ศรีสะเกษเดินหน้าสร้างมณฑลปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร”วัดพระโต

จังหวัดศรีสะเกษ เตรียมสร้างมณฑลปลูก พระศรีมหาโพธิ์ทศมราชบพิธ โดย อบจ.ศรีสะเกษ  ได้รับมอบหมายจากจังหวัดศรีสะเกษให้ดำเนินการ  เตรียมสถานที่ก่อสร้างมณฑลปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ณ วัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต)

พระวชิรสิทธิธาดา (สิทธานต์ สิทฺธิวโร ป.ธ.๖) เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ   นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  หัวหน้าส่วนราชการ  นายสุนันท์ สร้างหล่อ   หัวหน้าฝ่ายก่อสร้างและซ่อมบำรุง ส่วนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำนักช่าง และเจ้าหน้าที่ส่วนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำนักช่าง เตรียมสถานที่ก่อสร้างมณฑลปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ณ วัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต)  เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรี  พุทธศักราช 2568

โดยสำนักพระราชวังได้จัดพิธีมอบพระศรีมหาโพธิ์ ให้แก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันศุกร์ที่  17 มกราคม 2568  เวลา 10.30 น. ณ อาคารบัญชาการ หน่วยราชการในพระองค์ 904 อาคาร 2 (A1) โดยมี พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์  สุขวิมล เป็นประธาน และปลัดกระทรวงมหาดไทยได้เป็นผู้แทนกระทรวงมหาดไทยรับมอบพระศรีมหาโพธิ์ เพื่อนำไปมอบให้แก่ทุกจังหวัดต่อไป

เสนาะ วรรักษ์/รายงาน

ต้นแบบเกษตรยุคใหม่!ปลูกแตงโมนอนเปล ปลอดสารพิษ เพิ่มมูลค่า ยอดขายปัง

เทคนิคการ“แตงโมนอนเปล” สำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกแตงโมผลใหญ่แบบออร์แกนิกในโรงเรือน ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในพื้นที่การปลูกแตงโมในทุกภาค โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ที่หันมาปลูกแตงโมกันมากขึ่น เพราะอายุสั้นให้ผลผลิตเร็วและตลาดมีความต้องการสูง ปลูกเท่าไหร่ก็สามารถขายได้หมด ข้อดีของการปลูกแตงโม นอนเปล คือ จะได้แตงโมที่ปลอดสารพิษสารเคมีที่มากับดิน เหมาะกับการปลูกแตงโมผลใหญ่ เพราะเวลาอยู่ในเปล ไม่ต้องสัมผัสกับดินทำให้แตงโมไม่ช้ำ

นายนิพนธ์ เปลี่ยนกลาง อดีตกำนันแหนบทองคำ ตำบลมะค่า อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา และประธานศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรโนนไทย หนึ่งในเกษตรกร ที่หันมาทำการปลูกแตงโมนอนเปล มาได้ประมาณ เกือบ 1 ปี เล่าว่า เดิมตนเอง ครอบครัวเกษตรกร มีการปลูกแตงโม มานานหลายสิบปี ตั้งแต่บรรพบุรุษ ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่ การปลูกแตงโมในโรงเรือน ในแบบแตงโมนอนเปล เพิ่งจะมาปลูกได้ไม่นาน

โดยเริ่มจากการปรับพื้นที่แตงโมเดิม มาปรับเป็นโรงเรือน ขนาดไม่ใหญ่มาก ขนาดความกว้าง 6 เมตร ยาวประมาณ 12 เมตร ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการทำโรงเรือนครั้งนี้ จำนวน 100,000 บาท จากกรมส่งเสริมการเกษตร และสหกรณ์ กระทรวงเกษตรฯ เนื่องจากเราเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ฯ ทำให้ได้งบการทำโรงเรือนตรงนี้มา และนำไอเดียการปลูกแตงโมออร์แกนิก แบบแตงโมนอนเปล มาปลูกในโรงเรือนจำนวน 150 ต้น

ปัจจุบัน มีรายได้จากทำแตงโมนอนเปลออร์แกนิก ประมาณเดือนละกว่า 20,000 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้ว ผลผลิตแตงโมที่ได้ ประมาณเกือบ 200 ผล เพราะแตงโมหนึ่งต้น จะเก็บผลผลิตเอาไว้ไม่เกิน 2 ลูก เนื่องจากเราต้องการแตงโมผลใหญ่ ทำให้เก็บแตงโมไว้หลายๆลูกไม่ได้ แตงโมจะได้นำอาหารไปเลี้ยงผลแตงโมที่มีอยู่เพียง 1-2 ลูกได้อย่างเต็มที ส่งผลให้แตงโมที่ได้มีผลที่ใหญ่ และมีรสชาติดที่หวาน และกรอบ ที่เห็นชัดเจน คือ ความกรอบ เวลาผ่าจะลั่นทันที ซึ่งทำให้แตงโมนอนเปลปลูกแบบออร์แกนิก มีราคา สูงถึงกิโลกรัมละ 65 บาท ต่างจากราคาแตงโมทั่วไปที่ปลูกนอกโรงเรือน และปลูกแบบใช้สารเคมี ที่ราคาจากไร่ ในปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 10 บาท

สำหรับแตงโมนอนเปล ที่เกษตรกรส่วนใหญ่หันมานิยมปลูกกันนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแตงโมที่ปลูกในโรงเรือน และเป็นแตงโมออร์แกนิก และเป็นแตงโมผลใหญ่บางลูกมีน้ำหนักสูงถึง 5 กิโลกรัม ตกราคาลูกละ 325 บาท ที่ผ่านมา อดีตกำนันโนนไทย โคราช มีผลผลิตออกไปสู่ตลาดแล้วจำนวน 5 รอบ ผลผลิตที่ได้ทั้งหมดจะต้องมีการสั่งจองกันเข้ามาทางออนไลน์ เป็นหลัก หรือไม่ ก็มีลูกค้ามาซื้อถึงหน้าสวน เท่านั้น

อดีตกำนันนิพนธ์ บอกว่า คนที่เคยซื้อแตงโมจากสวนของ กำนันไปกิน ก็จะต้องกลับมาซื้อซ้ำกันเกือบทุกคน รสชาติที่หวานกรอบ และหลายคนที่เป็นลูกค้าของกำนัน จะเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพ ต้องการแตงโมที่เป็นออร์แกนิก และเราเป็นศูนย์เรียนรู้ ทุกคนก็มั่นใจว่า แตงโมจากส่วนของเราเป็นแตงโมปลอดสาร และเป็นออร์แกนิกจริง

อดีตกำนันโนนไทย กล่าวว่า การปลูกแตงโมนอนเปลออร์แกนิกในโรงเรือน อาจจะต้องใช้ต้นทุนโรงเรือนสูง แต่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะผลผลิตที่ได้มีราคาสูงกว่าที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป หลายเท่าตัว และการทำโรงเรือนในปัจจุบัน อาจจะไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงเป็นหลักแสนก็สามารถทำได้ ปัจจุบัน การทำโรงเรือน มีราคาตั้งแต่ 3 หมื่น 5 หมื่น ไปจนถึงหลักแสนบาท เกษตรกรยุคใหม่ ต้องหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันมากขึ้น เพราะตลาดมีความต้องการสูง

อย่างไรก็ดี ความยากในการทำเกษตรอินทรีย์ หรือ การทำเกษตรแบบออร์แกนิก อดีตกำนันแหนบทอง บอกว่า ทั้งนี้ ขั้นตอนการทำอาจจะยากในช่วงแรก เพราะมีขั้นตอนการทำเยอะกว่า การทำเกษตรทั่วไป เกษตรกรต้องมีความตั้งใจ ความขยัน อดทน เพราะมีรายละเอียดเยอะ ถึงจะสามารถผ่านด่านความยากลำบากตรงนี้ไปได้ แต่เมื่อทำไปสักระยะหนึ่ง เกษตรกรคุ้นเคยกับมันแล้ว จากที่หลายคนมองว่ายากกลายเป็นเรื่องง่าย

สำหรับไร่แตงโมของอดีตกำนันนิพนธ์ ในต้นปีที่ผ่านมา ได้สร้างความฮือฮา เมื่อสามารถทำแตงโมรูปหัวใจออกมาขายในวันวาเลนไทน์ ราคากิโลกรัมละ 65 บาท และลูกค้าต้องจ่ายค่าบล็อก 100 บาท การทำแตงโมรูปหัวใจ มีขั้นตอนการทำ การทำกรอบพลาสติกรูปหัวใจมาครอบ และค่อยๆ ให้แตงโมเติบโตในกรอบพลาสติกได้แตงโมรูปหัวใจ โดยเริ่มครอบกรอบพลาสติกรูปหัวใจ ตอนแตงโมมีขนาดประมาณ 1 กิโลกรัม

หลังจากที่อดีตกำนัน โนนไทย นำแตงโมรูปหัวโพสต์ขายผ่านสื่อโซเชียลฯในช่วงก่อนเทศกาลวาเลนไทน์ ก็มีสื่อหลายสำนักให้ความสนใจ มาทำข่าวแตงโมรูปหัวใจกันเป็นจำนวนมาก จนเป็นที่รู้จัก ไปทั่วประเทศ แม้ว่าหลังจากหมดช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ไปแล้ว อดีตกำนัน ไม่ได้ทำแตงโมรูปหัวใจ ออกมาขายอีก แต่สิ่งที่ได้ คือ ลูกค้าตามมาซื้อแตงโมนอนเปล ของกำนันแทน เป็นเหตุผลทำไม ทุกวันนี้ ผลผลิตแตงโมจากส่วนของอดีตกำนันนิพนธ์ ไม่พอขายขนาดต้องมีการสั่งจอง กัน

อดีตกำนันนิพนธ์ ในวัยเกษียณ 65 ปี เล่าว่า ตนเอง เมื่อเกษียณออกมาก็ยังไม่มีโอกาสได้หยุดพัก เหมือนคนอื่นๆ เพราะด้วยความเรามีหน้าที ในฐานะประธานศูนย์เรียนรู้ ฯ ทำให้ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการปลูกแตงโมถ้าเป็นสวนที่ตนเองทำ ก็เลยทำไม่เยอะมีแค่ 1 โรงเรือน ขนาด กว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร เทคนิคการปลูกต่างๆ ก็อาศัยการเรียนรู้ ด้วยตัวเอง และครูพักลักจำ ทำมาเรื่อย ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง จนประสบความสำเร็จ ได้ผลผลิตอย่างที่ต้องการ

ในส่วนขั้นตอนการปลูกแตงโมนอนเปลอินทรีย์ ในแบบที่เป็นอินทรีย์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ นั้น อดีตกำนัน บอกว่า ต้องเริ่มตั้งแต่การเพาะเมล็ด ทำการเพาะเมล็ด ก่อนจะนำต้นกล้าลงแปลง เทคนิคการปลูกต้องคัดยอดที่สมบูรณ์ที่สุดเพียง 2 ยอด แล้วใช้เชือกขึงเป็นแนวตั้งให้แตงโมเลื้อยไปตามเชือก โดยใช้เวลา 1 เดือน สามารถเริ่มที่จะผสมเกสรด้วยตัวเอง ซึ่งกำนัน จะผสมเกสรเองทุกต้น เพราะเป็นโรงเรือนแบบปิด ไม่มีแมลงมาช่วยผสมเกสรให้ ซึ่งจะนับจากใบที่ 15 เริ่มผสมเกสร คอยเฝ้าดูแลพอแตงโมออกผล ถึงจะนำตาข่ายมาทำเป็นเปลนอนให้แตงโม เพื่อรองรับน้ำหนัก จึงเป็นที่มาของแตงโมนอนเปล ส่วนสายพันธุ์แตงโมที่อดีตกำนันฯ เลือกใช้นั้น เป็นเมล็ดพันธุ์ บริษัทเมล็ดพันธุ์เจี่ยไต๋ เป็นสายพันธุ์ ซอนญ่า เพียงสายพันธุ์เดียว

สุดท้าย อดีตกำนันนิพินธ์ บอกว่า ถ้าใครสนใจ ต้องการจะเรียนรู้การปลูกแตงโมนอนเปลอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ที่ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรโนนไทย ตำบลมะค่า อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา แต่ต้องติดต่อเข้ามาก่อน และแนะนำว่าควรจะมาเป็นหมู่คณะ จะได้ง่ายต่อการดูแลต้อนรับ และการทำเกษตรอินทรีย์ เป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดและพิถีพิถัน การถ่ายทอดแต่ละครั้งให้กับคนที่สนใจในแบบที่นำกลับไปทำได้เลย ต้องใช้เวลา แต่สิ่งที่ทุกคนจะได้ความคุ้มค่า กับราคาที่เพิ่มขึ้นถึง 4-5 เท่า และความต้องการของตลาดมีสูงมาก สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่โทร. 08-1264-5943

ไขข้อสงสัย! DNA ปลาหมอคางดำบทพิสูจน์ใครเป็นต้นเหตุการระบาด?

การถกเถียงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) ในแหล่งน้ำของประเทศไทย โดยมีข้อกล่าวหาว่าปลาที่นำเข้าโดยบริษัทเอกชนอาจเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ การตรวจสอบ DNA ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าปลาที่นำเข้ามีความเกี่ยวข้องกับปลาที่กำลังระบาดหรือไม่

การตรวจสอบ DNA มีความสำคัญมากก็เพราะ DNA เป็นรหัสพันธุกรรมที่สามารถบอกที่มาของสิ่งมีชีวิตและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างประชากรปลา การศึกษาพันธุกรรมจะช่วยให้เราสามารถแยกแยะได้ว่าปลาหมอคางดำที่พบในธรรมชาติเป็นกลุ่มเดียวกับปลาที่นำเข้าหรือเป็นประชากรที่มีถิ่นกำเนิดแตกต่างกัน การพิสูจน์ด้วย DNA มีความแม่นยำสูงกว่าการใช้ลักษณะภายนอกเป็นเกณฑ์วิเคราะห์

สำหรับวิธีการตรวจสอบ DNA เพื่อพิสูจน์ต้นกำเนิดของปลามีหลายวิธี เพื่อลงไปในรายละเอียดของ DNA เพื่อเปรียบเทียบความเหมือนและแตกต่างของพันธุกรรมให้ได้มากที่สุด อาทิ 

  • การวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรม (DNA Sequencing & Phylogenetic Tree)
  • การถอดรหัสพันธุกรรมจากตัวอย่างปลาที่นำเข้าและปลาที่พบในธรรมชาติ 
  • การนำลำดับ DNA มาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลพันธุกรรมสากล 
  • การใช้แผนภูมิวิวัฒนาการ (Phylogenetic Tree) เพื่อแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรมของประชากรปลา 
  • การเปรียบเทียบความแตกต่างของ SNPs และ Haplotype Diversity
  • SNPs (Single Nucleotide Polymorphisms) เป็นตำแหน่งที่ DNA มีการเปลี่ยนแปลงเพียง 1 จุด ซึ่งสามารถใช้ระบุความแตกต่างของประชากรปลาได้
  • Haplotype Diversity ช่วยระบุว่าปลาทั้งสองกลุ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันหรือเป็นประชากรที่แตกต่างกัน

นอกจากนี้ การวิเคราะห์โครงสร้างประชากร (Population Genetics Analysis) ด้วยการคำนวณค่า FST (Fixation Index) เพื่อวัดระดับความแตกต่างของประชากรปลา หากค่า FST สูง แสดงว่าปลาทั้งสองกลุ่มมีต้นกำเนิดที่แยกจากกัน และการใช้แบบจำลองทางพันธุกรรม เช่น STRUCTURE Analysis เพื่อแสดงกลุ่มประชากรที่มีความแตกต่างกัน ล้วนเป็นวิธีการช่วยยืนยันความแม่นยำของการตรวจสอบ

ในส่วนของภาครัฐ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกรมประมง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าการหาต้นตอที่ปล่อยปลาหมอคางดำระบาด ซึ่งนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงชี้แจงว่า เนื่องจากปลาหมอคางดำนำเข้ามาในประเทศไทยโดยบริษัทเอกชนจากประเทศกานา เมื่อปี 2553 ห่างจากปี 2567 ที่ปลาหมอคางดำระบาดในไทยราวสิบกว่าปี กรมฯ จึงหารือกับกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอข้อมูลพันธุกรรมปลาหมอคางดำจากประเทศกานานำมาวิเคราะห์สืบสวนหาต้นตอ

“ข้อมูลทางพันธุกรรม (ปลาหมอคางดำ) ที่มีการระบาดอยู่ในไทย กรมประมงมีแต่ข้อมูลต้นทางที่ว่า ปลาหมอคางดำที่นำเข้าเป็นชุดเดียวกันกับที่ระบาดหรือไม่ ยังไม่มี กรมฯ จึงได้ประสานไปยังสถานทูตกานา ขณะนี้ได้ประชุมร่วมกันแล้ว 1 ครั้ง แต่ข้อมูลที่ขอไปนั้นทางต้นทางยังไม่ส่งมาให้ ทำให้ยังไม่พบว่า ผู้ใดเป็นคนปล่อยปลาหมอคางดำ” นายบัญชา กล่าว 

ข้อสังเกตสำหรับคนไทยเกี่ยวกับกรณีปลาหมอคางดำนี้ ขอให้ใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานการตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่ ซึ่งการวิเคราะห์ DNA เป็นกระบวนการที่แม่นยำและได้รับการยอมรับทั่วโลกในการพิสูจน์ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิ และไม่ควรด่วนสรุปโดยขาดหลักฐานที่ชัดเจน เพราะอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในสังคม ที่สำคัญควรรอผลการพิจารณาของศาล ในการพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรมต้องอาศัยหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือ จากข้อมูลเชิงประจักษ์มากกว่าข้อมูลด้านเดียวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควรใช้แนวทางที่มีข้อมูลรองรับ หากพบว่าปลาหมอคางดำส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ วิธีแก้ไขควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลวิทยาศาสตร์

การตรวจสอบ DNA ของปลาหมอคางดำเป็นเครื่องมือสำคัญในการระบุ ว่า ปลาที่บริษัทเอกชนนำเข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดหรือไม่ จึงจำเป็นต้องอดใจรอผลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรม ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าปลาที่นำเข้าและปลาที่แพร่ระบาดมีความแตกต่างกัน หรือมีความเหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น สังคมไทยควรพิจารณาข้อมูลจากหลายฝ่ายและให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และรอผลการพิจารณาของศาลอย่างเป็นธรรม./

โดย…ไศลพงศ์ สุสลิลา นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม 

บุรีรัมย์ประกาศ พื้นที่ภัยพิบัติแล้ง 7 อำเภอ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย

จังหวัดบุรีรัมย์ ประกาศพื้นที่ประสบสาธารณภัย และเขตให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง 7 อำเภอ จากทั้งจังหวัด 23 อำเภอ พร้อมขอความร่วมมือชาวนางดทำนาปรัง ขณะที่การประปายืนยันว่า ยังคงมีปริมาณน้ำผลิตประปาไปได้จนถึงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้

นายศรีธรรม ราชแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ คณะทำงานศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ภัยแล้งจังหวัดบุรีรัมย์ ปี 2568 เพื่อติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีภัยแล้ง ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีหัวหน้าส่วนและผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมและรายงานชี้แจงถุงสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการช่วยเหลือแก้ไขปัญหา และผลกระทบความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากภัยแล้ง ที่ห้องประชุมนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (เขากระโดง) ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

ทั้งในที่ประชุมได้มีการรายงานสถานการณ์ภัยแล้ง ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบแล้วจำนวน 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอนาโพธิ์ กระสัง ละหานทราย หนองกี่ บ้านกรวด โนนดินแดง และอำเภอลำปลายมาศ ซึ่งได้มีการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย / เขตให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว ส่วนพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านพืช นาข้าว ได้รับผลกระทบ 1 อำเภอ คือ อำเภอนาโพธิ์ รวม 2 ตำบล 14 หมู่บ้าน นาข้าวเสียหายกว่า 8 ,080 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่แหล่งน้ำดิบหลัก ที่ใช้ในการผลิตประปาหล่อเลี้ยงในเขตพื้นที่ อ.เมืองบุรีรัมย์ ยังคงมีปริมาณเพียงพอ และคาดว่าน่าจะมีใช้ไปจนถึงช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ปัญหาภัยแล้งเป็นปัญหาเร่งด่วน ทุกหน่วยงานต้องให้ความร่วมมือ เฝ้าระวังและลงพื้นที่ไปดูสภาพปัญหา แก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อน ซึ่งศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดบุรีรัมย์ ก็จะทำงานให้รวดเร็วที่สุดเพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกข์ ในระยะเวลาที่น้อยที่สุด หรือไม่ทุกเลย ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการสูบส่งน้ำเพื่อสำรองในการผลิตน้ำประปาในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลน ได้แก่ อำเภอกระสัง  อำเภอละหานทราย อำเภอบ้านกรวด และอำเภอโนนดินแดง

ในส่วนพื้นที่อื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปประเมินสถานการณ์ว่ามีน้ำเพียงพอหรือไม่ แล้วเสนอแผนมาว่าจะทำอย่างไร จะได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ ส่วนในภาคการเกษตรที่ขอให้เกษตรกร งดทำนาปรังในระยะนี้ ก็ต้องมีการส่งเสริมอาชีพอื่นให้มีรายได้ทดแทนอย่างไรก็ตามขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัด ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยหรือทำการเกษตรตามที่หน่วยงานราชการแนะนำ และขอความร่วมมือในการงดปลูกข้าวนาปรัง

เกษตรกรน้ำตาตกใน!ข้าวตกต่ำ ควายขายไม่ได้ราคา หมดปัญญาหาเงินใช้หนี้

“เกษตรผลิตพาณิชย์ขาย”ที่พิจิตรเมืองชาละวัน นอกจากราคาข้าวตกต่ำแล้วเกษตรกคนเลี้ยงควายก็ยังโอดครวญเลี้ยงได้แต่ขายไม่ออก ถึงขายได้ก็ราคาตกต่ำหายไปกว่าครึ่ง ในอดีตขี้ควายที่ใช้ทำปุ๋ย ชาวนาชาวสวนเกษตรอินทรีย์เคยจองคิวแย่งซื้อแต่วันนี้ทุกอย่างกลับขายไม่ได้ วอนภาครัฐช่วยด้วย

เมื่อวันที่ 25  มีนาคม 2568 นายอมร  มีกรรมปัง อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 107 หมู่ 12 ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร เกษตรกรที่ทำฟาร์มปศุสัตว์เลี้ยงควายเป็นอาชีพ จำนวน 150 ตัว เปิดเผยชีวิตสุดลำเค็ญของอาชีพเกษตกรที่ขณะนี้ประสบปัญหานอกจากราคาข้าวที่ตกต่ำแล้ว อาชีพคนเลี้ยงควายก็ยังพลอยได้รับผลกระทบตามมาด้วยเช่นกัน โดย นายอมร คนเลี้ยงควายเปิดใจเล่าว่าสถานการณ์การซื้อขายโค-กระบือ ราคาตกต่ำมาตั้งแต่เมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด จึงทำให้ตลาดค้าขายโค-กระบือต้องซบเซา แต่ก็ยังไม่แย่ หรือตกต่ำเท่ากับในช่วงนี้

โดยราคาการซื้อขาย โค-กระบือ ซึ่งแต่เดิมควายตัวใหญ่ๆน้ำหนักประมาณ 200 กก. ก็จะขายได้ตัวละ 3-4 หมื่นบาท เป็นอย่างต่ำ แต่ปัจจุบันนี้ราคาซื้อขายโค-กระบือ ลดลงเกือบ 50% เหลือแค่ตัวละประมาณ 15,000 บาทเท่านั้น แถมยังหาคนซื้อได้ยาก เนื่องจากในพื้นที่จังหวัดพิจิตรไม่มีตลาดนัด โค-กระบือ ถ้าต้องการขายควายก็ต้องผ่านนายหน้าพ่อค้าคนกลางมาจับควายไปขายที่ตลาดนัดโคกระบือแถวจังหวัดพิษณุโลก,อุตรดิตถ์,เพชรบูรณ์,อุทัยธานี ทั้งๆที่ในพื้นที่จังหวัดพิจิตรโดยเฉพาะที่ อ.วชิรบารมี มีเกษตรกรทำอาชีพเลี้ยงควายหลายพันตัวด้วยซ้ำ จึงอยากวิงวอนถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่บอกว่า “เกษตรผลิตพาณิชย์ขาย” ช่วยหาทางช่วยพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ด้วย

 นายอมร คนเลี้ยงควาย ระบายความทุกข์ความเดือดร้อน เหตุจากราคาซื้อ-ขาย โคกระบือตกต่ำ จึงทำให้ต้องทนเลี้ยงเพื่อรอราคา โดยได้อาศัยขายขี้ควายให้กับผู้ที่ทำสวนไม้ผลในพิจิตรและผู้ที่ทำสวนทุเรียนอยู่ต่างจังหวัด ในอดีตต้องจองคิวล่วงหน้าเพื่อแย่งกันซื้อขี้ควาย ต่างก็จะมาขอซื้อขี้ควายตากแห้งไปทำเป็นปุ๋ยคอกในการทำเกษตรกรอินทรีย์ ซึ่งก็พอมีรายได้เป็นค่ากับข้าว เป็นค่าน้ำค่าไฟ ค่าวัคซีนในการดูแลฝูงควายที่เลี้ยงไว้ 150 ตัว

โดยตนเองจะขายปุ๋ยขี้ควายที่ตากแห้งอย่างน้อย 3 วัน บรรจุใส่ถุงปุ๋ยน้ำหนักประมาณ 20-25 กก./ถุง ในราคาแค่เพียงถุงละ 19 บาท  โดยผู้ซื้อมาขอซื้อถึงที่ แต่ในช่วงระยะหลังคือตั้งแต่เดือน ก.พ.- มี.ค. 68 ปุ๋ยอินทรีย์จากขี้ควายกลับขายไม่ได้เลย จึงทำให้ไม่มีรายได้ แต่ยังต้องมีภาระในการดูแลฝูงควายทั้ง 150 ตัว จึงอยากประกาศขอเชิญชวนผู้ที่ทำการเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรปลอดสารพิษ ว่า ถ้ามีความประสงค์อยากซื้อปุ๋ยอินทรีย์จากขี้ควายสามารถมาขอซื้อได้เลยมีเป็นจำนวนมากเพราะในกลุ่มหมู่บ้านเดียวกันนี้มีเกษตรกรผู้เลี้ยงควายหลายรายที่ประสบปัญหาควายราคาตกต่ำปุ๋ยอินทรีย์จากขี้ควายขายไม่ออกเช่นเดียวกัน สนใจโทร นายอมร 089-3474802

โดย…สิทธิพจน์ เกบุ้ย/พิจิตร/

ด่านศุลกากรแม่สอดสนธิกำลังทพ.35 คุมเข้มสินค้าชายแดนทุกช่องทางสกัดยาเสพติดทะลักเข้าไทย

ด่านศุลกากรแม่สอดสนธิกำลังทหารพราน 35  คุมเข้มสินค้าชายแดนทุกช่องทาง ตามข้อสั่งการศูนย์สั่งการชายแดนสกัดขบวนการค้ายาเสพติดลักลอบลำเลียงเข้าไทย

สถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา พ.อ.องอาจ สัมพันธ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35  นำกำลังพล ออกตรวจการปฏิบัติของ กองร้อยทหารพรานที่ 3506 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 ที่ปฏิบัติงานร่วมกับ เจ้าหน้าที่ศุลกากรแม่สอด ในการตรวจสอบความเรียบร้อย และทำความเข้าใจ กับผู้ประกอบการท่าข้ามในพื้นที่

ตามแถลงการณ์ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา เรื่อง การระงับการผ่อนผันการใช้ช่องทางอื่นนอกทางอนุมัติ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 86 วรรค 2 ในพื้นที่อำเภอแม่ระมาด (ท่าข้ามที่ 18 และท่าข้ามที่ 19 บ้านวังผา) จังหวัดตาก

โดยปัจจุบัน ผู้ประกอบการ ช่องทาง/ท่าข้าม/ช่องทางนอกทางอนุมัติ และเจ้าหน้าที่ศุลกากร ได้ยึดถือตามข้อสั่งการในการห้ามรถยนต์บรรทุก ทุกประเภทข้ามไปยังประเทศเมียนมา เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดกฎหมาย 

“กีกี้” แปลว่าอะไร ทำไมเป็นฉนวนเหตุ “สภาเดือด”ประท้วงกันวุ่น

กลายเป็นเรื่องราวที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกโซเชียลในการเปิด “อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568”วันแรก โดยช่วงหนึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน มีการพูดถึงคำว่า “กีกี้” ซึ่ง นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ได้ขอประท้วง ทำให้นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ร้องกี้ก่อนได้ไหมครับ” จากนั้นนางนุชนาถ ได้กล่าวว่า “ท่านวิโรจน์ ไม่รู้สี่รู้แปด”

นายวิโรจน์ จึงย้อนว่าประท้วงตามขอสัญญาว่าจ้างข้อไหนดีกว่า นางนุชนาถ จึงขอให้ถอนคำพูด นายวิโรจน์ จึงตอบโต้ว่า “ก่อนที่จะถอน ขอให้ร้องกี้ กี้ สัก 2 ครั้งได้ไหมครับ” นางนุชนาถ จึงโต้แย้งว่า ขอให้ถอนคำว่า “กี้ กี้ ด้วย” นายวิโรจน์ จึงกล่าวว่า “ได้ครับ ผมจะถอนคำว่า กี้ กี้ ด้วยครับ จะได้นั่งลง” ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างดุเดือด จนประธานต้องปราบให้จบหลายครั้ง หลังพาดพิงกันไปมาจนสภาวุ่นวายไปหมด

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน

สำหรับคำว่า “กีกี้” มีความหมายถึงลูกสมุน ลูกกระจ๊อก ของฝ่ายตัวร้ายในเรื่อง “ไอ้มดแดง”จากข้อมูลที่เฟซบุ๊ก ญี่ปุ่นปุ่นปุ่น ได้ให้ความหมายไว้ว่า “วิถีตัวกี้ ตัวลูกกระจ๊อกสัญลักษณ์ประจำซีรี่ย์ไอ้มดแดงที่สมัยก่อนเราเรียกกันว่า “ตัวกีกี้” จริงๆ แล้วชื่อเรียกคือ “ช็อกเกอร์เซ็นโทอิง” (นักรบช็อกเกอร์, พลทหารช็อกเกอร์) ระดับพลังแข็งแรงกว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไปเท่านั้น เลยไม่แปลกที่ต่อให้ดาหน้ามาเยอะแค่ไหนก็ถูกไอ้มดแดงอัดร่วงเละเทะซะทุกที”

นายวิโรจน์ ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายของ “กีกี้” ผ่านทางทวิตเตอร์ (X) ว่า “หลายคนไม่ได้ประท้วง แค่ดาหน้าออกมาพลีชีพ เหมือนลูกสมุนของขบวนการช็อคเกอร์ ที่เวลาออกมาจะร้อง กี้… กี้… เพื่อให้มดแดงซ้อมเล่น คั่นเวลาก่อนไรเดอร์คิกปีศาจตัวบอส อธิบายไปเขาก็ไม่ฟังหรอกครับ เพราะเขามาพลีชีพ ตอบไปสั้นๆ แค่ #กีกี้ ก็พอครับ จะได้ไม่เสียเวลา”

ชาวปารีสโหวตหนุน เพิ่มถนนคนเดินอีก 500 สาย ลดปัญหามลพิษ

ประชาชนชาวกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสลงประชามติเห็นชอบเพื่อให้เปิดถนนในเมืองอีก 500 สายเป็นถนนคนเดิน เพื่อสนับสนุนทางการกรุงปารีสในการควบคุมการใช้รถยนต์และปรับปรุงคุณภาพอากาศกลับมามีคุณภาพดียิ่งขึ้น

ผลโหวตอย่างเป็นทางการระบุว่าชาวปารีส 65.96% ลงคะแนนเห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว ในขณะที่ 34.04% ไม่เห็นชอบ มีผู้ลงคะแนนเพียง 4.06% เท่านั้นที่ออกมาลงคะแนนเสียงในการพิจารณาซึ่งจัดโดยเทศบาลกรุงปารีส

การลงประชามติครั้งที่สามของกรุงปารีสในรอบหลายปี ต่อจากการลงประชามติในปี 2023 ที่อนุมัติการห้ามใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และการลงประชามติเมื่อปีที่แล้วที่จะเพิ่มค่าจอดรถ SUV ขนาดใหญ่อีกสามเท่า

นอกจากนี้การลงประชามติครั้งนี้จะยกเลิกที่จอดรถอีก 10,000 จุดในปารีส ซึ่งเพิ่มจาก 10,000 จุดที่ถูกยกเลิกตั้งแต่ปี 2020 ประชาชนกว่า 2 ล้านคนของปารีสจะร่วมแสดงความเห็นว่าถนนใดจะกลายเป็นพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า

ข้อมูลของศาลากลางกรุงปารีสแสดงให้เห็นว่าปริมาณการจราจรของรถยนต์ในเมืองลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง นับตั้งแต่พรรคสังคมนิยมชนะการเลือกตั้งในกรุงปารีสเมื่อหลายปีก่อน

โดยถนนอีก 500 สายที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นถนนคนเดิน จะทำให้จำนวนถนนที่เรียกว่า “ปอดสีเขียว” เหล่านี้เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 700 สาย ซึ่งคิดเป็นเพียง 1 ใน 10 ของถนนทั้งหมดในกรุงปารีส

อย่างไรก็ตามตามข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรประบุว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่กรุงปารีสก็ยังตามหลังเมืองหลวงอื่นๆ ในยุโรปในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ซึ่งได้แก่ อุทยาน สวนสาธารณะ ถนนที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้ แหล่งน้ำ และพื้นที่ชุ่มน้ำ คิดเป็นเพียง 26% ของพื้นที่เมืองเท่านั้น เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของเมืองหลวงในยุโรปที่ 41%

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เข้าร่วมประชุม CND สมัยที่ 68 ร่วมผลักดันแก้ยาเสพติดระดับโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (CND) สมัยที่ 68 ร่วมผลักดันแนวทางพัฒนาทางเลือก เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนในระดับโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโดย ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานกรรมการหม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะผู้บริหารและทีมงาน ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs – CND) สมัยที่ 68 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เมื่อเร็วๆ นี้

ในการประชุมครั้งนี้ ประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้จัดกิจกรรมคู่ขนานภายใต้หัวข้อ “Addressing the Methamphetamine Crisis in the Mekong and Beyond” หรือ “การแก้ไขวิกฤตยาบ้าในลุ่มแม่น้ำโขงและภูมิภาค” ร่วมกับ ประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย และสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก (United Nations Office on Drugs and Crime, Southeast Asia and the Pacific – UNODC SEAP) ซึ่งนำเสนอประเด็นความท้าทายจากวิกฤตเมทแอมเฟตามีน โดยเฉพาะยาบ้าที่ลักลอบผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ผ่านมุมมองของประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกภูมิภาค พร้อมสะท้อนความพยายามของไทยในการสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดน และการศึกษาวิจัยการรักษาผู้ติดยาบ้า

นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้จัดนิทรรศการในหัวข้อ “Methamphetamine Crisis in the Greater Mekong Sub-region” หรือ “วิกฤตยาบ้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” เพื่อนำเสนอสถานการณ์และผลกระทบของปัญหายาบ้าในภูมิภาค โดยร่วมมือกับ UNODC SEAP และได้รับการสนับสนุนจาก 6 ประเทศสมาชิกบันทึกความเข้าใจลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม นิทรรศการนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตเมทแอมเฟตามีนผ่านการแสดงภาพการจับกุมยาบ้าและไอซ์ล็อตใหญ่ในประเทศแถบอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงลักษณะทางกายภาพและทางเคมีของยาบ้าและผลกระทบต่อร่างกายและสังคมจากการแพร่ระบาดของยาเสพติด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์และความรุนแรงของปัญหายาเสพติดในระดับสากล พร้อมเรียกร้องให้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาบ้าและเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นยาเสพติดสังเคราะห์ที่กำลังเป็นปัญหาวิกฤตเร่งด่วนและส่งผลกระทบในวงกว้าง

การขับเคลื่อนแนวทางพัฒนาทางเลือกโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

ภายในงาน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังได้เข้าร่วมการประชุมคู่ขนานในหัวข้อ “Updating the UN Guiding Principles on Alternative Development (UNGP on AD): Towards More Human-Centered and Territorial Approaches” ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเน้นถึงผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทางเลือกครั้งที่ 9 (EGM on AD) เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงและทบทวนหลักการแนวทางของสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก (UNGP on AD)

ในการนี้ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้กล่าวว่า “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดจากรากฐาน โดยใช้แนวคิด People-Centered Approach หรือ การยึดคนเป็นศูนย์กลาง” โดยชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหายาเสพติดมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะการปลูกพืชผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ แนวทาง “การพัฒนาทางเลือก” จึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ชุมชนมีอาชีพที่มั่นคง ลดการพึ่งพากิจกรรมผิดกฎหมาย และสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ยั่งยืน

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นหารือคือการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำว่าการพัฒนาทางเลือกควรถูกมองว่าเป็นกลไกที่ช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การสร้างระบบคาร์บอนเครดิตที่สามารถพัฒนาเป็นรายได้ให้กับชุมชน ช่วยให้ประชาชนมีแรงจูงใจในการอนุรักษ์ป่าไม้และลดความเสี่ยงในการหันไปทำกิจกรรมผิดกฎหมาย

พร้อมกันนี้ได้เน้นถึงความสำคัญของเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคทางเพศ และการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมืองในกระบวนการพัฒนา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางนี้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

ข้อมติระดับโลกเพื่อเสริมแนวทางพัฒนาทางเลือก

การประชุม CND สมัยที่ 68 ได้มีการรับรองข้อมติที่เสนอโดยสาธารณรัฐเปรูร่วมกับประเทศไทยและเยอรมนี โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีบทบาทสำคัญในการเจรจาร่างข้อมติภายใต้หัวข้อ “Complementing the United Nations Guiding Principles on Alternative Development” โดยข้อมตินี้มุ่งเน้นการปรับกลยุทธ์ให้ทันสมัยสอดคล้องกับความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้ชุมชนเปลี่ยนจากการพึ่งพายาเสพติดไปสู่โอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน พร้อมส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ ความเสมอภาค และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งที่มูลนิธิฯ เชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จมาเป็นเวลานาน

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในการผลักดันแนวทางพัฒนาทางเลือกให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับชุมชนทั่วโลก

นายกหมูแจงราคาหน้าฟาร์มเพิ่งพ้นต้นทุน วอนผู้บริโภคเข้าใจ หลังเกษตรกรขาดทุนมา 2 ปี

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแจงหลังราคาหมูหน้าฟาร์มก้าวข้ามต้นทุนได้ 2 เดือน หลังเกษตรกรเผชิญสารพัดปัญหาจนต้องประสบปัญหาขาดทุนในปี 2566-2567 ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงหมูในไตรมาส 1 ปีนี้อยู่ที่ 76 บาทต่อกิโลกรัม 

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลการเลี้ยง กรณีผู้บริโภคและผู้ค้าเนื้อสุกร หรือเขียงตามตลาดสดมีการสอบถามเข้ามายังสมาคม ถึงการปรับตัวขึ้นมาของราคาสุกรหน้าฟาร์มในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาของเดือนมีนาคม 2568 

ตลอดระยะเวลาในช่วงปี 2566-2567 ผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศขาดทุนอย่างมาก มีการหยุดประกอบอาชีพสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก กลุ่มฟาร์มขนาดกลางลดการเลี้ยง โดยการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรลง 40-50% เพราะต้องทนต่อการขาดทุนจากการขายต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยงมาเป็นเวลานาน ทำให้ราคาเนื้อสุกรที่ผู้บริโภคคุ้นชินที่อยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีระดับราคาของห้างค้าปลีก ประมาณ 109-119 บาทต่อกิโลกรัม ในกลุ่มของเนื้อแดงที่เป็นสะโพกและหัวไหล่ ที่สะท้อนกลับเป็นราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรขาดทุนตัวละประมาณ 500 – 700 บาท โดยเกษตรกรขาดทุนหนักที่สุดช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ที่ประมาณ 40% หรือประมาณ 3,600 บาทต่อตัว

ปัจจุบันราคาสุกรหน้าฟาร์มมีกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ ที่ถือว่าเป็นราคาที่มีความยุติธรรมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยความเคลื่อนไหวของสินค้าปศุสัตว์ไม่มีความแน่นอน โดยการปรับราคาขึ้นแต่ละครั้งจะเป็นไปตามกลไกตลาด โดยผู้เลี้ยงสุกรให้ความร่วมมือด้วยดีกับภาครัฐเสมอมา กรณีการควบคุมระดับราคาที่จะไม่ให้สูงเกินไป

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

สำหรับการควบคุมปริมาณผลผลิตในปี 2568 ผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศจะควบคุมปริมาณแม่พันธุ์ให้อยู่ในระดับ 1.1 ถึง 1.2 ล้านตัว ซึ่งจะเป็นต้นทางในการควบคุมปริมาณสุกรขุนให้ใกล้เคียงกับปริมาณความต้องการการบริโภค ที่จะเป็นผลผลิตสุกรขุนตลอดปี 2568 ประมาณ 21-23 ล้านตัว 

สัปดาห์ระหว่างวันที่ 17-21 มีนาคม 2568 ราคาจำหน่ายปลีกสุกรเนื้อแดงสะโพกและหัวไหล่ของกลุ่มห้างค้าปลีกจะอยู่ที่ประมาณ 143 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่กลุ่มเขียงตามตลาดสดจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาทต่อกิโลกรัม ที่เป็นระดับราคาที่เหมาะสมทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้บริโภค 

ปัจจุบันการเลี้ยงสุกรทั่วประเทศยังคงมีความเสี่ยงด้านการบริหารสุขภาพสุกร ทั้งอากาศร้อนและมีฝน ซึ่งเป็นสภาพเสี่ยงต่อการเกิดโรคสุกรได้  จึงขอให้ผู้เลี้ยงสุกรช่วยกันดูแลสุขภาพสุกร เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตสุกร ที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาโรคสุกรที่จะกระทบอัตราการตายระหว่างการเลี้ยง 

สุดท้ายนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้กล่าวว่าปกติผู้เลี้ยงสุกรจะดูแลผู้บริโภค สนองนโยบายรัฐด้วยดีเสมอมา โดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรมีมาตรการในการควบคุมปริมาณผลผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการบริโภค เพื่อรักษาระดับราคาที่เหมาะสมทั้งผู้เลี้ยงสุกร ผู้ค้า และผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์.