‘เขตใหม่สยงอัน’ สร้างโมเดลชุมชนทันสมัย บริการครบ เทคโนโลยีล้ำ

ผู้คนเลือกอาหารภายในโรงอาหาร AI อัจฉริยะของชุมชนเหวินหัว ในเขตใหม่สยงอัน (ซินหัว)

เขตใหม่สยงอัน ในมณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อกระจายภารกิจที่ไม่จำเป็นออกจากกรุงปักกิ่งเมืองหลวงของประเทศ เดินหน้าพัฒนาบริการสาธารณะอัจฉริยะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ย้ายถิ่นมาอยู่อาศัย

อุปกรณ์ให้บริการด้านสุขภาพภายในโรงอาหารอัจฉริยะของชุมชนเหวินหัว เขตใหม่สยงอัน (ซินหัว)

ที่ชุมชนเหวินหัวในเขตใหม่สยงอัน โรงอาหารอัจฉริยะขับเคลื่อนด้วย AI เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของรูปแบบการบริโภคยุคใหม่ ผู้ใช้บริการสามารถชำระเงินได้อย่างราบรื่นด้วยระบบจดจำใบหน้าเชื่อมโยงข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมด้วยอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถชั่งน้ำหนัก ติดตามปริมาณแคลอรี่ รายงานสถานะสุขภาพโดยละเอียด และให้คำแนะนำด้านโภชนาการเฉพาะบุคคล

เด็กๆ รับประทานอาหารหลังเลิกเรียนที่โรงอาหารชุมชนชุนหมิงเป่ย ในเขตใหม่สยงอัน (ซินหัว)

ด้านชุมชนชุนหมิงเป่ยในเขตรงตง มีโรงอาหารชุมชนที่ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ด้วยการจัดอาหารเย็นราคาย่อมเยาให้แก่เด็กนักเรียน ส่วนโรงอาหารชุมชนหนานเหวินอิ๋งในพื้นที่เดียวกันมีส่วนลดแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไป

ผู้คนรับประทานอาหารที่โรงอาหารชุมชนหนานเหวินอิ๋ง ในเขตใหม่สยงอัน (ซินหัว)

นอกจากโรงอาหารแล้ว ร้านหนังสือและซูเปอร์มาร์เก็ตชุมชนยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้อยู่อาศัย เขตใหม่สยงอันยังคงมุ่งสร้างชุมชนที่เป็นระเบียบ เป็นมิตร และใส่ใจทุกรายละเอียด ผ่านบริการสาธารณะที่ครบครันและมีประสิทธิภาพ

พนักงานจัดเรียงหนังสือภายในร้านหนังสือของชุมชนเหวินหัว ในเขตใหม่สยงอัน (ซินหัว)

ผู้คนเลือกซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตของชุมชนเหวินหัว ในเขตใหม่สยงอัน (ซินหัว)

ที่มา People’s Daily Online

ททท. ชวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติร่วมชมและเชียร์กีฬา “ซีเกมส์ ครั้งที่ 33”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าหนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน “ซีเกมส์ ครั้งที่ 33” ของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 9–20 ธันวาคม 2568 ร่วมเติมเต็มช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ ผนึกกำลังสร้างกระแสเชิงบวกและปลุกบรรยากาศท่องเที่ยวในประเทศคึกคัก พร้อมเปิดตัว SEA Games Travel Guide และเทมเพลตเชียร์ซีเกมส์ เชื่อมประสบการณ์ชมกีฬากับการท่องเที่ยวไทยอย่างสร้างสรรค์ ตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในการร่วมชมและเชียร์การแข่งขันซีเกมส์ในประเทศไทย

นางสาวฐาปนีย์  เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568 ถือเป็นมหกรรมกีฬาระดับภูมิภาคที่สะท้อนศักยภาพและพลังสร้างสรรค์ของคนไทย ขณะเดียวกันยังคงรักษารากเหง้าและเสน่ห์ความเป็นไทยไว้อย่างงดงาม ในโอกาสสำคัญนี้ ททท. ขานรับนโยบายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้การสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์การแข่งขันซีเกมส์ โดยมุ่งเชื่อมโยงมิติการท่องเที่ยวเข้ากับบรรยากาศการแข่งขัน เพื่อสร้างกระแสความสนใจ และส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยวสู่พื้นที่จัดการแข่งขัน โดยจัดทำคู่มือท่องเที่ยวช่วงซีเกมส์ (SEA Games Travel Guide) พร้อม QR Code เชื่อมโยงสู่ Google Maps Saved Places รวมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดที่จัดการแข่งขัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติวางแผนการเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 ชุด

ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล และชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ทั้งยังสร้างสีสันและเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ด้วยการจัดทำเทมเพลตเชียร์ซีเกมส์ในรูปแบบฟิลเตอร์ผ่านอินสตาแกรม (Instagram Filter SEA Games) ผสานองค์ประกอบการเชียร์กีฬาและเอกลักษณ์การท่องเที่ยวไทย โดยผู้สนใจสามารถใช้งานได้ผ่าน Instagram: 1672TravelBuddy ในหน้าไฮไลต์ ตลอดจนเผยแพร่วิดีทัศน์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยในศูนย์สื่อมวลชน เพื่อให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สื่อข่าวที่ร่วมทำงานในพื้นที่จัดแข่งขัน รวมถึงประชาสัมพันธ์การแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ผ่าน KOLs และอินฟลูเอนเซอร์ และผลิตคอนเทนต์ประชาสัมพันธ์เหล่านักกีฬาฮีโร่ของไทย เพื่อร่วมส่งกำลังใจและสร้างกระแสเชิงบวกสู่สังคมในวงกว้าง

ททท. ยังได้จัดกิจกรรมต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่คณะนักกีฬาจากประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่เดินทางเข้ามาร่วมการแข่งขันในประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ  รวมถึงการตั้งบูทประชาสัมพันธ์ในพิธีเปิดการแข่งขัน เพื่อสร้างบรรยากาศคึกคักและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ชม โดยนำเสนอคู่มือท่องเที่ยวช่วงซีเกมส์ ข้อมูลแนะนำ 60 แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเจ้าภาพ  และกิจกรรม Instagram Filter SEA Games เพื่อรับพัดที่ระลึก Amazing Thailand พร้อมกันนี้ ททท. ขอเชิญชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9–20 ธันวาคม 2568 ร่วมส่งแรงใจให้ทัพนักกีฬาจาก 11 ประเทศ  และมาร่วมสร้างประสบการณ์ ความประทับใจ และภาพจำครั้งใหม่ของอาเซียนไปด้วยกัน

การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งนี้ นอกจากความยิ่งใหญ่ที่มีนักกีฬาจาก 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม และความน่าตื่นตาตื่นใจของการแข่งขัน 50 ชนิดกีฬา 3 กีฬาสาธิต และมีการชิงชัยเหรียญรางวัลมากถึง 574 เหรียญทองแล้ว สำหรับพิธีเปิดการแข่งขัน ในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพฯ ได้รับการออกแบบอย่างสมศักดิ์ศรี สะท้อน “ความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งภูมิภาค” (WE ARE ONE) เชื่อมโยงทุกรายละเอียดและทุกโชว์เข้าด้วยกัน สื่อถึง “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน” (Together) “ความเป็นที่หนึ่ง” (Victory) และ “การเริ่มต้น” ที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าและพลังแห่งความร่วมมือของอาเซียนในอนาคต

การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 นับเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับศักยภาพ

การท่องเที่ยวในหลายมิติ ไม่เพียงเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ด้านกีฬา แต่ยังเป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายในที่พัก ร้านอาหาร ยานพาหนะ การชอปปิง และกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในจังหวัดเจ้าภาพและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งยังช่วยสร้างความตื่นตัวให้กับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศการแข่งขันระดับภูมิภาค ตอกย้ำศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของ Sports Tourism ที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างยั่งยืน

มหากุศลครั้งใหญ่! โรงครัวเคลื่อนที่ “เจ้าคุณน้อย” ลงพื้นที่ศรีสะเกษ

มหากุศลครั้งใหญ่! โรงครัวเคลื่อนที่ “เจ้าคุณน้อย” ลงพื้นที่ศรีสะเกษ   ร่วมกับ​ คณะจิตอาสา​   อพปร.​ กรุงเทพมหานคร​   ช่วยเหลือชาวกันทรลักษ์​  กลางวิกฤต โรงครัวเคลื่อนที่ “เจ้าคุณน้อย” ตั้งหน่วยประกอบอาหารช่วยเหลือผู้ประสบเหตุใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

กองทุนบุญนิธิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดอินทรวิหาร พระอารามหลวง บางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร ได้เปิดโรงครัวเคลื่อนที่ “เจ้าคุณน้อย” ลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือประชาชน ณ ศูนย์กลางอพยพ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อประกอบอาหารส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่แนวหน้า ทหาร ตำรวจ อาสากู้ภัย ตลอดจนประชาชนผู้ประสบเหตุและผู้อพยพในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีจิตอาสาและคณะสงฆ์ร่วมแรงร่วมใจจัดเตรียมอาหารร้อน พร้อมกระจายสู่จุดปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชน

ทั้งนี้ คณะกองทุนบุญนิธิขออำนาจบุญกุศลและบารมีครูบาอาจารย์ ช่วยคุ้มครองทหารกล้าและประชาชนทุกคนให้ปลอดภัยตลอดเหตุการณ์ และขออนุโมทนาผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมสนับสนุนภารกิจทุกท่าน ให้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรงถ้วนหน้า

@… ประชาชนสามารถ​  ร่วมสนับสนุน​  โรงครัว​เคลื่อนที่​เจ้าคุณ​น้อย​  บริจาค​  ข้าวสารอาหารแห้ง​   เครื่องปรุง​ ต่างๆ​  ได้ที่​ เจ้าคุณน้อย​   เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร​ บางขุนพรหม​  พระนคร​  กทม.​   สะพานพระราม​ 8   โดยตรง

 เชิญร่วมสนับสนุน​  ข้าวสาร​  อาหารแห้ง​  น้ำมันพืช​    เครื่องปรุงต่างๆ​   ได้ที่​  วัดอินทรวิหาร​ พระอาราม​หลวง​  บางขุน​  พระนคร​  กรุงเทพ​ฯ หรือ​ ที่​ กองทุน​ บุญ​นิธิ​สมเด็จพระ​พุฒาจารย์​ (โต​ พรหม​รังสี)​   เลขที่บัญชี​ 070​ 028 3633

.

“สุวิชยา” คว้าทัวร์การ์ดแอลพีจีเอ 2026

“ฮัท” สุวิชยา วินิจฉัยธรรม นักกอล์ฟสาววัย 19 ปี จากจังหวัดขอนแก่น คว้าทัวร์การ์ดเล่นแอลพีจีเอ ทัวร์ ฤดูกาล 2026 หลังจากจบอันดับ 24 ร่วม ในการแข่งขันคัดเลือก แอลพีจีเอ คิว-ซีรีส์ ไฟนอล ควอลิฟายอิง สเตจ ที่รัฐแอละแบมา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2568 ซึ่งเธอจะเป็นสมาชิกในฐานะรุกกี้

การแข่งขันแอลพีจีเอ คิว-ซีรีส์ ไฟนอล ควอลิฟายอิง สเตจ ที่แม็กโนเลีย โกรฟ กอล์ฟ คอร์ส เมืองโมบิล รัฐแอละแบมา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 4-8 ธันวาคม 2568 แต่ด้วยปัญหาสภาพอากาศต้องเลื่อนไปเล่นจบในวันที่ 9 ธันวาคม และลดจำนวนรอบจาก 5 รอบ 90 หลุม เหลือ 4 รอบ 72 หลุม

สุวิชยา วินิจฉัยธรรม กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ทำสกอร์รอบสี่ 4 อันเดอร์พาร์ 68 ในการเล่นที่ ครอสซิง คอร์ส สกอร์รวม 5 อันเดอร์พาร์ 281 จบอันดับ 24 ร่วม คว้าทัวร์การ์ดเข้าเป็นสมาชิกแอลพีจีเอ ทัวร์ ในปี 2026 ประเภท 15 (Category 15)

นักกอล์ฟสาวจากจังหวัดขอนแก่นเทิร์นโปร เมื่อได้เข้าแข่งขันแอลพีจีเอ คิว-ซีรีส์ ไฟนอล ควอลิฟายอิง สเตจ ตามกฏของแอลพีจีเอ เมื่อนักกอล์ฟเข้าสู่สเตจสุดท้าย จะต้องเป็นนักกอล์ฟอาชีพ

ผลงานในรายการแอลพีจีเอ เคยได้ร่วมแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ จบอันดับ 18 ร่วม เมื่อปี 2024 ส่วนผลงานการเล่นให้กับทีมมหาวิทยาลัยโอเรกอนนั้น คว้าแชมป์ รายการ อลิซ แอนด์ จอห์น วอลเลซ วีเมนส์ กอล์ฟ คลาสสิก (Alice and John Wallace Women’s Golf Classic) ปี 2025 และเข้าร่วมแข่งขันรายการสมัครเล่นหญิง ออกัสตา เนชันแนล วีเมนส์ อเมเจอร์ (Augusta National Women’s Amateur) ปี 2025

ส่วน “ว่าน” จารวี บุญจันทร์, “อาโป” ชลชีวา วงษ์รัศม์, “เจนนี่” ณภัทร เลิศศาสตร์วัฒนา และ “ต่าย” วรพิชชา อนุดิษฐ์ จะได้สิทธิ์สมาชิกของเอปสัน ทัวร์ ประเภท C (Category C)

หลังจบการแข่งขันรอบสุดท้ายมีนักกอล์ฟได้ทัวร์การ์ดเข้าไปเล่นในแอลพจีเอปี 2026 จำนวน 31 คน โดยมีรุกกี้หน้าใหม่ จำนวน 17 คน

เครดิตภาพ: LPGA

ทีมกอล์ฟไทยพร้อมชิงชัยซีเกมส์ “นายกฯ รังสฤษดิ์” กำชับนักกีฬาโชว์ฟอร์มดีที่สุด

นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ นายกสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทยฯ เดินทางให้กำลังใจทีมกอล์ฟไทยชุดลุยศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ จ.ชลบุรี ก่อนลงแข่งขันระหว่างวันที่ 11–14 ธันวาคมนี้ โดยปีนี้มีชิงชัยทั้งหมด 4 เหรียญทอง ได้แก่ ประเภทบุคคลชาย, บุคคลหญิง, ทีมชาย และทีมหญิง

นายกสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “ขณะนี้ทีมกอล์ฟไทยมีความพร้อมเต็มร้อย หลังเก็บตัวและปรับตัวกับสนามแข่งขันใหม่มาตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา จากที่ติดตามการฝึกซ้อม นักกีฬามีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะสถิติการพัตต์ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เหลือเพียงการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในวันแข่งขันจริง”

ทางด้านหัวหน้าผู้ฝึกสอน “โปรปุ๋ย” ปรีชา เสนาพรหม เปิดเผยว่า “ทีมมีความมั่นใจเต็มร้อยเช่นกัน โดยชี้ว่าจุดแข็งอยู่ที่การอ่านและเล่นลูกบนกรีน ซึ่งขึ้นชื่อว่าท้าทายที่สุดของสนามนี้ เราอยู่ฝึกซ้อมกันมาสองเดือน สถิติพัตต์ดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ต้องระวังคือเกมรอบกรีน เป้าหมายของเราคือคว้าให้ได้ทั้ง 4 เหรียญทอง” โปรปุ๋ยกล่าว

ขณะที่ “ฟีฟ่า” พงศภัค เหล่าภักดี แชมป์เอเชีย–แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ 2025 เปิดใจว่า “แม้เพิ่งกลับมาร่วมทีม แต่มีความคุ้นเคยกับสนามเป็นอย่างดี พยายามไม่กดดันตัวเอง และจะเล่นให้ดีที่สุดครับ”

สำหรับศึกซีเกมส์ครั้งนี้ สมาคมฯ ส่งนักกอล์ฟร่วมแข่งขัน 7 คน ได้แก่ “ฟีฟ่า” พงศภัค เหล่าภักดี, “วิน” ธนวินท์ ลี, “โอโน่” วรุตม์ บุญรอด, “แอนฟิลด์” ปรินทร์ สารสมุทร, “ปริม” ปริม ปราชญ์นคร, “ฝ้าย” พิมพ์พิศา รับรอง และ “นัจ” กฤตชัญญา เก้าพัฒนสกุล โดยมี “โปรปุ๋ย” ปรีชา เสนาพรหม ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน ซึ่งการแข่งขันจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11–14 ธันวาคม 2568 ณ สนามสยามคันทรีคลับ โรลลิ่งฮิลล์ จ.ชลบุรี

.

“ไทย–กาตาร์” กระชับสัมพันธ์ครั้งประวัติศาสตร์ เตรียมเดินหน้าทำ MOU หลังห่างหายกว่า 45 ปี

คณะกลุ่มมิตรภาพฯ ไทย–กาตาร์เข้าหารือรองประธานสภาที่ปรึกษากาตาร์ เดินหน้าความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งพลังงาน–เศรษฐกิจ–สาธารณสุข พร้อมผลักดัน MOU ให้เกิดขึ้นในการประชุมสมัยหน้า

นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และประธานกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาไทย–กาตาร์ เปิดเผยถึงผลการเดินทางเยือนประเทศกาตาร์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารกลุ่มมิตรภาพฯ ซึ่งประกอบด้วยทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา โดยได้เข้าพบ ดร.ฮัมดา บินต์ ฮัสซาน อัล-ซุลัยติ รองประธานสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐกาตาร์ และสมาชิกกลุ่มมิตรภาพกาตาร์–เอเชีย เพื่อหารือแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในระดับรัฐสภาอย่างรอบด้าน

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ระหว่างการหารือ ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองชาติ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านพลังงาน เศรษฐกิจ การศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาสังคมในมิติต่าง ๆ พร้อมเห็นพ้องร่วมกันว่า ควรเร่งผลักดันให้มีการจัดทำ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสองสภาในอนาคตอันใกล้ เพื่อยกระดับความร่วมมือให้ก้าวหน้าเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ รองประธานสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐกาตาร์ยังกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาทั้งสองฝ่าย ที่มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือในเวทีพหุภาคี เช่น การประชุม APA ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพภูมิภาค พร้อมตอบรับคำเชิญจากฝ่ายไทยให้เดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสต่อไป เพื่อขยายการหารือในประเด็นที่สนใจร่วมกัน

“การเยือนครั้งนี้ถือเป็นการสานต่อภารกิจสำคัญจากการเยือนกาตาร์ของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นคณะระดับสูงชุดแรกที่เดินทางไปก่อนหน้านี้ ทำให้กลุ่มมิตรภาพฯ ไทย–กาตาร์เป็นคณะลำดับที่สองที่ได้เชื่อมสัมพันธ์เชิงลึกกับฝ่ายกาตาร์ โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเปิดกว้างต่อความร่วมมือในอนาคต”นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

สำหรับ ด้านสาธารณสุข นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ไทยมีศักยภาพโดดเด่นและสามารถใช้เป็นจุดขายสำคัญ เนื่องจากชาวกาตาร์นิยมเดินทางมารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลชั้นนำของไทยจำนวนมากกว่า 40,000 คนต่อปี  นอกจากการรักษาแล้ว ครอบครัวของผู้ป่วยยังใช้โอกาสนี้ท่องเที่ยวภายในประเทศไทย ทำให้เกิดรายได้ต่อเนื่องในภาคท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งรัฐบาลไทยสามารถต่อยอดเพื่อเพิ่มรายได้และขยายฐานตลาดได้เป็นอย่างดี เพราะถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง

ในด้านการเกษตร ก็มีช่องทางความร่วมมืออีกมาก เนื่องจากกาตาร์มีข้อจำกัดด้านพื้นที่เพาะปลูกเพราะเป็นประเทศทะเลทราย หากไทยสามารถเปิดตลาดสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นให้กับกาตาร์ได้ จะเป็นประโยชน์กับทั้งภาคเกษตรและเศรษฐกิจไทยโดยตรง

อย่างไรก็ตาม การเดินทางเยือนกาตาร์ครั้งนี้นับเป็น “ก้าวแรกในรอบ 45 ปี” ที่จะปูทางไปสู่การลงนาม MOU อย่างเป็นทางการในการประชุมสมัยหน้า อันจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือทุกมิติระหว่างสองประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

ชายแดนอีสานเดือดรบตลอดแนว!ปืนใหญ่เขมรถล่มฐานอนุพงศ์-เอฟ 16 ทิ้งบอมบ์ตอบโต้

กัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทยก่อน ถล่มหลายจุด ทัพภาค 2 ยันตอบโต้ตามหลักสากล ปกป้องอธิปไตยไทย พร้อมเปิดไทม์ไลน์ทหารกัมพูชายิงไทยช่วงเช้ามืดหลาย พื้นที่เข้ามาฝั่งไทย

เมื่อเวลา 06.50 น.วันที่ 8 ธ.ค. 68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงถล่มทหารไทยที่ห้วยตามาเรีย โดยฝ่ายไทยได้ยิงตอบโต้ตามกฎการปะทะสากล ทั้งนี้ในพื้นที่ยังมีการยิงตอบโต้ต่อเนื่อง

สำหรับไทม์ไลน์ทหารกัมพูชารุกหนักยิงใส่ไทยต่อเนื่องช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาในหลายพื้นที่

เมื่อเวลา 05.05 น. ในพื้นที่ช่องอานม้า ทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนเล็กยาวยิงเข้า ใส่ฝ่ายไทย ในพื้นที่ตำรวจตระเวนชายแดน 793 (ตชด.793)

จากนั้น 05.11 น. พื้นที่ช่องอานม้าแดนไกล ทหารกัมพูชาได้ยิงปืนเล็กยาว
เพิ่มอีก 3 นัด

เวลา 05.21 น. ที่ฐานรากหญ้า เจ้าหน้าที่ทหารไทยได้ตรวจพบโดรน 2 ลำจากฐานแดนไกล

เวลา 05.23 น. พื้นที่ตลาดช่องอานม้า ทหารกัมพูชายิงปืนกล 1 ชุดใส่ฝ่ายไทย

เวลา 05.24 น. ฐานปฏิบัติการเจนศึกทำการยิงตอบโต้ป้องกันตัวตามหลักสากล ด้วยปืนกลจำนวน 1 ชุด ใส่ตลาดช่องอานม้า

เวลา 05.30 น. ฐานแดนไกล ตะวันออกทหารกัมพูชาทำการยิงปืนกลใส่ฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง

เวลา 05.36 น. ฝ่ายไทยได้ทำการยิง ป้องกันตัว ตอบโต้ไปแล้วแต่ไม่มีการยิงตอบโต้กลับ

เวลา 05.57 น. รากหญ้าตรวจพบทหารกัมพูชาจำนวน 50 นายเดินเท้าจากกาสิโนขึ้นเนิน 677

เวลา 06.00 น. พื้นที่ห้วยบอน ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กใส่ฝ่ายไทย 5 นัด

เวลา 06.07 น. พื้นที่ฐานต้นมะนาว และฐานห้วยบอน ทหารกัมพูชาได้ยิงปืน ค.ใส่ฝ่ายไทย พื้นที่ละ 1 นัด รวม 2 นัด

เวลา 06.11 น. มีกระสุน ค.ตกบริเวณบ่อดินหลังตลาดไท จำนวน 1 นัด

เวลา 06.17 น. เจนศึกตอบโต้ฝ่ายทหารกัมพูชาด้วย ค.60 ตามสัดส่วนหลักสากล

เวลา 06.23 น. มีกระสุน ค.ตกที่มั่น 3 ฐานริมผา

กองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า มีการปะทะกันพื้นที่ช่องอานม้า , เนิน 677, ห้วยตามาเรีย , พื้นที่คนา , ปราสาทตาเมือน สถานการณ์ในพื้นที่ยังติดพันการรบ รายละเอียดจะรายงานให้ทราบต่อไป กองทัพภาคที่ 2 ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มกำลัง

“กองทัพภาคที่ 2” แจ้งว่า เมื่อเวลา 08.30 น. กัมพูชาทำการยิงด้วยBM-21 ลงพื้นที่บ้านเรือนประชาชนฝั่งไทย บ้านสายโท 10 อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ยังไม่ได้รับรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย กองทัพจะปกป้องประชาชนและอธิปไตยเต็มกำลัง

จากผลกระทบการสู้รบกันตามบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ หลังพบว่าเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ได้มีเสียงกระสุนปืนใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวไกลถึง อ.ประโคนชัย อ.พลับพลาชัย ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา มากกว่า 30 กิโลเมตร

โดยพบว่าที่บริเวณตลาดสดเช้า ที่จำหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง และอาหารแปรรูป ในเขตเทศบาลเมืองประโคนชัย อ.ประโคน จ.บุรีรัมย์ ขณะที่ประชาชนกำลังเดินจับจ่ายเลือกซื้อสินค้า และพ่อค้าแม่ค้ากำลังขายสินค้าอยู่นั้น ในช่วงเวลาประมาณ 07.00 น. ได้ยินเสียงดังคล้ายปืนใหญ่ดังขึ้นเป้นระยะๆ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าหลายราย ต้องเร่งทยอยเก็บร้านเร็วกว่ากำหนดที่ตลาดจะวายในช่วงเวลาประมาณ 08.00 น. เพื่อรีบกลับบ้านและเตรียมพร้อมอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย

 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” ได้โพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมระบุว่า “ด่วน! เวลา 08:09น. น. ทหารเขมรลงคลิปโอดครวญ F-16 ไทยทิ้งไข่ถล่มคาสิโน่จนพังราบในพื้นที่ช่องอานม้า อย่างไรก็ตามฝ่ายไทยได้ตรวจพบ คาสิโน่ดังกล่าวถูกกองทัพกัมพูชาใช้เป็นฐานทหารและสถานที่ซุกอาวุธหนัก เพื่อเตรียมใช้โจมตีลึกเข้ามาในดินแดนไทย หวังกระทำต่อพลเรือนไทย”

น้ำทะเลหนุนอลเวง! พระประแดง–พระสมุทรเจดีย์จมบาดาล

สถานการณ์น้ำทะเลหนุนในแม่น้ำเจ้าพระยาทวีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน ระดับน้ำเพิ่มสูงจนเอ่อทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนริมตลิ่งหลายจุด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำใน อ.พระประแดง และ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ชาวบ้านต้องหนีเก็บของขึ้นที่สูงกันจ้าละหวั่น หลายครอบครัวขนของไม่ทัน ปล่อยให้กระแสน้ำไหลบ่ากวาดเอาข้าวของเสียหายไปต่อหน้าต่อตา

ในเขตเทศบาลเมืองพระประแดง ระดับน้ำพุ่งสูงกว่า 60–80 ซม. ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที ร้านค้าในตลาดต้องหยุดขายกะทันหัน บางรายเผยว่า น้ำเข้าท่วมตั้งแต่เช้ามืดและสูงขึ้นต่อเนื่องแบบไม่มีสัญญาณเตือน ช่วงเวลาที่ควรคึกคักกลับกลายเป็นภาพความโกลาหลของพ่อค้าแม่ค้าช่วยกันประคองสินค้าที่ถูกน้ำซัดเสียหาย

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เทศบาลต้องเร่งนำกระสอบทรายวางเป็นแนวป้องกัน เพื่อยื้อไม่ให้น้ำทะลักเข้าสู่เขตเทศบาลเพิ่ม แต่สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

ด้านถนนสุขสวัสดิ์ฝั่งขาออก มุ่งหน้าสามแยกพระสมุทรเจดีย์ ซึ่งเป็นถนน 4 เลน มีน้ำท่วมสูงจนไม่สามารถสัญจรได้ตามปกติ ระยะทางกว่า 5 กิโลเมตรตั้งแต่แยกอู่รถเมล์ ปอ. 138 ไปจนถึงปากซอยสุขสวัสดิ์ 53 รถยนต์หลายคันต้องวิ่งชิดเลนขวาสุดเพื่อหลบน้ำ แต่บางคันไม่รอด เครื่องยนต์ดับกลางทางจนเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องกรูเข้าช่วยเข็นไปที่ปลอดภัย ท่ามกลางการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าอย่างมาก

ถนนสุขสวัสดิ์ฝั่งป้อมพระจุลก็หนักไม่แพ้กัน น้ำทะเลหนุนท่วมตลอดเส้นกว่า 4 กิโลเมตร ตั้งแต่ปากซอยวัดแหลมฟ้าผ่าไปถึงสามแยกพระสมุทรเจดีย์ ระดับน้ำสูงเฉลี่ย 40–60 ซม. รถเล็กจำนวนมากไม่สามารถผ่านได้

ท่ามกลางมวลน้ำสีขุ่น นางพเยาว์ บัวเจริญ อายุ 62 ปี แม่ค้าขายอาหารตามสั่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำบนฟุตบาทริมถนนสุขสวัสดิ์ เล่าเสียงสั่นกับผู้สื่อข่าวว่า ตนขายของบริเวณนี้มานานหลายปี เจอน้ำทะเลหนุนเป็นประจำ แต่ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะรุนแรงจนเกือบเท่าน้ำท่วมใหญ่ปี 54

“เมื่อเช้ามืดฉันลงทุนซื้อของมาเกือบ 2,000 บาท ตั้งใจจะขายให้ลูกค้ากินอิ่มท้องรับเช้าวันใหม่ ที่ไหนได้ น้ำทะเลพุ่งเข้าท่วมร้านแบบไม่ทันตั้งตัว ของในบ้านก็ท่วม ของในร้านก็เสีย ลูกค้าก็ไม่มี จะให้ทำอย่างไร” นางพเยาว์กล่าวทั้งน้ำตาคลอ พร้อมเผยว่าคงต้องหยุดขายอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าน้ำทะเลจะลดระดับลง

จากการตรวจสอบข้อมูลกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ พบว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนครั้งนี้อาจยืดเยื้ออีก 2–3 วันก่อนเข้าสู่ภาวะปกติ หน่วยงานรัฐจึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ริมน้ำเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากต้องการความช่วยเหลือด้านการขนย้ายสิ่งของหรืออุปกรณ์ป้องกันน้ำ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จบด้วยดี!ร้านตำดังยอมจ่ายเยียวยาแสนบาทหลัง หม้อแจ่วฮ้อนชำรุด “ลวกสาหัส”

จบด้วยดี! หม้อแจ่วฮ้อนชำรุด “ลวกสาหัส” ร้านตำดังยอมจ่ายเยียวยา 1 แสนบาท หลังเคยปฏิเสธความรับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ สน.สุทธิสาร นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พาผู้เสียหายที่ถูกหม้อไฟของ “ร้านตำ 20 สาขารัชดา” พลิกคว่ำจนน้ำร้อนลวกขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เข้าเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้บริหารร้าน

ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายได้เข้าร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอด เนื่องจากหม้อไฟมีอุปกรณ์ชำรุด แต่พนักงานยังนำมาเสิร์ฟ และเมื่อเกิดเหตุหม้อไฟพลิกคว่ำ จนทำให้ ลูกค้าบาดเจ็บสาหัส ทางร้านกลับปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยอ้างว่า “ลูกค้าประมาทเอง” ที่สั่งหม้อไฟมากินและใส่ของในหม้อมากเกินไป

ล่าสุด ตัวแทนผู้บริหารร้านตำ 20 คือ น.ส.ศศินิภา ได้เข้าร่วมเจรจา โดยยอมรับว่าข้อความที่พนักงานเคยกล่าวอ้างว่า “ลูกค้าประมาทเอง” นั้นเป็นเพียงการ “สื่อสารที่คลาดเคลื่อน” จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดและถูกสังคมตำหนิ

โดยการเจรจาจบลงด้วยดี ทางตัวแทนกลุ่มผู้บริหาร ร้านตำ 20 ได้กล่าวขอโทษผู้เสียหายและยินดีที่จะเยียวยาทุกอย่าง

 – ค่าสินไหมทดแทน ร้านตกลงยินยอม จ่ายเงินเยียวยารวม 100,000 บาท ตามข้อเรียกร้อง ของผู้เสียหาย นอกจากนี้ยังขอรับผิดชอบ ค่ารักษาพยาบาลจนหายดี รวมถึงค่าชดเชยที่ผู้เสียหายต้องหยุดงาน

ส่วนการชำระเงิน เยียวยา 100,000 บาท ทางร้านได้มอบเงินเยียวยาเบื้องต้นจำนวน 50,000 บาท ในวันเจรจา (6/12/68)และจะชำระส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาท ในวันที่ 5 มกราคม 2569 อีกครั้ง

ไม่อยู่แล้วย!คนชายแดนศรีสะเกษ-สุรินทร์ อพยพพ้นพื้นที่ผวาหนีการสู้รบ

ชาวบ้าน อ.พนมดงรัก และอ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ อพยพออกนอกพ้นที่แล้ว เช่นเดียวกับ อ.กันทรลักษ์และอ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ หลังมือถือส่งสัญญาณเตือนจากแม่ทัพที่ภาค 2 เนื่องจากสถานการณ์ไม่น่าวางใจจาเหตุการณ์แม้ว่าเหตุทหารไทยปะทะเดือดที่”ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษได้ยุติลงแล้วก็ตาม

ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.พบว่ามรสัญญาณเสียงเตือนดังหลายครั้งในโทรศัพท์มือถือของประชาชนในพื้นที่อำเภอติดชายแดนไทย=กัมพูชา พร้อมส่งข้อความเตือน มีใจความว่า”แจ้งอพยพออกนอกพื้นที่การสู้รบ 07-11-2025 16:04:24 น.ขณะนี้เกิดเหตุสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ

ขอให้ผุ้อยู่ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ อ.พนมดงรัก อ.กาบเชิง อ.สังขะและ อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ อพยพออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังพื้นที่พักพิงชั่วคราว หรือพื้นที่ปลอดภัยที่ราชการกำหนดหรือติดต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่และที่ว่าการอำเภอ เพื่อนัดหมายและอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ทางราชการกำหนด  ทั้งนี้ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการในพื้นที่อย่างเคร่งครัด สอบถามรายละเอียด โทร 1784 DDPM”

หลังจากประชาชนได้สัญญาณเตือนดังกล่าว ขณะที่ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ได้ประกาศให้ชาวบ้านเตรียมพร้อม สิ่งของ สำภาระจำเป็นต่างๆไว้ในรถยนต์ หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น ก็พร้อมอพยพออกได้ทันที ซึ่งให้รอคำสั่งจากอำเภอ และผู้นำชุมชนอีกครั้ง ส่วนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการและเด็ก ให้อพยพออกไปก่อนได้เลย

ขณะที่ชาวบ้านปวงตึก ต.ตาตุม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ กำลังมีการประชุมประจำเดือนอยู่ หลังมีข้อความเข้าในโทรศัพท์มือถือ ทางผู้ใหญ่บ้านได้ยกเลิกประชุมทันที และให้ชาวบ้านรีบกลับบ้านไปเตรียมสัมภาระสิ่งของจำเป้นต่างไว้ เพื่อเตรียมพร้อมอพยพ จะประกาศให้ทราบอีกครั้งหากมีคำสั่งให้อพยพ