“พ่อดีเด่นแห่งชาติราชภัฎพระนคร”ปี 2568

ขอแสดงความยินดีกับที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม วุฒิสภา วุฒิสภา ..ประกอบด้วย
(ภาพจากขวาไปซ้าย)

นายสลากุล ประเสริฐดี, นายปิยะศักดิ์  พงศ์อัมพรศักดา และนายปรกธณ  แสงนิล  ได้รับมอบเกียรติบัตร”พ่อดีเด่นแห่งชาติราชภัฎพระนคร”  ครั้งที่ ๑๐ พฤศจิกายน 2568  เนื่องในโอกาสกิจกรรมวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  วันพ่อแห่งชาติ  ณ หอประชุมภัทรมหาราช วิทยาลัยราชภัฎพระนคร

ทลายแก๊งสแกมเมอร์ตุ๋นลงทุนเทรดทองผ่านแอปพลิเคชัน “Binat Thailand”

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC : ANTI CYBER SCAM CENTER) โดย กองบังคับการปราบปราม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม กับพวก ชุดปฏิบัติการต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ ส่วนของกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกันจับกุม

1.น.ส.ณัตินีย์ฯ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 6933/2568 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568
2.นายคณาธิปฯ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 6931/2568 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568
3.น.ส.อัสรีดาฯ อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6932/2568 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568
4. นายอ้าปอฯ MR.APOR อายุ 20 ปี สัญชาติพม่า ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 6928/2568 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568
5.นายศิระฯ อายุ 58 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 6926/2568 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568
6.นางสุกาญฯ อายุ 68 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 6930/2568 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 256

ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซ่องโจร และฟอกเงิน” พร้อมตรวจยึดของกลาง

1.เงินสด จำนวน 1,196,100 บาท
2.สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 1 เส้น
3.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 7 เครื่อง
4.เครื่องนับเงินสด จำนวน 1 เครื่อง
5.สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 6 เล่ม
6.หนังสือเดินทาง จำนวน 1 เล่ม
7.รถยนต์ จำนวน 2 คัน
8.บัตรกดเงินสด จำนวน 14 ใบ
9.เสื้อผ้าที่ใช้ในวันที่กระทำความผิด จำนวน 6 ชุด
10. Ipad จำนวน 1 เครื่อง

พฤติการณ์ ผู้เสียหายรู้จักกับหญิงรายหนึ่งชื่อว่า “ออมนิชาฯ” ซึ่งได้ทักเข้ามาพูดคุยทางแชทไลน์โดยหญิงรายดังกล่าวมีรูปโปรไฟล์เป็นหญิงสาวผิวขาว รูปร่างดี หน้าตาดี แสดงลักษณะเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ ชักชวนให้ลงทุนทองคำในตลาดโลก ในลักษณะของการเทรดทองระยะสั้นภายใน 10 – 20 นาที โดยอ้างว่าจะมีบุคคลทำหน้าที่เป็นผู้วิเคราะห์แนวโน้มให้ ผู้เสียหายมีหน้าที่เพียงลงทุนเงินทุน และให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันชื่อ “Binat Thailand” และ “Thai ID” ผ่านลิงก์ที่ส่งมาในไลน์ จนผู้เสียหายหลงเชื่อร่วมลงทุนจำนวนหลายครั้ง เป็นเงินรวมกัน 11,645,000 บาท

ต่อมา เมื่อผู้เสียหายพยายามเปิดเข้าใช้งานแอปพลิเคชันเทรดทองที่หญิงรายนี้เคยส่งมา กลับปรากฏว่า ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ แอปพลิเคชันได้หายไปจากโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย และเมื่อพยายามติดต่อหญิงรายดังกล่าวทางไลน์ ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย จึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงเดินทางมาพบกับพนักงานสอบสวน สน.บึงกุ่ม เพื่อร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมา ฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ ได้ส่งมอบข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. ให้ทำการสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บึงกุ่ม เพื่อสืบสวนและพิสูจน์ทราบเกี่ยวกับตัวผู้กระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

การสืบสวนพบว่าเครือข่ายคนร้ายได้แบ่งบทบาทหน้าที่กันเป็นขบวนการ ใช้เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจสอบหลายชั้น โดยใช้ 3 ช่องทางหลักในการรับเงินจากผู้เสียหาย คือ
1.โอนเข้าบัญชีธนาคารของม้าแถวที่ 1 ก่อนมีการโอนเงินต่อไปยังต่างประเทศ ผ่านช่องทาง payment gateway และฝากเข้าแพลตฟอร์ม ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เปลี่ยนเงินสดเป็น USDT ก่อนมีการโอนต่อไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้ได้ (Non-Custodial Wallet)
2. นัดส่งมอบเงินสด กับกลุ่มคนร้ายที่ร้านกาแฟสตาร์บัค ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกรุงเทพ ก่อนนำเงินไปส่งมอบให้กับหัวหน้าคนจีน(บอสจีน)
3. โอนเข้าบัญชีธนาคารของกลุ่มขบวนการรับจ้างถอนเงินสด เพื่อเบิกถอนผ่านเจ้าหน้าที่ธนาคารของธนาคารเจ้าของบัญชี ก่อนนำเงินไปส่งมอบให้กับหัวหน้าคนจีน

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บึงกุ่ม ทำการสืบสวนขยายผล จนสามารถออกหมายจับผู้กระทำความผิดได้จำนวน 7 คน ก่อนร่วมกันจับกุมตัวได้ ในหลายพื้นที่ ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มผู้กระทำความผิดได้ดังนี้
1.กลุ่มบัญชีม้า จำนวน 1 คน คือ
– นายอัถฐิสิทธิ์ฯ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6927/2568 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 (ถูกจับในคดีอื่นและถูกคุมขังที่เรือนจำ จ.กำแพงเพชร) รับโอนเงินจากผู้เสียหาย 500,000 บาท
2.กลุ่มผู้มารับเงินสด จากผู้เสียหาย จำนวน 1 คน คือ
– นายอ้าปอฯ MR.APOR อายุ 20 ปี สัญชาติพม่า รับเงินสด จำนวน 5 ครั้ง รวมกัน 7,200,000 บาท
3.กลุ่มขบวนการเบิกถอนเงินสด จากผู้เสียหาย จำนวน 5 คน ประกอบไปด้วย รับโอน 600,000 บาท
– นายศิระฯ อายุ 58 ปี (เจ้าของบัญชีธนาคารที่รับโอนจากผู้เสียหาย)
– นางสุกาญฯ อายุ 68 ปี (ผู้พานายศิระฯ มาเบิกเงิน)
– นายคณาธิปฯ อายุ 34 ปี (นายหน้าพามากดเงิน)
– น.ส.ณัตินีย์ฯ อายุ 30 ปี (ผู้รับเงินสดเพื่อนำไปให้กลุ่มคนจีนเพื่อแลกเป็นเงินดิจิทัล)
– น.ส.อัสรีดาฯ อายุ 25 ปี (ผู้รับเงินสดเพื่อนำไปให้กลุ่มคนจีนเพื่อแลกเป็นเงินดิจิทัล)
และได้ร่วมกันตรวจยึดทรัพย์สินกลุ่มผู้ถูกจับดังมีรายละเอียด ต่อไปนี้ คือ

1.เงินสด จำนวน 1,196,100 บาท
2.สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 1 เส้น
3.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 7 เครื่อง
4.เครื่องนับเงินสด จำนวน 1 เครื่อง
5.สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 6 เล่ม
6.หนังสือเดินทาง จำนวน 1 เล่ม
7.รถยนต์ จำนวน 2 คัน
8.บัตรกดเงินสด จำนวน 14 ใบ
9.เสื้อผ้าที่ใช้ในวันที่กระทำความผิด จำนวน 6 ชุด
10. Ipad จำนวน 1 เครื่อง
นำส่งพนักงานสอบสวน สน.บึงกุ่ม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เกษตรกรตรังโอดสัตว์เลี้ยงซูบผอมหญ้าขาดแคลนหลังเกิดน้ำท่วมใหญ่

จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของจังหวัดตรัง โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตรัง ทั้งในอำเภอเมืองตรัง และอำเภอกันตัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รองรับมวลน้ำ และมักจะมีน้ำท่วมนานสุดในแต่ละครั้ง นอกจากจะทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้คนแล้ว ในส่วนของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะโค หรือวัว รวมทั้งแพะ ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากไม่มีใบไม้ใบหญ้าให้กินอย่างอุดมสมบูรณ์อย่างเช่นเมื่อก่อน เพราะต่างจมอยู่ใต้น้ำจนตายหมดเกลี้ยง

โดยเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์บางราย ต้องยอมล่องเรือออกไปยังพื้นที่สูง เพื่อตัดหญ้าที่ยังพอหลงเหลือมาให้สัตว์เลี้ยงกินประทังชีวิต หรือบางรายต้องยอมจ้างคนออกไปตัดหญ้า ในราคาเข่งละ 100-200 บาท เนื่องจากมีวัวหลายตัว แต่หลังจากน้ำท่วมใหญ่ ทำให้หญ้าละแวะบ้านจมน้ำตายหมด ต้องพาวัวอพยพหนีน้ำไปอยู่ที่สูงเรื่อยๆ ยิ่งบางรายที่มีวัวฝูง หรือวัวมากๆ ก็ยิ่งเหนื่อย ต้องซื้อหญ้ามาให้กิน และหญ้าก็หายาก ตัดปนๆ ต้นอะไรมา ก็ต้องให้กินไปก่อน

ขณะที่เกษตรกรบางรายต้องแก้ปัญหาด้วยการซื้อฟางก้อนมาให้วัวกิน ซึ่งมีราคาก้อน 80 บาท โดยต้องซื้อมาให้วัวกิน วันละ 1-2 ก้อน เป็นฟางที่นำเข้ามาจากภาคกลาง เพราะหญ้าสดในพื้นที่จมน้ำตายหมดแล้ว และไม่รู้จะไปหาจากไหน เพราะน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้เป็นวงกว้างมาก บางครั้งก็ต้องนำวัวมาล่ามให้กินหญ้าที่ยังหลงเหลืออยู่ริมถนน แต่ก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ต้องยอมเสียเวลามายืนเฝ้าดูไว้ จนสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรอย่างมาก

นายสมพร ยอหัน เกษตรกรชาวตำบลควนปริง บอกว่า ตนเองเลี้ยงวัวชน และวัวพื้นบ้าน 40-50 ตัว ต้องลำบาก เพราะหญ้าแถวบ้านจมน้ำตายหมด ต้องอพยพพาพวกมันไปหากินเรื่อยๆ ทำให้สัตว์เลี้ยงหลายตัวเริ่มผอม โดยคาดว่ากว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายคงอีกนาน เพราะเป็นพื้นที่รองรับน้ำ อาจลากยาวไปถึงกลางเดือนธันวาคม นอกจากนั้น ตนเองก็ยังเลี้ยงแพะ ต้องพามาหากินหญ้าตามเกาะกลางถนน และต้องมายืนเฝ้า เพราะเกรงจะถูกรถชน

โดย…คนิตา สีตอง

กล้วยหอมคาเวนดิช พืชอนาคตไกล ปลูกไม่พอบริโภค-ส่งออกฉลุย

ในประเทศไทยกล้วยหอมนิยมปลูกเพื่อเชิงพาณิชย์ มีด้วยกัน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มกรอสมิเชล เช่น กล้วยหอมทอง และกลุ่มคาเวนดิช เช่น กล้วยหอมเขียว (กล้วยหอมคาเวนดิช) โดยผลผลิตที่ได้ส่วนใหญ่จะใช้บริโภคภายในประเทศ การส่งออกกล้วยสดและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกล้วยนั้น ยังมีมูลค่าไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ กล้วยที่ส่งออกส่วนใหญ่เป็นกล้วยหอมทอง ซึ่งมีคุณภาพไม่เหมาะสมกับการส่งออกนัก เนื่องจากมีเปลือกบาง ไม่ทนทานต่อการขนส่งระยะไกล ประกอบกับสุกไวและขั้วหลุดง่าย มีอายุการเก็บรักษาสั้น

ขณะที่กล้วยหอมคาเวนดิช มีเปลือกหนา เหมาะแก่การขนส่ง เมื่อบ่มอย่างถูกต้อง (เทคนิคบ่มในห้องเย็น) สีเปลือกจะเหลืองสวย คุณภาพผลจะดี เมื่อสุกเนื้อจะแน่นไม่เละ ถึงแม้จะหวานน้อยกว่ากล้วยหอมทอง แต่เก็บรักษาได้นานกว่า จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ข้อมูลภาพรวมการผลิตกล้วยหอมของประเทศไทยในปี 2566 มีเนื้อที่ให้ผล 42,605 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ 3,515 กิโลกรัม ผลผลิตรวมทั้งหมด 149,757 ตัน ต้นทุนการผลิตไร่ละ 5,687 บาท ราคาขายเฉลี่ยตันละ 15,233 บาท ส่วนข้อมูลการค้าในปี 2566 มีปริมาณการบริโภคภายในประเทศ 148,236 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 95 เป็นการจำหน่ายผ่านตลาดกลางและห้างสรรพสินค้า และผลผลิตบางส่วนเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ปริมาณส่งออก 1,521 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 5

ส่วนใหญ่การส่งออกกล้วยหอมเป็นแบบทำสัญญาข้อตกลงล่วงหน้า มีมูลค่าประมาณ 53 ล้านบาท ราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 35,092 บาท โดยมีคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น จีน กัมพูชา ผลผลิตที่ส่งออกต้องมีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานเงื่อนไขของคู่ค้า และยังมีโอกาสขยายตลาดการส่งออกได้ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2567) สำหรับทิศทางและการส่งออกกล้วยหอมในอนาคตพบว่ามีทิศทางที่สดใส ประเทศญี่ปุ่นได้มีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2550 ให้สิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีนำเข้ากล้วยจากประเทศไทย จำนวน 8,000 ตัน

ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ใช้สิทธิพิเศษดังกล่าวไม่เต็มโควต้าเพียง 3,000 ตัน ในขณะที่คนญี่ปุ่นนิยมบริโภคกล้วยมาก เพราะผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย มีคุณค่าทางอาหารสูง ราคาไม่แพง เข้าถึงได้ และสามารถนำไปใช้แปรรูปเป็นขนมได้หลายชนิด ขณะที่ญี่ปุ่นปลูกกล้วยหอมได้ในปริมาณน้อย ต้องนำเข้าเฉลี่ยถึงปีละ 1 ล้านตัน ที่ผ่านมาไทย จึงตั้งเป้าเร่งส่งออกสินค้ากล้วยของไทยอีก 5,000 ตัน ให้ครบโควตาที่ไม่เสียภาษี

กรมส่งเสริมการเกษตรจึงส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกกล้วยหอมให้มากขึ้น โดยส่งเสริมตั้งแต่ต้นทาง ได้แก่ ตลาดแม่นยำ พื้นที่แม่นยำ พันธุ์แม่นยำ น้ำแม่นยำ ปุ๋ยแม่นยำ การจัดการโรคและแมลงแม่นยำ เทคโนโลยีการผลิตแม่นยำ การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวแม่นยำ จำหน่ายแม่นยำ โดยเฉพาะพันธุ์แม่นยำนั้น มีการส่งเสริมให้ใช้ต้นพันธุ์คุณภาพที่ได้การขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งมีจุดเด่น คือ ช่วยให้สามารถขยายพันธุ์พืชในปริมาณมากและในเวลาที่รวดเร็วกว่าการขยายพันธุ์แบบดั้งเดิม ปลอดโรค มีลักษณะตรงตามพันธุ์เหมือนต้นแม่ ต้นพืชที่ผลิตได้จะมีขนาดสม่ำเสมอ จึงให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้คราวละมากๆ พร้อมกัน หรือในเวลาเดียวกัน

นางสาววัลภา ปันต๊ะ เกษตรจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า เกษตรกรต้นแบบในการปลูกกล้วยหอมคาเวนดิชของจังหวัดลพบุรี คือ นายไพวัลย์ แจ่มแจ้ง อายุ 62 ปี เป็นประธาน ศพก. (เครือข่าย) ตำบลชอนม่วง อำเภอบ้านหมี่ และประธานวิสาหกิจชุมชนกล้วยหอมลพบุรี มีความโดดเด่นหลายด้าน ได้แก่ ด้านการผลิต นำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ อาทิ ตรวจวิเคราะห์ดิน ใช้ระบบน้ำหยด และพลังงานจากโซล่าเซลล์ ช่วยประหยัดน้ำและลดต้นทุนค่าไฟฟ้า ควบคู่กับการใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้าน อาทิ ปรับระยะปลูกระหว่างต้นเป็น 3×3 เมตร โดยปลูกหลุมละ 3 ต้น การโยงเชือกระหว่างต้นกล้วย เพื่อลดผลกระทบจากลม การตัดแต่งปลีกล้วยเพื่อป้องกันเชื้อรา การห่อผลด้วยถุงผ้าสปัน เพื่อให้ผิวเปลือกกล้วยสวย ซึ่งสามารถใช้ซ้ำได้ ประดิษฐ์มีดตัดกล้วยจากเกรียงโป๊วสี และมีการบ่มกล้วยก่อนนำออกจำหน่าย

ด้านการแปรรูป แปรรูปผลผลิตหลากหลาย เน้นกระบวนการผลิตตามมาตรฐาน GMP อาทิ กล้วยหอมผงชงดื่มสำเร็จรูป (ผสมคอลลาเจน/วิตามินซี/เวย์โปรตีน) กล้วยหอมฟรีซดราย กล้วยหอมทอดสุญญากาศ และบรรจุภัณฑ์จากใบกล้วยและกาบกล้วย ด้านมาตรฐานการผลิต ได้รับการรองมาตรฐาน GAP มาตรฐาน Q และมาตรฐาน SDGsPGS ด้านการตลาด สร้างแบรนด์เป็นของตนเอง คือ “ไร่ไพวัลย์ กล้วยหอม” มีตลาดจำหน่ายผลผลิตทั้งแบบตลาดออฟไลน์ อาทิ จำหน่ายหน้าสวน ตลาดนัดในท้องถิ่น ตลาดโมเดิร์นเทรด (TOPS Supermarket) ตลาดออนไลน์ผ่านทางไลน์แมน และตลาดส่งออก (ประเทศจีน) และยังมีการต่อยอดพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และแหล่งเรียนรู้ด้านการปลูกกล้วยหอมคาเวนดิช อำเภอบ้านหมี่อีกด้วย

ปัจจุบันไร่ไพวัลย์ มีพื้นที่ปลูกกล้วยทั้งหมด 17 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 16,000 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งสูงกว่าปริมาณผลผลิตเฉลี่ยมาตรฐานที่กรมวิชาการเกษตรรวบรวมไว้เกือบ 2 เท่า เลือกใช้พันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ มีต้นทุนการผลิตไร่ละ 70,450 บาท รายได้ไร่ละ 320,000 บาท และกำไรเฉลี่ยไร่ละ 249,550 บาท โดยกำหนดเป้าหมายที่จะสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอม และทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตจากเครือข่าย เพื่อสร้างรายได้ให้กับเครือข่าย

สำหรับเกษตรกรที่สนใจต้นพันธุ์กล้วยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 9 จังหวัดสุพรรณบุรี โทร 035-440360 หรือสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน

นักท่องเที่ยวแห่เยือนไร่สตรอเบอร์รี่เมืองอุทัยธานีท่ามกลางอากาศหนาวเย็น

อุทัยธานี- อากาศหนาวเย็นนทท.แห่ชมไร่สตรอเบอรี่ โอบรอบล้อมเต็มด้วยเขา เข้าถ้ำชมกิ้งกือมังกรสีชมพู

บรรยากาศการท่องเที่ยว ต.ทุ่งนางาม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ที่จุดชมวิวไร่สตรอเบอรี่ ท่ามกลางโอบล้อมเต็มไปด้วยเขาที่สวยงามตาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยนทท.มักจะเดินทางมาช่วงท่ามกลางอากาศเย็น เนื่องจากได้บรรยากาศที่สดชื่น พร้อมกับเดินทางไปเที่ยวชมที่หุบป่าตาด ดินแดนมหัศจรรย์ยุคไดโนเสาร์ ชมความงามของพืชพันธุ์ไม้หายากนานาชนิด

รวมถึงหินที่หยดย้อยภายในถ้ำ และชมความสวยของ กิ้งกือมังกร ตัวเป็นสีชมพู ที่จะมีให้ชมได้เพียงในช่วงปลายฝนต้นหนาว ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ถึงต้นเดือนธันวาคม ของทุกปี ตลอดเส้นทางจะพบกับถ้ำที่มีความมืด หรือเรียกว่าอุโมงค์แห่งกาลเวลา ซึ่งมีความยาวประมาณ 50 เมตร ภายในถ้ำจะมีความมืดสนิท เป็นที่อาศัยของค้างคาว

.

CP LAND คว้า Top 10 Developers ด้านงานดีไซน์จากเวทีระดับนานาชาติ สะท้อนบทบาทผู้นำอสังหาฯ

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND หนึ่งในผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ได้รับรางวัล Top 10 Developers 2025 จากงาน Hubexo Asia Awards 2025 (เดิมคือ BCI Asia Awards) เวทีระดับภูมิภาคที่ยกย่องบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีผลงานโดดเด่นโดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากมูลค่าโครงการ ความคืบหน้าในปีแข่งขัน และมาตรฐานด้านคุณภาพที่สอดคล้องกับเกณฑ์อาคารสีเขียว

สำหรับปีนี้ CP LAND ได้รับการพิจารณาจากผลงานโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ SŌLVANI Nakhon Sawan (โซลวานี นครสวรรค์), SŌLVANI Phitsanulok (โซลวานี พิษณุโลก), SŌLVANI Ramintra (โซลวานี รามอินทรา กรุงเทพฯ), RI-NÉ Khon Kaen (รีเน่ ขอนแก่น) , SOū& Khon Kaen (โซแอนด์ ขอนแก่น)  และ LUXRIVA RESIDENCES Nakhon Si Thammarat (ลักซ์ริวา เรสซิเดนเซส นครศรีธรรมราช) ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมในภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้

เวที Hubexo ระบุว่า รางวัล Top 10 Developers สะท้อนบทบาทของผู้พัฒนาที่มีผลงานก้าวหน้าในปีแข่งขัน โดยพิจารณาจากโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีความคืบหน้าที่ตรวจสอบได้จริงทำให้รางวัลนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดด้านคุณภาพและความสามารถในการบริหารโครงการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศทั่วเอเชีย

คุณดนุนาถ บูรณะเจริญ ผู้อำนวยการกลุ่มงานพัฒนาและออกแบบโครงการ CP LAND กล่าวว่า รางวัลนี้สะท้อนความสำเร็จของ CP LAND ในการพัฒนาโครงการที่ตอบสนองการใช้งานจริงและความต้องการของผู้อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่ โดยบริษัทใช้แนวคิด Accessible Community for Life – คุณภาพเพื่อทุกชีวิต เป็นกรอบหลักในการพัฒนาโครงการ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทและวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ

แนวคิดดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามองค์ประกอบ ได้แก่ CPL Design Standard ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบบนฐานข้อมูลการใช้งานจริงและบริบทท้องถิ่น CPL Well-being Standard ที่คำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย เช่น การเลือกใช้สีระบบ Low-VOC และ CPL Sustainability Standard ที่เน้นประสิทธิภาพด้านพลังงาน การเลือกใช้วัสดุที่ช่วยประหยัดพลังงาน และการรองรับพลังงานสะอาด เช่น ระบบโซลาร์ (Solar System) ทั้งสามมาตรฐานเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาโครงการของบริษัท ควบคู่กับการดูแลหลังการส่งมอบ รวมถึงการรับประกันโครงสร้าง 10 ปี* เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพในระยะยาว คุณดนุนาถ กล่าวเสริม

ด้าน คุณเสาร์วะภา เนาวะอาจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮับเบคโซ ประเทศไทย (Hubexo Thailand) กล่าวว่า CP LAND ได้นำเสนอศักยภาพด้านการพัฒนาโครงการได้อย่างโดดเด่น ทั้งด้านคุณภาพการออกแบบความสอดคล้องกับเกณฑ์อาคารสีเขียวและการตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้คนในหลายภูมิภาคซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทได้รับเลือกเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองที่สุดของเอเชียในปีนี้

ปัจจุบัน CP LAND มีโครงการกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรมและพื้นที่บริการในจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของเมืองรองที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยทำให้บริษัทมีส่วนผลักดันโครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนดและขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า
#CPLAND #AccessibleCommunitiesForLife #คุณภาพเพื่อทุกชีวิต #HubexoAsiaAwards2025

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมวัน ทสม. แห่งชาติ เปิดเวที “พลัง ทสม. ฟื้นธรรมชาติ สู่วิกฤตภูมิอากาศ” พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 รวม 160 รางวัล สร้างพลังขับเคลื่อน ต่อยอดการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ พร้อมสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจากนางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ พร้อมด้วยนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงาน มีผู้ร่วมงานจากผู้แทน ทสจ. และเครือข่าย ทสม.  76 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานกว่า 400 คน ณ โรงแรมมารวย การ์เด้น กรุงเทพมหานคร

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่โดยเฉพาะเหตุกาณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่มในภาคเหนือ น้ำท่วมน้ำหลากในภาคกลาง และน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งภัยพิบัติเกิดขึ้นในหลายประเทศ ทำให้ทุกประเทศเร่งยกระดับความมุ่งมั่นเพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศไทยได้แสดงจุดยืนในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 หรือ COP 30 ที่ประเทศบราซิล ภายใต้แนวคิด การรวมพลังของประชาคมโลก โดยเน้นการมองคนเป็นศูนย์กลาง สนับสนุนการขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และสร้างภูมิคุ้มกันในการปรับตัวการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และมุ่งเน้นการสร้างกระแสให้เกิดการดำเนินการจากระดับท้องถิ่นถึงระดับโลก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นระบบ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นเชอบเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา และเมื่อมีผลบังคับใช้ ทสม. จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชน ที่จะเป็นผู้นำขับเคลื่อนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นางสาวปรีญาพร กล่าวต่อว่า ทสม. เป็นกลไกการสื่อสารและการปฏิบัติการ ที่จะทำให้เป้าหมายทั้งในระดับประเทศและระดับโลกเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ชุมชน ทั้งด้านลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การส่งเสริมการคัดแยกและจัดการขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีในชุมชน การเป็นผู้นำสร้างพื้นที่ต้นแบบเพิ่มพื้นที่สีเขียว การปลูกป่าชุมชนเพื่อเพิ่มแหล่งดูดซับคาร์บอน ขณะที่ด้านการปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกัน ทสม. จะเป็นผู้เฝ้าระวังและอนุรักษ์ ปราการธรรมชาติให้ระบบนิเวศทำหน้าที่ลดความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชุมชนจากภัยพิบัติ ส่วนการเข้าถึงกลไกการเงิน ทสม. จะเป็นผู้สร้างโครงการต้นแบบที่มีศักยภาพ

เช่น โครงการคาร์บอนเครดิตในชุมชน เพื่อให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากกลไกทางการเงินใหม่ อย่างเป็นรูปธรรมและเท่าทัน อีกทั้ง ทสม. ยังเป็นโซ่ข้อกลางระหว่างชุมชน และหน่วยงาน ในกบูรณาการการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ “พลังของเครือข่าย ทสม. จะเป็นกลไกการสื่อสารและการปฏิบัติในการลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวในพื้นที่ เปลี่ยนวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้เป็นโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายของประเทศไทยตามพันธกรณีระดับโลก” ด้าน นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีเครือข่าย ทสม. มากกว่า 300,000 คน ทั่วประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้คัดเลือกต้นแบบการทำงานด้วยจิตอาสา ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ เพื่อเป็นแบบอย่างการทำงาน ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด 76 จังหวัด มาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน

สำหรับในปี 2568 ดำเนินการคัดเลือก แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ มีการแบ่งผลงานการคัดเลือกออกเป็น 2 สาขา 7 ด้าน คือ สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 3 ด้าน คือ 1) ด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้ และพื้นที่สีเขียว 2) ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ และ 3) ด้านการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และสาขาการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน 4 ด้านคือ 1) ด้านการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) ด้านการจัดการไฟป่า หมอกควัน และการเผาในที่โล่ง 3) ด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร และ 4) ด้านการจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างพลังขับเคลื่อนการดำเนินงานของเครือข่าย ทสม. ให้เกิดความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ตลอดจนสามารถยกระดับ และพัฒนาต่อยอดการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ให้เป็นที่ประจักษ์ของสังคม

หวาดผวาทั้งหมู่บ้าน!พบรอยเท้าเสือโคร่งยักษ์โผล่ใกล้ชุมชนบ้านหนองบัว อ.แม่สอด

พบอีกครั้ง รอยเท้าเสือโคร่งยักษ์ หลังมีชาวบ้านหนองบัวพบ แจ้งผู้ใหญ่บ้าน  แถวโครงการป่าชุมชนบ้านหนองบัว

น.ส.สุพรรษา คำพีสินธุ์ ผู้ใหญ่บ้านหนองบัว หมู่ 7. ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบรอยเท้าของเสือโคร่ง เข้ามาใกล้บ้านเรือนประชาชน ในระยะห่างประมาณ 100 เมตร โดยเสือตัวดังกล่าวได้ข้าม อ่างเก็บน้ำบ้านหนองบัว มุ่งหน้าเข้ามาทางพื้นที่หมู่บ้านแถวโครงการป่าชุมชนบ้านหนองบัว  จึงออกไปตรวจสอบ และพบรอยเท้าเสือตามที่ชาวบ้านแจ้ง

ทางผู้ใหญ่บ้านหนองบัว จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พ่อแม่พี่น้อง ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงโปรดเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด  รวมทั้งสอดส่องดูแลบริเวณรอบบ้านและพื้นที่ทำกิน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของชาวบ้าน และหากมีประชาชนชาวบ้าน ได้พบเห็นเสือหรือร่องรอยเพิ่มเติม โปรดแจ้งผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชนทันที เพื่อประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบต่อไป

รายงานข่าวแข้งว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีชาวบ้านพบเห็นรอยเท้าเสือมาก่อนแล้วในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2568 .ที่ผ่านมา โดยมีชาวบ้าน ที่ออกไปทำ ไร่ สวน เลี้ยงสัตว์ ได้พบเห็นสัตว์ขนาดใหญ่คล้ายเสือโคร่ง ในบริเวณหลังอ่างกักเก็บน้ำดิบป่าชุมชนบ้านหนองหนองบัว หมู่ 7. ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก รอยต่อกับหมู่บ้านห้วยหินฝน หมู่ 7. ต.แม่ปะ

ซึ่งจากการตรวจสอบรอยเท้าพบเป็นรอยเท้าสัตว์ขนาดใหญ่ ชาวบ้านจึงแจ้งให้ ผู้ใหญ่บ้านหนองบัว   และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และฝ่ายปกครอง  ในพื้นที่ เข้าตรวจสอบค้นหาแต่ก็ไม่พบตัวจนกระทั่งล่าสุดในครั้งนี้อีกรอบหนึ่งที่มีชาวบ้านพบเห็น

เมืองเป่าซาน’ ดัน ‘วาซาบิ’ สร้างรายได้ชุมชน ขึ้นแท่นแหล่งปลูกใหญ่สุดในจีน

เมืองเป่าซาน มณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ภูเขาเกาหลีก้ง (Gao Li Gong) ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการปลูกวาซาบิ

ฐานเพาะปลูกวาซาบิบนภูเขาที่เมืองเป่าซาน (ซินหัว)

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางการท้องถิ่นได้ส่งเสริมการปลูกวาซาบิที่ได้มาตรฐานและขยายพื้นที่เพาะปลูกเชิงอุตสาหกรรม เปิดโอกาสใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นที่ภูเขา พร้อมช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

ชาวบ้านเก็บเกี่ยววาซาบิ (ซินหัว)

ปัจจุบัน เมืองเป่าซานได้กลายเป็นแหล่งปลูกวาซาบิที่ใหญ่ที่สุดในจีน โดยผลผลิตไม่เพียงครองส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังส่งออกไปยังญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้วาซาบิจากยูนนานมีศักยภาพเติบโตที่สดใสทั้งในและต่างประเทศ

ชาวบ้านเก็บเกี่ยววาซาบิ (ซินหัว)

คนงานกำลังแปรรูปวาซาบิที่โรงงานแห่งหนึ่งในเมืองเป่าซาน (ซินหัว)

คนงานกำลังแปรรูปวาซาบิที่โรงงานแห่งหนึ่งในเมืองเป่าซาน (ซินหัว)

ที่มา People’s Daily Online

หฤษฎ์ โปษณกุล พา Minimice Group กวาด 2 รางวัลใหญ่ระดับเอเชียจาก ACES AWARDS 2025

หฤษฎ์ โปษณกุล CEO Minimice Group ขึ้นแท่นรับ 2 รางวัลยักษ์ใหญ่ระดับเอเชีย Asia’s Most Admirable Young Leaders หรือสุดยอดผู้นำรุ่นใหม่แห่งปี และ Asia’s Most Promising SMEs ธุรกิจ SME ที่เติบโตอย่างมีอนาคต การันตีความสำเร็จในฐานะบริษัทรับทำ SEO ชั้นนำในไทยอย่างต่อเนื่อง 

เมื่อวันที่ 27 พฤษจิกายน 2568 ที่ผ่านมา หฤษฎ์ โปษณกุล CEO Minimice Group เอเจนซีชั้นนำที่ให้บริการด้าน SEO และการตลาดดิจิทัลครบวงจร ได้รับคัดเลือกให้รับ 2 รางวัลเกียรติยศระดับเอเชีย Asia’s Most Admirable Young Leaders และ Asia’s Most Promising SMEs ประจำปี 2025 จากงานมอบรางวัล Asia Corporate Excellence & Sustainability (ACES AWARDS 2025) ซึ่งจัดขึ้นที่ InterContinental Bali Resort ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 27 และ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา

Asia Corporate Excellence & Sustainability หรือ ACES Awards จัดโดย MORS Group เป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้นำองค์กร บริษัท และเหล่าแบรนด์ชั้นนำในเอเชียที่มีผลงานโดดเด่นด้านธุรกิจและความยั่งยืน ร่วมถ่ายทอดเบื้องหลังความสำเร็จ กลยุทธ์ธุรกิจ แรงบันดาลใจ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ผู้นำและอุตสาหกรรมจากเอเชียสู่สายตาระดับโลกมากว่า 12 ปี 
 
เอเจนซีรับทำ SEO แห่งเดียวในประเทศไทยกับ 2 รางวัลเกียรติยศระดับเอเชีย!

หฤษฏ์ โปษณกุล ได้รับรางวัล Asia’s Most Admirable Young Leaders 2025 รางวัลที่มอบเป็นเกียรติให้กับผู้นำธุรกิจที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี มีศักยภาพ แนวคิด และวิสัยทัศน์การบริหารองค์กรโดดเด่น สามารถผลักดันองค์กรให้ประสบความสำเร็จ การได้รับรางวัลนี้ ช่วยตอกย้ำบทบาทเอเจนซีรับทำ SEO และการตลาดดิจิทัลเจนใหม่ ที่พร้อมจะพาองค์กรและอุตสาหกรรม SEO ไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นของนักการตลาดดิจิทัลที่เรียนรู้ด้วยตนเอง จนก้าวขึ้นมา CEO ของ Minimice Group เอเจนซี่รับทำ SEO (Search Engine Optimization) ที่พร้อมวางแผนการตลาดดิจิทัลให้ลูกค้าแบบครบวงจร และมีความคล่องตัวสูงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย

เครื่องหมายการันตีความสำเร็จ ไม่เพียงแค่รางวัลในฐานะสุดยอดผู้นำรุ่นใหม่ แต่หฤษฏ์ โปษณกุล ยังพา Minimice Group คว้าอีกรางวัลอย่าง Asia’s Most Promising SMEs 2025  รางวัลที่มอบให้แก่ธุรกิจ SME ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยรากฐานและกลยุทธ์การทำ SEO ที่แข็งแกร่ง เลือกใช้ Tools ที่มีประสิทธิภาพ เน้นผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริง โดยผนึกความเชี่ยวชาญทั้งด้าน Citations Keyword,  Martech รวมถึง AI เครื่องมืออัจฉริยะที่ขยายเครือข่ายไปทุกวงการ Minimice Group จึงสามารถสร้างอัตราการเติบโตมากถึง 500% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำอย่างล้นหลาม 

หฤษฏ์ โปษณกุล ได้กล่าวว่า “การได้รับรางวัลสองรางวัลจาก ACES AWARDS 2025 นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังของ Minimice Group พิสูจน์ว่า การทำ SEO ให้เว็บไซต์ของลูกค้าติดอันดับ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ยังคงประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้ธุรกิจ และสร้างยอดขายให้แก่ลูกค้าได้จริง ที่ Minimice Group เราเชื่อมั่นว่า การทำงานด้วยทีมเวิร์ก ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการปรับตัว การเรียนรู้ที่ไม่มีสิ้นสุด ผสานกับการใช้เทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ๆ อยู่เสมอ จะทำให้วงการ SEO ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง พาธุรกิจของลูกค้า รวมถึงการตลาดด้านดิจิทัลขยายขนาดได้อย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจไทย พร้อมสู่ระดับสากลอย่างแน่นอน”