ราคาพุ่ง เกษตรกรสทิงพระเร่ง ‘เก็บผลผลิตแตงกวาขาย’สร้างรายได้งดงาม

เกษตรกรในอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตแตงกวา ซึ่งเป็นพืชระยะสั้น ใช้เวลาปลูก 30 – 35 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตขายสร้างรายได้อย่างงามให้กับครอบครัว อีกทั้งในช่วงนี้แตงกวาราคาดี ในท้องตลาดราคา กก.ละ 25 บาท

นายบัณฑิต และ นางปราณี เหมือนนอง สองสามีภรรยา เกษตรกรอำเภอสทิงพระ ใช้พื้นที่ดิน 1 ไร่ ที่หมู่ที่ 7 ต.กระดังงา อ.สทิงพระ จ.สงขลา ปลูกพืชระยะสั้น โดยทำการปลูกแตงกวาพันธุ์จังโก้ 1,300 ต้น ยกเป็นร่อง 10 ร่องปลูกแตงกวา ร่องละ 130 ต้น และใช้ไม้เสม็ดทำเสาค้างขึงด้วยอวนตลอดแนวร่อง เพื่อให้แตงกวาได้เลื้อยขึ้นไปบนค้าง เมื่อเจริญเติบโต โดยใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพตั้งแต่เริ่มปลูกไม่ใช้สารเคมี รวมทั้งให้น้ำทางสายยางใช้เครื่องสูบน้ำสูบจากคลองส่งน้ำที่ขุดกักเก็บน้ำไว้ สองสามีภรรยาใช้เวลาดูแลแตงกวาเป็นอย่างดี ใช้ระยะเวลาในการปลูก 30- 35วัน แตงกวาเจริญงอกงามดี โดยไม่มีศัตรูพืชมารบกวน  ออกดอกออกผล และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในวันนี้

สำหรับแตงกวาชุดนี้ ใช้สารปรับปรุงบำรุงดิน ของกรมพัฒนาที่ดินเพื่อปรับสภาพดิน การเก็บเกี่ยวผลผลิตแตงกวาของนายบัณฑิต-นางปราณี เหมือนนอง เกษตรกรอำเภอสทิงพระ ผลผลิตออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดยราคาแตงกวาในวันนี้ที่แม่ค้ามารับซื้อที่บ้านราคาอยู่ที่ กก.ละ 15 บาท และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวันตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน และได้ตั้งเป้าในการขายผลผลิตแตงกวาแปลงนี้ไว้ 2 หมื่นบาท จากการลงทุนในการปลูก 6,500 บาท ในเวลา 1 เดือน

นายบัณฑิต เหมือนนอง เกษตรกรอำเภอสทิงพระ กล่าวว่า วันนี้เป็นการเก็บผลผลิตแตงกวาชุดแรกที่ได้ทยอยออกมาก่อน โดยเก็บได้ 30 กก.ปลูกทั้งหมด 1,300 หลุม ในพื้นที่ 1 ไร่ แตงกวาเจริญเติบโตดี ลูกดก แล้วได้ราคา ในส่วนของปัญหาในการปลูกแตงกวา ไม่มีปัญหาเลย เพราะปลูกโดยใช้ชีวภาพล้วนๆ โดยไม่ใช้สารเคมีเลย ไม่มีแมลงมารบกวน

กระทรวงเกษตรฯเตรียมจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 68

“รมว.นฤมล”เผยกระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 68 พร้อมเปิดลงทะเบียนออนไลน์ รับพันธุ์ข้าวพระราชทาน

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการเตรียมจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2568 ว่า ในปีนี้ได้กำหนดวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งประกอบด้วย พระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล เป็นพระราชพิธีทางสงฆ์ โดยจะประกอบพระราชพิธี ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ในวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม 2568 และถือเป็นวันเกษตรกรด้วย สำหรับในวันถัดมาของการประกอบพระราชพิธีคือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์จะประกอบพระราชพิธีในวันศุกร์ที่ 9 พ.ค.2568 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

“พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ถือเป็นพระราชพิธีซึ่งกระทำขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและส่งเสริมบำรุงขวัญเกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก โดยกำหนดจัดขึ้นในราวเดือนหกของทุกปี หรือเดือนพฤษภาคมที่มีฤกษ์ยาม ที่เหมาะสมต้องตามประเพณี ให้จัดขึ้นในเวลานั้นอันถือเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นฤดูกาลแห่งการทำนา”

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ในปี พ.ศ.2568 ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนา คือ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวธิรดา วงษ์กุดเลาะ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร และนางสาววราภรณ์ วิลัยมาตย์ เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงานกรมวิชาการเกษตร เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวฉันทิสา อารีเสวต นายสัตวแพทย์ชำนาญการ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และนางสาวอภิชญา ฟูแสง นักวิชาการตรวจสอบบัญชีปฏิบัติการ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้เชิญเครื่องอิสริยยศ จำนวน 4 ราย คู่เคียงในกระบวนแห่อิสริยยศพระยาแรกนา จำนวน 16 ราย และพระโคแรกนา ได้แก่ พระโคพอ และพระโคเพียง พระโคสำรอง ได้แก่ พระโคเพิ่ม และพระโคพูล

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าว จะทำหน้าที่ในการจัดเตรียมพันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืช ซึ่งนำมาใช้ในงานพระราชพิธีฯ โดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำพันธุ์ข้าวทรงปลูกในฤดูนาปี 2567 โครงการนาทดลองในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา มาใช้ในงานพระราชพิธีฯ ประจำปี 2568ประกอบด้วย พันธุ์ข้าวนาสวน จำนวน 5 พันธุ์ (ขาวดอกมะลิ 105, กข 79, กข 85, กข 99 (หอมคลองหลวง 72) และกขจ 1 (วังทอง 72)) พันธุ์ข้าวเหนียว จำนวน 2 พันธุ์ (กข 6 และ กข 24 (สกลนคร 72)) เมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่นำเข้าในพระราชพิธีมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 4,880กิโลกรัม และจัดเป็น “พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” บรรจุในซองพลาสติกแจกจ่ายให้บรรดาพสกนิกร ประชาชนผู้สนใจ และชาวนาทั่วประเทศรับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรตามประเพณีนิยม เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์สืบไป

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนรับชมและรับฟังการถ่ายทอดสดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2568 ในวันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2568เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ผ่านช่องทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสื่อโซเชียลมีเดีย รวมทั้งสามารถลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อขอรับเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ผ่านทางเว็บไซต์ https://rice.moac.go.th ได้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2568

จบสะใจ! “กุหลาบดำ” ซ้ายดุน็อก “เฟอร์ซาน”, “อวตาร” บดแต้ม “เคนดู” ศึก ONE ลุมพินี 103

ศึก ONE ลุมพินี 103 กลับมาสร้างความสนุกให้กับแฟนกีฬาต่อสู้แบบถึงใจเช่นเดิม โดยนักสู้ทั้ง 24 ชีวิต พร้อมใจกันโชว์ผลงานยอดเยี่ยมเพื่อชิงแต้มชัยมาครอง เมื่อวันศุกร์ที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ณ สนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา)

คู่เอกของรายการ ซ้ายอุกกาบาต “กุหลาบดำ สจ.เปี๊ยกอุทัย” ยอดมวยกำปั้นอันตราย วัย 26 ปี จากสุรินทร์ สานต่อฟอร์มแรงท้าชนแกร่ง “เฟอร์ซาน ชิเชก” นักสู้หมัดหนัก วัย 28 ปี จากตุรกี ในกติกามวยไทย 147 ป.

หลังจากยืนคุมเชิงจับจังหวะกันได้ไม่นาน “กุหลาบดำ” สบโอกาสกดหมัดซ้ายตรงเต็มแรงเข้าที่ใบหน้าส่ง “เฟอร์ซาน” ร่วงล้มทั้งยืน ทำให้ “กุหลาบดำ” ใช้เวลาเพียงแค่ 2:11 นาที ของยกแรก ปิดเกมน็อกคู่ชกได้แบบเด็ดขาด เดินหน้าเก็บชัยชนะ 3 ไฟต์ติด พร้อมรับโบนัส 350,000 บาท ได้เป็นครั้งที่ 4

คู่เอกภาคอินเตอร์ “เคนดู เออร์วิง” มวยฟอร์มฮอต วัย 24 ปี จากสหรัฐอเมริกา เจ้าของผลงานชนะ 2 ไฟต์รวด ปะทะ “อวตาร พีเค.แสนชัย” นักสู้ศอกคม วัย 31 ปี จากสระบุรี ในกติกามวยไทย รุ่นแบนตัมเวต

สองยกแรก “อวตาร” บุกสู้ตามแผนโดยเน้นโจมตีจากวงใน ส่วน “เคนดู” พยายามใช้ข้อได้เปรียบด้านรูปร่างที่สูงยาวออกอาวุธตอบโต้กลับไม่หยุด ยกตัดสิน “อวตาร” เร่งเครื่องบู๊สุดตัวทำให้ “เคนดู” ต้องชกด้วยความรัดกุมมากขึ้น เมื่อครบ 3 ยก เป็นฝ่าย “อวตาร” ชนะคะแนนเอกฉันท์ ฉลองคืนสังเวียนครั้งแรกในรอบปีได้อย่างสวยงาม 

ตลอดการแข่งขันสุดเข้มข้นในค่ำคืนนี้ ปรากฏว่ามีนักกีฬา 4 ราย แสดงฝีมือเข้าตา บิ๊กบอส “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” จึงประกาศมอบโบนัสให้เป็นรางวัลพิเศษเข้ากระเป๋าคนละ 350,000 บาท แบบไม่รวมค่าตัว รวมยอดเงินทั้งสิ้น 1,400,000  บาท (หนึ่งล้านสี่แสนบาท) ได้แก่ “ลูคัส กานิน”, “เฟซ เอราวัณ”, “วัชรพล พีเค.แสนชัย” และ “กุหลาบดำ สจ.เปี๊ยกอุทัย”

สรุปผลการแข่งขันทุกคู่ ONE ลุมพินี 103  

คู่เอก กุหลาบดำ สจ.เปี๊ยกอุทัย ชนะน็อก เฟอร์ซาน ชิเชก (ตุรกี) นาทีที่ 2:11 ของยกแรก (มวยไทย 147 ป.)

คู่รอง วัชรพล พีเค.แสนชัย ชนะน็อก มังกร บูมเด็กเซียน นาทีที่ 1:52 ของยก 2 (มวยไทย 119 ป.)

พันศักดิ์ ว.วรรณทวี ชนะคะแนนไม่เอกฉันท์ พลังบุญ ว.สันต์ใต้ (มวยไทย 128 ป.)

วอลเตอร์ กอนซาลเวส (บราซิล) ชนะคะแนนเอกฉันท์ ซาเวียร์ กอนซาเลส (สเปน) (มวยไทย 128 ป.)

เหิร เอ็นเอฟ.ลูกสวน ชนะคะแนนเอกฉันท์ ฟ้าจรัส ส.เดชะพันธ์ (มวยไทย 113 ป.)

เสือจั่น ส.อิสระโชติ ชนะคะแนนเอกฉันท์ เพชรตาเสือ สีโอปอล (มวยไทย 119 ป.)

อวตาร พีเค.แสนชัย ชนะคะแนนเอกฉันท์ เคนดู เออร์วิง (สหรัฐอเมริกา) (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต)

ฮาคิม บาห์ (ฝรั่งเศส/โมร็อกโก) ชนะน็อก บุญเลิศ ส.บุญมีฤทธิ์ นาทีที่ 2:45 ของยกแรก (มวยไทย 147 ป.)

เฟซ เอราวัณ ชนะน็อก ยางดำ จิตรเมืองนนท์ นาทีที่ 1:18 ของยกแรก (มวยไทย 123 ป.)

จี เชง ฟีบิ โล (ฮ่องกง) ชนะคะแนนเอกฉันท์ ฟูยูกะ (ญี่ปุ่น) (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต)

ลูคัส กานิน (อาร์เจนตินา) ชนะทีเคโอ อาร์ลีซอน นูนีส (บราซิล) นาทีที่ 0:30 ของยกแรก (MMA รุ่นแบนตัมเวต)

เอ็ดซอน มาชาวาน (แอฟริกาใต้/โมซัมบิก) ชนะทีเคโอ ฟริตซ์ บิอักตัน (ฟิลิปปินส์) นาทีที่ 0:35 ของยก 2 (MMA รุ่นฟลายเวต)

สสว. จับมือ ช้อปปี้ เปิดแคมเปญ “Thai SME Privilege Deals” เสริมแกร่ง SME ไทย

สสว. ร่วมกับ ช้อปปี้ จัดแคมเปญออนไลน์ “Thai SME Privilege Deals” บนช้อปปี้ ชวนเลือกซื้อสินค้าคัดสรร รับส่วนลดพิเศษ 1 เม.ย. – 31 พ.ค. 68 นี้ พร้อมเชิญชวนผู้ประกอบการ SME พัฒนาศักยภาพผ่านเครื่องมือใหม่บนแพลตฟอร์มออนไลน์

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ในปีนี้ งาน SME Privilege มุ่งเน้นการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยแบ่งเป็น 3 ด้านหลัก คือ ส่วนลดสินค้าและบริการ เน้นการลดต้นทุนการผลิต การยกระดับมาตรฐาน สำหรับผู้ประกอบการ และส่วนลดสำหรับผู้ใช้งาน อาทิ คูปองส่วนลดค่าบริการต่าง ๆ เช่น ค่าขนส่งสินค้า ค่าใช้ตรวจวิเคราะห์วัตถุดิบ ฯลฯ การขยายช่องทางการตลาด เน้นการเพิ่มช่องทางตลาดใหม่ๆ เข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย อาทิ พื้นที่จำหน่ายสินค้าร่วมกับ Modern Trade ชั้นนา พร้อมส่วนลดสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ค่าGP, Entry Fee ไปจนถึงสิทธิพิเศษด้านระยะเวลา Credit Term และการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน เน้นสิทธิพิเศษจากสถาบันการเงิน หรือการสนับสนุนจากแหล่งทุนต่างๆ อาทิ เงินกู้อัตราดอกเบี้ยพิเศษเสริมสภาพคล่อง และบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน

รักษาการ ผอ. สสว. เผยอีกว่า สสว. ยังคงมีความร่วมมือในมิติการขยายช่องทางการตลาด กับ ช้อปปี้ อย่างต่อเนื่อง เพราะแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าออนไลน์มีเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมเพิ่มยอดจำหน่าย และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องตามความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งในปีนี้ “SME Privilege” มีความพิเศษทั้งส่วนของ SME ผู้จำหน่ายสินค้ากับ สสว. และส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ซื้อ ด้วยการมอบโค้ดส่วนลด 50% (CODE: SME2025) ผ่านแคมเปญออนไลน์ “Thai SME Privilege Deals” บนแพลตฟอร์มช้อปปี้(https://shopee.co.th/osmep) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2568

“สสว. มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดสิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ ในลักษณะที่เป็น Privilege จริงๆ โดยช้อปปี้ เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีการ MOU อย่างต่อเนื่อง และพยายามพัฒนาสิทธิพิเศษให้สอดคล้องตามความต้องการของผู้ประกอบการที่คอยแนะนำหรือแจ้งความต้องการมายัง สสว. ผ่านทางเจ้าหน้าที่ สสว. รวมถึงช่องทางในการติดต่อต่างๆ ที่เราพยายามจัดให้มีอย่างครอบคลุมและเท่าทัน ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ Privilege ต่างๆ ได้ที่แอปพลิเคชัน SME Connext ของ สสว. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ท้ายนี้ก็อยากขอฝากให้ช่วยกันผลักดัน SME Privilege ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย โดย สสว. ก็จะทำหน้าที่ “เคียงข้าง SME คู่คิดที่ดีผู้ประกอบการไทย” ตลอดไป” รักษาการแทน ผอ.สสว. กล่าว

ด้านผู้บริหาร ช้อปปี้ (ประเทศไทย)  เปิดเผยว่า ช้อปปี้ได้ร่วมมือกับ สสว. อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจัดทำแคมเปญ “Thai SME Privilege Deals”  ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2568 บนแพลตฟอร์มช้อปปี้ เพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการที่สมัครเข้ารับบริการกับ สสว. รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้นวัตกรรมต่างๆ ในการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และด้วยศักยภาพของช้อปปี้ ซึ่งถือเป็นอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจผู้ใช้งานชาวไทย มั่นใจว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความมุ่งมั่นและตั้งใจของ สสว. ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านธุรกิจออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ด้วยพันธกิจองค์กรของช้อปปี้ ยังมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบการชาวไทยผ่านเทคโนโลยี  เราจึงมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยผลักดันและเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

พ่อเมืองศรีสะเกษ นำเกษตรกรตัดลูก-ตัดใจ-ตัดแต่งผล’ทุเรียนภูเขาไฟ’

ผู้ว่าฯศรีสะเกษ นำเกษตรกร ตัดลูก ตัดใจ ตัดแต่งผลทุเรียนภูเขาไฟ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ให้ได้ทุเรียน GI ที่มีคุณภาพ เนื้อเนียนนุ่ม ละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน

นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ตัดลูก ตัดใจ ตัดแต่งผลทุเรียนภูเขาไฟ” ประจำปี 2568 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต โดยมี นายสุชาติ กลิ่นทองหลาง เกษตรจังหวัดศรีสะเกษ หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรกลุ่มแปลงใหญ่ เข้าร่วมกิจกรรมที่สวนพี่พัชรินทร์ ซึ่งเป็นสวนทุเรียนในบ้านพิงพวยตะวันออก ตำบลพิงพวย อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ

นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า วันนี้ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรม “ตัดลูก ตัดใจ ตัดแต่งผลทุเรียนภูเขาไฟ” ปี 2568 จัดขึ้นเพื่อเป็นกิจกรรมรณรงค์ให้เกษตรกร ดูแลจัดการทุเรียนให้มีคุณภาพ โดยการตัดลูกส่วนเกิน แต่เหลือลูกไว้อย่างเหมาะสมตามหลักวิชาการ แม้มีผลทุเรียนเยอะแยะเต็มต้น แต่เกษตรกรตัดใจได้ เพื่อรักษาผลทุเรียนให้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด เป็นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รับทราบและมั่นใจ ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ได้รับการดูแล เอาใจใส่ ตั้งแต่เริ่มต้นเกษตรกรต้องพิถีพิถัน เฝ้าดูทะนุถนอมเหมือนลูก ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา มีใจรักในทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ

ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวต่อไปว่า ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลังที่สำคัญของจังหวัด เป็นหนึ่งในประเด็นการขับเคลื่อนวาระจังหวัด “เกษตรบูรณาการ” อีกทั้งได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) โดยจังหวัดศรีสะเกษถือเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ปลูกทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษทั้งหมด 20,463 ไร่ คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีพื้นที่ให้ผลผลิต 13,568 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2,392 ไร่ หรือเพิ่มขึ้น 21.40 % เพาะปลูกใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกันทรลักษ์ ขุนหาญ และอำเภอศรีรัตนะ ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่ดินภูเขาไฟที่มีลักษณะเหนียว อนุภาคดินละเอียดสลับกับหินหยาบสีแดง ระบายน้ำดี มีธาตุอาหารชนิดต่างๆ ที่จำเป็นต่อพืชในปริมาณสูง ส่งผลให้ทุเรียนมีรสชาติดี เนื้อทุเรียนแห้ง เส้นใยละเอียด ละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ดังนั้นในห้วงเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน เกษตรกรชาวสวนทุเรียน ทำการตัดแต่งทุเรียนภูเขาไฟผลเล็ก ลดจำนวนลูกทุเรียนภูเขาไฟเพื่อลดการสูญเสียน้ำ หากไม่ตัดแต่งอาจเกิดปัญหาน้ำเลี้ยงไม่พอ ลูกจะเล็กลง แม้เกษตรกรเสียดายผลทุเรียน แต่ต้องตัดใจ ถ้าอยากได้ทุเรียนลูกสวย ไม่เน้นปริมาณ เน้นที่คุณภาพสู่ผู้รอบริโภค ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ เกรดพรีเมียม จึงขอเชิญชวนผู้สนใจได้แวะมาชิมลิ้มลองทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากอัตลักษณ์รสชาติที่โดดเด่น “เนื้อเนียนนุ่ม ละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน” จนเป็นที่ยอมรับ

ศรต.ยผ. สั่งระงับใช้ 34 อาคารกทม.ตรวจพบเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหว

ศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย แถลงการณ์กรณีการตรวจสอบอาคารที่มีการแจ้งว่าได้รับความเสียหาย

โดยระบุว่า ศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) ณ กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระรามที่ 6 ได้ร่วมกับสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน จำนวน 110 คน ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่มีการแจ้งว่าได้รับความเสียหาย โดยมีการแบ่งอาคารในการตรวจสอบออกเป็น 3 กลุ่ม และขอรายงานผลการดำเนินงานตามการแบ่งกลุ่มอาคาร ดังนี้

อาคารกลุ่มที่ 1 ได้แก่ อาคารภาครัฐ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน อาคารราชการในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบร่วมกับสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับการร้องขอ ในวันที่ 1 เมษายน 2568 จำนวน 25 หน่วยงาน จำนวน 81 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 76 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 5 อาคาร และไม่มีอาคารที่มีความเสียหายอย่างหนักและระงับการใช้อาคาร สีแดง

สรุป ดำเนินการตรวจสอบอาคาร สะสมตั้งแต่ วันที่ 28 มีนาคม – 1 เมษายน 2568 จำนวน 125 หน่วยงาน จำนวน 367 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 334 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 30 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 3 อาคาร และทางเชื่อมอาคาร จำนวน 1 แห่ง

อาคารกลุ่มที่ 2 ได้แก่ อาคารสูง โรงแรม คอนโดมิเนียม หอพัก ห้างสรรพสินค้าที่เป็นของภาคเอกชน อาคารเหล่านี้ เป็นอาคารที่ต้องมีการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคารทุกปีอยู่แล้ว กรมโยธาธิการและผังเมืองได้แนะนำให้เจ้าของอาคารให้ผู้ตรวจสอบอาคารที่เคยตรวจสอบเข้าดำเนินการ ตามคู่มือสำรวจความเสียหายขั้นต้นของโครงสร้างอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวของกรมโยธาธิการและผังเมือง ในกรณีที่ผู้ตรวจสอบอาคาร

ไม่สามารถตรวจสอบอาคารได้ ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองมีผู้ตรวจสอบอาคารที่ขึ้นทะเบียน จำนวนมากกว่า 2,600 ราย สามารถค้นหาผู้ตรวจสอบอาคารได้ผ่านเว็บไซต์กรมโยธาธิการและผังเมือง ปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดสายด่วนสำหรับขอรับคำปรึกษาและแจ้งเหตุที่หมายเลข 1531 / 02 299 4191 และ 02 299 4312 ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือด่วน สั่งการให้กรุงเทพมหานคร ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารตามมาตรา 32 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน โรงมหรสพ โรงแรมตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป โรงงานที่มีความสูงมากกว่า 1 ชั้น และพื้นที่ตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป สถานบริการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป อาคารชุดหรืออาคารอยู่อาศัยรวมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป และป้าย ให้ดำเนินการตรวจสอบสภาพอาคาร โครงสร้างของตัวอาคารและอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ ของตัวอาคาร รายงานผลการตรวจสอบให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ พร้อมมาตรการควบคุมกรณีพบว่าอาคารมีความชำรุดในระดับต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้พักอาศัย และผู้ใช้อาคาร โดยตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2568 กรุงเทพมหานครได้แจ้งเจ้าของอาคารภาคเอกชนที่ต้องทำการตรวจสอบตามกฎหมายแล้วจำนวน 11,000 แห่ง เพื่อดำเนินการตรวจสอบอาคารและรายงานกรุงเทพมหานครทราบซึ่งมีการแจ้งว่าได้มีการตรวจสอบแล้วจำนวน 112 แห่ง

อาคารกลุ่มที่ 3 ได้แก่ อาคารบ้านพักอาศัย ตึกแถว ห้องแถว และอาคารทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชน ผ่าน Traffy Fondue ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2568 ได้รับแจ้งทั้งหมด 15,514 เรื่อง และดำเนินการแล้วเสร็จ 13,612 เรื่อง

สำหรับอาคารในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทางกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้สั่งการให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด ดำเนินการตรวจสอบอาคาร ร่วมกับวิศวกรขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นและวิศวกรอาสาของเอกชนในพื้นที่ ร่วมกันดำเนินการเช่นเดียวกับส่วนกลางและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยสั่งการให้มีการตรวจสอบอาคารสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล หรืออาคารหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการใช้อาคาร

ปัจจุบันได้มีผลการตรวจสอบอาคารในส่วนจังหวัด 76 จังหวัด จำนวน 3,008 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 2,796 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 181 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 31 อาคาร

“พุทธเกษตร ส้มโอดี ลิ้นจี่หวาน”ยกสวนผลไม้มาขายที่วัดอินทาราม สมุทรสงคราม

สมุทรสงคราม ถือเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีศักยภาพดีกว่าหลาย จังหวัดในภาคตะวันตก เพราะสามารถปลูกลิ้นจี่ให้รสชาติดีได้ เนื่องจากสภาพพื้นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีน้ำที่มีลักษณะลักจืดลักเค็มหรือน้ำกร่อยเพราะอยู่ติดทะเลจึงมีผลทำให้ลิ้นจี่มีรสชาติหวาน หอม เนื้อหนา และแห้ง เมล็ดเล็ก ถือเป็นคุณสมบัติพิเศษซึ่งผิดกับลิ้นจี่จากที่อื่นๆ นอกจากรสชาติดีเป็นที่ยอมรับแล้วสีสันของเปลือกลิ้นจี่ก็ยังแดงสวยงามทำให้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้นด้วย

พระเมธีวัชรประชาทร (ผศ.ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดอินทาราม ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่าเนื่องจากปีนี้ลิ้นจี่ของ จ.สมุทรสงครามให้ผลผลิตจำนวนมาก คาดว่าไม่น้อยกว่า 3,500 ตันหากไม่มีการจัดงานสนับสนุนการจำหน่ายช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนก็เชื่อว่าลิ้นจี่จะล้นตลาดและราคาตกต่ำแน่

วัดอินทารามจึงเปิดพื้นที่ของวัดเป็นตลาดกลางช่วยเหลือเกษตรกรระบายผลผลิตโดยให้ชาวสวน นอกจากนำลิ้นจี่มาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคทั้งขายปลีกและขายส่งแล้ว ยังมีส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลไม้รสดีขึ้นชื่อของจ.สมุทรสงครามซึ่งช่วงนี้หน้าแล้งให้รสชาติดีที่สุดในรอบปีให้ได้ออกสู่ตลาดถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ด้วยการจัดงาน “พุทธเกษตร ส้มโอดี ลิ้นจี่หวาน” ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.จนถึงวันที่ 31 พ.ค.2568 ที่บริเวณอาคารเอนกประสงค์ภายในวัดอินทาราม

นอกจากลิ้นจี่ส้มโอแล้วในงานยังมีพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ เช่น มะม่วง กล้วยน้ำว้า มะละกอ มะพร้าวน้ำหอม ฯลฯ ที่ชาวสวนปลูกเองนำผลผลิตมาขายโดยทางวัดไม่ได้เก็บค่าสถานที่ ราคาจึงถูกกว่าตามท้องตลาด และเนื่องจาก ต.เหมืองใหม่ ต.แควอ้อม อ.อัมพวา เป็นแหล่งผลิตลิ้นจี่ที่มีชื่อเสียงมานาน จึงทําให้น้ำผึ้งที่ได้จากเกสรลิ้นจี่เป็นน้ำที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ และวัดอินทารามก็ซื้อน้ำผึ้งจากผู้เลี้ยงผึ้งช่วงที่ลิ้นจี่ออกดอกเพื่อแจกญาติโยมและจำหน่าย ขวดเล็กราคาเพียง 50 บาท และขวดใหญ่ราคา 120 บาทเท่านั้น

สำหรับวันที่ 10 เม.ย.ซึ่งเป็นวันเปิดงาน นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าฯ สมุทรสงคราม จะมาปรุงแกงเขียวหวานเป็ดย่างใส่ลิ้นจี่เป็นปฐมฤกษ์ จากนั้นจะมีการประกวดการปรุงแกงเขียวหวานเป็ดย่างใส่ลิ้นจี่รสอร่อยจากแม่ครัวทั่วไป ชิงเงินรางวัลชนะเลิศ 10,000 บาท 7,000 บาท และ 5,000 บาทตามลำดับ ผู้สนใจสมัครเข้าแข่งขันทีมละ 3 คน รับสมัครไม่จำกัดจำนวนทีม เพศ และอายุ เพียงแต่ต้องใช้เตาถ่านในการปรุงเท่านั้น ห้ามใช้เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า ทุกทีมที่เข้าแข่งขันทางวัดมีค่าใช้จ่ายให้เป็นค่าวัตถุดิบทีมละ 2,000 บาท

และหลังจากเปิดงานแล้ว ทุกวันนักท่องเที่ยวจะได้ชิมแกงเขียวหวานเป็ดย่างใส่ลิ้นจี่พร้อมข้าวสวย ขนมจีนและไอศกรีมลิ้นจี่ ที่ทางวัดจัดเตรียมให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รับประทานฟรีคนละ 1 อิ่ม นอกจากนี้ทางวัดอินทาราม ยังมีแม่ครัวฝีมือดีทำขนมไทยโบราณจำหน่าย เช่น บ้าบิ่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน และสังขยามะพร้าวอ่อน แบบสุกใหม่ๆขึ้นจากเตาให้ได้ซื้อกลับบ้านในราคาถูกเพื่อนำรายได้เข้าวัดอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.หลวงพ่อแดงฯ บอกด้วยว่าผู้ที่มาวัดอินทารามแล้วพลาดไม่ได้คือการทำบุญกราบไหว้นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด เช่น หลวงพ่อโตในอุโบสถมหาอุด มีประตูเข้าออกทางเดียว อายุกว่า 300 ปี และการเดินลอดใต้อุโบสถ์หินอ่อนหลังใหม่เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลชีวิต สะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง พร้อมสักการะขอพรหลวงพ่อรวย และชมพระอริยสงฆ์ 1,250 องค์แห่งเดียวใน จ.สมุทรสงคราม อีกทั้งให้อาหารฝูงปลาตะเพียนที่บริเวณท่าน้ำหน้าวัดในคลองแควอ้อม ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติอีกนับแสนตัวด้วย

จึงขอเชิญนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจไปเที่ยวงาน “พุทธเกษตรส้มโอดี ลิ้นจี่หวาน” เลือกซื้อส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่และลิ้นจี่พันธุ์ค่อมรสอร่อยและพันธุ์อื่นๆ เช่น พันธุ์กระโหลก พันธุ์ไทย พันธุ์จีนแดง พันธุ์สำเภาแก้ว ฯลฯ มีทั้งขายปลีกและขายส่งจากเกษตรกรชาวสวนในราคายุติธรรม ที่สำคัญจะไม่มีลิ้นจี่จากนอกพื้นที่เข้ามาจำหน่ายปลอมปนแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นตลาดกลางที่ทางวัดอินทารามเปิดให้ชาวสวนในพื้นที่นำผลผลิตมาจำหน่ายเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางและไม่ต้องเสียค่าสถานที่

เจ้าของบ่อกุ้งน้ำตาตก ! ถูกคนร้ายวางยาบ่อกุ้ง ตายยกบ่อ สูญเงินเกือบ2ล้านบาท

เพชรบุรี – น้ำตาตก เจ้าของบ่อกุ้งถูกคนร้ายวางยาบ่อกุ้ง ตายยกบ่อ พบหลักฐาน ขวดเหล้าภายในมียาฆ่ากุ้งสีชมพู-แดงไม่ทราบชนิด ซึ่งคาดว่าจะเป็นยาฆ่ากุ้ง ถูกเขวี้ยงเข้ามาจากภายนอกลอยมาติดตาข่ายครอบบ่อกุ้ง ก่อนที่จะมีฝนตกลงมาทำกุ้งตายยกบบ่อ สูญเงินเกือบ2ล้านบาท

ร.ต.อ.รณชัย ชอบค้า รองสารวัตรสอบสวน สภ.ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้รับแจ้งจากนาง ณัฐยา เข็มภูวนัท อายุ 62 ปี ชาวจังหวัดสมุทรสาคร ว่าบ่อกุ้งที่เลี้ยงไว้จำนวน 1บ่อ บนพื้นที่ประมาณ 26ไร่ ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนวางยาจนกุ้งตายยกบ่อ ภายในที่บ้านเลขที่ 8/1 บ้านม่วง หมู่4 ริมถนนเลียบทะเลกั้นน้ำเค็ม ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานชุดสืบสวน สภ.ชะอำ ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ที่เกิดเหตุคนงานกำลังสูบน้ำจับกุ้งอยู่ภายในบ่อ ภายในบ่อพบกุ้งขาวลอยตายยกบ่อ ประมาณ8-10 ตัน โดยคนงานกำลังเก็บเศษซากกุ้งที่ถูกวางยาตายขึ้นมาจากบ่อ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบบนตาข่ายที่ขึงกันนกคลุมบ่อเลี้ยงกุ้ง พบขวดสุราจำนวน 1 ขวดภายในมียาฆ่ากุ้งสีออก ชมพู-แดงไม่ทราบชนิด ซึ่งคาดว่าจะเป็นยาฆ่ากุ้ง ถูกเขวี้ยงเข้ามาจากภายนอกลอยมาติดตาข่ายครอบบ่อกุ้ง ก่อนที่จะมีฝนตกลงมาในพื้นที่ ทำให้ยาถูกน้ำฝนจนละลายและยาไหลตกลงไปในบ่อกุ้งทำให้กุ้งตายยกบ่อ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ตรวจสอบบริเวณริมถนนด้านข้างบ่อพบร่องรอยทางเดินจากริมถนนเข้าไปในบ่อ ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดที่คนร้ายนำยามาโยนใส่บ่อกุ้งจนตายยกบ่อดังกล่าว

ด้าน นางนัฐยา เจ้าของบ่อ เล่าทั้งน้ำตาว่า ตนเลี้ยงกุ้งขาวมาหลายเดือนวันนี้ได้เวลาจับ พอมาวิดน้ำออกจากบ่อ พบว่ากุ้งตายทั้งบ่อ ประมาณ 8-10 ตัน ซึ่งกุ้งจะขายได้ในราคา โลละ 170-190 บาท รวมมูลค่าความเสียหายทั้งบ่อเกือบ2 ล้านบาท ถึงอยากฝากบอกถึงผู้ก่อเหตุว่าตนเป็นคนทำมาหากิน ชีวิตยามแก่ต้องหาเงินมาใช้หนี้อีก เมื่อมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็แทบหมดตัว จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาให้ได้

เริ่มแล้ว! “ทรัมป์”ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลก-ไทยโดน 36%

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้าแล้ว โดยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่อัตรา 10% และมีนับสิบประเทศที่โดนมากกว่านั้น เช่น ไทย โดนกำแพงภาษี 36%

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ลงนามบังคับใช้มาตรการเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (baseline tariff) ในอัตรา 10% ต่อสินค้าทั้งหมดจากทุกประเทศที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ หมายความว่าผู้นำเข้าชาวอเมริกันจะต้องจ่ายเงินเพิ่มแก่รัฐบาลจากการนำเข้าสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศ โดยจะเริ่มในเวลา 0.01 น.วันเสาร์ที่ 5 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น

นอกจากนั้น นายทรัมป์ ยังประกาศจะเก็บ “ภาษีต่างตอบแทน” (reciprocal tariff) ต่อหลายสิบประเทศ ที่สหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้าด้วยมากที่สุด โดยจะเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากประเทศเหล่านี้ในอัตราครึ่งหนึ่ง จากอัตราภาษีที่ประเทศเหล่านี้ตั้งไว้ต่อสินค้าจากสหรัฐฯ โดยจะเริ่มในวันที่ 9 เม.ย.ตามเวลาท้องถิ่น

ตามที่นายทรัมป์เปิดเผย สหรัฐฯ ประเทศที่จะถูกเก็บภาษีต่างตอบแทนได้แก่

สหราชอาณาจักร, บราซิล, สิงคโปร์, ชิลี, ออสเตรเลีย, ตุรกี, โคลัมเบีย, เปรู, คอสตาริกา, โดมินิกัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, นิวซีแลนด์, อาร์เจนตินา, เอกวาดอร์, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, อียิปต์, ซาอุดีอาระเบีย, เอลซัลวาดอร์, ตรินิแดดและโตเบโก, โมโมร็อกโก – 10%
นอร์เวย์ – 15%
อิสราเอล, ฟิลิปปินส์ – 17%
นิการากัว – 18%
สหภาพยุโรป, จอร์แดน – 20%
โกตดิวัวร์ – 21%
ญี่ปุ่น, มาเลเซีย – 24%
เกาหลีใต้ – 25%
อินเดีย – 26%
คาซัคสถาน – 27%
ตูนิเซีย – 28%
ปากีสถาน – 29%
แอฟริกาใต้ – 30%
สวิตเซอร์แลนด์ – 31%
ไต้หวัน, อินโดนีเซีย – 32%
จีน – 34%
ไทย – 36%
บังกลาเทศ, เซอร์เบีย, บอตสวานา – 37%
ศรีลังกา, เมียนมา – 44%
เวียดนาม – 46%
มาดากัสการ์ – 47%
ลาว – 48%
กัมพูชา – 49%

รฟท.เสริมขบวนรถไฟพิเศษ 26 เที่ยว บริการปชช.รับเทศกาลสงกรานต์

รฟท.เพิ่มขบวนรถเสริมพิเศษ 26 เที่ยว พร้อมเพิ่มตู้โดยสารเต็มหน่วยลากจูง รองรับประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568 เริ่มเปิดขายตั๋ว 3 เม.ย. คาดผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน/วัน กำชับเข้มงวดทุกมาตรการ ต้องถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่กำลังจะมาถึงคาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวด้วยรถไฟไม่ต่ำกว่า 100,000 คนต่อวัน การรถไฟฯ จึงจัดเตรียมมาตรการทั้งด้านความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวก เพื่อรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชนให้เป็นไปด้วยความราบรื่น และมั่นใจว่าจะไม่มีผู้โดยสารตกค้างแต่อย่างใด

สำหรับมาตรการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 การรถไฟฯ ได้เพิ่มตู้โดยสารในขบวนรถประจำให้เต็มหน่วยลากจูง ครอบคลุม 214 ขบวนต่อวัน สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังเพิ่มขบวนรถเสริมพิเศษช่วยการโดยสารอีก 26 เที่ยว ในเส้นทางสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11-17 เมษายน 2568 ทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ทั้งนี้ สามารถจองตั๋วโดยสารผ่านระบบ D-Ticket หรือสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 08.30 น.เป็นต้นไป

การรถไฟฯ ยังกำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดในการอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร ทั้งภายในขบวนรถ และสถานีรถไฟ โดยเฉพาะการให้ข้อมูลด้านการเดินทางและการให้บริการต่างๆ นอกจากนี้ ผู้โดยสารสามารถติดตามเวลาการเดินรถแบบเรียลไทม์ ผ่านระบบ Train Tracking System (TTS) ที่สามารถตรวจสอบเวลาและตำแหน่งขบวนรถทุกขบวนได้แบบทันที ช่วยให้ผู้โดยสารและผู้ที่มารอรับสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างสะดวกและแม่นยำยิ่งขึ้น สร้างความมั่นใจในการเดินทางแก่ผู้โดยสารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

ส่วนมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการนั้น การรถไฟฯ ร่วมมือกับกองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบนรถไฟ โดยจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ตรวจตราความเรียบร้อยบนขบวนรถ พร้อมแนะนำข้อปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารอย่างเคร่งครัด ตลอดจนมีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ และสารเสพติดของพนักงานทุกคน ต้องเป็นศูนย์ก่อนปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงให้มีการจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังความปลอดภัยจากกล้องวงจรปิด CCTV ตามสถานีและบนขบวนรถทั่วประเทศ เพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 11-17 เมษายน 2568 รวมถึงขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เช่น อบต. เทศบาล จัดอาสาสมัครเฝ้าระวังทางผ่านเสมอระดับรถไฟ-รถยนต์ หรือบริเวณชุมชน เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันเหตุต่างๆ ด้วย

“การรถไฟฯ มั่นใจว่าจะสามารถรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาที่ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง เพื่อให้ทุกคนเดินทางกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งได้รับความสะดวกสบายตลอดเส้นทาง ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานระบบขนส่งทางรางให้มีคุณภาพ และตอบโจทย์การเดินทางของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น”