เอกชนขอบคุณรัฐบาลปลดล็อกขายเหล้า 2-5 โมงเย็น กระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว

จากกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจให้ยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม การท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และการบริการ ร่วมกันยื่นหนังสือถึงรัฐบาลในวันเดียวกัน เพื่อสนับสนุนและขอให้รัฐบาลพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเร่งด่วนนั้น 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรยังมีมติเห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นการปลดล็อกมาตรา 32 อนุญาตให้สามารถโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม ทำให้ประชาชนทั่วไปหากถ่ายรูป ติดเหล้า-เบียร์ จะไม่ถูกดำเนินคดี ถือเป็นสองก้าวสำคัญในการผ่อนคลายกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ของประเทศไทยที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้าหลังและไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจยุคใหม่และถือเป็นการช่วยผลักดันการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม เสียงร้องขอจากภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักวิชาการยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในประเด็น “การยกเลิกมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00–17.00 น.” ที่ยังเป็นข้อเรียกร้องสำคัญที่รัฐบาลกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการผ่อนคลายกฎหมายเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความปลอดภัยทางสังคม โดยในวันนี้ (11 เมษายน 2568) ตัวแทนจากภาคผู้ประกอบการและนักวิชาการที่ขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายดังกล่าว ได้รวมตัวกันแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสนับสนุนข้อเรียกร้องนี้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศที่ผู้ประกอบการพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

น.ส.ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สามารถบอกได้ว่าในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ส่วนใหญ่นั้นมีความเห็นตรงกันว่ากฎหมายนี้ไม่มีประโยชน์ แม้อาจจะมีฝ่ายรณรงค์ต้านเหล้าบางส่วนที่ยังอยากให้คงกฎหมายนี้ไว้อยู่บ้างเพราะเชื่อว่ากฎหมายนี้ทำให้มีการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง และมีการบริโภคที่น้อยลง แต่สิ่งนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะประชาชนทั่วไปก็ยังซื้อตุนกันไว้ได้ แต่ผู้ที่ได้รับอุปสรรคจากกฎหมายนี้โดยตรงคือนักท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

น.ส.ประภาวี กล่าวต่อไปว่า หากมีการยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ตนในฐานะเป็นผู้ประกอบการคราฟเบียร์ต้องตอบว่าผลที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดกับธุรกิจเครื่องดื่มคราฟท์เบียร์โดยตรง แต่จะเกิดกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากกว่า อาทิ ร้านคราฟท์เบียร์หรือร้านอาหารที่ซื้อเบียร์ไปขาย หรือช่องทางต่างๆ ในห้าง ซึ่งตนไม่คิดว่ายอดขายคราฟท์เบียร์จะเพิ่มขึ้น แต่คิดว่าผลกระทบในเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นก็คือ ประการแรก กฎหมายที่ปรับปรุงจะทำให้ผู้บริโภคมีความสะดวก

ประการที่สอง ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวได้มากขึ้น นักท่องเที่ยวต่างชาติมาผู้ค้าขายก็ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามว่าทำไมซื้อขายในช่วงบ่ายไม่ได้, ประการที่สาม เมื่อก่อนนี้ร้านอาหาร ร้านคราฟท์เบียร์ส่วนใหญ่เปิดกลางคืน กล่าวคือเปิด 5 โมง ปิดเที่ยงคืน แต่หากกฎหมายห้ามขายเปลี่ยน ก็มีโอกาสที่ค่านิยมหรือว่าพฤติกรรมในการบริโภคของคนจะเปลี่ยน เช่น หากผู้ประกอบการเปิดร้านเร็วขึ้น เปิดขายมื้อเที่ยง ปิดสองทุ่ม เพราะว่าใช้เวลาของร้านได้เต็มที่แล้ว ผู้บริโภคก็กินเสร็จไว กลับบ้านได้ไว มีทางเลือกในการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ เป็นต้น

“นอกจากนี้ประเทศไทยเราก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ได้แก่ การห้ามขายเครื่องดื่มให้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด และการดื่มไม่ขับ พร้อมกับปลูกฝังค่านิยมการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบและการดื่มไม่ขับให้เกิดเป็นวัฒนธรรม ซึ่งประเด็นเหล่านี้ผู้ประกอบการพร้อมให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามภาครัฐอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด” น.ส.ประภาวี กล่าว

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอให้ยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ที่รัฐบาลกำลังพิจารณาอยู่ กฎหมายห้ามขายนี้เป็นกฎหมายที่ออกมานานแล้ว อาจเหมาะสมกับยุคสมัยนั้น ทว่าในปัจจุบัน คนที่รู้ว่ามีกฎหมายนี้อยู่ก็มีการปรับตัว อาทิ เมื่อลูกค้าไปรับประทานอาหารในห้างแล้วดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อถึงเวลาบ่าย 2 กฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บังคับใช้ ลูกค้าก็ไม่ได้รับความสะดวก แต่หากกฎหมายนี้ถูกยกเลิกไป ลูกค้าก็จะมีความสะดวกในการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ

“ร้านอาหารเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย เป็นสถานที่ที่ปกปิดมิดชิด การดื่มอยู่ในการควบคุมได้ มันไม่ใช่การไปดื่มบนหลังรถหรือริมถนนข้างทาง แต่เป็นการดื่มในสถานที่ที่มีการจัดระเบียบอย่างเหมาะสมและปลอดภัย นอกจากนี้การยกเลิกกฎหมายห้ามขายก็จะช่วยเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ตอนที่กฎหมายห้ามขายออกมา ประเทศไทยเรายังไม่ได้พึ่งพาการท่องเที่ยวสูงขนาดนี้ ตอนนี้บริบทของสังคมเปลี่ยนไปแล้ว ข้อเสนอให้มีการยกเลิกการห้ามขายช่วง 14.00-17.00 น. น่าจะเป็นข้อเสนอที่ง่ายที่สุด ดีที่สุด ทำได้เลย ที่จะอยู่ในความไม่ขัดแย้งของใคร และสร้างประโยชน์ให้กับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว” นางฐนิวรรณ กล่าว

นางฐนิวรรณ กล่าวต่อไปว่า ในฐานะที่ตนนั้นไม่มีผลประโยชน์กับเรื่องแอลกอฮอล์เพราะร้านอาหารนั้นมีกำไรส่วนใหญ่จากการขายอาหาร ตนมองว่าการสร้างสมดุลให้กับกฎหมายและนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องคำนึงถึงบริบททุกด้าน ทั้งสาธารณสุข ความปลอดภัยบนท้องถนน ความรุนแรงที่เกิดจากการดื่ม เศรษฐกิจ ฯลฯ ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดก็คือการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยยังไม่ได้เข้มแข็ง มีผู้ที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย มีการจ่ายใต้โต๊ะ ตนอยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างบริสุทธิยุติธรรมจากผู้บังคับใช้กฎหมายจริงๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่เกี่ยวข้องได้

ด้าน ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย นักวิซาการด้านเทคโนโลยีอาหารและเครื่องดื่ม ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ… และรองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฝ่ายต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องเห็นร่วมกัน โดยขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติฯ ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งเพิ่งจะผ่านวาระที่ 1 ไป คาดว่าต้องใช้เวลาอีกซักพักหนึ่งจึงจะเข้าสู่การพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 โดยอาจเป็นเดือนกรกฎาคม

“การยกเลิกมาตรการห้ามขายช่วงบ่ายนั้นติดที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 ปี พ.ศ.2515 ซึ่งเป็นที่มาของมัน ตามกระบวนการที่ได้คุยกัน การยกเลิกจะออกเป็นประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังจากที่พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลบังคับใช้และยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติดังกล่าว ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวจากฝั่งรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมานั้นทำให้เชื่อได้ว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายผ่อนคลายตรงนี้เพื่อผลักดันเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาคธุรกิจ” ผศ.ดร.เจริญ กล่าว

นอกจากนี้ ผศ.ดร.เจริญ ยังกล่าวถึงประเด็นมาตรา 32 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำคัญของพระราชบัญญัติฯ นี้ ด้วยว่า ตนรู้สึกยินดีที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณามาตรานี้และมีมติให้ปลดล็อคการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความเปลี่ยนแปลงนี้มาจากนโยบายของรัฐบาลอีกเช่นกัน โดยในที่ประชุมกรรมาธิการฯ ที่ผ่านมานั้นการคุยเรื่องมาตรา 32 ออกมาแบบเข้มงวด มีการล็อคองค์ประกอบต่างๆ ไว้ในพระราชบัญญัติฯ ส่วนรัฐบาลนั้นต้องการให้มีการผ่อนคลาย จึงเสนอร่างแก้ไขเข้ามาและชนะโหวตในสภาไป ซึ่งตนก็เห็นด้วยมาตรา 32 นั้นเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ผู้ประกอบการใหญ่ก็ได้ รายย่อยก็ได้ 

“หารัฐบาลที่จะกล้าทำแบบนี้ยากนะ รัฐบาลที่จะฝ่ากระแสคนดีออกมาทำแบบนี้ ส่วนสว.นั้นก็มีทั้งส่วนที่ไม่เห็นด้วยและที่เห็นด้วยกับเรา ซึ่ง สว.จะมีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในการพิจารณากฎหมายตัวนี้ จะมีการแก้ไขเนื้อหาหรือไม่ เราต้องจับตาดูกระบวนการนี้กันต่อไป” ผศ.ดร.เจริญ กล่าวทิ้งท้าย

ตร.ปส. ล้างบางแก๊งค้ายาเสพติดยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 6.5 ล้านเม็ด ไอซ์-เฮโรอีน อีกเพียบ

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภาว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการขับเคลื่อนงานของตำรวจ

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ  วงศ์สุข  รอง ผบ.ตร.(ปป) และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา และพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. บช.ปส. โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย  ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า  รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 – 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนี และยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

เมื่อวันที่ 9 เม.ย.68  ที่ บช.ปส.พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ  วงศ์สุข  รอง ผบ.ตร.(ปป) และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา และพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. บช.ปส. โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย  ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า  รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 – 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. แถลงข่าวจับกุมล้างบางขบวนการยานรกยึดของกลางทะลัก 6.5 ล้านเม็ด  ไอซ์-เฮโรอีนอีกเพียบ 

พล.ต.ท.สันติ  กล่าวว่า บช.ปส.ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร, นบ.ยส.35 และ ป.ป.ส. และ ผู้แทนศุลกากร จับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. จำนวน 4 คดี ผู้ต้องหา 6 คน รถยนต์ของกลาง 5 คัน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 6,534,400 เม็ด, ไอซ์ 15.68 กก., เฮโรอีน 11.47 กก. และตรวจยึดทรัพย์สินไว้ทำการตรวจสอบประมาณ 23 ล้านบาท ดังนี้

โดยคดี ล่าข้ามจังหวัด ทลายเครือข่ายลำเลียงยาบ้ากว่า 5.5 ล้านเม็ด (ยาบ้า 5,584,400 เม็ด) เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 09.30 น. เจ้าหน้าที่ บก.ขส. ร่วมกับ บก.สกส. และหน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ สืบสวนติดตามกลุ่มลำเลียงยาเสพติดจากชายแดน จว.เลย เข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จนเวลาประมาณ 11.00 น. สามารถจับกุมนายทรงพล หรือ ตี๋ พร้อมยาบ้า 3,970,000 เม็ด บริเวณริมถนนพหลโยธิน ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จว.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นเวลา 13.30 น.เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลไปจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่รอรับยาเสพติด ณ ถนนเลียบคลองสิบ ต.บึงกาสาม อ.หนองเสือจว.ปทุมธานี จับกุมนายอนุชิต หรือ ป็อบส์ และนายสุทธาเทพ หรือ เชษฐ์ ได้ขณะขับรถบรรทุก 6 ล้อมารับยาเสพติด ต่อมาเวลา 16.00 น. จากคำให้การของผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ขยายผลตรวจค้นบ้านเลขที่ 68/6 หมู่ 6 ต.ตันหัง อ.บางปะหัน จว.พระนคร

ศรีอยุธยา พบยาบ้าเพิ่มอีก 1,600,000 เม็ด ซุกซ่อนในรถยนต์ และพบอีก 14,400 เม็ด ในตู้ภายในบ้าน พร้อมไอซ์บรรจุกระปุกครีม 152 กระปุก (รวม 10.5 กิโลกรัม) เตรียมส่งออกต่างประเทศ จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 ราย รวมยึดยาบ้า 5,584,400 เม็ด ไอซ์ 10.5 กิโลกรัม ผู้ต้องหาทั้งหมด 5 คน นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจากปฏิบัติการทลายเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากลำน้ำโขงแนวชายแดนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและแหล่งพักคอยในพื้นที่ปริมณฑลกลุ่มนี้ เริ่มตั้งแต่ 21 ตุลาคม 2567 ได้ไล่ล่าจับกุมสมาชิกในเครือข่ายไปแล้ว 16 คน ยึดยาบ้ากว่า 20 ล้านเม็ด  ไอซ์ 10.5 กิโลกรัม ตรวจยึดรถยนต์ 16 คัน บ้านและที่ดิน 7 หลัง พร้อมด้วยเงินสดและทองรูปพรรณ รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

คดีที่ 2  ดักจับสายใต้ ยึดยาบ้าอีกเกือบล้านเม็ด (ยาบ้า 950,000 เม็ด)

เมื่อวันที่  4  เมษายน  2568 เวลาประมาณ  17.25 น. เจ้าพนักงานตำรวจ กก.4 บก.สกส. จับกุมตัวผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน 1 ราย ผู้ต้องหา 1 คน ยาบ้า 950,000 เม็ด สืบเนื่องจาก กก.4 บก.สกส. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์รับจ้างจากนายทุนภาคใต้ เพื่อให้ไปลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือ ด้าน จว.เชียงใหม่  และนำมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา โดยจะใช้รถยนต์นิสสันสีดำ นาวาร่า ทะเบียน 3 ฒธ 77xx  กรุงเทพมหานคร  ในการลำเลียงยาเสพติด ต่อมาวันที่  4 เม.ย.68  เวลาประมาณ  10.00 น พบความเคลื่อนไหวของรถคันดังกล่าว  มุ่งหน้าจากทางภาคเหนือเส้นทางลงสู่ภาคใต้ จึงจัดกำลังเฝ้าตามรายทาง  

จนกระทั่งเวลา 15.20 น พบรถยนต์ดังกล่าว  วิ่งเข้าพื้นที่ จว.ชุมพร จึงได้เรียกตรวจสอบที่ด่านตรวจปฐมพร นายกุหลาบคนขับให้การวกวน  จึงเชิญตัวและนำรถคันดังกล่าว มาตรวจสอบและ x-ray ที่ด่านตรวจยานพาหนะชุมพร  ผลการตรวจค้นพบของกลางยาบ้า จำนวน 660,000 เม็ด  ซุกซ่อนในตัวถัง (ที่มีการดัดแปลงสำหรับซุกซ่อนยาเสพติด) และ ยาบ้าอีกจำนวนประมาณ 290,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในล้ออะไหล่ และตรวจยึดทรัพย์สินไว้ทำการตรวจสอบประมาณ 10 ล้านบาท จึงแจ้งข้อกล่าวหานายกุหลาบ จากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในคดีนี้ต่อไป

คดีที่ 3  ไอซ์-เฮโรอีน ซ่อนในพัสดุ เตรียมส่งออสเตรเลีย (ไอซ์ ประมาณ 5,680 กรัม, เฮโรอีน ประมาณ 1,1470 กรัม)  ก่อนเกิดเหตุ นปส.สุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ได้เฝ้าระวังกลุ่มนักค้ายาเสพติดระหว่างประเทศลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศและระบบโลจิสติกส์จนกระทั่งวันที่ 3 เม.ย.68 เจ้าหน้าที่ตามโครงการ AITF (Airport Interdiction Task Force) ประกอบด้วย นปส.สุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3, สำนักงาน ป.ป.ส. และศุลกากร ตรวจยึดพัสดุปลายทางประเทศออสเตรเลีย จำนวน 2 คดี ดังนี้ คดีที่ 1 ตรวจยึดไอซ์ ประมาณ 2,000 กรัม ซุกซ่อนในหัวตุ๊กตากาฟิว ที่ศูนย์กระจายสินค้าบางนา บางพลี สมุทรปราการ และ คดีที่ 2 ตรวจยึด ไอซ์ ประมาณ 3,680 กรัม และเฮโรอีน น้ำหนักประมาณ 11,470 กรัม ซุกซ่อนในแผ่นผ้า ประกบด้วยกระดาษแข็ง เย็บติดกับกล่องทิชชู่ ที่ศูนย์กระจายสินค้าเทพารักษ์ ต.เทพารักษ์ อ.เมืองจว.สมุทรปราการ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป    

พล.ตท. สันติ กล่าวเผยว่า ปฏิบัติการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามข้อสั่งการของ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้มอบนโยบายให้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง การดำเนินการดังกล่าว มุ่งเน้นการกดดันและทำลายเครือข่ายยาเสพติดทั้งในระดับผู้ค้ายารายใหญ่และรายย่อย ตลอดจนเร่งรัดขยายผลไปยังกลุ่มผู้ให้การสนับสนุน รวมถึงเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้อง โดยในห้วงที่ผ่านมา บช.ปส. ได้ระดมกำลังปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดจำนวน 10 เครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการต่อผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในระดับชุมชน เพื่อสร้างผลกระทบโดยตรงให้เกิดความหวาดกลัวแก่ผู้กระทำผิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่

จากสถิติผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึง ปัจจุบัน ทั่วประเทศสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้จำนวนทั้งสิ้น 42,010 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติดเป็นยาบ้า จำนวน 530,596,150 เม็ด, ไอซ์ 29,922.44 กิโลกรัม, เฮโรอีน 880.31 กิโลกรัม, คีตามีน 3,929.80 กิโลกรัม และยาอีจำนวน 119,498 เม็ด รวมทั้งสามารถดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดได้รวมมูลค่ากว่า 5,014,121,601 บาท

สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 – ปัจจุบัน สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดทุกคดีได้ 755 คดี ผู้ต้องหา 756 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 181,152,158 เม็ด, ไอซ์ 12,516.91 กก., เฮโรอีน 200.68 กก., คีตามีน 710 กก. และยาอี 577 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 1,564,021,964 บาท

สุดยิ่งใหญ่อลังการเหนือผืนแม่น้ำท่าจีนแห่หลวงพ่อวัดไร่ขิงเปิดงานประจำปี 2568

งานนมัสการปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิง ประจำปี 2568 เริ่มแล้วอย่างยิ่งใหญ่จัดขบวนแห่เหนือแม่น้ำท่าจีนสุดอลังการ คาดปลุกเศรษฐกิจชุมชนให้คึกคัก

ที่วัดไร่ขิง พระอารามหลวง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีการจัด พิธีบวงสรวงถวายเครื่องสักการะบูชาองค์หลวงพ่อวัดไร่ชิง และพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแต่บูรพาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อวัดไร่ขิงในอดีต เนื่องในงานเทศกาลนมัสการปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิง ประจำปี 2568

ทั้งนี้ มีขบวนอัญเชิญหลวงพ่อวัดไร่ขิง (จำลอง) ทางน้ำ จากวัดท่าพูด ไปขึ้นที่ท่าน้ำหน้าพระอุโบสถวัดไร่ขิง พระอารามหลวง โดยพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง พร้อมคณะผู้ช่วยเจ้าอาวาส คณะสงฆ์ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ร่วมพิธีอัญเชิญองค์หลวงพ่อวัดไร่ขิง ขึ้นจากแพท่าน้ำประดิษฐาน ณ หน้าพระอุโบสถ ได้มีความอลังการงดงาม บนผืนน้ำของแม่น้ำนครชัยศรี ที่เป็นเอกลักษณ์ของการจัดงานทุกปี ขณะที่บนบกได้มีการแสดงนาฏศิลป์ โรงเรียนวัดไร่ขิง(สุนทรอุทิศ), โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา และศิลปิน (หน้าลานพระบรมธาตุเจดีย์พระอุบาลีมหามงคล)

จากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือสมเด็จธงชัย เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร กรุงเทพมหานคร มาเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ ซึ่งมี น.ส.อโรชา นันทมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส เปิดกรวยถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี และกล่าวสัมโมทนียกถา เปิดงานเทศกาลนมัสการปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิง ประจำปี 2568

สำหรับ การจัดงาน เทศกาลนมัสการปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิง ประจำปี 2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 16 เมษายน ตลอดระยะเวลา 9 วัน 9 คืน มีการเปิดให้ประชาชน เข้ากราบสัการะหลวงพ่อวัดไร่ขิงอย่างต่อเนื่อง ยังมีการจัดมหรสพการแสดงและการออกร้านค้า จากศิลปินดาราและค้าของดีของอร่อยจากทั่วประเทศมารวมกันไว้ที่วัดไร่ของ คาดว่าน่าจะมีประชาชนมาทำบุญและชิมช้อปหลายแสนคนซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชุมชนไหลเวียนมูลค่ามหาศาลแน่นอน

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “โคก หนอง นา”ฝ่าวิกฤตภาษี”โดนัลด์ ทรัมป์”ขย่มโลก

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “โคก หนอง นา ”ฝ่าวิกฤตภาษี”โดนัลด์ ทรัมป์” เผย ที่ผ่านมา ปรัชญาเศรฐกิจพอเพียง “โคก หนอง นา” ช่วยให้สามารถรอดพ้น น้ำท่วม-หน้าฝน การดำรงชีพมั่นคง

นายทศพล ขวัญรอด ประธานเครือข่ายชาวสวนยางและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เจ้าของศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจบ้านพอเพียง หมู่ 4 บ้านตรอกจิก ต.ชะอวด อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช  เปิดเผยว่า จากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัล ทรัมป์ ที่ประเทศไทยต้องถูกจัดเก็บถึงกว่า 30 %   แต่สำหรับในภาครากหญ้าซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของไทย และโดยเฉพาะรากหญ้าที่ยึดโครงการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และโคก หนองนา แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจะยืนหยัดอยู่ได้ เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และโคก หนอง นา ปลูกทุกอย่างที่กินได้ และที่เหลือกินเหลือใช้ก็สามารถส่งขายได้

“แต่ต้องยอมรับว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจต่อวัตถุดิบทางการเกษตรที่เข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมแปรูปเพื่อการส่งออก”

นายทศพล กล่าวอีกว่า  ที่ผ่านมาโครงการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา ในช่วงฤดูฝนและได้เกิดภาวะอุทกภัยน้ำท่วม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่อาชีพ การดำรงชีพพื้นที่ตนก็ประสบเช่นกัน แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง รอดพ้นจากภาวะน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน โดยฝนตกน้ำท่วมประมาณ 3 เดือน หรือฝนตก 1 ปี ก็ยังรอดพ้น

โดยมีพืชผลอาหารยังชีพได้ แถมยังได้สนับสนุนช่วยเหลือเพื่อนบ้านแล้วยังสามารถขายได้ทุกวัน ทำรายได้ถึงวันละ 100 บาท และ 200 บาท

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา ตนมีพื้นที่อยู่จำนวน 6 ไร่  ก็ได้แบ่งปันพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 30 30 30 และ 10  โดยส่วนหนึ่ง 30 จำนวน 1 ไร่ ได้ทำนาข้าวฤดูนาปรังกับนาปี  ได้ผลผลิตรวม ๆ ถึง 700 – 900 กก. / ปี
ส่วนหนึ่งอีก 30 ทำสวนพืชผักผลไม้ยืนต้น กับอีกส่วนหนึ่ง 30 ทำเป็นแหล่งน้ำ และอีกส่วนหนึ่ง 10  สร้างที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งปลูกผักสวนครัวรั่วกินได้  ปลูกพืชยืนต้นพืชผักรวมได้ปลูกไว้กว่า 1,000 ต้น

“มีครบแทบพืชผลพืชผักที่กินได้ มีทั้งพืชผลรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และพืชผลรายปี  มีตัวหลัก ๆ เป็นปาล์มน้ำมัน จำนวน 40 ต้น  มะพร้าว 110 ต้น กล้วย 130 ต้น ปลูกเพิ่มอีก 60 ต้น  รวม 200 ต้น ฯลฯ”

ส่วนพืชผักสวนครัวรั่วกินได้ กะเพรา โหระพา ขิงข่า ตะไคร้ ดีปลีก พริกไทย มะกรูด มะนาว ฯลฯ  และสัตว์น้ำ ปลาหมอ ปาสะลิด ปลาดุก  เป็นต้น

“โดยปาล์มน้ำมัน ได้ประมาณกว่า 1 ตัน / รอบ  ปาล์มน้ำมันราคาขณะนี้ประมาณกว่า 7 บาท / กก. มะพร้วลูกละ 25 บาท  กล้วยประมาณ 7-8 บาท / กก. พ่อค้าจะมีการตัดเอง โดยจะมีรายได้ประมาณรวม ๆ  14,000 บาท 15,000 บาท / เดือน”
นายทศพล กล่าวอีกว่า มีรายได้แต่ไม่มีรายจ่าย มีบ้างเพียงเล็กน้อย เช่น ค่าไฟฟ้ากับสิ่งของที่ผลิตเองไม่ได้ รวมมีค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1,000 บาท / เดือน ส่งผลให้มีเงินเหลือใช้ได้เก็บออม

“ในฤดูฝนนั้นพืชผลทุกตัวปลอดภัย และคนก็ดำรงชีพอยู่ได้ไม่ประสบกับความเดือดร้อน แม้ว่าประสบกับอุกทกภัยน้ำท่วมก็ตาม  ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา ของในหลวงได้ตอบโจกท์และประสบความสำเร็จ”

นายทศพล กล่าวอีกว่า พื้นที่แต่เดิมเป็นนาร้างและมีน้ำท่วมสูงประมาณถึง 1 เมตร  จึงได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา ของในหลวง มาดำเนินการเนื่องจากได้ศึกษาดูงานเรียนรู้อยู่หลายปี  และได้ดำเนินการตั้งแต่นั้นเป็นระยะเวลาปีที่ 15 ประสบความสำเร็จอย่างสูง

โดยวิธีการดำเนินการค่อยเป็นค่อยไป ขุดดินทำเป็น หนอง คูน้ำเพื่อกักเก็บน้ำกั้นน้ำระบายน้ำ และกักกับเก็บน้ำไว้ในฤดูแล้งน้ำจึงไม่ขาดตลอดทั้งปี ทั้งที่ปีที่แล้วเกิดภาวะแห้งแล้งหลายเดือนขาดแคลนน้ำไปทั่ว แต่กลับไม่ได้ขาดน้ำ ส่งผล ให้พืชผลไม่ได้รับผลกระทบ

“ปรัชญาเศรษฐกิจได้เป็นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ประสบปัญหาในการดำรงชีพมีกินมีใช้ตลอดทั้งปี ไม่ได้รวยแต่ไม่ได้จน มีรายได้แต่ไม่มีรายจ่ายมากนัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา หากได้ดำเนินการอย่างเป็นขบวนการกลุ้มก้อนขนาดใหญ่ ก็จะเป็นศูนย์กลางแหล่งอาหาร ศูนย์เศรษฐกิจที่มั่งคงยั่งยืนของประชาชน  จะไม่วิกฤติเศรษฐกิจและเรื่องความยากจน”

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา ที่ดำเนินการกันมากคือภาคอีสาน ที่อีสานใต้ โดยเฉพาะ จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศีษะเกษ และยังมีการตื่นตัวที่เพิ่มขึ้น ส่วนทางภาคใต้มีอยู่ประปรายหลายจังหวัดก็เริ่มมีการตื่นตัวสูงขึ้นเช่นกัน 
 “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา มีการตื่นตัวและขยายตัวมากสมัย  อดีต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี   ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นภูมิคุ้มกันปลอดภัยทั้งอาชีพ  การดำรงชีพมีกินมีใช้”

ทางด้าน นายจีระวัฒน์  ภักดี ที่ปรึกษาสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง และ ประธานวิสาหกิจชุมชนระโนดกล้วยหอมทองปลอดสารพิษ  อ.ระโนด จ.สงขลา เปิดเผยว่า จากนโยบายภาษีของโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกโดยเฉพาะในหมวดอุตสาหกรรม และส่วนใหญ่จะเป็นเครือข่ายของบริษัทประเทศญี่ปุ่น และบริษัทของประเทศจีน ตลอดจนถึงของประเทศมาเลเซีย ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย

ไทยส่วนเป็นภาคเกษตร 80-90 %  ก็จะมีส่วนกระทบอยู่ เช่น ข้าว ยางแปรรูปส่งออก และสิ่งของกินประจำวัน ส่วนปาล์มน้ำมันไม่ได้มีการส่งออกจึงไม่ผลกระทบ  และส่วนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจโคก หนอง นา ก็ไม่ได้รับผลกระทบ  แต่การดำรงชีวิตเศรษฐกิจปรัชญาพอเพียง โคก หนอง นา จะไม่ร่ำรวยเหมือกับภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้รับความเดือดร้อนแต่อย่างใดสามารถที่จะดำงชีวิตที่ดี

“อย่างพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ตั้งแต่ทุเรียน กล้วย มังคุด กาแฟ โกโก ปาล์มน้ำมัน ยกเว้นข้าว กับยาง ที่ได้รับผลกระทบ นอกนั้นพืชเศรษฐกิจตัวอื่น ๆ ก็วางขายในกลุ่มประเทศเอเชีย” นายจีระวัฒน์ กล่าว

ตำรวจสอบสวนกลางบุกรวบตาวัย 83 ปีตันหากลับกระทำชำเราหลานสาว

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ร่วมกันจับกุม นายสมสุขฯ อายุ 83 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดพัทลุง ที่ จ.140/2568 ลงวันที่ 3เมษายน 2568 ฐานความผิด“ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้โดยกระทำแก่ผู้สืบสันดาน,กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม กระทำโดยใช้อาวุธโดยกระทำแก่ผู้สืบสันดาน,กระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยกระทำด้วยการขู่เข็ญด้วยประการใดๆโดยใช้อาวุธ โดยเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดาน”

สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้าน อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง พฤติการณ์ สืบเนื่องจากผู้แจ้งได้ดูคลิปจากเด็กและทราบจากเด็ก ซึ่งเป็นหลานถูกล่วงละเมิดทางเพศจากนายสมสุขฯ ซึ่งเป็นตาแท้ๆ ของเด็ก ว่าผู้ต้องหาได้กระทำชำเราเด็กเหตุเกิดหลายครั้งต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 – 2568 สถานที่ก่อเหตุคือบ้านพักของผู้ต้องหาทุกครั้ง พนักงานสอบสวน สภ.ป่าพะยอม จึงทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการออกหมายจับต่อศาลจังหวัดพัทลุง

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับทราบการอออกหมายจึงทำการสืบสวนติดตาม จนทราบว่าขณะนี้ผู้ต้องหาตามหมายจับไปพักอาศัยอยู่ อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง จึงนำกำลังไปตรวจสอบ ได้พบตัวผู้ต้องหาจึงทำการจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและนำตัวผู้ถูกจับส่ง พงส.สภ.ป่าพะยอม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา 

ม็อบกว่า 300 คน รวมตัวกันหน้ารัฐสภารณรงค์ค้าน-ไม่เอากาสิโน

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ผู้ชุมนุม คปท.จำนวนประมาณ300คน นัดใส่เสื้อสีขาว ตั้งขบวนรณรงค์ค้าน-ไม่เอากาสิโน โดยตั้งขบวนรถจักรยานยนต์และรถยนต์ จากที่ชุมนุมสะพานชมัยมรุเชษฐ์ มุ่งหน้าอาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เพื่อคัดค้าน พรบ.กาสิโน แม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติให้เลื่อนเสนอ พรบ.ดังกล่าวออกไปในสมัยประชุมหน้า

พายุฤดูร้อนถล่มนางรอง บ้านเรือน คอกสัตว์ ยุ้งข้าวเสียหายกว่า 200 หลัง รุนแรงสุดในรอบปี

บุรีรัมย์- พายุฤดูร้อนถล่ม 15 ตำบลใน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ทั้งบ้านเรือน คอกสัตว์ ยุ้งข้าว พังเสียหายกว่า 200 หลัง หญิงแม่ลูกสองเห็นสภาพบ้านพังเกือบทั้งหลังถึงกับน้ำตาซึม ตัดพ้อไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซ่อมแซมบ้าน แค่รับจ้างหากินวันๆ ยังลำบาก นายอำเภอสั่งเร่งสำรวจรายงานจังหวัดเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เมื่อวันที่ 9 เม.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุพายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำในพื้นที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ หนักสุดในรอบปี ส่งผลให้บ้านเรือนราษฎร คอกสัตว์ และยุ้งฉาง ในพื้นที่ 15 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลนางรอง บ้านสิงห์, สะเดา, ลำไทรโยง, ชุมแสง, ทรัพย์พระยา, หนองโบสถ์, หนองยายพิมพ์, หนองกง, หัวถนน, ถนนหัก, ก้านเหลือง, หนองไทร, ทุ่งแสงทอง และตำบลหนองโสน ถูกพายุพัดพังเสียหายกว่า 200 หลัง  โดยตำบลที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด คือ ตำบลชุมแสง  ซึ่งวงจรปิดตามบ้านเรือนสามารถบันทึกภาพขณะพายุพัดกระหน่ำได้ แต่ยังไม่มีรายงานประชาชนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์พายุพัดถล่มในครั้งนี้

ขณะที่ นายโชคชัย สว่างรัตน์ นายอำเภอนางรอง  ได้มอบหมายให้นายอมรินทร์ ทิพย์อักษร ปลัดอำเภอประจำตำบลชุมแสง  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ อบต.ชุมแสง  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  ลงพื้นที่สำรวจบ้านเรือน  คอกสัตว์ และยุ้งฉาง ที่ถูกพายุพัดพังเสียหาย  เพื่อรายงานทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ   เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน  

สอบถามนางกนกวรรณ  ทองเล็ก อายุ 49 ปี  ชาวบ้าน ต.ชุมแสง หนึ่งในผู้ประสบภัย เล่าให้ฟังว่า ช่วงเย็นวานนี้ขณะเกิดพายุถล่ม ตนอยู่บ้านเพื่อน  ปู่โทรศัพท์ไปบอกว่าพายุพัดบ้านพังแล้ว ตอนนั้นตกใจมาก แต่ไม่กล้าวิ่งกลับมาบ้านตอนนั้นเพราะทั้งฝนและลมแรงมากเกรงจะได้รับอันตราย ต้องรอจนกว่าและและฝนหยุดจึงรีบกลับมา   พอมาเห็นสภาพบ้านที่ถูกพายุพัดพังเสียหายเกือบทั้งหลัง ก็ถึงกับร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก และไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซ่อมแซมบ้านที่พังลำพังรับจ้างหากินวันๆ ยังลำบาก  ทั้งมีภาระต้องดูแลลูกอีก 2 คน ตอนนี้ยังไม่สามารถเข้าไปอาศัยในบ้านได้  ต้องไปนอนที่บ้านปู่ชั่วคราวก่อน

ด้านนายกระพันธ์ บำรุงเขต ผู้ช่วยใหญ่บ้านหมู่ 10 บ้านโคกกลาง เปิดเผยว่า ช่วงเย็นวานนี้ทั้งฝนและลมแรงมาก ไม่มีใครกล้าออกมานอกบ้าน กระทั่งรอฝนและลมหยุดจึงพากันออกมาดูก็พบบ้านเรือน คอกสัตว์ และยุ้งฉาง ถูกพายุพัดได้รับความเสียหายหลายหลัง 

อย่างไรก็ตามในงเบื้องต้นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ก็ได้แจ้งข้อมูลให้ทางอำเภอได้รับทราบ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบหลักเกณฑ์ต่อไป.

หากินยาก “ลิ้นจี่ค่อม” ของดีอัมพวา เจ้าของฉายา “ผลไม้ฟ้าประทาน”

“ถนนสวนผลไม้” ต.แควอ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ดินแดนแห่งผลไม้ ต้นกำเนิด “ลิ้นจี่สายพันธุ์ค่อม” ที่ได้รับฉายาว่า “ผลไม้ฟ้าประทาน” เพราะต้องลุ้นกันทุกปี ว่าจะออกผลมาให้กินกันหรือไม่ โดยเมื่อช่วงปลายปี 2567 ถึงช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ในหลายจังหวัดของประเทศไทยได้สัมผัสกับฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเย็นยาวนาน ซึ่งพื้นที่ในสวนลิ้นจี่ของ จ.สมุทรสงคราม ก็ได้รับมวลอากาศหนาวเย็นเช่นกัน ส่งผลให้ในปี 2568 นี้ “ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม” ของดีของชาวอัมพวา ออกผลมาให้ได้ลิ้มรสกันเป็นจำนวนมาก

หากใครอยากมาชิมผลไม้ในตำนานนี้ แนะนำให้มาที่ “ถนนสวนผลไม้” ต.แควอ้อม อ.อัมพวา ซึ่งถนนทั้งเส้นนี้สองข้างทางจะมีสวนลิ้นจี่เรียงรายกันให้ได้แวะชม แวะซื้อ แวะชิมลิ้นจี่ที่ตัดสดๆ จากต้น โดยครั้งนี้จะขอพาแวะที่ “สวนลิ้นจี่สารวัตรตุน” ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดบางเกาะเทพศักดิ์

“สวนลิ้นจี่สารวัตรตุน” มีไฮไลต์สะดุดตาอยู่ที่ต้นลิ้นจี่พันธุ์ค่อมต้นใหญ่ ที่บนต้นมีพวงลิ้นจี่ลูกโตแดงก่ำอวดโฉมชวนกินอยู่เต็มต้น ซึ่งจะสามารถเข้าไปเดินเล่นถ่ายรูปภายในสวน และเด็ดชิมลิ้นจี่สดๆ จากต้นได้ด้วย หรือหากใครชิมแล้วถูกใจต้นไหน ก็สามารถเลือกซื้อลิ้นจี่จากต้นนั้นๆ ตามราคาขายแบบชั่งกิโลกรัมกันได้ แต่ถ้าใครไม่อยากเดินเข้าไปในสวน ที่ด้านหน้าสวนก็มีลิ้นจี่ที่คัดมาแล้วให้เลือกซื้อเช่นกัน

นอกจากนั้นยังสามารถมาชม “ลิ้นจี่ค่อมต้นแรก” ที่เป็นต้นสายพันธุ์มีอายุเกือบ 200 ปี ปลูกโดยนายติ มีแก้วกุญชร เมื่อประมาณปี พ.ศ.2397 ที่ “สวนลิ้นจี่ 200 ปี” โดยสวนนี้จะตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวนสารวัตรตุนมากนักอีกด้วย

สำหรับ “ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม” ลักษณะต้นเป็นทรงพุ่ม โดยการที่จะให้ติดผลนั้นจะต้องให้มีอุณหภูมิ 18-20 องศาต่อเนื่องกัน 7 วัน ซึ่งในช่วงปลายปีชาวสวนจะต้องลุ้นกันว่าอากาศจะเย็นจนติดผลหรือไม่ และเมื่อติดผลแล้ว ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่าจะมีฝนตกหรือไม่ เพราะหากฝนตกลงมาก็จะทำให้ลิ้นจี่ไม่เจริญเติมโตเต็มที่ หรือที่ชาวสวนเรียกกันว่า “ลิ้นจี่กะเทย” นั่นเอง ซึ่ง “ลิ้นจี่กะเทย” นั้น จะมีลักษณะผลที่เล็ก ไม่มีเม็ด ยังสามารถกินได้เช่นกัน แต่รสชาติจะมีติดฝาด และออกเปรี้ยว ไม่หวานฉ่ำแบบลิ้นจี่ที่เจริญเติบโตเต็มที่

วิธีเลือกซื้อ “ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม” ที่รสจัดอร่อยเต็มที่รสชาติดีนั้น มีวิธีดูคือให้ดูที่ลักษณะผลจะต้องสีแดงก่ำ ตัวลูกจะไม่เป็นทรงกลมนักจะเหมือนมีบ่าสองข้าง และด้านในจะเป็นร่องชาด (ในภาษาของชาวสวนคือ ผิวเปลือกด้านในเป็นสีชมพูออกแดง)

ส่วนหนามที่เปลือกจะต้องไม่คมมากนัก และหนามจะไม่ถี่มาก หรือดูที่ขั้วของลูกลิ้นจี่ ถ้ามีตุ่ม (ลูกเล็กๆ) เป็นสีเขียวแปลว่ายังมีติดฝาดและอมเปรี้ยวอยู่บ้าง แต่หากตุ่มนั้นเป็นสีแดง แปลว่ารสฝาดหมดไปแล้วนั่นเอง

ปีนี้ทางจังหวัดสมุทรสงคราม โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสมุทรสงคราม ได้จัดงาน “เทศกาลลิ้นจี่พันธุ์ค่อมและของดีสมุทรสงคราม ปี 2568” โดยแบ่งจัดงานเป็น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จัดขึ้นวันที่ 18-22 เมษายน 68 ณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม และครั้งที่ 2 จัดขึ้นวันที่ 26 เมษายน – 1 พฤษภาคม 68 ณ วัดบางเกาะเทพศักดิ์ อ.อัมพวา

สอบถามเพิ่มเติม สวนลิ้นจี่สารวัตรตุน โทร. 09-0624-0644 สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสมุทรสงคราม โทร. 0-3471-5537 และ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0-3475-2847

เขื่อนลำตะคองวิกฤตหนัก น้ำแห้งขอด คันทางรางรถไฟสมัยร. 5 โผล่ยาวกว่า10 กิโลเมตร

นครราชสีมา-เขื่อนลำตะคองวิกฤตหนัก น้ำต้นทุนลดฮวบ คันทางรางรถไฟสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ  2443 หรือ 125 ปี  โผล่ยาวกว่า 10 กิโลเมตร

สถานการณ์น้ำต้นทุนในเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ประสบภาวะวิกฤต เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้ฝนทิ้งช่วงและฝนตกในพื้นที่ป่าต้นน้ำลำตะคอง ผืนป่ามรดกโลกแห่งที่ 5 ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ มีปริมาณลดลง ส่งผลให้น้ำไหลลงเขื่อนต่ำสุดในรอบ 58 ปี นับตั้งแต่เปิดใช้งาน

ขณะนี้มีปริมาณน้ำใช้การได้ 31.83 ล้าน ลบ.เมตร หรือ 11 % ของพื้นที่ความจุ 314 ล้าน ลบ.เมตร ก่อนหน้านี้พบถนนมิตรภาพ สายประวัติศาสตร์ งบประมาณก่อสร้างระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริการกับรัฐบาลไทย เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมไปจังหวัดอุดรธานี บ้านท่างอย ต.จันทุก อ.ปากช่อง ซึ่งจมอยู่ใต้น้ำหลังเปิดใช้งานเขื่อน เมื่อปี 2512 โผล่ขึ้นให้เห็นสันดอนเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชาวบ้าน เป็นระยะทางยาวกว่า 10 กิโลเมตร

ล่าสุดในพื้นที่บ้านป่าไผ่ หมู่ 1 ต.จันทึก อ.ปากช่อง มองเห็นคันทางรถไฟสายเก่า ซึ่งเป็นทางรถไฟสายแรกของประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ  2443 หรือ125 ปี  โผล่เพิ่มขึ้นมา ระยะทางยาวหลายกิโลเมตร รวมทั้งพื้นคอนกรีตชานชาลาสถานีรถไฟจันทึกเก่า

นายกฯควงพรรคร่วมแถลงถอยแล้วกม.เอนเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์

พรรคร่วมรัฐบาลใส่เกียร์ถอยไม่ดึงดันร่างกม.เอนเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์เข้าสภาฯพรุ่งนี้แล้ว นายกฯอ้างมีเรื่องสำคัญหลายเรื่องทั้งการเยียวยาแผ่นดินไหว-สหรัฐฯขึ้นภาษี

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชาติ แถลงร่วมกันถอยยังไม่ยื่นร่าง พ.ร.บ.การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์เข้าสู่การประชุมสภาฯในวันที่ 9 เมษายน

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า มีการประชุมร่วมกันของหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค โดยเล็งเห็นถึงปัญหาวิกฤติต่าง ๆ ที่ประเทศเรากำลังประสบตอนนี้ ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว และการเยียวยา จะดูแลแน่นอนทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ รัฐบาลก็จะดูเรื่องการยกเว้นกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อจะได้ช่วยพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยได้มากยิ่งขึ้น ก็อยู่ในกระบวนการพิจารณา นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พรรคร่วมฯ ได้คุยกันหมดแล้ว ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ ส่วนใหญ่ก็คือเห็นตรงกันอยู่แล้ว ก็ได้นั่งคุยกันในทุกขั้นตอน 

เมื่อถามว่า การพิจารณาร่างพ.ร.บ.การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์ จะเลื่อนการพิจารณาของสภา จากเดิมคือ 9 เม.ย.นี้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวดูว่าในสภาจะอย่างไรต่อ ซึ่งที่คุยกับพรรคร่วมฯ ก็เอาเรื่องที่เร่งด่วนก่อน อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ถอนหรือดึงร่างกลับมา ระหว่างนี้ก็รับฟังความคิดเห็นได้เรื่อยๆ ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นว่าเราควรจะเรียงลำดับความสำคัญ 

เมื่อถามว่า ร่างพ.ร.บ.การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร จะนำเข้าพิจารณาในสภา สมัยป