เสียหายนับแสนล้าน! มหาอุทกภัยหาดใหญ่กระทบประชาชน 8 หมื่นครัวเรือน

ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่แตะ 1 แสนล้านบาท คืบหน้าเรื่องของการฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ทั้งเรื่องของขยะ การช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้าน และเรื่องของความเสียหายด้านเศรษฐกิจของเมืองหาดใหญ่จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่

ดร.กิตติ เรืองเริงกุลฤทธิ์ ปลัดเทศบาลนครหาดใหญ่ เปิดเผยว่า ในส่วนของปัญหาขยะซึ่งประเมินจากกันจัดเก็บทั้งของเทศบาลและหน่วยงานต่างๆขยะท้้งเมืองหาดใหญ่น่าจะมากถึง 1 ล้านตัน และต้องใช้เวลาในการเก็บจนหมดและเข้าสู่ภาวะปกติถึง2เดือน และจนถึงตอนนี้ก็เก็บขยะไปได้เพียง20เปอร์เซ็นของเมืองเท่านั้น

ส่วนเรื่องของการช่วยเหลือประชาชนตอนนี้ทางเทศบาลนครหาดใหญ่ได้จัดตั้งครัวชุมชน ทั้ง103 ชุมชน โดยมอบเงินให้ชุมชนละ 5 หมื่นบาทเพื่อนำไปจัดหาอาหารแจกจ่ายประชาชนบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า

ส่วนทางด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจจะนัดหารือกับทางหอการค้า สมาคมโรงแรมและองค์กรต่างๆ เพื่อรวบรวมปัญหาและแนวทางการช่วยเหลือภาคธุรกิจในเมืองหาดใหญ่ทั้งระบบเสนอต่อรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องของเงินทุนที่จะนำมาตั้งต้นธุรกิจใหม่เช่นเอสเอ็มแอลเพื่อให้หาดใหญ่เดินต่อไปได้

“ถ้าจะให้ประเมินความเสียหายด้านเศรษฐกิจทั้งระบบจากน้ำท่วมครั้งนี้ส่วนตัวคิดว่าน่าจะถึงแสนล้าน เฉพาะแค่รถยนต์ที่จมน้ำอย่างเดียวก็แตะหมื่นล้านยังไม่รวมถึงสถานประกอบการร้านค้าทั้งรายเล็กและรายใหญ่รวมถึงบ้านเรือนของประชาชนในหาดใหญ่ที่มีอยู่ 8 หมื่นครัวเรือน”

บ้านพลังใจ-พลังรัก คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวลูก 4 แต่ครอบครัวแสนอบอุ่น

ครอบครัวของ  “นายวรรณชัย แววนำ” อายุ 48ปี พ่อเลี้ยงเดี๋ยวลูก 4 คนต้นแบบที่หลายๆคนควรเอาแบบอย่างเพราะเป็นทุกๆอย่างแก่ครอบครัวและลูกๆที่ยอมสู้ชีวิต ไม่ท้อแท้  ท้อถอย  อาศัยหน้าบ้านเลขที่ 130 ม.9 ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นของพี่สาวอยู่รับจ้างตัดไม้วันละ 100-200บาท เป็นรายได้ที่มาจากการขายไม้ที่ตัดนำมาขายเป็นไม้ฟืน  นานๆครั้ง ที่ทำรายได้ 1,000 บาท เป็นทุนนำไปเลี้ยงลูกซึ่งมีฐานะยากจนไม่มีบ้านอยู่อาศัยเป็นของตนเอง 

ก่อนหน้านี้นายวรรณชัย อยู่กินกับภรรยามีลูก 5 คน ต่อมาแยกทางกับภรรยาลูกสาวคนโตมีครอบครัวแล้วเหลือลูกชายและลูกสาวซึ่งมีอายุ 8-13 ปี ทำให้กลายเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวลูก 4 ใช้ชีวิตอย่างทรหดอดทุดทุกอย่างอบรมสั่งสอนลูกๆให้รู้จักทำงานบ้านช่วยเหลือตัวเองไม่ให้เป็นภาระของคนอื่นกับข้าวหากเหลือก็จะนำมาอุ่นกินในวันต่อไป

ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือลูกๆได้ของกินก็จะนำกลับมากินที่บ้านเพื่อให้ทุกคนได้กินกันพร้อมหน้าพร้อมตาโดยด.ช.เจริญชัย แววนำ (น้องบอส) อายุ 13 ปี เป็นคนหุงอุ่นข้าว ด.ญ.วิภา แววนำ (น้องปุ๊ก)อายุ 11 ปี กวาดบ้านซักผ้า ด.ช.รุ่งเรือง แววนำ (น้องจอร์จ) อายุ 10 ปี และดช.ไพศาล แววนำ (น้องกี้)อายุ 8 ปี มีหน้าที่เก็บที่นอนทั้งหมดเรียนอยู่โรงเรียนในหมู่บ้าน

นายวรรณชัย บอกว่า   ตนเองแต่งงานมีครอบครัวมีลูกด้วยกัน 5 คน   คนโตเป็นผู้หญิงอายุ 20 ปีมีครอบครัวแล้ว  ต่อมาได้แยกทางกับภรรยาตนเองกับลูกได้อาศัยหน้าบ้านของพี่สาวอยู่ไม่มีบ้านเป็นของตัว  มีอาชีพรับจ้างทั่วไปทุกวันจะออกไปหารับจ้างตัดไม้ยูคาฯ  หรือไม้ตามหัวไร่ปลายนาที่มีเพื่อนบ้านต้องการให้เลื่อยไม้ออกจากที่ หลังตัดต้นไม้ตามที่เจ้าของต้องการ เจ้าของไม้จะให้เอาไปขายพอได้เงินครั้งละ100-200 บาท   หรือหากไม้มีเยอะๆก็จะได้เงินค้าขายไม้เพิ่มมากตามตัว 1,000 บาท  แต่นานๆถึงจะได้

ขณะที่รถยนต์คันเก่าๆบรรทุกไม้ไปขายที่ลานรับซื้อไม้ภายในหมู่บ้าน ลูกชายจะไปช่วยงานตัดไม้ทุกวันในช่วงเย็น หรือวันหยุดลูกก็จะไปช่วยหยิบช่วยจับไม้ขึ้นรถ ส่วนลูกสาวก็จะทำงานบ้านรอพ่อกลับบ้าน ตนเองจะสั่งสอนลูกๆให้เป็นคนดีช่วยเหลือตัวเองไม่ต้องเป็นภาระของคนอื่น ซึ่งลูกๆจะบอกรักทุกวัน ในฐานะที่เป็นพ่อรักลูกๆทุกวัน

โดย…มานิตย์ สนับบุญ-ข่าว/ทองสุข สิงห์พิมพ์-ภาพ/ปราจีนบุรี ###

อส.เดือดไม่พอใจยิ่ง!ถูกคนโตหาดใหญ่ด่า “เอามาทำไม เปลืองข้าวสุก”

ชัยภูมิ— กองอาสารักษาดินแดน (อส.) จากจังหวัดชัยภูมิย้ำทุกคนทำงานด้วยใจ ยันช่วยพี่น้องภาคใต้เต็มสูบ หลังมีผู้ใหญ่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ ไลฟ์สดและโพสต์ข้อความพาดพิง “เอามาทำไม เปลืองข้าวสุก” 

เมื่อวันที่  6 ธันวาคม 2568  กลายเป็นกระแสร้อนบนโลกออนไลน์ หลังมีผู้ใหญ่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไลฟ์สดและโพสต์ข้อความพาดพิงเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน (อส.) จากจังหวัดชัยภูมิ ที่เดินทางลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยมีบางประโยคจี้ใจดำถึงขั้นถามว่า “เอามาทำไม เปลืองข้าวสุก” ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจในหมู่เจ้าหน้าที่ และสร้างแรงตัดพ้ออย่างกว้างขวาง

หมวดตรี ชยารพ ปภาวิกร ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดชัยภูมิ ในฐานะผู้ควบคุมกำลัง อส.เกือบ 100 นาย ที่ออกเดินทางจากชัยภูมิตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้การอำนวยการของ นายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ และ นางสาวกานต์จรัส เอียดทองใส ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดชัยภูมิ (ปัจจุบันเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ) เปิดเผยถึงภารกิจครั้งนี้ว่า อส.ทุกนายเดินทางมาด้วยความตั้งใจจริง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ในอำเภอหาดใหญ่ทันทีหลังสถานการณ์น้ำลด

ตลอด 9 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ อส.ชัยภูมิ ลงพื้นที่ตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น บางครั้งถึงเที่ยงคืน เข้าช่วยทำความสะอาดบ้านเรือนและสิ่งสาธารณประโยชน์ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ซึ่งจนถึงขณะนี้สามารถฟื้นฟูบ้านเรือนประชาชนได้แล้วกว่า 100 หลังคาเรือน

หมวดตรี ชยารพ ยืนยันหนักแน่นว่า “ทุกนายมาด้วยใจ ไม่มีใครถูกบังคับ เรามาช่วยพี่น้องภาคใต้เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เสียงวิจารณ์หรือคำพูดที่บั่นทอนกำลังใจเราไม่อยากให้เกิด แต่ก็พร้อมพิสูจน์ด้วยการทำงาน ว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยจริง ๆ”

เจ้าหน้าที่ระบุว่า แม้จะมีคำพูดที่สร้างความรู้สึกสะเทือนใจ แต่ภารกิจของ อส.ชัยภูมิ จะเดินหน้าต่อจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ พร้อมย้ำว่าไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ใด ๆ นอกจากเห็นพี่น้องชาวใต้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง

มัฆวาน  วรรณกุล  – อารยา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค

.

อลังการ!งาน “อุ้มผางแผ่นดินดอยลอยฟ้า”กระตุ้นท่องเที่ยวรับไฮซีซั่นสู่สายตาชาวโลก

“นายกจอย”- “ผู้ช่วยเฟริ์ส”  เปิดงาน  “อุ้มผางแผ่นดินดอยลอยฟ้า” ส่งเสริมเทศกาลการท่องเที่ยว  ไฮซีซั่ น ประจำปี 2568 .  ประกาศให้ทั่วโลกรับรู้ถึง ศักยภาพอันยิ่งใหญ่และอลังการของ “อุ้มผางดอยลอยฟ้า”

เมื่อค่ำคืนวันที่ 5 ธันวาคม 2568. ที่ผ่านมา นางอัจฉรา ทวีเกื้อกูลกิจ “นายกจอย” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ตาก –นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ “ผู้ช่วยเฟริ์ส”   กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เดินทางมา เป็นประธานเปิดงาน  “อุ้มผางแผ่นดินดอยลอยฟ้า” ส่งเสริมเทศกาลการท่องเที่ยว  ไฮซี่ซั่ น ประจำปี 2568  พร้อมเชิญชวนพี่น้องประชาชนในจังหวัดตาก และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เที่ยวชมงานและความสวยงามของอำเภออุ้มผาง ชมประเพณีพี่น้องชาติพันธุ์    และ อบจ.ตาก

โดย “นายกจอย”  ได้สนับสนุนงบประมาณการจัดงาน จำนวน 150,000 บาท เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่น และการส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดงาน “เทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวแผ่นดินดอยลอยฟ้า” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 9 ธันวาคม 2568 ณ บริเวณตำบลแม่กลองและตำบลอุ้มผางอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก  โดยมีนายมาโนช์ โพธิ์เนียม นายอำเภออุ้มผาง จ.ตาก กล่าวให้การต้อนรับ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ทั้งตำรวจ-ทหาร-ปกครอง-ท่องเที่ยว-รัฐวิสาหกิจ-ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนชาว อ.อุ้มผาง เดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก พร้อมชมขบวนแห่อันอลังการ

นางอัจฉรา ทวีเกื้อกูลกิจ “นายกจอย” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ตาก กล่าวว่า  ขอชอบคุณท่านนายอำเภออุ้มผาง นายกกิ่งกาชาดอำเภออุ้มผาง หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สมาชิกสภาจังหวัดตาก เขตพื้นที่อำเภออุ้มผาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พี่น้องประชาชน ชาวอำเภออุ้มผาง และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน  ตนเองรู้สึกเป็นเกียรติ และยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวแผ่นดินดอยลอยฟ้า” ของอำเภออุ้มผาง  ซึ่งอำเภออุ้มผาง แม้จะเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ในพื้นพื้นที่ท่างไกล อยู่บนพื้นที่สูง แต่มีความยิ่งใหญ่ และน่าสนใจหลายประการ เช่น เป็นอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ สวยงาม ติดระดับ โดยเฉพาะน้ำตกทีลอซู ซึ่งเป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม ลำดับที่ 6 ของของโลก

นอกจากนี้อำเภออุ้มผาง ยังมีวัฒนธรรรมชนเผ่าที่ หลากหลาย มีความรักความสามัคคีปรองดอง ของชาวพื้นเมือง ชนเผ่าปะกาเกอะญอ และเผ่าม้ง ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็นอำเภอที่มีพื้นที่มากที่สุดของประเทศไทย  –  เป็นอำเภอที่อยู่ใกลจากตัวจังหวัดมากที่สุด ถึง  250  กิโลเมตร –  เป็นอำเภอที่เป็นต้นน้ำแม่กลองที่ไหลลงสู่อ่าวไทย ที่อำเภอเมือง สมุทรสงคราม และอุ้มผางเคยมีชื่อว่า อำเภอแม่กลอง เมื่อปี พ.ศ.2441 โดยขึ้นการปกครองกับจังหวัดอุทัยธานี และจังหวัดกำแพงเพชร และต่อม เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภออุ้มผาง ขึ้นการปกครองกับจับจังหวัดตาก มาจนถึงปัจจุบัน และได้ก่อตั้งมาครบ  133  ปี ในปี 2568. นี้ ซึ่งความไม่ไม่ธรรมคานี้เอง ทำให้อุ้มผ่างเป็นอำเภอ ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว ทั้งในพื้นที่จังหวัดตาก และนอกพื้นที่นักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

การจัดงานอุ้มผางแผ่นดินดอยลอยฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น ยังเป็นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แก่ชาวไทยและชาวโลก ได้รู้จักอำเภออุ้มผาง เอกลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณีของชาวอำเภออุ้มผาง ให้แก่นักท่องเที่ยว ได้รู้จัก และประทับใจ ในเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ของชาวปะกาเกอะญอ หรือ ชาวกะเหรี่ยง และชนผ่าพื้นเมืองมังหรือขนเผ่าอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในอำเภออุ้มางอีกทั้งอำเภออุ้มผางมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี ทำให้นักท่องเที่ยวอยาก เดินทางมาสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น การท่องเที่ยวถือว่าเป็นการสร้างรายได้ ให้กับคนอุ้มผางเป็นอย่างมาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวได้เดินทางมาท่องเที่ยว อำเภออุ้มผางตลอด ก่อให้เกิดรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการที่พัก โรงแรม ร้านค้า การขายสินค้าต่างๆ การสร้างงานให้กับ ชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านมีงานทำเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2568  ขอขอบคุณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งในพื้นที่ ที่ร่วมสนับสนุนงบประมาณในการจัดงานในครั้งนี้ ขอบคุณกิ่งกาชาตอำเภอ อุ้มผาง หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สถานศึกษา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งภาคเอกชน ที่สนับสนุนกิจกรรม และที่สำคัญนั้นคือพี่น้อง ประชาชนชาวอุ้มผาง พี่ร่วมแรงร่วมใจ ในการจัดงานครั้งนี้เป็นอย่างดี และกระผมขออวยพร ให้การจัดงานในครั้งนี้ บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ตรงตามวัตถุประสงค์ ของการจัดงานทุกประการ

แม่สอดตึงเครียดสูงสุด!ทัพเมียนมาถล่มเดือดฝ่ายต้านกระสุนปืนหนักตกฝั่งไทยเจ็บ2

ทหาร หน่วย ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร  เข้าควบคุมพื้นที่ชายแดนและ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจาก จากการสู้รบฝั่งเมียนมา   และมีอาวุธปืนหนักมาตกฝั่งไทย

จากการที่ทหารเมียนมา และกองกำลังทหารชนกลุ่มน้อยได้เปิดฉากสู้รบกันที่ชายแดนไทย-เมียนมา ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร โดย พ.อ.ณรงค์ชัย เจริญชัย รองผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร  ,พ.อ.ชนกานต์ แสงศร ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจราชมนู  พร้อมด้วย  ผู้นำหมู่บ้าน และกู้ชีพกู้ภัย เข้าให้การช่วยเหลือ ราษฏรไทย จำนวน 2 ราย ซึ่งได้รับผลกระทบ จาก สะเก็ดกระสุนอาวุธปืนหนักไม่ทราบขนาด ได้ข้ามฝั่งมาตกบริเวณฝั่งประเทศไทย

จากสถานการณ์การสู้รบของทหารเมียนมา และกองกำลังชนกลุ่มน้อย/กลุ่มต่อต้าน พื้นที่ตรงข้าม บ้านแม่โกนเกน ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชายอายุ 68 ปี จำนวน 1 ราย ถูกสะเก็ดเข้าบริเวณหัวไหล่ด้านซ้าย  ทหาร และกู้ภัย ได้ช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาลแม่สอด

ปัจจุบันอาการปลอดภัย และอยู่ระหว่างการรักษา และอีก 1 ราย เป็นชาย อายุ 62 ปี บาดเจ็บเล็กน้อยบริเวณแขนซ้ายถลอก อาการปลอดภัย โดยหน่วยเจ้าหน้าที่ทหารไทย ได้เข้าช่วยเหลือนำส่ง โรงพยาบาล และเข้าเยี่ยมติดตามอาการ พร้อมให้การช่วยเหลือ

หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ได้นำกำลังทหารเข้าควบคุมพื้นที่ เพื่อป้องกันอธิปไตย และดูแลชีวิตและทรัพย์สินคนไทย ตามแนวชายแดนที่บ้านแม่โกนเกนแล้ว

เตรียมจัดใหญ่!เทศกาล “ปลาดุกเผา สะเดาหวาน ปรางค์กู่” กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

นายอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เชิญเที่ยวงานเทศกาลปลาดุกเผา สะเดาหวาน ภายใต้ชื่อโครงการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์และกิจกรรมท่องเที่ยว ปลาดุกเผา สะเดาหวาน ปี 2568

นายสุวรรณ เนตรเนติกุล นายอำเภอปรางค์กู่ ขอเชิญเที่ยวชมงาน เทศกาลปลาดุกเผาสะเดาหวาน อำเภอปรางค์กู่ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 13-15 ธันวาคม 2568 โดยใช้สนามที่ว่าการอำเภอปรางค์กู่เป็นสถานที่จัดงาน เริ่มต้นงานในตอนเช้าจะมีพิธีเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระบรมรูปร 5 ศาลเจ้าแม่โพธิ์ศรี ปู่พรหมจรรย์และศาลหลักเมือง ภายในงานจะมีการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน กิจกรรมแข่งขันจับปลาดุก ชมนิทรรศการร้านค้าชุมชนผลิตภัณฑ์ชุมชนสินค้า OTOP

สุวรรณ เนตรเนติกุล นายอำเภอปรางค์กู่

ไฮไลท์ของงานอยู่ที่ การประกวดทำอาหารเมนูปลาดุกเผาสะเดาหวาน ขอเชิญร่วมพิธีทอดผ้าป่าข้าวเปลือกและพิธีทำบุญหอประชุมหลังใหม่ งานนี้จัดฟรีคอนเสิร์ต เวียง นฤมล  จัดมาให้ชมเต็มวง โดมีนายสุวรรณ เนตรเนติกุล นายอำเภอปรางค์กู่เป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้

สำหรับสะเดาภาคอีสาน (สะเดาไทย) จะออกดอกในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ จังหวัดศรีสะเกษหลายอำเภอ ได้มีชาวบ้านรวมทั้งชาวปรางค์กู่ที่เสร็จจากการจ้างทำนา นำข้าวไปขายใช้หนี้โดยไม่ไปได้ลำเลียงเข้ายุุ้งฉางเพราะจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ยามว่างก็จะออกไปสอยสะเดาตามป่า มาขายให้พ่อค้ารับซื้อในหมู่บ้าน แล้วนำมาเด็ดใบมัดให้เรียบร้อย ส่งขายให้พ่อค้าคนกลางส่งขายต่อไปยังตลาดไท และตลาดสี่มุมเมือง กรุงเทพมหานคร สะเดาหวานอำเภอปรางค์กู่ ได้เปลี่ยนคำกล่าวขาน อำเภอแห้งแล้งไปโดยสิ้นเชิง มาเป็นเมืองสะเดาดก สะเดาหวานในที่สุด

เสนาะ วรรักษ์/รายงาน

ปิดบ้าน “ณัฐวุฒิ ช่อง 8” พฐ.เตรียมค้นละเอียด เรียกคนสนิท 6 คน เค้นสอบปมไซยาไนด์

ตำรวจเร่งไขปริศนา ณัฐวุฒิ นักข่าวช่อง 8 หลังผลชันสูตร พบไซยาไนด์ในกระเพาะอาหาร ตร.เรียกเพื่อนคนตาย 6 คน เข้าสอบปากคำ สั่งปิดล็อกบ้านเตรียม พฐ.เตรียมลงตรวจอีกครั้งพร้อมญาติ

จากกรณีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ตำรวจ สภ.บางกรวย พร้อมแพทย์สถาบันนิติวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่มูลนิธิ เข้าตรวจสอบเหตุผู้เสียชีวิตภายในบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ที่บริเวณห้องนั่งเล่นชั้นล่าง พบศพนายณัฐวุฒิ ปงลังกา อายุ 35 ปี ผู้สื่อข่าวช่องดัง นอนหงายเสียชีวิตอยู่บนผ้าปูที่ปูรองกับพื้น สภาพศพเริ่มคล้ำ สวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงยีนส์ขายาว สวมถุงเท้าและนาฬิกาข้อมือ ตรวจสอบภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือบาดแผลจากการถูกทำร้ายร่างกาย ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ อยู่ในสภาพปกติ

ความคืบหน้าล่าสุดกรณีดังกล่าวที่ สภ.บางกรวย ภายหลังมีการตั้งข้อสังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ถึงลักษณะการเสียชีวิตของผู้สื่อข่าวรายนี้ในสื่อออนไลน์ โดย ร.ต.อ.อังคาร ศรีโยธะ รอง สว.(สอบสวน) สภ.บางกรวย ผู้รับผิดชอบคดี เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุหลังได้รับแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตภายในบ้านหลังดังกล่าว ได้ประสานแพทย์นิติวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่มูลนิธิเข้าตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบผู้ตายนอนอยู่บริเวณห้องชั้นล่างของบ้านตามที่รายงานในคดี

จากการสอบถามผู้แจ้งเหตุและผู้ที่อยู่ภายในบ้านก่อนพบศพ ทราบว่าในคืนก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายมีเพื่อนประมาณ 5-6 คนมานั่งคุยกันในบ้าน ภายหลังได้ทยอยกันกลับออกไป เหลือบุคคลที่อยู่ร่วมในช่วงเวลาก่อนที่ผู้ตายจะล้มตัวนอนพักและเสียชีวิตอยู่บริเวณชั้นล่างจำนวน 2 คน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้เรียกตัวมาสอบปากคำ เบื้องต้นแล้วบางส่วน และอยู่ระหว่างรวบรวมคำให้การอย่างละเอียด

ร.ต.อ.อังคาร ระบุว่า จากการตรวจสอบภายในบ้านอย่างละเอียด ไม่พบบาดแผลที่ร่างกายผู้ตาย ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องและภายในบ้านอยู่ในสภาพเรียบร้อย ญาติยืนยันว่าผู้ตายมีโรคประจำตัวเป็นโรคหอบหืด จึงได้ดำเนินการเก็บรวมรวมพยานหลักฐาน ข้อมูลของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน ก่อนส่งศพไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เพื่อตรวจพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 แพทย์สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้แจ้งผลชันสูตรเบื้องต้น (ในลักษณะไม่เป็นทางการ) ว่าพบ “สารพิษ”( ไซยาไนด์ )ภายในกระเพาะอาหารของผู้ตาย แต่ยังไม่ระบุแน่ชัดว่าเป็นสารพิษชนิดใด ต้องรอผลตรวจยืนยันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาทิศทางของคดี

ภายหลังทราบผลชันสูตรเบื้องต้นดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี และชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ลงพื้นที่ร่วมกันตรวจสอบเพิ่มเติม โดยเข้าตรวจค้นและรวบรวมหลักฐานภายในบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง พร้อมตรวจเก็บภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบ เพื่อไล่เรียงลำดับเหตุการณ์และตรวจสอบบุคคลที่เข้า–ออกบ้านในช่วงเวลาก่อนและหลังการเสียชีวิตอย่างละเอียด

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการติดเทปกั้นพื้นที่ (Police line) รอบตัวบ้านของนายณัฐวุฒิ ซึ่งเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ภายในหมู่บ้านดังกล่าว เพื่อควบคุมพื้นที่ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปรบกวนพยานหลักฐานด้านใน โดยได้รับการยืนยันจากญาติว่าขณะนี้ไม่มีใครพักอาศัยอยู่ในบ้าน เนื่องจากครอบครัวได้เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาที่จังหวัดเชียงราย และจะเดินทางกลับมาร่วมตรวจสอบภายในบ้านพักกับเจ้าหน้าที่หลังเสร็จสิ้นพิธี

ภาพจากกล้องวงจรปิดในหมู่บ้าน พบว่าเวลาประมาณ 11.30 น. ของวันเกิดเหตุ รถกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้เข้ามายังบ้านที่เกิดเหตุเพื่อรับร่างผู้เสียชีวิต และนำส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งจากบันทึกเวลาพบว่า ได้นำร่างออกจากบ้านและเคลื่อนออกจากพื้นที่หมู่บ้านเวลาโดยประมาณ 12.06 น.

ร.ต.อ.อังคาร ยืนยันว่า ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนทุกประเด็น แม้กระทั่งสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปตรวจในวันที่เกิดเหตุ ทั้งข้อมูลทางการแพทย์ ผลชันสูตรนิติวิทยาศาสตร์ คำให้การของพยานในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและพยานแวดล้อมอื่น ๆ โดยยัง ไม่ตัดทิ้งในทุกสมมติฐานของสาเหตุการเสียชีวิต และจะรอผลอย่างเป็นทางการจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ประกอบ เพื่อให้ข้อเท็จจริงและคำตอบที่ชัดเจนต่อครอบครัวผู้ตายและสังคมต่อไป

‘หมู่บ้านต้นแปะก๊วยโบราณ’ ดึงนักเรียน-นักท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีธรรมชาติในกุ้ยโจว

ช่วงต้นฤดูหนาว หากได้เดินเที่ยวในหมู่บ้านถั่วเล่อ เมืองผานโจว มณฑลกุ้ยโจวทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน จะเห็นต้นแปะก๊วยสีทองอร่ามตั้งตระหง่านกลางหมู่บ้าน สายลมแผ่วเบาพัดพาใบแปะก๊วยร่วงลงสู่ขอบชายคาและริมถนน นักเรียนและครู
ที่มาทำกิจกรรมเรียนรู้นอกห้องเรียนต่างก้มเก็บใบไม้เหล่านี้มาประดิษฐ์เป็นของตกแต่งจากแปะก๊วย นี่ไม่ใช่แค่ของขวัญจากธรรมชาติ แต่ยังเป็นบทเรียนที่ทำให้ผู้เรียนได้สัมผัสการเรียนรู้ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง

บ้านเรือนในหมู่บ้านสวยงามสอดประสานกับต้นแปะก๊วยอย่างลงตัว (พีเพิลส์ เดลี่ ออนไลน์) 

หมู่บ้านถั่วเล่อ ขึ้นชื่อเรื่องต้นแปะก๊วยโบราณมาอย่างยาวนาน โดยในพื้นที่ใจกลางหมู่บ้านไม่ถึง 3 ตารางกิโลเมตร มีต้นแปะก๊วยโบราณกว่า 1,450 ต้น 

ผู้คนสนุกสนานกับการเก็บใบไม้สีทองท่ามกลางบรรยากาศสุดงดงาม (พีเพิลส์ เดลี่ ออนไลน์)

ในเดือนพฤศจิกายน 2018 หมู่บ้านถั่วเล่อได้รับการยกย่องจากสมาคมวัฒนธรรมเชิงนิเวศของจีนให้เป็น “หมู่บ้านวัฒนธรรมเชิงนิเวศแห่งชาติ” ช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี ถือเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศหลั่งไหลมาชมต้นแปะก๊วย ทำให้เป็นช่วงคึกคักที่สุดของปี

หมู่บ้านต้นแปะก๊วยโบราณ ต้อนรับทัศนศึกษาครึกครื้น (พีเพิลส์ เดลี่ ออนไลน์)

ใบแปะก๊วยบนชายคาบ้านเรือน (พีเพิลส์ เดลี่ ออนไลน์)

ที่มา People’s Daily Online

“อู๋ซี” ขึ้นแท่นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก

อู๋ซี เมืองอุตสาหกรรมสำคัญในมณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีน ได้รับการประกาศให้เป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี” (Creative City of Music) และเข้าร่วมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกที่เมืองในจีนได้ตำแหน่งนี้ในเวทีวัฒนธรรมระดับนานาชาติ

ภาพบรรยากาศงานดนตรีในสวน (ภาพจากฝ่ายประชาสัมพันธ์คณะกรรมการพรรคเทศบาลนครอู๋ซี)

ยูเนสโกจัดตั้งเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ตั้งแต่ปี 2004 ครอบคลุม 8 สาขา ได้แก่ สถาปัตยกรรม หัตถกรรม ศิลปะสื่อ การออกแบบ ภาพยนตร์ การปรุงอาหาร วรรณกรรม และดนตรี ถือเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และส่งเสริมนวัตกรรมระหว่างเมืองต่าง ๆ

ในปี 2024 มีเมืองในจีน 18 เมือง รวมถึงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ได้เข้าร่วมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก แต่ไม่มีเมืองใดได้รับการรับรองให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี จนกระทั่งปลายปี 2023  เมืองอู๋ซีได้ยื่นเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ

นักเรียนของโรงเรียนประถมเหมยชุนกำลังบรรเลงเพลง “เสน่ห์ท่วงทำนองไท่หู” (พีเพิลส์ เดลี่ ออนไลน์)

อู๋ซีมีประวัติศาสตร์ทางดนตรียาวนาน มีนักดนตรีชื่อดังเกิดขึ้นมากมาย มีโรงละครและหอแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ 8 แห่ง พิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานดนตรี 18 แห่ง และเวทีแสดงกว่า 1,000 แห่งทั่วเมือง โรงละคร Wuxi Grand Theatre ได้จัดการแสดงคุณภาพสูงมากกว่า 200 รอบในปี 2024

อู๋ซียังเป็นฐานอุตสาหกรรมดนตรีที่แข็งแกร่ง มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับดนตรี 370 แห่ง สถาบันฝึกอบรมกว่า 2,079 แห่ง สร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมดนตรีและสร้างสรรค์ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

ในเขตซินอู๋ของเมือง มีเวิร์กช็อปกว่า 10 แห่งผลิตซอเอ้อร์หูปีละเกือบ 50,000 ตัว คิดเป็นสัดส่วนราวหนึ่งในสี่ของตลาดเครื่องดนตรีจีนระดับกลางถึงสูง  ขณะที่ในบรรดาผู้ผลิตฮาร์โมนิก้า 18 แบรนด์ทั่วโลกที่มีแบรนด์อิสระและกำลังการผลิตเต็มรูปแบบ มีถึง 6 แบรนด์ตั้งอยู่ในเมืองอู๋ซี ทำให้เมืองนี้กลายเป็นฐานผลิตฮาร์โมนิก้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

อู๋ซียังให้ความสำคัญกับการศึกษาและกิจกรรมดนตรีในชุมชน มีวงดนตรีสมัครเล่นกว่า 500 วง และชมรมดนตรีในโรงเรียน 80 แห่ง

วงดนตรีพื้นบ้านแสดงหน้ารูปปั้นหวังเซิน นักดนตรีชื่อดังชาวจีน ในเมืองอู๋ซี (พีเพิลส์ เดลี่ ออนไลน์)

เทศกาลดนตรีและการท่องเที่ยวถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของอู๋ซี เช่น เทศกาล Taihu Beer Music Festival ครั้งที่ 2 ดึงดูดนักท่องเที่ยวเกือบ 510,000 คนภายใน 17 วัน และสร้างรายได้กว่า 30 ล้านหยวน

วงออร์เคสตร้าอู๋ซีเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตในฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เบลเยียม และโครเอเชีย ขณะที่เทศกาลดนตรีชาติพันธุ์นานาชาติ Erquan Yingyue Wuxi มีวงดนตรีจาก 10 ประเทศเข้าร่วม รวมถึงแคนาดาและอิตาลี

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การได้ชื่อเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมดนตรีของอู๋ซี การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนศิลปะ การสร้างแบรนด์เมือง รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ

วงออร์เคสตราฟิลาเดลเฟียจากอเมริกาได้รับเชิญไปแสดงในงานแลกเปลี่ยนทางดนตรีที่อู๋ซี 

(ภาพจากฝ่ายประชาสัมพันธ์คณะกรรมการพรรคเทศบาลนครอู๋ซี)

ที่มา People’s Daily Online

“พช.” จับมือประชารัฐรักสามัคคีปทุมธานี “จัดกิจกรรมหว่านวันแม่ เกี่ยววันพ่อ”

พช. ร่วมกับ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีปทุมธานี จัดกิจกรรม “หว่านวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” สืบสานศาสตร์พระราชา ปีที่ 9

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2568 นายคเชนทร์ชัย แพงจันทร์ พัฒนาการจังหวัดปทุมธานี นำคณะผู้อำนวยการกลุ่มงาน และเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดปทุมธานี เข้าร่วมพิธีเกี่ยวข้าวพันธุ์ข้าวหอมปทุมธานี 1 ภายใต้ “โครงการเรียนรู้วิถีชาวนา พบความสุข ตามแนวทางศาสตร์พระราชา” ปีที่ 9 ณ แปลงนาบ้านแสนสุขสกัดห้า หมู่ที่ 5 ตำบลบึงกาสาม อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี

โดยมีนายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในพิธี ในการนี้ นายสมคิด จันทมฤก อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี  นายสิทธิพล ภู่สมบุญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีปทุมธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และประชาชนร่วมงานเป็นจำนวนมาก

นายเอกวิทย์ มีเพียร กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการโดย บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีปทุมธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเรียนรู้วิถีชาวนา และส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพปลอดภัย โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมปลูกข้าวในพื้นที่นำร่องหลายอำเภอของจังหวัดปทุมธานี การเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนภาคการเกษตรฐานราก และเป็นการขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามศาสตร์พระราชาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

พร้อมทั้งเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน เป็นการการสานพลังทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ส่งเสริมการปลูกข้าวหอมปทุมธานี 1 ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง

โดยข้าสารที่ได้รับ เป็นข้าวปลอดภัย สนับสนุนการบริโภคข้าวกล้อง โครงการเริ่มต้นการหว่าน ในวันแม่ 12 สิงหาคม  และเกี่ยวในวันพ่อ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี พิธีเกี่ยวข้าวประจำปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของเกษตรกรปทุมธานี และการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนในการอนุรักษ์วิถีเกษตรดั้งเดิม ควบคู่กับการยกระดับผลผลิตข้าวหอมปทุมธานี 1 ให้ก้าวสู่ตลาดในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

#สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดปทุมธานี
#พัฒนาชุมชนปทุมธานี
#เกี่ยวข้าวหอมปทุมธานี1
#ศาสตร์พระราชา
#ประชารัฐรักสามัคคี
#ปทุมธานี
#พชเคียงข้างประชาชน