และผู้แทนเครือข่ายเกษตรกรชาวประมง เข้าร่วมประชุม และ นายพัฒนพงศ์ ชูแสง ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการทรัพยากรและกำหนดมาตรา กรมประมง เป็นฝ่ายเลขานุการการประชุม

“คาราบาวเเดง” ระเบิดศึกทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล 7 คน ครั้งประวัติศาสตร์ของไทย พา”เเชมป์ไปดูแชมป์” บินลัดฟ้าชมศึก “คาราบาวคัพ” ถึงอังกฤษแบบยกทีม!!

“คาราบาวแดง” สินค้าระดับโลก แบรนด์ระดับโลก ผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลระดับโลก Carabao Cup ที่ประเทศอังกฤษ อย่างเป็นทางการ จับมือกับ “Siamsport” จัดทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup ครั้งประวัติศาสตร์ ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย มอบประสบการณ์ ล้ำค่าพา “ทีมแชมป์” รับรางวัลใหญ่ บินลัดฟ้าสู่เมืองหลวงแห่งลูกหนัง ประเทศอังกฤษ ชมศึก Carabao Cup ฤดูกาล 22/23 รอบชิงชนะเลิศ ติดขอบสนามเวมบลีย์ แบบยกทีม!! พร้อมถ้วยรางวัลอันทรงเกียรติ และรางวัลอื่นๆ รวมรางวัลมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ประเดิมการแข่งขันสนามแรก โซนกรุงเทพฯ ก่อนออกเดินทางคัดเลือกทั่วประเทศ

กระแสตอบรับอย่างล้นหลาม!! สำหรับการแข่งขันฟุตบอล 7 คนครั้งประวัติศาสตร์ “Carabao 7-a-Side Cup” แชมป์ไปดูแชมป์ โดยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 เวลา 10.30 น. ที่สนามฟุตบอล Grand Soccer Pro (เกษตร-นวมินทร์) ได้มีงานแถลงข่าวเปิดทัวร์นาเมนต์อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในงานแถลงข่าว พร้อมตัวแทนทีมร่วมการแข่งขัน ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยานเป็นจำนวนมาก

นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาราบาวแดง มุ่งพัฒนาส่งเสริมศักยภาพนักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลซึ่งมีการเดินหน้าจัดกิจกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้สานต่อเจตนารมณ์จากวิสัยทัศน์ของบริษัท “เครื่องดื่มคาราบาวแดง สินค้าระดับโลก แบรนด์ระดับโลก” ผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล Carabao Cup ที่ประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นการต่อยอดกระแสฟุตบอล Carabao Cup บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ สยามกีฬา ผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาในเมืองไทย จัดการแข่งขันฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup แชมป์ไปดูแชมป์ ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง มีหัวใจรักการออกกำลังกาย และมีทักษะทางด้านกีฬา ได้มีเวทีในการแสดงความสามารถผ่านการแข่งขันฟุตบอล ประเภท 7 คน ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ ขอเพียงอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยการแข่งขันในครั้งนี้ จัดการแข่งขันเป็น 2 รอบ

รอบคัดเลือก จัดแข่งทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2565 – 6 พฤศจิกายน 2565 ทั้งหมด 16 ครั้ง( 15 จังหวัด) ที่สนามฟุตบอลชั้นนำ โดยมีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 512 ทีม ใช้การจับฉลากประกบคู่แข่งขันแบบแบ่งสาย ระบบการแข่งขันแบบแพ้คัดออก ในแต่ละสนามจะเตะคัดเลือกเพื่อหาตัวแทน 2 ทีม ที่จะได้เข้าสู่รอบชิงแชมป์ 32 ทีมสุดท้ายต่อไป

สำหรับรอบชิงแชมป์ จะจัดขึ้นวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 นี้ ที่สนาม Grand Soccer Pro กรุงเทพฯ (เกษตร-นวมินทร์) เพื่อหาแชมป์ Carabao 7-a-Side Cup ประจำปี 2022 โดยมีรางวัลมากมายที่จะได้รับในการแข่งขันครั้งนี้ รวมมูลค่ารางวัลกว่า 3 ล้านบาท

• ทีมชนะเลิศ อันดับ 1 ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ และเหรียญรางวัล และเดินทางไปดูการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ Carabao Cup 2023 ที่สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ ทั้งทีม หรือ 16 คน
• ทีมรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท และเหรียญรางวัล
• ทีมรองชนะเลิศ อันดับ 3 (ร่วม) ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาทต่อทีม และเหรียญรางวัล
• ทีมอันดับที่ 5 – 32 จะได้รับเงินรางวัลทีมละ 10,000 บาท
• ดาวซัลโว จะได้รับถ้วยเกียรติยศ และเงินรางวัล 10,000 บาท

นายกมลดิษฐ กล่าวว่า นอกจากของรางวัล บริษัทยังได้สนับสนุนเครื่องดื่มให้ทุกทีมที่เข้าแข่งขัน โดยขอเป็นกำลังใจให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนแสดงฝีเท้าอย่างเต็มที่ และสนุกไปกับกิจกรรมด้วยสปิริตของนักสู้ และน้ำใจนักกีฬา และขอให้ทุกทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน โดยผู้สนใจสามารถติดตามทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup รวมถึงกิจกรรมดีๆ จากคาราบาวกรุ๊ป และสามารถติดตามกิจกรรม จาก Facebook : Carabao Sport หรือ www.carabao.co.th

“เราจะพาแชมป์ ไปดูแชมป์ ด้วยกัน ณ สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ แบบยกทีม เตรียมทีมให้พร้อม ซ้อมทีมให้ดี แล้วออกมาสนุกด้วยกัน” นายกมลดิษฐ กล่าวทิ้งท้าย

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครได้ทาง https://bit.ly/3RbYysb Line ID : @carabao-7-a-side หรือคลิก https://lin.ee/2CZfnlA รวมทั้งติดตามผลการแข่งขันฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup แชมป์ไปดูแชมป์ ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ FB: Carabao Sport หรือ โทร. 0995480884 (วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 10.00 – 19.00 น.)