ททท.จัดงานมอบรางวัล โครงการ Hunter’s Journey ล่า ท้า เที่ยว

โครงการ Hunter’s Journey ล่า ท้า เที่ยว ภายใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ต้องการสร้างกระแส เพิ่มความถี่การเดินทาง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย จึงได้จัดทำแอปพลิเคชันเกมการท่องเที่ยว Hunter Journey และดำเนินกิจกรรมสิ้นสุดเมื่อ 30 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ครั้งนี้โครงการฯ จึงได้ดำเนินการมอบรางวัล ผู้ชนะการแข่งขันแอปพลิเคชันเกม Hunter Journey โดยได้รับเกียรติจาก นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้มอบรางวัลและร่วมแสดงความยินดีกับผู้ชนะการแข่งขัน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 เวลา 09.00 – 10.00 น. ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

โดยกิจกรรมการแข่งขันได้มีผู้ชนะทั้งสิ้น 16 รางวัล ได้แก่ รางวัลจากกิจกรรมไฮไลต์ “ตามล่า QR มหาสมบัติ” ที่สวนนงนุช พัทยา เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา จำนวน 1 รางวัล เป็นทองคำมูลค่า 100,000 บาท และรางวัลของผู้ชนะจากการแข่งขันการเก็บคะแนนสูงสุด 15 อันดับ โดยมอบเป็นเงินรางวัลให้แก่ผู้ที่มีคะแนนอันดับที่ 1 – 3 รางวัลละ 10,000 บาท อันดับที่ 4 – 10 รางวัลละ 5,000 บาท และอันดับที่ 11 – 15 รางวัลละ 3,000 บาท

นอกจากนี้โครงการฯ ยังมอบรางวัลให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยส่วนลดและฟรีเวาเชอร์ ร้านอาหาร คาเฟ่ ที่พัก และตั๋วเครื่องบิน เพื่อให้ผู้ร่วมสนุกได้ไปฟิน ไปกิน ไปบิน ไปพัก ในแหล่งท่องเที่ยวทั่วไทย ทั้งนี้ ท่านสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลอื่นๆ และรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Hunter Journey

“เที่ยวแบบมีสตอรี่…ที่ชัยนาท” โดยมี สภาวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  ททท.สำนักงานลพบุรี

“เที่ยวแบบมีสตอรี่…ที่ชัยนาท”จังหวัดชัยนาท โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยนาท จัดโครงการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงรุก กิจกรรมทดสอบเส้นทาง

“เที่ยวแบบมีสตอรี่…ที่ชัยนาท” โดยมี สภาวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  ททท.สำนักงานลพบุรี ให้การสนับสนุนเส้นทางการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์พื้นถิ่นงดงาม

โครงการนี้สื่อมวลชนหลายแขนงทั้งสื่อส่วนกลางและสื่อท้องถิ่นมารวมตัวกันในเช้าวันที10 ธันวาคม 2564  ที่ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงฯ “บ้านคนรักษ์ตาล” ตำบลห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยนาท นำโดยนายมหิทธร โคกเกษม ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยนาท จัดกิจกรรมท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมและอาหารของชุมชนท้องถิ่น

  "เส้นทางเที่ยวปลูกป่า กินอาหารถิ่น เช็คอิน @ชัยนาท " 

โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชัยนาท ททท.ส่วนกลางและสำนักงานลพบุรี เครือข่ายด้านการท่องเที่ยว สื่อมวลชนทั้งส่วนกลางและในจังหวัดชัยนาท และเกษตรกรศูนย์การเรียนรู้เศรษกิจพอเพียงการอนุรักษ์ตาลโตนดฯ ร่วมกิจกรรม มีการสาธิตการทำน้ำตาลโตนด การปีนไปเก็บน้ำตาลสดจากต้น มีการทำขนมตาลและการถักใบตาลอ่อนเป็นรูปปลา มีการสาธิตการใช้ก้านตาลนำมาเป็นเครื่องมือรักษาอาการป่วยของคนเป็นอัมพฤกษ์อำมพาตได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีให้หายจากป่วยไข้ และร่วมกันปลูกต้นทองอุไร ไม้สวยงาม ไม้ประดับที่มีดอกสีเหลืองทองอร่าม

เรียนรู้การอนุรักษ์ตาลโตนด

กิจกรรมวันนี้ มีการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์ตาลโตนดโดยแบ่งฐานการเรียนรู้เป็น 5 ฐาน พร้อมให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ร่วมสาธิตการสร้างคุณค่าจากมรดกทางวัฒนธรรมของตาลโตนด อาหารจากเมนูทั้งคาวและหวาน รวมทั้งการจัดกิจกรรมเที่ยวป่า ไหว้พระขอพร และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกหลายแห่ง

ทั้งนี้ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยนาท ได้นำพานักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งร่วมกิจกรรม ตามโครงการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงรุก กิจกรรมทดสอบเส้นทาง “เที่ยวแบบมีสตอรี่…ที่ชัยนาท” เมื่อวันที่ 3-11 ธันวาคม 2564 เพื่อสร้างกระแสการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวจังหวัดชัยนาท และการประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชัยนาท ที่มีความพร้อมในทุกด้านทั้ง ธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิต วิถีชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ที่รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยว

เยี่ยมชมการรักษาป่าชุมชุน

การเดินทางไปบ้านบุทางรถ เพื่อเยี่ยมชมการรักษาป่าชุมชุนซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นภูเขาหัวโล้นและได้รับการทำนุบำรุงปลูกป่าชุมชนขึ้นมา เพื่อให้ชาวบ้านช่วยกันรักษาและปลูกพืชสมุนไพรนำมาใช้เพื่อการรักษาอาการป่วยไข้และภูเขาราวเทียน ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ในการเดินป่าศึกษาธรรมชาติ หลังจากเดินป่าเสร็จก็มีการแช่เท้าในน้ำสมุนไพรพื้นบ้านรักษาอาการเมื่อยล้าเป็นการผ่อนคลายเท้าแล้วเดินทางมารับประทานอาหารค่ำที่ร้านส้มตำบ้านเด ก่อนที่จะเข้าพักที่บ้านพวงคราม บ้านพักทรงไทย โดยมีขนมทองเอกขนมพื้นเมืองมาให้ชิม

รุ่งอรุณที่ตลาดเก่าหันคา เพื่อดูวิถีชีวิตคนท้องถิ่นริมแม่น้ำท่าจีน กับการค้าขายสินค้าพืชผักของท้องถิ่น  ตลาดหันคาในอดีตนั้นเคยเป็นทางสัญจรทางน้ำและการค้าขายล่องไปถึงกรุงเทพมหานคร

กราบพระบรมสารีริกธาตุวัดไกลกังวล

หลังจากศึกษาวิถีชีวิตของคนหันคาจากอดีตถึงปัจจุบัน การเดินทางเพื่อไปกราบพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่บนภูเขาของวัดไกลกังวล วัดบนภูเขาที่มีพระบาทสี่รอย ซึ่งอยู่ภายใต้โดมหินปูน มีพระพุทธรูปหลากหลายปาง ให้กราบไหว้และปิดทองรอยพระบาท ส่วนยอดโดมจะสร้างเป็นทางเดินเพื่อขึ้นไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนยอดเขา เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นท้องทุ่งนาเวิ้งว้าง และมองเห็นตัวอำเภอหันคาสุดสายตา

พร้อมกันนี้ทางสำนักงานการท่องเที่ยว จังหวัดชัยนาท สภาวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาทและ ททท.สำนักงานลพบุรี ได้ถวายกองผ่าป่าร่วมกับนักท่องเที่ยวในพระอุโบสถ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่การเดินทาง

วัดไกลกังวล ยังมีจุดที่น่าสนใจนอกจากจะมาทำบุญแล้ว ทางวัดยังเลี้ยงเก้ง กวาง นกยูง ไก่ป่า มากมาย การสร้างกำแพงสูงห้าเมตรล้อมรอบภูเขามีพื้นที่สองพันกว่าไร่ สามารถป้องกันมิให้สัตว์ออกไปรบกวนชาวบ้านได้ และป้องกันไม่ให้สัตว์เลื้อยคลานเข้ามาด้วย เป็นจุดเช็กอินน์ให้อาหารเก้ง กวางข้างถนนอย่างมีความสุข

อิ่มเอิบได้มาทำยุญและช่วยให้อาหารสัตว์ ซึ่งหายากมากต้องมาสักครั้งจึงจะรู้ว่า”ชัยนาท เมืองเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ในความเป็นจริง” มีพร้อมทุกอย่างต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาอย่างอบอุ่นใจ

อีกหนึ่งวัดที่เรามีโอกาสไปกราบมนัสการพระพุทธรูป คือ วัดห้วยซุง หรือวัดวิจิตรังสิตาราม ซึ่งอยู่กลางสระน้ำ ที่มาของอุโบสถมหัศจรรย์ของโลก

เกิดจากดำริของพระครูโสภณสีลวัตรหรือหลวงปู่เทียบ ที่จะสร้างอุโบสถเพื่อใช้ประดิษฐานดวงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดขึ้นตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 หรือวันวิสาขบูชาทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่งของโลก

ดังนั้นจึงได้นำดวงมหัศจรรย์ของโลกนี้มาประดิษฐานหน้าบันอุโบสถด้านหน้าและหลัง นำรายละเอียดของดวงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน มาประดิษฐานไว้บนผนังด้านหลังอุโบสถเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อุโบสถหลังนี้ได้ตั้งอยู่กึ่งกลางเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุรายล้อมด้วยต้นไม้ประจำทวีปทั้ง 4 ตามหลักพุทธศาสนา

อุโบสถนี้จะมี 3 ชั้น ชั้นบนสุดจะประดิษฐานพระประธาน มีหอระฆังและหอไตร ส่วนชั้นกลางจะเป็นห้องสำหรับปฏิบัติธรรมเพื่อความสงบ และชั้นล่างจะเป็นลานกว้าง มีกุฏิแก้วประดิษฐานพระอุปคุต

หลังจากนั้นเราเดินทางไปรับประทานอาหารที่ร้านแม่สามปลื้มร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาสไตล์ชัยนาทที่จัดแต่งร้านให้ดูร่มรื่นด้วยบึงเลี้ยงปลาที่มีน้ำสีเขียวสวยงามจากธาตุในน้ำผสมกับทิวทัศน์ทุ่งนาเขียวขจี รสชาติอาหารอร่อยลิ้นมีทุกอย่างที่เกี่ยวกับก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำข้นน้ำใส

แวะไปที่สวนส้มขาวแตงกวา

ต่อจากนั้นเราแวะไปที่สวนส้มขาวแตงกวา ส้มโอชื่อดังของจังหวัดชัยนาท ได้ลิ้มชมรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆของส้มโอขาวแตงกวาของชัยนาทจนติดอกติดใจเลยซื้อกันจนแทบจะหมดเข่งเลยเชียวล่ะ

สวนส้มโอโชคชัย ปลูกส้มโอพันธุ์ขาวแตงกวามานานโดยยกร่องสวนหลายร้อยต้น มีจุดชมวิวจากมุมสูงเพื่อชมสวนส้มโออย่างเต็มตา และได้สนทนากันเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวสวนส้มโอที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดชัยนาท เป็นของขวัญของฝากจากเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของจังหวัดชัยนาท

หลังจากอิ่มเอมจากรสหวานส้มโอ เราออกเดินทางจากหันคา เพื่อไปยังอำเภอมโนรมย์ ผ่านตัวจังหวัดมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนสายเอเซียเพื่อมาสัมผัสบรรยากาศร้านอาหารและกาแฟระดับซิกเนเจอร์ของจังหวัดชัยนาท ก่อนจะถึงนครสวรรค์ในขาไป ร้านอาหารเนรมิตคาเฟ่ จะอยู่ถนนสายเอเซียขาล่องเข้ากรุงเทพฯ

จะมีเส้นทางไปสู่ความงามของร้านเนรมิตคาเฟ่ ซึ่งเป็นจุดเช็กอินน์อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาท แม้เพิ่งจะเปิดมาไม่นาน แต่บรรยากาศรูปแบบการจัดแต่งแอเรียสถานที่มองเห็นอย่างโดดเด่น สวยงามท่ามกลางธรรมชาติท้องทุ่งนาเวิ้งว้างสุดสายตา การจัดรูปแบบของร้านคาเฟ่แห่งนี้มีมุมถ่ายรูปมากมาย

มีหอคอยให้ถ่ายรูปในมุมสูงที่มองเห็นภูเขาฟูจิเมืองไทยลิบๆ การทำทางเดินผ่านอุโมงไฟในช่วงยามค่ำจะสวยงามมากๆ และรูปแบบของตัวร้านจะครอบอยู่ในอุโมงผลไม้ มีสะพานเชือกทอดยาวออกไปยังทุ่งนา ให้เป็นจุดถ่ายรูปได้เป็นอย่างดี มีคูน้ำสวยงามและมีซุ้มเรือนหลังคาจากในแต่ละซุ้มให้นั่งทานอาหารและกาแฟ ขนมหลากรสรสชาติมีให้เลือกทานได้ตามใจปรารถนา ส่วนซิกเนเจอร์คือชามะนาวอัญชันที่แสนจะนุ่มละมูลลิ้น อร่อยไปกับอาหารหลากหลายรวมทั้งสะเต๊ะที่น่ากิน กาแฟที่แสนอร่อยๆ

ร้านเนรมิตคาเฟ่ คือจุดเช็กอินน์ของนักเดินทางถ้ามาจากนครสวรรค์ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯควรแวะสัมผัสบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน มีอยู่ที่มโนรมย์ส่วนหนึ่งของจังหวัดชัยนาท

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา 2 วันกับ 1 คืนกับความอบอุ่นที่มาเยือนชัยนาทโดยมีสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ชี้แนะแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ในความเป็นจริง ต้องมาสัมผัสดูจะได้รู้ว่าวิถีชีวิตของคนเมืองอู่ข้าวอู่น้ำวัฒนธรรมล้ำเลิศแหล่งท่องเที่ยวโบราณที่เสด็จพ่อ ร.5 เสด็จประภาสต้นจนเป็นที่รู้จักตั้งแต่ในอดีตจนถึงวันนี้ ชัยนาทยังมีสิ่งดีให้ตามมาค้นหากันอีกมากมาย ไม่เชื่อลองมาเที่ยวชัยนาทดูแล้วจะรู้ว่ายิ่งใหญ่ในความจริงเสมอ.

พานาซี ฉลองครบรอบ 12 ปี ดึงศาสตร์ Green Medicine (ยาสีเขียว)

เยียวยาโรคร้ายให้คนไทย ต่อยอดนวัตกรรม Preventive Medical การแพทย์เพื่อการป้องกันเพื่อยับยั้งไปสู่การรักษา

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 12 ของการแพทย์ทางเลือก ของ พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์ และ โรงพยาบาลพานาซี ภายใต้การบริหารของ WMA (World Medical Alliance ) ผู้ที่มีความเชื่อในเรื่องนวัตกรรมการแพทย์เพื่อการป้องกัน หรือที่รู้จักกันในรูปแบบของ Preventive Medical สู่การพัฒนาอีกขั้น เมื่อนำศาสตร์แห่งการชะลอวัย ด้วยการใช้ “นวัตกรรมของยาสีเขียว”
คุณศิริญา เทพเจริญ กรรมการบริหาร บริษัท เวิล์ด เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เพราะพานาซีเราเชื่อในเรื่องการป้องกัน มากกว่าการรักษา เชื่อในการชะลอวัยมากกว่า การที่รอให้วัยมาสร้างปัญหาสุขภาพ จาก 11 ปี ที่ผ่านมา พานาซีจึงมุ่งมั่น ตามหาสิ่งที่จะช่วยให้ร่างกายสึกหรอน้อยที่สุด ชะลอการเสื่อมของเซลล์ให้ได้มากที่สุด เทรนด์หนึ่งของโลกที่เราต้องยอมรับกันก็คือ “การลดการใช้ยาจากเคมี” และการหันเข้าสู่เทรนด์ออร์แกนิคมากขึ้น อีกทั้งพานาซีเชื่อว่า นวัตกรรมทางการแพทย์ ผนวกกับพื้นดินของประเทศไทยอันอุดมสมบูรณ์จะเป็นแหล่งการสร้าง Green Medicine หรือ ยาสีเขียว มีสารที่มีประโยชน์ที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด และมีคุณค่ามากที่สุด ในโอกาสครบรอบปีที่ 12 ของพานาซี เราจึงมุ่งมั่นพัฒนา นวัตกรรม Preventive (การแพทย์เพื่อการป้องกัน) สู่การใช้ Green Medicine ให้เข้ามามีบทบาทในการป้องกัน การเกิดโรคให้มากที่สุด และทางพานาซีของเราก็คิดว่าการพัฒนาในครั้งนี้เราเริ่มจาก 2 โรคร้ายที่มีสถิติการคร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดนั่นคือ โรคมะเร็ง และโรคนอนไม่หลับ”

โรคมะเร็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด คนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งปีละ 130,000 คน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ชั่วโมงละ 2 คน จึงทำให้พานาซีมุ่งมั่นใช้ศาสตร์การแพทย์แผนใหม่ ป้องกัน ดีกว่าแก้ไข เพื่อหาสิ่งที่ป้องกัน หรือยับยั้งความผิดปกติของเซลล์ นั่นคือ Green medicine หรือ ยาสีเขียว สารจากพืชที่ประเทศไทยของเรามี ไม่ว่าจะเป็น ขมิ้นชัน หรือ สาร CBD จากต้นกัญชง ผนวกกับนวัตกรรมการสกัดให้มีประสิทธิภาพดูดซึมได้อย่างดี และขั้นตอนของการรักษา แบบ Integrative herbs and cannabis cancer treatment คือการนำเอาข้อดีของการรักษาแบบตะวันตก เข้ามารักษาร่วมกับการรักษาแบบประเทศไทย Cancer center จึงถูกเปิดขึ้นเพื่อ ตอบโจทย์ ความต้องการของตลาด และความเข้าใจในความต้องการของผู้ป่วยมะเร็งอย่างดีที่สุด
โรคนอนไม่หลับ โรคเรื้อรังอีกโรคที่พานาซีเล็งเห็นความสำคัญ คนไทย 19 ล้านคน ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ถึงร้อยละ 30 – 40 ของประชากร และที่น่าห่วงยิ่งกว่านั้นคือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ ยังไม่ทราบว่าตัวเองป่วย จึงขาดความเข้าใจในการเยียวยารักษาอาการ และส่วนใหญ่ ยังคงหายาทานเอง หรือนำยานอนหลับมาทานแบบไม่ได้ปรึกษาแพทย์ จึงทำให้เกิดภาวะการติดยานอนหลับโดยไม่จำเป็น เวิล์ด เมคิคอล อัลไลแอนซ์ จึงเริ่มโครงการ รวมพลคนนอนไม่หลับเพื่อตอบโจทย์ปัญหาเรื้อรังดังกล่าว เพื่อให้คนไทยเข้าใจปัญหา รู้วิธีการบำบัด และที่สำคัญคือแก้ปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นปัญหาหลักของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และเนื่องจากการก้าว เข้าสู่ ปีที่ 12 ของ พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์ และ โรงพยาบาลพานาซี ซึ่งเห็นความสำคัญของสุขภาพ ที่ได้จากการพักผ่อนที่เพียงพอ ทั้งภายในที่เข้มแข็ง และภายนอกที่สวยงาม พานาซีจึงออก บัตรกำนัลสำหรับคนที่มีปัญหาจากโรคนอนไม่หลับ เพื่อฉลองการครบรอบ โดยมี 3 ประเภทคือ

Emerald บัตรมูลค่า 30,000 บาท รับสิทธิ์ 60,000 บาท
Gold บัตรมูลค่า 50,000 บาท รับสิทธิ์ 110,000 บาท
Platinum บัตรมูลค่า 100,000 บาท รับสิทธิ์ 240,000 บาท

ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาการนอนไม่หลับ ภัยเงียบที่มาทำร้ายเราแบบไม่รู้ตัว สามารถลงทะเบียน รับสิทธิ์ได้ตั้งแต่ วันที่ 3 ธันวาคม 2564 – 30 มกราคม 2565 ที่ https://www.panacee.com หรือ พานาซี เมดิคอล เซนเตอร์ โทร. 0-2712-0333, 085-862-3333

ขอขอบคุณที่กรุณาเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์
คุณอุมา จงสิริวิทยา โทร 081-899-5395
คุณสุรีรัตน์ ปานพรม โทร.085-058-9777

พช.เชียงราย ร่วมประชุมเขตตรวจราชการ พร้อมขับเคลื่อนภารกิจกรมการพัฒนาชุมชนไปสู่เป้าหมาย

วันที่ 13 ธ.ค. 2564 เวลา 13.00 น. นายอาทร พิมชะนก ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกรมการพัฒนาชุมชนประจำปีงบประมาณ 2565 ตามข้อสั่งการของอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผ่านระบบ ZOOM Cloud Meetings โดยมีกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย พัฒนาการจังหวัด ผู้อำนวยการกลุ่มงาน และนักวิชาการรับผิดชอบงานตรวจราชการ เขตตรวจราชการที่ 4 กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงคราม) และเขตตรวจราชการที่ 16 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และจังหวัดน่าน)

ในการนี้ นางอำไพ บัวระดก ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยผู้อำนวยการกลุ่มงานทุกกลุ่มงาน และนักวิชาการพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมประชุม ZOOM Cloud Meetings ณ ห้องประชุมสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย

นายอาทร พิมชะนก ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน ได้มอบแนวทางการขับเคลื่อนงานดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดทุกแห่งดำเนินการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.การขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยให้ทุกจังหวัดเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อมูลบุคคล/ครัวเรือนเป้าหมายจาก TPMAP รวมทั้งข้อมูลตกหล่น ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ข้อมูลกลุ่มเปราะบาง ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31ธันวาคม 2564

  1. การพัฒนาพื้นที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบ โคก หนอง นา โมเดล (งบเงินกู้) ขอให้มีการสื่อสารสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานให้เกิดความเข้าใจอันดีกับผู้เกี่ยวข้อง กรณีพบปัญหา ต้องรีบเข้าไปแก้ไข ลงพื้นที่ทันที พยายามอย่าให้เกิดปัญหาร้องเรียน
  2. การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ขอให้ดำเนินการประเมิน ทบทวนสถานะบริษัทประชารัฐรักสามัคคี ตามแบบเกณฑ์และตัวชี้วัดการประเมินโดยเป็นการประเมินร่วมกัน ระหว่างกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ พัฒนาการจังหวัด และนักวิชาการที่รับผิดชอบ รวมทั้งจัดทำร่างแผนพัฒนากิจการบริษัทฯ และแผนพัฒนาเกษตร แปรรูป ท่องเที่ยว โดยการกำหนดเป้าหมาย ภายใต้ศักยภาพและขีดความสามารถของบริษัทตามความเป็นจริง และให้นำผลการประเมินสถานะและร่างแผนฯ เข้าร่วมประชุมวันที่ 23-25 ธันวาคม 2564 ณ อิมแพค เมืองทองธานี โดยเชิญกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ และพัฒนาการจังหวัดเข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง
  3. การติดตามเงินทุนที่อยู่ระหว่างชำระคืนเงินยืมตามสัญญา โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ.) ให้ดำเนินการตรวจสอบสถานภาพปัจจุบันของ กข.คจ. แต่ละหมู่บ้าน ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2564 รวมทั้งติดตาม เร่งรัด หนี้สูญหาย หนี้ค้างชำระ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
    5.การจัดทำระบบ Big Data การพัฒนาชุมชน ให้จังหวัดพิจารณา จัดตั้งกลไก หรือคณะทำงานในการดูแลระบบฐานข้อมูล (มีคำสั่งแต่งตั้งกำหนด บทบาทหน้าที่ชัดเจน) และสนับสนุนการใช้งานแพลทฟอร์มบริการดิจิทัล Click ชุมชน และให้มีการจัดประชุมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับกลไกที่จะขับเคลื่อนการบริหารจัดการและใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลพัฒนาชุมชน
  4. การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (รางวัลเลิศรัฐ) ปี ๒๕๖๕ ให้ดำเนินการคัดเลือกโครงการเพื่อส่งเข้ารับรางวัล (รางวัลเลิศรัฐ)

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงราย ได้รายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินงานตามประเด็นข้อสั่งการ และพร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

BloomingChiangrai #บานสะพรั่งเชียงราย #กรมการพัฒนาชุมชน #CDD #พัฒนาชุมชนเชียงราย

ชมรมช่างภาพการเมืองจัดการแข่งขันโบว์ลิ่งการกุศลเพื่อการศึกษา บุตร – ธิดา ช่างภาพการเมือง ครั้งที่ 12


วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2564 เวลา 10.15 นาฬิกา ณ บลูโอ ริธึม แอนด์ โบว์ล ชั้น 3 เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ปิ่นเกล้า กรุงเทพฯ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาชมรมช่างภาพการเมือง เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันโบว์ลิ่งการกุศลเพื่อการศึกษา บุตร – ธิดา ช่างภาพการเมือง ครั้งที่ 12 โดยมี นายชัยยศ ศิริสวัสดิ์ ประธานชมรมช่างภาพการเมือง กล่าวรายงาน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้รับการสนับสนุนจากท่านผู้ใหญ่ใจดี นำโดย คุณ เมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด ผอ.ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ และช่วยเหลือประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ (BLUE HOUSE),นายบิงลิน วู ประธานบริษัท วีล มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด, ดร.วิชัย ปิยวรรณวงศ์ และ คุณนิภาพรรณ สุวรรณวิสุทธิ์ คุณเจศฎา นันทพูลทรัพย์ กรรมการผู้จัดการและกรรมการ บริษัท มิราเคิล ไบโอโลจิคอล

ชมรมช่างภาพการเมือง ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า 30 ปี โดยเกิดจากการรวมตัวของช่างภาพสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ในสายการเมือง อาทิ รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงต่าง ๆ มีจำนวนสมาชิกประมาณ 300 คน ปฎิบัติหน้าที่ประจำหนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ สำหรับการจัดแข่งขันโบว์ลิ่งการกุศลดังกล่าว ชมรมช่างภาพการเมืองจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปเป็นทุนการศึกษามอบให้กับบุตร – ธิดา ของสมาชิกชมรมช่างภาพการเมือง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกก่อนเปิดภาคเรียน พร้อมทั้งช่วยเหลือสมาชิกและเพื่อนร่วมวิชาชีพช่างภาพสื่อมวลชนที่ตกงานจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตลอดจนดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในการจัดหาอุปกรณ์การเรียนและการกีฬาให้แก่เด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ชมรมช่างภาพการเมือง
จึงได้จัดการแข่งขันภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยจัดการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขัน สมาชิกชมรมฯ และผู้ร่วมงาน ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ เพื่อเป็นการดูแลป้องกันและระมัดระวังไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขึ้น

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงจัดกิจกรรมพิเศษต้อนรับ “วันพ่อแห่งชาติ”

 ชวนคุณพ่อ-คุณลูก ร่วมสนุกลุ้นรับบัตรของขวัญจากร้านไอศกรีม Swensen’s พร้อมรางวัลอื่นๆกว่า 1,000 รางวัล ที่สถานีรถไฟฟ้าดอนเมือง

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงมอบของขวัญในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2564 จัดกิจกรรมพิเศษให้คุณพ่อคุณลูกได้ร่วมสนุกลุ้นรับบัตรของขวัญจากร้านไอศกรีม Swensen’s มูลค่า 200 บาท และรางวัลอื่นๆอีกมากมายกว่า 1,000 รางวัล ที่สถานีรถไฟฟ้าดอนเมือง

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่าเพื่อเป็นการมอบของขวัญให้ผู้โดยสาร เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ และเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว บริษัทจึงได้จัดกิจกรรมพิเศษ ให้คุณพ่อคุณลูกได้ร่วมสนุกกับกิจกกรมส่งเสริมการตลาดสุดพิเศษ ลุ้นรับบัตรของขวัญสุดพรีเมี่ยม ให้คุณลูกพาคุณพ่อไปรับประทานไอศกรีมที่ร้าน Swensen’s จำนวน 300 รางวัล มูลค่า รางวัลละ 200 บาท พร้อมรางวัลอื่นๆมากมายกว่า 1,000 รางวัล

 ตั้งแต่เวลา 8.00 น. เป็นต้นไป ที่สถานีรถไฟฟ้าดอนเมือง ในวันที่ 5 ธันวาคม 2564

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง

รฟฟท. เตรียมเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง 29 พ.ย.64

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เตรียมเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้เปิดทดลองให้ประชาชนได้ใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 เป็นต้นมา

ล่าสุดตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัทเตรียมเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ทั้ง 2 เส้นทาง คือ สายบางซื่อ – รังสิต และ สายบางซื่อ – ตลิ่งชัน ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป

เมื่อเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเชิงพาณิชย์ บริษัทจะปรับเวลาให้บริการจากเดิม 05.30 – 22.00 น. เป็น 05.30 – 24.00 น. ทุกวัน ทั้งวันธรรมดาจันทร์ – ศุกร์ และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ รวมทั้งวันหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนความถี่ในการเดินรถสายบางซื่อ – รังสิต จะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า – เย็น ( 07.00 – 09.30 น. และ 17.00 – 19.30 น. ) จะใช้ความถี่ 12 นาที นอกช่วงเวลาเร่งด่วนจะใช้ความถี่ 20 นาที ส่วนสายบางซื่อ – ตลิ่งชัน จะใช้ความถี่ 20 นาทีตลอดระยะเวลาการให้บริการ

ซึ่งเมื่อปรับความถี่ในการเดินรถจะสามารถเพิ่มจำนวนเที่ยวในการรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มมากขึ้น โดยจากเดิมที่สายบางซื่อ – รังสิต ใช้ความถี่ 15 นาทีในช่วงเวลาเร่งด่วน เช้า-เย็น และ 30 นาที นอกช่วงเวลาเร่งด่วน สามารถเดินรถได้ 88 เที่ยว/วัน เมื่อปรับความถี่จะเพิ่มเป็น 138 เที่ยว/วัน ส่วนสายบางซื่อ – ตลิ่งชัน ใช้ความถี่ 30 นาที ตลอดระยะเวลาให้บริการสามารถเดินรถได้ 64 เที่ยว/วัน เมื่อปรับความถี่จะเพิ่มเป็น 112 เที่ยว/วัน

สำหรับอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงการรถไฟแห่งประเทศไทย กำหนดราคาเริ่มต้นที่ 12 บาท และสูงสุดไม่เกิน 42 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพของประชาชนจากสถานการณ์ในปัจุบันตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และบริษัทยังคงให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยในการใช้บริการของผู้โดยสาร โดยมีการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ดูแล และซ่อมบำรุงเส้นทางเดินรถให้มีความปลอดภัย รวมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ตรวจลาดตระเวนเส้นทางเดินรถอย่างต่อเนื่อง และดำเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระบบรถไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้นบริษัทยังได้จัดกิจกรรมพิเศษต้อนรับการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์รถไฟฟ้าสายสีแดง โดยมอบของขวัญสุดพิเศษ เป็นซองใส่บัตรหนัง พร้อมสายคล้องคอสุดพรีเมี่ยมให้แก่ผู้โดยสาร 1,000 ท่านแรก ที่ซื้อบัตรโดยสารเติมเงินทุกประเภท ( Stored Value Card ) ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ทุกสถานี ( ผู้โดยสารสามารถขอรับได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสาร ซึ่งผู้โดยสาร 1 ท่านสามารถขอรับซองใส่บัตรได้ 1 ชิ้นเท่านั้น )

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข Call Center 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง

อว. จับมือ ป.ป.ส. ใช้ประโยชน์พืชกระท่อม พร้อมเดินหน้าพัฒนาวิจัยและนวัตกรรมใหม่ เพื่อคนไทย

วันนี้ (3 ธันวาคม 2564) นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) การสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมด้วยการวิจัยและนวัตกรรม ณ สำนักงาน ป.ป.ส. (ดินแดง) โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และนายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นพยานความร่วมมือ

ศ.ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยเป็นนโยบายหนึ่ง
ที่ อว. ให้ความสำคัญ ที่ผ่านมามีการนำองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหา และพัฒนาประเทศมาอย่างต่อเนื่อง การลงนามความเข้าใจในการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมด้วยการวิจัยและนวัตกรรมในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญในการนำองค์ความรู้จากการวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อผลักดันให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยใช้การวิจัยและพัฒนาพืชกระท่อมอย่างครบวงจร ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งการพัฒนาด้านวิชาการ และการวิจัยที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและสอดคล้องกับองค์ความรู้และบริบทของพื้นที่ ทั้งนี้ อว. ได้มอบหมายให้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนในการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ภายใต้บันทึกความเข้าใจ “การสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมด้วยการวิจัยและนวัตกรรม” ในครั้งนี้

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ตามที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

ได้ปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์เป็นพืชเศรษฐกิจ ช่วยยกระดับ เพิ่มรายได้และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกร ตลอดจนสร้างเสริมสุขภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน การที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. เข้ามามีส่วนร่วมในการลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการในวันนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับองค์ความรู้ต่อพืชกระท่อมของประเทศไทย โดยจะส่งผลโดยตรง ต่อการกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการเข้ามามีส่วนร่วม ศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนา องค์ความรู้ และนวัตกรรมต่อพืชกระท่อมในระดับ มหาวิทยาลัย อุดมศึกษา และนักวิชาการ หลังจากนี้การทำการวิจัยต่าง ๆ จะสามารถทำได้สะดวกและมีทิศทางมากขึ้น โดย อว. จะเป็นตัวกลาง ในการส่งเสริมด้านงบประมาณ และข้อมูลในการอ้างอิงที่สามารถแลกเปลี่ยนใช้ประโยชน์ระหว่างองค์กร มหาวิทยาลัย และนักวิชาการ ที่วิจัยพืชกระท่อมได้

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวทิ้งท้ายว่า “สำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนาด้านวิชาการ ระบบบริการสุขภาพและการวิจัยที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและสอดคล้องกับองค์ความรู้และบริบทของพื้นที่ ในอนาคตงานวิจัยเหล่านี้ ประชาชนจะสามารถนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ต่อยอด สามารถใช้ได้ในหลากหลายมิติ แต่ยังคงอยู่ภายใต้กฎหมาย และนโยบายที่เหมาะสม”

อว.แสดงดนตรีเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9” พร้อมกันทั่วประเทศวันที่ 5 ธันวาคมนี้

มีทั้งเพลงพระราชนิพนธ์ และอีกหลากหลายแนวจากการบรรเลงของนักศึกษา ในพื้นที่กรุงเทพฯ จัดแสดงถึง 15 วัน พร้อม “รวมพลัง ทำความดีถวายพ่อหลวง” เช้าของวันที่ 5 ธ.ค. กิจกรรม “Clear and Clean” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า อว.จะจัดกิจกรรมการแสดง “ดนตรี อว.เทิดพระเกียรติ 5 ธันวาคม 2564” เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร รวมถึงส่งมอบความสุขให้คนไทยทั่วประเทศผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ เพลงไทยเดิม เพลงพื้นบ้านและอีกหลากหลายแนวเพลง โดยฝีมือการบรรเลงของนิสิต นักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ทั้งในรูปแบบวงซิมโฟนี ออร์เคสตร้า วงดนตรีสากล วงดนตรีไทยและวงดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งจะเริ่มบรรเลงพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 5 ธ.ค. เวลา 17.00 น. ในพื้นที่ 48 จังหวัด กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค

รมว.อว.กล่าวต่อว่า ที่พิเศษคือ ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะมีการจัดแสดงดนตรีต่อเนื่องเป็นระยะเวลาถึง 15 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 5 -19 ธ.ค. โดยในวันที่ 5-7 ธ.ค. จะจัดแสดงที่ลานพาร์คพารากอน วันที่ 8-12 ธ.ค. จัดแสดงที่ไอคอนสยามริเวอร์พาร์ค และวันที่ 13-19 ธ.ค. จัดแสดงที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งทั้ง 3 แห่งถือเป็นพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางและทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดจะจัดแสดงเฉพาะวันที่ 5 ธ.ค. ทั้งในพื้นที่ของทางมหาวิทยาลัยและพื้นที่ชุมชนของทางจังหวัด เช่น จ.อุดรธานี จัดที่ เวทีกลาง ทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี จัดที่ เฮือนกำนัน อุทยานศิลปวัฒนธรรมอีสานและลุ่มน้ำโขง ม.อุบลราชธานี จ.ลำปาง จัดที่ ข่วงวัฒนธรรม สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มรภ.ลำปาง จ.พิษณุโลก จัดที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ม.นเรศวร จ.สุราษฎร์ธานี ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และ จ.ปัตตานี ที่ลานการแสดงริมแม่น้ำปัตตานี เป็นต้น

“การจัดการแสดงดนตรีในครั้งนี้ ซึ่ง อว. โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดขึ้น เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ชาว อว. ทั้งสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง หน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของ อว. ผนึกกำลัง เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ไม่เพียงแต่ทางด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แต่ยังทรงเป็นศิลปินผู้เพียบพร้อมด้วยพระปรีชาสามารถในการสร้างสรรค์ศิลปะด้านดนตรี และเป็นองค์บรมราชูปถัมภกทางดนตรีอีกด้วย ทรงส่งเสริมทั้งดนตรีไทยและสากล และมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ศิลปินดนตรีอย่างทั่วหน้า อันเป็นประโยชน์นานัปการแก่สังคม และประชาชนชาวไทย สมดังที่พสกนิกรชาวไทยน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “อัครศิลปิน”” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว นอกจากนี้ อว. ยังมีการจัดกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆ และสถาบันอุดมศึกษาในกำกับ อว. ทั่วประเทศมาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่ ภายใต้ “อว.รวมพลัง ทำความดีถวายพ่อหลวง” โดยในช่วงเช้าของวันที่ 5 ธ.ค. ผู้บริหารและบุคลากรของ อว. จะมาร่วมทำกิจกรรม “Clear and Clean” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ