สมาคมหมูไทยค้านนำเข้าหมูจากสหรัฐฯหนุ่นนำเข้าข้าวโพด-กากถั่วเหลืองแทน

สมาคมหมูไทย คัดค้านการนำเข้าหมูจากสหรัฐมาร่วม 10 ปี ตั้งแต่สมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” จนถึงปีจจุบัน หมูในรอบ 10 ปี มีกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หากนำเข้าอีกสมัย “ทรัมป์”หวั่นอุตสาหกรรมล่มสลาย แต่สนับสนุนรัฐบาลนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองแทน

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568  นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าเลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยว่า สมาคมผู้เลี้ยงสุกรของไทยทุกภูมิภาค ต่างได้แสดงการคัดค้านการนำเข้าสุกรจากประเทศสหรัฐอเมริกามาตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลอดีต นส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และมาจนถึงรัฐบาล นส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยรวมแล้ว  ได้ทำการคัดค้านมาร่วมระยะเวลา 10 ปี

สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

และมาสมัยนายโดนัล ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทางสมาคมสุกรไทย ก็รับทราบการเคลื่อนไหวของสมาคมสุกรในสหรัฐ ต่างมีความพยามพยามจะทำการผลักดันไปยังรัฐบาลสหรัฐ ให้มีนโยบายการส่งเสริมการส่งออกสุกรเช่นกัน และการที่สหรัฐมีนโยบายเรื่องภาษีศุลกรกับประเทศต่าง ๆ และไทยด้วย สมาคมสุกร จึงมีความกังวลและเชื่อว่าจะมีนโยบายในการส่งออกสุกรของสหรัฐด้วย   โดยในวันที่ 8 เมษายน 2568 ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรไทย จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เพื่อคัดค้านการนำเข้าสุกรจากสหรัฐ

นายปรีชา กล่าวอีกว่า แต่หากมีการนำเข้าจำพวกอื่น ๆ เช่น กากถั่ว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ฯลฯ  ซึ่งเป็นปัจจัยในการแปรรูปผลิตอาหารสุกรจะเป็นการดีกว่า  เพราะประเทศไทยเกี่ยวกับข้าวโพด ฯลฯ ยังผลิตไม่พอแต่ก็ต้องถามชาวไร่ข้าวโพดด้วย ซึ่งก็จะผลดีต่อทุกฝ่ายทั้งผู้ผลิตผู้บริโภค

“สุกรไทยในระยะ 10 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรจะขาดทุนกันมากกว่า เช่น ประสบกับโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร  ASF (African Swine Fever )  หมูกล่องหนีภาษีจากต่างประเทศ ทั้งหมดสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศมาแล้ว”

นายปรีชา กล่าวอีกว่า และผู้เลี้ยงสุกรโดยเฉลี่ยแล้วมีกำไรอยู่ประมาณ 2 ปี ในรอบ 10 ปี  โดยล่าสุดเพิ่งมีกำไรเมื่อเดือนมีนาคม และมาถึงเมษายน 2568  และขณะนี้กลับมากังวลเรื่องการเจรจาภาษีศุลกากร แล้วจะให้มีการนำเข้าสุกรจากสหรัฐ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรก็จะเสียหายทั้งหมดและจะไม่เหลือ

โดยเฉพาะใน จ.พัทลุง และนครศรีธรรมราช สำหรับจังหวัดภาคใต้  เพราะสุกรสหรัฐมีต้นทุนการผลิตประมาณ 1 เหรียญ / ตัว  เหตุผลต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เพราะผลผลิตอาหารสุกรต้นทุนต่ำมาก จากที่มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งสายพันธุ์สุกรและเรื่องของการผลิตอาหาร.

ด้านนายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า วันนี้ผู้เลี้ยงมารวมตัวเพื่อให้รัฐบาลทำงานง่ายขึ้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลของสหรัฐฯ หวังลดการขาดดุลทางการค้ากับนานาประเทศ เพียงประเทศไทยหันมาซื้อสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น มาตรการทางภาษีศุลกากร ก็น่าจะปรับมาในอัตราปกติได้ ขณะที่กลุ่มการเลี้ยงสุกรและปศุสัตว์ไทยเติบโตเร็วจนผลิตพืชอาหารสัตว์ในประเทศตามไม่ทัน ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนแหล่งกำเนิดพืชอาหารสัตว์มาซื้อจากสหรัฐฯ มากขึ้น ก็จะช่วยให้การเจรจาของรัฐบาลไทยง่ายยิ่งขึ้น

สมาคมฯ ได้ศึกษาข้อกฎหมายในการประกาศดังกล่าว ที่เป็นการเร่งแก้ปัญหาการขาดดุลทางการค้าของประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งข้อเสนอในการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี กากถั่วเหลือง และ DDGS เพิ่มในลักษณะเปลี่ยนถิ่นกำเนิดของการนำเข้าเป็นสหรัฐอเมริกา จะสามารถเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้กับสหรัฐฯ ในการส่งสินค้ามายังประเทศไทยได้สูงถึง 84,000 ล้านบาท หรือ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ตามข้อเสนอของสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำฯ ฉบับลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 

“ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเล” รร.วัดฉางหลาง ตรัง … โมเดลอนุรักษ์ทะเลไทย ซีพีเอฟ ดึงศักยภาพนักเรียน-ชุมชนร่วมสร้างความยั่งยืน

วันนี้น้องๆนักเรียน รร.วัดฉางหลาง อ.สิเกา จ.ตรัง ใช้เวลาวันหยุดร่วมกันปลูกหญ้าทะเล ที่ท่าเรือหาดปากเมง อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารสำคัญของพะยูน เพาะหญ้าทะเลทั้งหมดเป็นฝีมือการเพาะของพวกเขาเอง จากศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเล รร.วัดฉางหลาง ทุกคนทั้งสนุกและได้ความรู้จากพี่ๆเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ช่วยอธิบายวิธีการปลูกที่ถูกต้อง ถึงแม้ตัวจะเปื้อนไปด้วยโคลน แต่ทุกๆคนกลับมีความสุขที่ได้ร่วมกันทำกิจกรรมดีๆคืนความสมบูรณ์สู่ธรรมชาติ

“หนูชอบมากที่ได้มาปลูกหญ้าทะเลกับเพื่อนๆ หนูอยากให้หญ้าทะเลที่เราเพาะปลูกเองโตเร็วๆ จะได้เป็นที่อยู่ของสัตว์ทะเล โดยเฉพาะพะยูนจะได้มีหญ้าทะเลเป็นอาหารมากขึ้น หญ้าทะเลยังช่วยฟอกอากาศ ช่วยลดมลพิษในน้ำ ถ้าทะเลบ้านเราอุดมสมบูรณ์ สัตว์น้ำก็จะเพิ่มขึ้น ชาวประมงก็มีรายได้เพิ่ม ขอให้ทุกคนช่วยกันอนุรักษ์ทะเลและหญ้าทะเลกันนะคะ” น้องกนกวดี ถ่อแก้ว หรือน้องกอหญ้า นักเรียนชั้นป.5 รร.วัดฉางหลาง อ.สิเกา จ.ตรัง เล่าขณะกำลังขะมักเขม้นปลูกหญ้าทะเล

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ได้กำหนดเขตอนุรักษ์พะยูนเป็นจุดแรกของไทยบริเวณหาดปากเมง เนื้อที่ 1,300 ไร่ มาตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากพะยูนเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวนใกล้สูญพันธุ์ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีประชากรพะยูนมากที่สุดในประเทศ

ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลโรงเรียนวัดฉางหลาง เกิดขึ้นเพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายนี้ และกลายเป็นโมเดลการอนุรักษ์พยูนและทะเลไทย โดยอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา เด็ก-เยาวชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ผ่านกิจกรรมการเพาะเลี้ยงและปลูกหญ้าทะเล เพื่อให้เป็นถิ่นอาศัยและแหล่งอาหารชั้นดีของสัตว์ทะเล และช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ชั้นยอดของมนุษย์ ที่ทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนฯได้ดีที่สุด โดยกักเก็บไว้ในรูปแบบชีวมวล และยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยของสัตว์น้ำ ในการวางไข่ หลบซ่อนศัตรู และอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน ที่สำคัญยังช่วยลดมลพิษในทะเล และช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำ

สุดใจ ตั้งคีรี ผู้อำนวยการ รร.บ้านฉางหลาง เล่าว่า การอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเล เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ทุกคนต้องหันมาให้ความสนใจ รร.บ้านฉางหลาง ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ได้ผลักดันให้ทั้งนักเรียนและชุมชนร่วมกันดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เราทำกิจกรรมลงพื้นที่สำรวจหญ้าทะเลบริเวณเขาแบนะ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม นักเรียนได้ร่วมกันเก็บหญ้าทะเลที่ลอยขึ้นมาที่ชายหาดเพื่อนำมาเพาะขยายพันธุ์ และได้ลงมือปลูกหญ้าทะเลที่ได้ดูแลกันเองในเขตพื้นที่ที่ได้ดูแลอยู่ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและเกิดความรักในทรัพยากรทางธรรมชาติและเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของนักเรียนด้วย

 “จากกิจกรรมที่ทำมาต่อเนื่องกว่า 6 ปีส่งผลให้ชาวประมงมีผลผลิตทางทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา เพิ่มขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย โรงเรียนบ้านฉางหลางมีโครงการส่งเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม สร้างความตระหนักรู้และจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้เรียนทุกคน เรียนดีมีความสุข”

ฟาร์มอนุบาลลูกกุ้งภาคใต้ ซีพีเอฟ เป็นภาคส่วนสำคัญที่เข้ามาร่วมเสริมสร้างขีดความสามารถแบบมีส่วนร่วม กับสถาบันการศึกษา นักเรียน ชุมชน โดยทีมจิตอาสานำอุปกรณ์มามอบให้กับโรงเรียน ทั้งถังเพาะหญ้าทะเล การเดินระบบน้ำใหม่ ตรวจสอบระบบไฟฟ้า และปรับปรุงอาคารใหม่ เพิ่มกระเบื้องใสเพื่อเพิ่มการรับแสง อุปกรณ์ที่ได้ติดตั้งสามารถเพาะหญ้าทะเลได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 กิ่งต่อปี และโรงเรียนต่อยอดเป็นการจำหน่ายกิ่งหญ้าทะเลให้กับหน่วยงานต่างๆเพื่อนำไปปลูกต่อ เกิดรายได้หมุนเวียนในการดำเนินโครงการ

วรวัฒน์ หมั่นเรียน ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฟาร์มอนุบาลลูกกุ้งภาคใต้ บอกว่า ซีพีเอฟสนับสนุนที่นี่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องหญ้าทะเล สำหรับให้นักเรียนในโรงเรียนต่างๆและประชาชนทั่วไปได้เข้าศึกษาเรียนรู้ และเป็นแหล่งเพาะต้นหญ้าทะเลแล้วนำไปปลูกเพื่อฟื้นฟูทะเล จากนี้จะพัฒนาหลักสูตรอบรมให้ความรู้ด้านการเพาะหญ้าทะเลแก่นักเรียน เช่นการคัดเลือกกิ่งหญ้าทะเล การเตรียมน้ำและเตรียมสภาพแวดล้อมก่อนการเพาะ การติดตามวัดผลการเจริญเติบโต การทำปุ๋ยสำหรับบำรุงหญ้าทะเล และวางแผนในการสร้างอาชีพเสริมให้แก่นักเรียน อาทิ การเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นและสาหร่ายขนนก โดยใช้อุปกรณ์เดียวกันกับที่ใช้เพาะหญ้าทะเล เพื่อให้นักเรียนนำผลผลิตมาแปรรูปและจำหน่ายสร้างรายได้ต่อไป

วันนี้ ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเล รร.วัดฉางหลาง กลายเป็นศูนย์เรียนรู้ที่มีผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานกิจกรรมปลูกหญ้าทะเล ทั้งที่โรงเพาะพันธุ์หญ้าทะเลและสถานที่ปลูกจริง ความเข้มแข็งของความร่วมมือของทุกภาคส่วนช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและท้องทะเลให้กับทุกคนได้อย่างแท้จริง.

ไปดูความน่ารักเต็มๆ ในคลิปเลย! >> https://youtube.com/shorts/iLHr96a-SGc

ผลักดันประเพณี100 ปี ‘ตุ้มโฮม-พี่น้องไต’หนึ่งเดียวใน อ.เชียงคาน จ.เลย กระตุ้นศก.ชุมชน

นายอภินันต์ สุวรรณโค นายอำเภอเชียงคาน  นางนริศรา สุวรรณโค รองประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเลย นาย สมเจตน์ แสงเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เลย เขต 4 นายอดิศักดิ์ ศรีมงคล ประธานศูนย์วัฒนธรรมคนไทดำ และผู้นำชุมชนตำบลเขาแก้ว ทั้ง 13 หมู่ และพี่น้องชาวตำบลเขาแก้ว เปิดงาน ‘ประเพณีตุ้มโฮม-พี่น้องไต’ ที่ศูนย์วัฒนธรรมธรรมไทดำ บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

นายอภินันต์ สุวรรณโค นายอำเภอเชียงคาน  กล่าวว่า พี่น้องไทดำมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน บรรพบุรุษได้เสียสละสร้างบ้านแปงเมืองให้พวกเราได้อยู่เย็นเป็นสุขมาจนถึงปัจจุบัน ในฐานะชนรุ่นหลังจึงควรต้องบำรุงรักษา และฟื้นฟูสิ่งดีงามทั้งหลายของจังหวัดเลยเราให้ยั่งยืน และปรากฏแก่สายตาชาวไทย และพร้อมก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเข้มแข็ง ซึ่งวัฒนธรรมไทดำบ้านนาป่าหนาด เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของชุมชนในจังหวัดเลยที่กำเนิดมาอย่างยาวนาน และได้สืบทอดประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน มีเอกลักษณ์การดำเนินชีวิตที่หลากหลาย ทั้งด้านภาษาพูด ภาษาเขียน อาหารการกินพื้นบ้าน การแต่งกาย การละเล่น เครื่องมือเครื่องใช้ และประเพณีดั่งเดิม นับเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดเลยที่รักษาสืบทอดกันมากว่า 100 ปี

นางจิรวดี ศิลธรรม นายกเทศมนตรีตำบลเขาแก้ว กล่าวว่า ในพื้นที่ตำบลเขาแก้วมีความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม คือ ทั้งวัฒนธรรมพุทธ คริสต์และไทดำ ดังคำขวัญที่ว่า “ดินแดนสามวัฒนธรรม สูงล้ำภูเขาแก้ว เพริศแพร้วผ้าทอมือ เลื่องลือเกษตรอินทรีย์” งานประเพณี “ตุ้มโฮมพี่น้องไต” จัดขึ้นในวันที่ 6-7 เมษายนของทุกปี ตรงกับวันจักรี หรือวันรำลึกพระมหากษัตราธิราชในราชวงศ์จักรี ถือเป็นศูนย์รวมใจเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องจากชาวไทดำบ้านนาป่าหนาด ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5

โดยภายในงานมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมชาวไทดำที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขบวนแห่ทางวัฒนธรรมไทดำ การแสดงของเยาวชนบ้านนาป่าหนาด การเดินแบบแต่งกายด้วยชุดไทดำ การละเล่นพื้นเมืองไทดำ การแสดงฟ้อนแคน การแสดงแซปาง การสาธิตอาหารพื้นเมืองไทดำ เช่น ซั่วไก่บ้าน จุ๊บผัก แจ่วตำ และข้าวผัดเกลือ และการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองไทดำ เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น วัฒนธรรมไทดำได้ส่งต่อสู่รุ่นต่อได้สืบทอดให้ยั่งยืน

ดีเอสไอสนธิกำลังสตช.รวบโบรกเกอร์คนสนิท “หมอบุญ”คาสนามบินสุวรรณภูมิ

DSI ร่วม สตช. จับโบรกเกอร์ คนสนิท “หมอบุญ”คาสนามสุวรรณภูมิกลางดึกหลังจีนผลักดันออกนอกประเทศเหตุมีหมายแดง

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568) เวลาประมาณ 22.00 น. ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจตรี นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรี พิทักษ์ อุทัยธรรม  รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พันตำรวจเอก เดโช โสสุวรรณากุล  รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 แถลงข่าวการจับกุมตัวผู้ต้องหา โดยในวันนี้ นายวุฒิไกร  ศรีธวัช ณ อยุธยา ผู้อำนวยการส่วนสืบสวนสะกดรอยและการข่าว

พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าวและเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้เป็นคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 136/2567 ได้ร่วมกัน จับกุมตัว นางสาวฐิติพร (สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นโบรคเกอร์ของนายแพทย์บุญ ผู้ต้องหาในคดีนี้ ต้องหาว่าร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา ได้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ หลังจากหลบหนีการจับกุมในคดีไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ได้รับโอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 มีผู้กล่าวหาและผู้เสียหาย จำนวนกว่า 605 ราย ปรากฏมูลค่าความเสียหาย 16,100,602,806 บาทโดยกองกิจการอำนวยความยุติธรรม ได้ทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมอายัดทรัพย์และส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และได้ดำเนินคดีกับนายแพทย์บุญกับพวกรวม 16 ราย จับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว จำนวน 13 ราย มีผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายบุญ (สงวนนามสกุล) นางสาวกชพร (สงวนนามสกุล) และนางสาวฐิติพร (สงวนนามสกุล) หลบหนีไปยังต่างประเทศ จึงได้แจ้งไปยังองค์การตำรวจสากล (INTERPOL) ออกประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice)

ต่อมาร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร้อยตำรวจเอกทินวุฒิ สีละพัฒน์ ผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ และนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม ได้รับการประสานงานจาก พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าจากการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเกี่ยวกับผู้ต้องหาตามหมายจับที่หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรในคดีพิเศษนี้ รวม 3 รายดังกล่าว

โดยแจ้งไปยังองค์การตำรวจสากล (INTERPOL) ออกประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) ได้รับแจ้งจากทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าได้ควบคุมตัว นางสาวฐิติพรฯ ได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จึงรายงานให้ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทราบและได้สั่งการให้ กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ร่วมกับกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ประสานงานร่วมบูรณาการกับกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการประสานกับทางการสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อขอความร่วมมือให้พิจารณาผลักดันผู้ต้องหารายนี้กลับมายังประเทศไทยเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ซึ่งในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2568) ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เนรเทศผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาเดินทางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยเครื่องบินมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ มีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้เป็นคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 136/2567 ร่วมกันรับตัวผู้ต้องหาเพื่อส่งมอบให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตามกฎหมาย

อนึ่ง นางสาวฐิติพรฯ เป็นผู้ต้องหารายที่ 14 ที่ถูกจับกุมตัวในคดีพิเศษที่ 136/2567 มีพฤติการณ์เชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุนโดยการนำเงินมาให้นายแพทย์บุญฯ กู้ยืม ต่อมาไม่จ่ายผลตอบแทนและไม่คืนเงินต้นจึงเกิดความเสียหายในวงกว้าง กรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้ติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ร่วมอวยพรวันเกิด “ร.ต.ท. ดร.มนัส โนนุช”

เมื่อวันที่ 7 เมษายนพ.ศ 2568 ณ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย นายรัฐณกรณ์ อมรวีระวัฒน์ นายกสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี , คณะกรรมการสมาคมนักร้องลูกทุ่งแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย สื่อมวลชน ศิลปินฯ นักร้อง-นักแสดง ร่วมแสดงความยินดีวันคล้ายวันเกิด ร.ต.ท.ดร.มนัส โนนุช ประธานมูลนิธิ มิราเคิลออฟไลน์ และประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กันอย่างคับคั่ง

อาทิ ป๋าแหงม ช่อง 5 , ดำรง วงศ์ทอง , ศรีไพร ไทยแท้ , วิธ ธนวรรน์ , กุ้ง สุธิราช , หม่ำจ๊กมก ,ถั่วแระเชิญยิ้ม , น้าโย่ง เชิญยิ้ม,โอบะ เสียงเหน่อ นายกสมาคมตลก ,ยิ่งยง ยอดบัวงาม , กรุง ศรีวิไล, ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ฯลฯ โดยบรรยากาศภายในงานจัดเลี้ยงแบบเป็นกันเอง เต็มไปด้วยความอบอุ่น

5 อำเภอสุขโขทัยอ่วม พายุฤดูร้อน ถล่มโรงเรียน-บ้านเรือนพัง 322 หลัง

พายุฤดูร้อนพัดถล่ม 5 อำเภอ จ.สุขโขทัย ทำให้โรงเรียน บ้านเรือนประชาชน ได้รับความเสียหายอย่างหนัก 322 หลัง ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีเกิดพายุฤดูร้อนพัดถล่มในพื้นที่หลายอำเภอของ จ.สุโขทัย เมื่อช่วงเย็นและช่วงค่ำวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ล่าสุดเจ้าหน้าที่หน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายปกครองและท้องถิ่นได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย

เบื้องต้นพบว่า 5 อำเภอ 16 ตำบล 39 หมู่บ้าน ได้รับผลกระทบ มีเล้าเป็ด คอกวัว โรงเก็บพืชผลทางการเกษตร แผงโซล่าเซลล์ ศาลาอเนกประสงค์ รั้ว อาคารกับโรงจอดรถในโรงเรียน และหลังคาบ้านเรือน พังเสียหายทั้งหมด 322 หลัง

โดยที่ อ.ศรีนคร มีประชาชนเดือดร้อน 3 ตำบล คือ ต.น้ำขุม ต.นครเดิฐ ต.คลองมะพลับ รวม 13 หมู่บ้าน บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเสียหาย 146 หลัง , อ.กงไกรลาศ 3 ตำบล คือ ต.ท่าฉนวน ต.กกแรต ต.ไกรนอก รวม 5 หมู่บ้าน บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเสียหาย 17 หลัง , อ.เมืองสุโขทัย 3 ตำบล คือ ต.วังทองแดง ต.ปากพระ ต.เมืองเก่า รวม 4 หมู่บ้าน บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเสียหาย 25 หลัง

ส่วนที่ อ.สวรรคโลก ได้รับความเดือดร้อน 5 ตำบล คือ ต.หนองกลับ ต.คลองยาง ต.นาทุ่ง ต.คลองกระจง ต.ย่านยาว รวม 13 หมู่บ้าน มีอาคารกับโรงจอดรถในโรงเรียน และบ้านเรือนเสียหาย 96 หลัง และที่ อ.ทุ่งเสลี่ยม มี 2 ตำบล คือ ต.กลางดง ต.ทุ่งเสลี่ยม รวม 4 หมู่บ้าน มีบ้านพังเสียหาย 38 หลังคาเรือน ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการเตรียมให้ความช่วยเหลือต่อไป

นักท่องเที่ยวแห่เที่ยวชม “งานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง”เงินสะพัดบุรีรัมย์ กว่า 50 ล้านบาท

บุรีรัมย์ เงินสะพัดช่วงการจัดงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ประจำปี 2568 มีนักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างประเทศ แห่เที่ยวชมความมหัศจรรย์ของพนมรุ้ง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน ของฝากของที่ระลึก ภายในจังหวัด ส่งผลให้มีเงินสะพัดกว่า 50 ล้านบาท 

เมื่อวันที่ 7 เม.ย.68 นายปิยะ  ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์  เปิดเผยว่า ตามที่ทางจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ได้จัดงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ประจำปี 2568 ในระหว่างวันที่ 4-6 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา อย่างยิ่งใหญ่ โดยจัดให้มีกิจกรรมการแสดง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาเที่ยวในจังหวัดเพิ่มมากขึ้น

ทั้งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตามรอยอารยธรรมขอม และเป็นการอนุรักษ์สืบสานประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน แสดงถึงเอกลักษณ์ทรงคุณค่าของท้องถิ่นและศิลปะวัฒนธรรมที่ต้องอนุรักษ์และสืบสานสู่อนุชนรุ่นหลัง บอกเล่าเรื่องราวของสถาปัตยกรรมที่เป็นมรดกของจังหวัดบุรีรัมย์ และมรดกของชาติ อันทรงคุณค่าอย่างน่าภูมิใจ สู่สายตานักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ

นายปิยะ กล่าวว่า ภายในงานมีการจัดกิจกรรมให้เที่ยวชม ตลาดอารยธรรมวนัมรุง ได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้าไหม ผ้าฝ้ายที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ทั้งผ้าซิ่นตีนแดง ผ้าหางกระรอกคู่ตีนแดง ผ้าภูอัคนี(ผ้าฝ้ายย้อมดินภูเขาไฟ) รวมถึงผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร เครื่องใช้ ของที่ระลึกอื่นๆ และการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้าน 

การบวงสรวงองค์พระศิวะมหาเทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาพนมรุ้ง , ขบวนอัญเชิญพระศิวะมหาเทพ , ขบวนสัตว์พาหนะเทพผู้พิทักษ์ประจำทิศทั้ง 10 และขบวนเสด็จพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี แสดงโดย ดารานักแสดง “ขวัญ อุษามณี” และนางจริยา นำเครื่องบวงสรวง ประกอบด้วย เทพพาหนะผู้พิทักษ์ประจำทิศทั้ง 10 นางสนมกำนัล เหล่าทหาร ข้าทาสบริวาร ดำเนินผ่านเสานางเรียงประดับด้วยธงทิวยิ่งใหญ่อลังการ ขึ้นไปบนอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง การแสดงชุด “ระบำอัปสราบุรีรัมย์”

การแสดงแสงแห่งศรัทธาปราสาทพนมรุ้ง ขบวนแห่สักการะ “น้อมจิตบังคม พนมรุ้งนาฎการ” จากนางรำ ทั้ง 23 อำเภอ กว่า 700 คน แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองประจำถิ่นของแต่ละอำเภอ มาฟ้อนรำถวาย สักการะใต้ร่มพนมรุ้ง อย่างงดงามอลังการ  ยิ่งใหญ่ตระการตา ซึ่งตลอดการจัดงาน ได้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มาเที่ยวชมงานกันเป็นจำนวนมาก

“ซึ่งการจัดงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งในปีนี้ ยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด ให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดประชาชน และนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศให้เข้ามาเที่ยวเพิ่มมากขึ้น คาดจะมีเงินสะพัดตามแหล่งท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และของฝากของที่ระลึก ภายในจังหวัดไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท” นายปิยะ กล่าว

เลยอากาศแปรปรวน! ‘เช้าหมอก เที่ยงร้อนอ้าว บ่ายพายุถล่ม’ มี3ฤดูในวันเดียว

สภาพอากาสเมืองเลยแปรปรวนหนัก! ‘เช้าหมอก เที่ยงร้อนอ้าว บ่ายพายุถล่ม’ มี3ฤดูในวันเดียว เตือนประชาชนฝ้าระวังสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงนี้สภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดเลยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตอนเช้าอากาศดี เย็นมีหมอก อุณหภูมิ 18-20 องศาเซลเซียส ในช่วงกลางวันอุณหภูมิจะสูง 35-38 องศาเซลเซียส และในช่วงบ่ายจะมีอากาศร้อนจัด มีเมฆฝน พายุฤดูร้อนเข้ามาสร้างความเสียหาย เป็นแบบนี้มา 2 วันแล้ว

อำเภอนาแห้ว ที่ภูค้ออากาศดีมากในช่วงเช้าเป็นจุดที่หนุ่มสาวและนักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกภูค้อ หมู่บ้านจะให้บริการโดยรถอีแต๊กพาไต่ขึ้นยอดภูค้อเพื่อไปชมทะเลหมอกวิวประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว ในฝั่งตรงข้าม เช่น ภูผาโกน เป็นต้น

ล่าสุด ทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนในพื้นที่จังหวัดเลย ให้เฝ้าระวังสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ในพื้นที่จังหวัดเลย

เกษตรกรโคราชพลิกไร่มันสำปะหลัง หันปลูกแฟงขายโกยเงินล้าน

ยุคนี้ต้องปรับตัวให้ไวทันกับสถานการณ์โลกซึ่งเกษตรกรโคราชถอดบทเรียน ปลูกมันสำปะหลังราคาตกต่ำผันผวนไม่แน่นอน จึงพลิกผืนดินหันปลูกแฟงขาย ชุบชีวิตไม่กี่เดือนโกยเงินล้าน เห็นผลตอบแทนหายเหนื่อยปลิดทิ้ง คนเราจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญเรื่องนั้นๆ อย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเรียนรู้ในการเพิ่มมูลค่า เพราะหากยังย่ำอยู่กับที่ไม่มีการพัฒนา คนอื่นๆ หรือคู่แข่งก็จะหนีทิ้งห่างเราไปได้

อย่างเกษตรกรครอบครัว “พินิจวรานนท์” ก่อนเคยปลูกมันสำปะหลังมานานหลายปี แต่ราคาก็สุดจะผันผวนดิ่งลงทุกวันบางครั้งขายได้ไม่คุ้มทุน จึงต้องหันมาปลูกแฟงขายไม่คาดคิดผลผลิตจะทำยอดพุ่งกระฉูด รายได้ไม่กี่เดือนทะลุล้านบาทเลยทีเดียว

ครอบครัวของ “นางสุพิณ พินิจวรานนท์ “อายุ 53 ปี เกษตรกรผู้ปลูกแฟงในพื้นที่บ้านใหม่สมบูรณ์ ต.บ้านใหม่ อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา กำลังเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตแฟงภายในไร่ที่ปลูกไว้กว่า 14 ไร่กันตลอดทั้งวันเพื่อนำส่งขายตลาดดอนแขวน ซึ่งเป็นศูนย์กระจายสินค้าทางการเกษตรที่ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่ห่างจากไร่ประมาณ 20 กิโลเมตร

“ตอนนี้แฟงกำลังได้ราคาดีและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก โดยครอบครัวนี้ได้เก็บผลผลิตแฟงส่งขายมาประมาณ 1 เดือน ในราคากิโลกรัมละ 8 – 10 บาท ได้เงินก้อนมาแล้วกว่า 1 ล้านบาท และยังคงเหลืออายุการเก็บเกี่ยวอีกประมาณเดือนเศษ”

นางสุพิณ เจ้าของสวนแฟงไร่พินิจเจริญ บอกว่า แฟงไร่นี้ตัวเองปลูกเอาไว้มาเมื่อประมาณ 3 เดือนกว่าๆ และเริ่มเก็บผลผลิตมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ม.ค.68 ที่ผ่านมา ขายได้ราคาตั้งแต่ 8 – 12 บาท ต่อกิโลกรัม ล่าสุดวันนี้ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 9 บาท ซึ่งก็เป็นราคาปรับขึ้นลงวันต่อวัน ตลอดกว่า 1 เดือนที่ผ่านมาได้เงินไปแล้วกว่า 1.2 ล้านบาท และยังสามารถเก็บผลผลิตต่อไปได้อีกเดือนกว่า เนื่องจากต้นแฟงยังมีสภาพดีและให้ผลผลิตต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มลดจำนวนลงแล้วเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้ตนเองถือว่าได้กำไรจากการปลูกแฟงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนทั้งค่าปลูกและค่าเก็บเกี่ยวไป 2 แสนบาทเท่านั้น

เดิมที่ที่ดินแปลงนี้ตัวเองและครอบครัวจะใช้ในการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างมันสำปะหลังและอ้อย แต่ด้วยสภาพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่มจะมีน้ำขังในช่วงฝนตกชุก ทำให้มันสำปะหลังต้องเจอกับปัญหาโรครากเน่าโคนเน่า อีกทั้งปีไหนได้ผลผลิตดีราคาก็มักจะตกต่ำ เพราะเป็นพืชเชิงเดี่ยวที่ราคาสผันผวนหนัก ทำให้มักจะขาดทุนเป็นส่วนใหญ่

จากนั้นจึงได้ลองปรับเปลี่ยนมาใช้วิธีการปลูกพืชผักที่ใช้เวลาเพาะปลูกระยะสั้นแต่ระยะเก็บเกี่ยวนาน ซึ่งก็จะมีการปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาด เพราะจะทำให้มีรายได้เข้ามาเร็วขึ้น การปลูกมันและอ้อยได้เก็บเกี่ยวแบบปีต่อปี แต่ก็ต้องมีการทำการบ้านศึกษาข้อมูลเพราะการปลูกผักก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจากราคาปรับขึ้นลงวันต่อวัน ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญ โชคดีที่ตอนนี้มีตลาดรับซื้ออยู่ใกล้บ้านจึงสามารถที่จะพูดคุยปรึกษาวางแผนตลาดกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดได้ง่ายขึ้น

“สำหรับการเพาะปลูกแฟงนั้นใช้เวลาการเพาะปลูกประมาณ 75 วันจึงสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้ และจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไปจนประมาณแฟงอายุได้ 120 วัน ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน ครอบครัวของตนทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจกว่าจะมาถึงวันนี้ เมื่อเห็นผลตอบแทนเงินล้านก็หายเหนื่อย”

นางสุพิณ บอกอีกว่า ความคิดของตนตอนนี้นั้น มันสำปะหลัง ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะทำการเพาะปลูก เพราะด้วยสภาพพื้นที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ประกอบกับราคาที่ผันผวนอย่างมากในทุกๆ ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเจอกับปัญหาราคาที่ตกต่ำ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน อีกทั้งยังมีระยะเวลาการเพาะปลูกยาวนานเป็นปี แต่ก็จะต้องได้ลงปลูกบ้างในช่วงที่เป็นเวลาพักแปลงชั่วคราว เพราะการปลูกพืชผักจะปลูกซ้ำที่เดิมไม่ได้นานนัก ไม่เช่นนั้นก็จะมีในเรื่องของปัญหาสภาพดินและโรคแมลงเข้ามารบกวนได้

สองสามีภรรยาชาวลำปางทำ “ไม้ก๊ำสะหรี”จำหน่ายปี๋ใหม่เมือง ยอดจองซื้อเกลี้ยงสต๊อก

ลำปาง – หนึ่งปีมีครั้งเดียว..สองสามีภรรยาเร่งผลิตไม้ก๊ำสะหรี ส่งลูกค้าที่สั่งจองใช้ในประเพณีปี๋ใหม่เมืองวันพญาวัน เผยทำ10-12 วันก่อนถึงสงกรานต์ รายได้หลักหมื่นบาท

ใกล้เทศกาลสงกรานต์ หรือ ปี๋ใหม่เมืองของชาวเหนือ ชาวบ้านต่างเริ่มตระเตรียมและทำสิ่งของ ที่จะต้องนำไปทำบุญตามประเพณี โดยเฉพาะวันสำคัญวันหนึ่งของปี๋ใหม่เมืองที่จะต้องทำกันในวันที่ 15 ซึ่งเป็นวันพญาวัน นั่นคือการขนทรายเข้าวัดและการแห่ไม้ก๊ำสะหรี (ไม้ค้ำโพธิ์) ซึ่งถือเป็นความเชื่อของคนโบราณที่ว่า..การถวายไม้ก๊ำสะหรีจะช่วยให้ตนเองครอบครัวมีสิ่งที่จะมาช่วยค้ำจุนให้อยู่ดีมีสุข

“ไม้ก๊ำหรือไม้ค้ำ” จะมีลักษณะเป็นท่อนไม้ยาวหลากหลายขนาด ปลายไม้เป็นง่ามสำหรับค้ำยัน มีการประดับตกแต่งด้วยกระดาษสีสวยงาม เมื่อนำไปถวายวัดแล้วก็จะนำไม้ก๊ำสะหรีไปค้ำที่สะหรีหรือสรี ซึ่งหมายถึง ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าที่ปลูกอยู่ในวัดนั่นเอง

แต่ปัจจุบันแต่ละคนที่ต้องการไม้ก๊ำสะหรีเพื่อไปประกอบพิธีดังกล่าวไม่ค่อยทำเอง เพราะต้องมีความรู้และต้องหาไม้ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ดังนั้นสองสามีภรรยา คือลุงผา และ ป้าพัฒน์ คันใจ ชาวบ้านน้ำโท้ง ต.บ่อแฮ้ว จ.ลำปาง ก็จะเร่งผลิตไม้ก๊ำสะหรี ออกจำหน่ายให้ลูกค้าในเทศกาลปี๋ใหม่ ซึ่งขณะนี้ได้เร่งผลิตทุกวัน เพราะมีลูกค้าสั่งซื้อและจองไว้


ลุงผา เล่าว่า ได้เร่งสั่งซื้อไม้ซึ่งที่บ้านเรียกไม้ผักหนอง เป็นไม้เนื้ออ่อนที่ขึ้นตามสวนของชาวบ้านตัดมาขายให้ ซึ่งก็ต้องเลือกไม้ที่ตรงและมีง่าม 2-3-4 ง่าม ความสูงของไม้ต้องมีขนาด 3.5 เมตร สั้นกว่านั้นใช้ไม่ได้ ไม้ต้องมีอายุประมาณ 3-4 เดือน เล็กใหญ่ได้ทั้งหมด

เมื่อได้มาแล้วก็ต้องนำมาปลอกเปลือกออกตากแดดให้แห้ง แล้วใช้กระดาษทรายขัดไม่ให้มีเสี้ยนหนามติด จากนั้นก็จะทาด้วยขมิ้นให้ไม้เป็นสีเหลือง ตากให้น้ำขมิ้นซึมเข้าสู่เนื้อไม้แล้วจึงมาตกแต่งด้วยกระดาษ7สีให้ดูสวยงาม ขณะนี้ต้องเร่งทำให้กับลูกค้าที่สั่งจองไว้จำนวนมาก 1 ปี ก็จะทำหนึ่งครั้ง โดยจะเริ่มสั่งไม้ไว้ปลายเดือนมีนาคมและต้นเดือนเมษายนก็จะเริ่มทำสต๊อกไว้ให้ลูกค้า


ป้าพัฒน์ บอกว่า ไม้ก๊ำสะหรีที่ทำจะยึดตามประเพณีดั้งเดิมคือการใช้ขมิ้นซึ่งเป็นสมุนไพรธรรมชาติมาทาเสาไม้ให้เป็นสีเหลือง ตามความเชื่อที่ว่าการจะนำไม้เข้าวัดจะใช้สีเหลือง ดังนั้นไม้จึงต้องเป็นสีเหลือง ซึ่งหลังๆมานี้คนทำไม้ค้ำเองน้อย แต่ตนจะทำทุกปีเพราะเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นพ่อแม่ ทำประมาณ 10-13 วัน ก็มีรายได้หลักหมื่นกว่าบาทก็ถือว่าดี โดยปีนี้ก็ยังขายในราคาเดิมคือ เล่มเล็ก 80-200 บาท ตามขนาด และง่ามของไม้ หากไม้มีลักษณะพิเศษเช่นขนาดใหญ่ลำตรงและมี 4 ง่ามก็จะมีราคาเพิ่มขึ้น

สำหรับปีนี้คาดว่าจะทำประมาณ 100 เล่ม ตามที่ลูกค้าสั่ง แต่หากประชาชนท่านอื่นๆสนใจสามารถสั่งจองได้ถึงวันที่ 13 เมษายนนี้เท่านั้น โดยโทรมาได้ที่เบอร์ 097-9723106 และ 086-0542767