สลด!หนุ่มต่างชาติซิ่งจยย. เสียหลักชนเสาไฟฟ้า ร่างขาด2ท่อนดับสยองกลางถนนภูเก็ต

ภูเก็ต- หนุ่มต่างชาติ ขับ จยย. เสียหลักชนเสาไฟฟ้า ร่างขาดดับสยองกลางถนน เจ้าหน้าที่คาดขับด้วยความเร็วสูง

เมื่อเวลา 00:30 น. วันที่ 1 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตจังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุรถจักรยานยนต์ชนเสาไฟฟ้า บริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ (บายพาสขาออก) ตรงข้ามปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง  ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมเเพทย์เวรรพ.วชิระภูเก็ต

ในที่เกิดเหตุพบร่างชายชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อ คาดว่าเป็นชาวรัสเซีย เสียชีวิตในสภาพร่างขาดสองท่อน กระจัดกระจายอยู่บนถนน โดยส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่ช่วงเอวลงไปอยู่ใกล้กับโคนเสาไฟฟ้าส่องสว่างบนเกาะกลางถนน ห่างไปประมาณ 30 เมตร พบช่วงท่อนบนของร่างกายตั้งแต่ท้องถึงศีรษะ สวมหมวกกันน็อกตกอยู่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้นำผ้าขาวปิดร่างไว้

ในที่เกิดเหตุยังพบรถจักรยานยนต์ Honda Forza 350 สีดำ ทะเบียน 1 กอ xxxx มหาสารคาม ในสภาพพังยับเยินหัวรถหลุดออกจากตัวถัง ชิ้นส่วนกระจายเต็มพื้นถนน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น เจ้าหน้าที่คาดว่าผู้เสียชีวิตน่าจะขับขี่รถมาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะเสียหลักชนขอบฟุตบาท ทำให้ร่างกระเด็นไปฟาดเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างแรง จนร่างขาดสองท่อนและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุทันที

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้นำศพส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเพื่อดำเนินการชันสูตรอย่างละเอียด ก่อนประสานสถานทูตรัสเซียเพื่อแจ้งญาติและดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

กทม.อลหม่าน ถนนหลายสายติดขัด หลังคนทยอยลงจากตึกสูงสั่นสะเทือนกลับบ้าน

ตั้งแต่ช่วงเที่ยง การจราจรบนถนนหลายสายของกรุงเทพมหานนคร เริ่มติดขัดอย่างหนัก หลังคนทยอยลงจากตึกสูง เพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ บางบริษัทประกาศ Work from home

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลายตึกสูงในกรุงเทพฯ สั่งอพยพคนออกมาจากตึกเพื่อความปลอดภัย หลังพบว่าเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นบางอย่าง ขณะที่บางบริษัทได้สั่งให้พนักงานกลับไป Work from home หรือทำงานที่บ้าน และบางส่วนก็กลับเข้าไปทำงานตามปกติ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

อย่าไรก็ตามต่อมาทาง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ออกมาขอให้ประชาชนตั้งสติ ย้ำไม่มีแผ่นดินไหวเพิ่มเติม อาคารโครงสร้างแข็งแรงไม่มีเหตุให้พัง และหากพบรอยร้าวเพิ่มเติม โทรสายด่วน กทม. 1555

ขณะที่หลังเกิดเหตุการณ์ชุลมุน และหลายบริษัทได้ประกาศให้พนักงานกลับไปทำงานต่อที่บ้านได้นั้น ทำให้สภาพการจราจรหลายพื้นที่เริ่มติดขัด โดยเมื่อเวลา 12.20 น. ถนนพระราม 4 ขาเข้า ช่วงใต้ด่วนพระราม 4 มุ่งหน้าแยกวิทยุ การจราจรติดขัดมาก เนื่องจากมีประชาชนลงจากตัวอาคารและมาอยู่บนพื้นผิวการจราจร

ย่านถนนรัชดาภิเษก ย่านห้วยขวาง มีประชาชนลงมาจากอาคารสูงหลายแห่ง ทำให้การจราจรเริ่มติดขัด เช่นเดียวกับถนนสีลม ถนนเพลินจิต ถนนสุรวงศ์ และถนนสุขุมวิท

เฝ้าระวังใกล้ชิด!แม่ฮ่องสอนเกิด’หลุมยุบ’บ้านแม่สุริน คาดผลจากแผ่นดินไหว

ระทึกเกิดดินทรุดตัวลงเป็นหลุม จำนวน 6 หลุมในพื้นที่บ้านแม่สุริน ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน นายอำเภอขุนยวม สั่งห้ามราษฎรเข้าใกล้หลุมหวั่นเกิดอันตราย คาดสาเหตุมาจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 นายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน รับแจ้งเหตุพบหลุมยุบหลายขนาด บริเวณพื้นที่การเกษตรบ้านแม่สุริน หมู่ที่ 3 ตำบลขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน

จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปกครอง ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลขุนยวม ลงพื้นที่ตรวจสอบ เบื้องต้นพบหลุมยุบในพื้นที่การเกษตร จำนวน 6 หลุม มีขนาดใหญ่ จำนวน 2 หลุม ขนาดเล็กจำนวน 4 หลุม ทั้งนี้ได้ทำการปิดกั้นเพื่อไม่ให้เกษตรกร และประชาชนเข้าใกล้พื้นที่เพื่อความปลอดภัย และยังอยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ราษฎรบ้านแม่สุริน ต่างพากันตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และคาดว่าเป็นผลกระทบมาจากแผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งปลูกสร้างในประเทศไทย นอกจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมาแล้ว ยังมีแผ่นดินไหวในพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกหลายครั้ง ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดหลุมยุบตัวจำนวน 6 หลุม

ระทึกรัวๆ!อัฟเตอร์ช็อกไม่หยุด ศูนย์ราชการร้าว อพยพพนง.-ปชช.อลหม่าน

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีการอพยพคนออกจากอาคารราชบุรีดิเรกลิสต์หรือศูนย์ราชการอาคาร A หลังจากพบความไม่ชอบมาพากลที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อทีมข่าวไปถึงก็พบผู้คนจำนวนมากออกมาอยู่กันที่นอกอาคาร ออกไปสอบถามก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อเวลา 09:00 น. เศษ รู้สึกเหมือนรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย และมีสัญญาณเตือนดังขึ้นที่ห้องควบคุมระบบไฟฟ้า ที่ชั้น 1 ของอาคาร จึงได้มีการเตือนให้ทุกคนออกจากอาคาร เพื่อความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่คอยกันคนไม่ให้เข้าไปในอาคารจนกว่าจะปลอดภัย

เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ผู้คนตกอกตกใจ เพราะเพิ่งขวัญเสียกับเหตุแผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน

ต่อมาเมื่อเวลา 10:45 น.  ได้มีการประกาศเสียงตามสาย ว่าอาคารโครงสร้างปกติปลอดภัยดี สามารถเข้าไปในอาคารได้ จึงมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆบางส่วนทยอยเดินกลับเข้าไปในอาคาร ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ เพราะบางคนยังรู้สึกหวั่นเกรงถึงความปลอดภัยของอาคาร

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุ นางสาว ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายธเนศ วีระศิริ นายกสภาวิศวกร ได้มาร่วมประชุมกับฝ่ายอาคาร เพื่อประเมินสถานการณ์ด้วย

อลังการงาน “ย้อนรำลึกปราสาทสระกำแพงใหญ่”114 ปี เมืองอุทุมพรพิสัย

ศรีสะเกษ-ผู้ว่าฯศรีสะเกษเปิดงานย้อนรำลึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ ขึ้น 2 ค่ำเดือน 5 แห่งวิศุวะสงกรานต์ สมโภชน์ 114 ปี เมืองอุทุมพรพิสัย อันตระการตา

อนุพงศ์  สุขสมนิตย์  ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ

พศิน  ทาศิริ  นายอำเภออุทุมพรพิสัย 

นายอนุพงศ์  สุขสมนิตย์  ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  เป็นประธานเปิดงานย้อนรำลึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ ขึ้น 2 ค่ำเดือน 5 แห่งวิศุวะสงกรานต์ สมโภชน์ 114 ปี เมืองอุทุมพรพิสัย  ที่วัดสระกำแพงใหญ่  อำเภออุทุมพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ

โดยมี นายพศิน  ทาศิริ  นายอำเภออุทุมพรพิสัย  นำผู้บริหาร อปท.ทั้ง 20 แห่ง ข้าราชการ พนักงาน อปท. ร่วมกันถือพานดอกไม้ตั้งขบวนแห่เชิญศิวลึงค์ศักดิ์สิทธิ์จากที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัยไปตามถนนในเขตเทศบาลตำบลกำแพงถีงวัดสระกำแพงใหญ่  ร่วมในพิธีสรงน้ำศิวลึงค์ศักดิ์สิทธิ์  และนางรำจาก 20 ตำบลกว่า 2,000 คน ร่วมกันรำถวายศิวะลึงค์ศักดิ์สิทธิ์และปราสาทสระกำแพงใหญ่

หลังจากนั้นนายพศิน  ทาศิริ  นายอำเภออุทุมพิสัย  ได้จัดให้มีการแสดงละครย้อนรำลึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ ขึ้น 2 ค่ำเดือน 5 แห่งวิศุวะสงกรานต์ สมโภชน์ 114 ปี เมืองอุทุมพิสัย ตำนานการสร้างเมืองอุทุมพรพิสัย  จังหวัดศรีสะเกษ จากโรงเรียนกำแพงวิทยาด้วย

เสนาะ วรรักษ์/รายงาน

“หมอเปรม”สวดยับมาตรการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล้มเหลวเรียกร้องนายกฯมาตอบกระทู้กลางสภา

“สว.เปรมศักดิ์”ยื่นกระทู้สดถามนายกฯพรุ่งนี้ ถึงความด้อยประสิทธิภาพในการแจ้งเตือนประชาชนรับมือแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงจนเกิดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนครั้งใหญ่ ซัดมีเครื่องมือพร้อมแต่ทำไมการแจ้งเตือนล้มเหลว

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2568 นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า ตนจะยื่นกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในการประชุมวุฒิสภาในวันพรุ่งนี้ ( 31 มี.ค.) ถึงเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมาแต่ประเทศไทยได้รับผลกระทบหลายจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ถือว่า เป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยครั้งร้ายแรงมาก แต่ทำไมหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแจ้งเตือนประชาชน คือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) และกสชท. ถึงไม่มีการแจ้งเตือนและแจ้งเตือนล่าช้า ช้ากว่าเว็บไซต์การพนันออนไลน์เสียอีก จนก่อให้เกิดความตื่นตระหนก มีข่าวลือต่างๆ ออกมามากมาย จนเกิดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า การใช้ช่องทางแจ้งเตือนที่หลากหลายจะช่วยให้เข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึง โดยเฉพาะในปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารมีความก้าวหน้า การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ เช่น แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน การแจ้งเตือนผ่าน SMS หรือการใช้สื่อสังคมออนไลน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยให้ทันท่วงที และเข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวาง รวมถึงการบูรณาการระบบแจ้งเตือนภัยให้เป็นระบบเดียวกันทั้งประเทศ ก็จะช่วยให้การแจ้งเตือนมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบดังกล่าวควรเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกสทช. เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว และควรมีการเชื่อมโยงระบบเตือนภัยกับประเทศเพื่อนบ้าน 

ทั้งนี้ สิ่งที่กล่าวมาเหมือนว่าประเทศไทยมีความพร้อมทั้งหมด แต่สงสัยว่าการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ทำไมถึงไม่มีการแจ้งเตือน และแจ้งเตือนล่าช้า จนทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ต้องยอมรับว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้อย่างมาก ตนจึงจำเป็นต้องยื่นกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีว่า 1.จะกำหนดมาตรการการแจ้งเตือนพิบัติภัยและสาธารณภัยให้เท่าทันต่อสถานการณ์อย่างไร 2.จะประสานงานกับหน่วยงานรัฐ เอกชน ไม่ให้มีผลกระทบต่อความเป็นปกติสุขของประชาชนอย่างไร และ 3.ทำไมการก่อสร้างตึกของสตง.ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบการใช้งบประมาณของส่วนราชการอื่นๆ ถึงถล่มระหว่างการก่อสร้าง และถล่มอยู่ตึกเดียว

ไฟป่าปะทุติดหมู่บ้าน! บางส่วนดับไม่ได้ เมืองแม่ฮ่องสอนควันหนาทึบ

แม่ฮ่องสอน-เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ติดหมู่บ้านทุ่งกองมู ต.ปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน หน่วยลาดตระเวนอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ร่วมกับหน่วยป่าไม้ ตรวจพบเร่งเข้าดับไฟป่าก่อนที่จะลุกลามลงสู่ตัวหมู่บ้าน สามารถทำแนวป้องกันไฟป่าได้ แต่ไฟบางส่วนไม่สามารถดับได้ ส่งผลให้วันนี้หมอกควันหนาทึบเต็มตัวเมืองเพิ่มมากขึ้นอีก

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 29 มีนาคม เวลา 21.00 น.ที่ผ่านมา ว่าที่พันตรี ยุทธนา เจ้าดูรี นายอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน/ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน สั่งการนายพีรยากร ปุณยาภรณ์ ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง นำกำลังพลชุดเคลื่อนที่เร็ว กองร้อยอส.อ.เมืองที่ 2 ประสานการปฏิบัติไปยังชุดเฝ้าระวังไฟป่าของหมู่บ้านทุ่งกองมู ม.3 และบ้านในสอย ม.4 ตำบลปางหมู อบต.ปางหมู หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มส.2(เมืองแม่ฮ่องสอน) หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มส.8(ม่อนตะแลง) และเจ้าหน้าที่พนักงานจ้างเหมาบริการสนับสนุนการควบคุมไฟป่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตำบลปางหมู

ขณะออกลาดตระเวน ออกสังเกตการณ์ ตรวจตรา และเฝ้าระวังป้องกันการลักลอบเผาป่า ในช่วงเวลากลางคืน บริเวณพื้นที่บ้านทุ่งกองมู ม.3 ต.ปางหมู และ  บ้านในสอย ม.4 ตำบลปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน พบไฟป่าลุกลามอย่างหนัก ใกล้กับพื้นที่ใกล้กับหมู่บ้านและถนนซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดับไฟป่าในพื้นที่ได้บางส่วนและ มีบางส่วนลาดชันและเข้าถึงยากต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้ให้ชุดเฝ้านระวังไฟปาหมู่บ้านอยู่เฝ้าระวังพร้อมกับทำแนวกันไฟไม่ให้ลุกลามลงสู่ตัวหมู่บ้านทุ่งกองมู

จากไฟป่าดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณหมอกควันไฟป่าในพื้นที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน มีปริมาณหนาทึบเพิ่มมากขึ้น โดยค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน วัดปริมาณเช้าวันนี้ได้ 239.3 มคก./ลบ.ม. ขณะที่ทัศนวิสัยในการมองเห็นวัดได้ 2.0 กม. สำหรับสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าฯ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รายงานจุดความร้อน (Hotspot) ดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS ประจำวันที่ 30 มีนาคม 2568 รอบเช้า เวลา 02.38 น. จังหวัดแม่ฮ่องสอน พบจุดความร้อน 224 จุด

ขณะที่นายเอกวิทย์ มีเพียร ผวจ.แม่ฮ่องสอน ได้ประกาศไปยังทุกอำเภอของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมี 7 อำเภอ ว่าเช้าวันนี้ (30 มีนาคม 67) สภาพอากาศในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีผลกระทบต่อสุขภาพค่อนข้างสูงเกือบทุกพื้นที่ ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนดูแลสุขภาพ /ระบบทางเดินหายใจ ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นต้น รวมถึงเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีโรคเรื้อรัง ฯลฯ ทั้งนี้ หากมีอาการเจ็บป่วยให้ติดต่อสถานบริการสาธารณสุข ซึ่งพร้อมให้บริการช่วยเหลือตลอดเวลา

“ผู้ว่าการ กทพ.” ยัน ทางพิเศษยังสามารถให้บริการได้ตามปกติทุกสายทาง

เพจเฟซบุ๊ก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย EXAT โพสต์ข้อความระบุว่า…

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม 2568 ช่วงเวลา 13:25 น. โดยประมาณ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้ดำเนินการตรวจสอบฉุกเฉินตามแนวทางในคู่มือการตรวจสอบโครงสร้างทางพิเศษ โดยได้ดำเนินการตรวจสอบทุกสายทางพิเศษ พบว่าโครงสร้างทางพิเศษไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และมีความมั่นคงแข็งแรง

ในส่วนของความปลอดภัยต่อการขับขี่ การทางพิเศษฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบรอยต่อเผื่อขยาย บริเวณผิวจราจร โดยพบว่าไม่มีการอ้าตัวออก หรือเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่ง

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ขอยืนยันว่าสามารถใช้ทางพิเศษได้อย่างปลอดภัย ตามปกติ และเปิดให้ใช้ทางพิเศษได้ทุกสายทาง ยกเว้นทางขึ้นและทางลง บริเวณดินแดง เนื่องจากที่มีเหตุเศษวัสดุตกหล่นลงบนพื้นทางพิเศษ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างเพื่อประเมินการเปิดให้ใช้งานโดยเร็วที่สุด

กรมชลฯขยายพื้นที่ “บางระกำโมเดล” ส่งน้ำทำนาปีกว่า 3.2 แสนไร่

default

กรมชลประทานลุยขยายพื้นที่ “บางระกำโมเดล” ส่งน้ำทำนาปีกว่า 3.2 แสนไร่ เริ่มเพาะปลูกข้าวนาปีได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วเสร็จก่อนฤดูน้ำหลาก

ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา โฆษกกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้เริ่มทยอยส่งน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างฯ 6,390 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 67 ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 3,540 ล้าน ลบ.ม. ให้ทุ่งบางระกำ พื้นที่ 327,000 ไร่ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2568 ให้เกษตรกรเริ่มเพาะปลูกข้าวนาปีได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วเสร็จก่อนฤดูน้ำหลากจะมาถึงช่วงกลางเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม รวมปริมาณน้ำที่สนับสนุนการเพาะปลูก และรักษาระบบนิเวศน์ ประมาณ 540 ล้าน ลบ.ม.

“สำหรับโครงการบางระกำโมเดล กรมชลประทานได้บูรณาการบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วมต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 9 ปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีพื้นที่ลุ่มต่ำในเขตชลประทานที่อยู่ระหว่างแม่น้ำยมกับแม่น้ำน่าน ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด 5 อำเภอ ได้แก่ อ.พรหมพิราม อ.บางระกำ อ.เมือง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก และ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย โดยเลื่อนเวลาการเพาะปลูกข้าวฤดูนาปีในพื้นที่ลุ่มต่ำเร็วขึ้น ส่งน้ำให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่โครงการ จากเดิมที่เริ่มในเดือนพฤษภาคม มาเป็นเดือนเมษายน เพื่อให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนฤดูน้ำหลาก”

นอกจากนี้ พื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งบางระกำ ยังเป็นพื้นที่รองรับปริมาณน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากจากลุ่มน้ำยม ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากอุทกภัยทั้งในเขต จ.พิษณุโลก และพื้นที่เศรษฐกิจ จ.สุโขทัย รวมไปถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปล่อยพันธุ์ปลา ส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงในช่วงฤดูน้ำหลาก ช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรและชุมชน จากนั้นช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน ทุ่งบางระกำจะคงเหลือปริมาณน้ำส่วนหนึ่งค้างไว้ในทุ่ง สำหรับให้เกษตรกรใช้ในการเตรียมแปลงเพาะปลูกข้าวนาปรังต่อไป สามารถช่วยประหยัดน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนสิริกิติ์ได้อีกทางหนึ่ง

กรมส่งเสริมสหกรณ์เดินหน้าส่งเสริมเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร

กรมส่งเสริมสหกรณ์ เดินหน้าโครงการส่งเสริมเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เน้นพัฒนากลุ่มเป้าหมายเดิม พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ ครอบคลุมสินค้าเกษตร 5 ประเภท

การสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรด้วยการส่งเสริม “เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น” ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ผ่านแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ที่จะขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้เกิดการพัฒนาทั้งระบบ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการยกระดับรายได้ของเกษตรเป็น 3 เท่า ภายใน 4 ปี

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์มุ่งเน้นการพัฒนาและต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ซึ่งครอบคลุมสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะพื้นที่ สินค้าจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย สินค้าศิลปาชีพสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ รวมถึงสินค้าสิ่งบ่งชี้

ทางภูมิศาสตร์ (GI) พืชผลเกษตรและผลไม้เขตร้อน โดยการนำจุดเด่นของอัตลักษณ์พื้นถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยมาใช้ในการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อผลักดันให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น “เรากำหนดแนวทางการพัฒนาและต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นไว้ 3 ด้าน ได้แก่

1) ส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นด้วยการประยุกต์ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี พัฒนากระบวนการผลิต และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้มีสินค้าออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ 2) ส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับความสามารถของเกษตรกรและชุมชนในการพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น 3) สร้างอัตลักษณ์หรือนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดให้กับสินค้า รวมถึงสร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของสินค้าในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งจากการพัฒนาที่ผ่านมาพบว่าสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นได้รับการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม

แต่บางแห่งยังขาดการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ผลิตและเครือข่ายการตลาด จึงมีความจำเป็นที่ต้องขับเคลื่อนการพัฒนาสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นพัฒนากลุ่มเป้าหมายเดิม เพิ่มกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพื่อต่อยอดและผลักดันให้สินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้เป็นที่รู้จัก ตลอดจนใช้ประโยชน์จากเอกลักษณ์แต่ละพื้นที่ในการเชื่อมโยงไปสู่ภาคการผลิตอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น การท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์ เป็นต้น” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เริ่มดำเนินงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 ในกลุ่มสินค้า 4 ประเภท ได้แก่ ข้าว ผลไม้ หม่อนไหม และปศุสัตว์ (โคเนื้อ) ซึ่งผลการขับเคลื่อนงานตลอด 2 ปี เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมากแก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีมูลค่า

การจำหน่ายสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นประมาณ 1,300 ล้านบาท ทำให้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กรมฯ จึงขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเป็น 85 แห่ง 47 จังหวัด โดยแบ่งกลุ่มการพัฒนาเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มพัฒนาต่อยอด (สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมตั้งแต่ปี 2566 – 2567) จำนวน 57 แห่ง และ 2) กลุ่มผลักดันใหม่ (สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/กลุ่มอาชีพภายใต้สังกัดสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น/ภูมิปัญญาพื้นถิ่น

ผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน) จำนวน 28 แห่ง ครอบคลุมกลุ่มสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ข้าว ผลไม้ ผ้าไหม/ผ้าทอ ปศุสัตว์ (โคเนื้อ) และผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเชื่อมโยงด้านการตลาดกับกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่น อันจะนำไปสู่การพัฒนาสินค้าของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ตลอดห่วงโซ่การผลิตได้อย่างครบวงจร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้น ส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรสมาชิก รวมทั้งเป็นการสร้างความเข้มแข็งแก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ยืนหยัดด้วยขาของตัวเอง