โคราชจัดอย่างยิ่งใหญ่พิธีบวงสรวงดวงทิพย์-เปลี่ยนผ้าสไบ ‘คุณย่าโม’

นครราชสีมาจัดอย่างยิ่งใหญ่พิธีบวงสรวงดวงทิพย์-เปลี่ยนผ้าสไบ ‘คุณย่าโม’ อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ส่องทะลุประตูเมืองโคราช

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานประกอบพิธีบวงสรวง อันเชิญดวงทิพย์วิญญาณคุณย่าโม และเหล่าเทวดาทวยเทพทั้ง 9 องค์ พร้อมถวายเครื่องบรรณาการอาหารคาวหวาน สักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หรือคุณย่าโม  ถวายพวงมาลัยดอกดาวเรือง ผูกผ้าแพร 7 สีรอบฐานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีหน่วยทหารกำลังพล 40 นายยิงสรุด 3 ชุด รวม 120 นัด  โดยมีนางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา ,  ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา หัวหน้าส่วนราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ ภาครัฐภาคเอกชน กลุ่มสตรีตำบลโพธิ์กลาง นักเรียน พี่น้องประชาชนร่วมพิธีอย่างพร้อมเพียง โดยเป็นที่น่าอัศจรรย์ปรากฏดวงอาทิตย์ส่องแสงผ่านประตูเมืองนครราชสีมา หรือว่า ประชุมชุมพล สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพี่น้องชาวนครราชสีมาเป็นอย่างมาก  

ต่อจากนั้นนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมานำประกอบพิธีเปลี่ยนผ้าสไบสีแดงปักทองห่มองค์ท้าวสุรนารี สำหรับลวดลายบนพื้นผ้าสไบ ในแต่ละปีจะมีลวดลายที่แตกต่างกันไป แต่ยังคงความงดงามแบบโบราณ ส่วนสีของสไบจะเป็นสีตามวันที่ ที่จัดงานฉลองวันแห่งชัยชนะของท่านท้าวสุรนารี สำหรับปีนี้ ตรงกับวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567 ผ้าสไบที่ใช้จึงเป็นสีแดงปักทอง โดยผ้าสไบเมื่อปักลวดลายเสร็จเรียบร้อยแล้วมีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม และมีความยาว 3.75 เมตรด้วยความสำนึกในบุญคุณ ของวีรสตรี ผู้กล้าหาญ

ทั้งนี้การจัดงานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี ประจำปี 2567 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มีนาคม -3 เมษายน 2567 รวม 12 วัน 12 คืน เพื่อเทิดทูนวีรกรรมท้าวสุรนารีวีรสตรีไทย และปลุกจิตสำนึกให้เยาวชนไทยรุ่นหลังได้ตระหนักถึงวีรกรรมอันกล้าหาญ เสียสละ และดำรงไว้ซึ่งความรักชาติ ตลอดจน ส่งเสริมการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่งดงามให้เป็นเอกลักษณ์ของดีของชาวจังหวัดนครราชสีมา และเป็นเทศกาลการท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการพัฒนาจังหวัดที่มีการพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวนครราชสีมา ตลอดจนประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ยึดถือเป็นศูนย์รวมจิตใจ

ฉก.พญานาคราชบุกจับมะพร้าวเถื่อน 43 ตัน-อโวคาโด 8 ตัน ลอบนำเข้าจากกัมพูชา

หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชสนธิกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สกัดจับมะพร้าวเถื่อนน้ำหนัก 43 ตัน มูลค่ากว่า 2.4 ล้านบาท และอโวคาโดน้ำหนัก 8 ตัน มูลค่า 800,000 บาท ลักลอบนำเข้าจากประเทศกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา อ.สอยดาว จ.จันทบุรี

เมื่อวันที่ 24 มี.ค.68 พันเอก รวิรักษ์ สัตตบุศย์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช เปิดเผยว่า หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชได้สนธิกำลังร่วมกับ พ.ต.อ.สราวุฒิ ปรีดาภรณ์, พ.ต.ท.อนันต์ กาวสันเทียะ และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชจันทบุรี กรมวิชาการเกษตร เข้าทำการตรวจสอบหลังได้รับแจ้งเบาะแสว่าจะมีการลักลอบขนส่ง มะพร้าวผิดกฎหมาย เข้ามายังราชอาณาจักรไทย ผ่านบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ตำบลสะตอน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดผ่านแดนประมาณ 460 เมตร เจ้าหน้าที่จึงจัดกำลังลาดตระเวนอย่างเข้มงวดตลอดแนวชายแดน ก่อนพบรถบรรทุกป้ายทะเบียนกัมพูชาต้องสงสัย แล่นเข้ามาในพื้นที่ใกล้โกดังบริเวณด่านสวนส้ม อ.สอยดาว โดยมีคนไทยรอรับสินค้า

เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบชายชาวกัมพูชา 2 ราย กำลังขนถ่ายมะพร้าวจากรถบรรทุกกัมพูชา ไปยังรถกระบะป้ายทะเบียนไทย ตรวจยึดของกลางเป็น มะพร้าวสดน้ำหนักรวม 43,000 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 2.4 ล้านบาท ซึ่งจัดเป็นพืชที่ต้องห้ามนำเข้าตาม พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาและนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.สะตอน ดำเนินการตามกฎหมาย ต่อเนื่องจากปฏิบัติการดังกล่าว เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 เวลา 00.10 น. หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชจันทบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบหลังได้รับรายงานว่าจะมีการลักลอบนำเข้า อโวคาโด เข้ามาทางช่องทางผ่อนปรนจุดซับตารี ตำบลสะตอน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี

เมื่อไปถึงพื้นที่เป้าหมาย พบรถยนต์กระบะลูกกรง 2 คันกำลังเคลื่อนตัวผ่านแนวชายแดน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจค้น โดยรถคันแรกยอมให้ตรวจและพบว่า บรรทุกอโวคาโดโดยไม่มีเอกสารรับรองสุขอนามัยพืช หรือหลักฐานแสดงแหล่งที่มา ขณะที่รถอีกคันพยายามหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงขับไล่ติดตามเป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร ก่อนสามารถสกัดจับได้ที่จุดตรวจด่านกักกันสัตว์จันทบุรี

จากการตรวจค้น พบว่า รถคันดังกล่าวก็บรรทุกอโวคาโดโดยไม่มีเอกสารกำกับเช่นเดียวกัน รวมของกลางทั้ง 2 คัน เป็น อโวคาโดน้ำหนักรวม 8,000 กิโลกรัม มูลค่าราว 800,000 บาท เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหา 2 ราย ฐานลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 และส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.สะตอน ดำเนินคดีต่อไป

บุรีรัมย์แล้งคุกคามรุนแรง ชาวบ้านต้องซื้อน้ำ จากรถเร่ไว้ ใช้อุปโภคบริโภค

จังหวัดบุรีรัมย์ ในหลายพื้นที่เผชิญภัยแล้งคุกคาม ทำให้ชาวบ้านที่บ้านสะเดา ต.สะเดา อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ ต้องซื้อน้ำจากพ่อค้ารถเร่ กักตุนไว้เพื่อใช้ในการอุปโภค-บริโภคกันเอง ในราคาเที่ยวละ 170 บาท ต่อจำนวน 1,200 ลิตร เพื่อเป็นการช่วยเหลือตนเอง และตัดปัญหาความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยแล้ง  

ชาวบ้านสะเดา หมู่ที่ 1 ต.สะเดา อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ กำลังล้างทำความสะอาด โอ่งน้ำและภาชนะใส่น้ำ เพื่อเตรียมรองรับน้ำจากรถเร่ขายน้ำของเพื่อนบ้าน ที่ได้นำรถยนต์กระบะดัดแปลงใส่ถังพลาสติก ขนาดใบละ 200 ลิตร จำนวน 6 ใบ ไปสูบน้ำจากบ่อน้ำต่างหมู่บ้านมาตระเวนส่งขายให้กับชาวบ้าน ที่ได้ติดต่อสั่งซื้อน้ำไว้ก่อนหน้านี้ ในราคาเที่ยวละ 170 บาท ต่อน้ำจำนวน 1,200 ลิตร 

เพื่อเป็นการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ให้กับครอบครัวของตนเอง จากปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อการอุปโภค-บริโภคในครัวเรือน เนื่องจากน้ำประปาหมู่บ้าน มีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ และในบางช่วงมีสภาพขุ่น อีกทั้งแหล่งน้ำดิบที่ใช้สำหรับการผลิตประปาหมู่บ้าน เริ่มแห้งแล้งและมีปริมาณลดน้อยลงด้วย ชาวบ้านจำเป็นจะต้องซื้อน้ำจากรถเร่ของเพื่อนบ้านมาไว้ใช้ในครัวเรือน หากจะซื้อน้ำดื่มถังขนาด 20 ลิตร ที่มีราคาจำหน่ายต่อถัง 12-15 บาท ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น และไม่คุ้มหากเทียบกับซื้อน้ำจากรถเร่

นางแอ๋ว จันทรา อายุ 55 ปี ชาวบ้านสะเดา หมูที่ 1 ต.สะเดา อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ บอกว่า ได้ซื้อน้ำจากรถเร่จากเพื่อนบ้านในราคาเที่ยวละ 170 บาท ได้น้ำประมาณ 7 โอ่ง ก็เอาไว้ใช้ประกอบอาหารในแต่ละวัน ทั้งหุงข้าว ทำกับข้าว และหุงต้มทั่วไป ใช้ได้ประมาณ 1 เดือน หรือไม่ถึงเดือนยิ่งในช่วงหน้าแล้งนี้ อากาศร้อนจัดอีกยิ่งแต่จะใช้น้ำมากขึ้น ถือว่าประหยัดกว่าซื้อน้ำถังขนาด 20 ลิตร ถังละ 12-15 บาท มาใช้ไม่น่าจะคุ้ม ซึ่งวันหนึ่งต้องใช้มากถึง 1-2 ถัง ส่วนน้ำประปาก็มีไม่พอใช้ต่อความต้องการ เพราะมีการใช้หลายหมู่บ้าน และคุณภาพของน้ำก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง บางวันก็มีสภาพขุ่น เลยตัดสินใจแก้ปัญหายอมซื้อน้ำจากรถเร่มาไว้ใช้ดีกว่า สะดวกดีไม่ต้องยุ่งยาก

ด้าน นายอำนาจ เพชรเอี่ยม อายุ 50 ปี ชาวบ้านสะเดา หมูที่ 1 ต.สะเดา อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ บอกว่า ช่วงนี้เข้าสู่หน้าแล้งเป็นธรรมดาที่น้ำประปาไม่เพียงพอต่อการใช้ และบางครั้งก็มีสภาพขุ่น จึงตัดปัญหาโดยการซื้อน้ำจากรถเร่จากเพื่อนบ้านเอามาไว้ใช้ในครัวเรือน ทั้งไว้ใช้สำหรับหุงข้าว ทำกับข้าว และใช้ทั่วไป เนื่องจากครอบครัวตนเป็นครอบครัวใหญ่ น้ำที่ซื้อครั้งนี้น่าจะใช้ได้เฉลี่ยประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งดีกว่าซื้อน้ำถังขนาด 20 ลิตร มาใช้เพราะมีราคาค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าซื้อน้ำจากรถเร่ ที่มีราคาถูกกว่าและได้ปริมาณมากกว่า

ขณะที่ นายสุวิทย์ สมนึกตน พ่อค้าน้ำรถเร่ บอกว่า ตนเองประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง ได้ใช้เวลาว่างหลังเลิกงาน และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นำรถยนต์กระบะใส่ถังน้ำพลาสติก ขนาดใบละ 200 ลิตร จำนวน 6 ใบ บรรจุน้ำได้ครั้งละ 1,200 ลิตร ไปสูบน้ำจากบ่อน้ำต่างหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับลำชี บริเวณรอยติดต่อระหว่าง จ.บุรีรัมย์-สุรินทร์ รวมระยะทางไปกลับประมาณ 14 กิโลเมตร แล้วบรรทุกน้ำมาขายให้กับเพื่อนบ้าน ที่ได้สั่งซื้อน้ำเอาไว้ใช้ในครัวเรือน เฉลี่ยต่อวันในช่วงวันหยุดประมาณ 3-4 เที่ยวๆ ละ 170 บาท ส่วนวันปกติก็ได้บ้างวันละ 1-2 เที่ยว หรือไม่ได้เลยก็มี ซึ่งตนทำมานานกว่า 10 ปีแล้ว.

เซียนแหทั่วอีสานใต้ เฮโล! ซื้อบัตรหว่านจับปลาหารายได้พัฒนาหมู่บ้าน

สุรินทร์-คึกคัก..เซียนแหทั่วอีสานใต้ เฮโล แห่ซื้อบัตรลงแพ หว่านจับปลากันอย่างเนืองแน่น หลังหมู่บ้านเปิดสระสาธารณะหารายได้พัฒนาชุมชน

เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2568 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสุรินทร์ ได้ลงพื้นที่ไปยังหนองตะคร้อ-หนองตาด หมู่ที่ 3 บ้านพนมดิน ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ้งเป็นหนองน้ำสาธารณะของหมู่บ้าน มีการเปิดหนองน้ำขายบัตรลงแพหว่านแห่จับปลา เพื่อหารายได้ เข้ากองทุนหมู่บ้าน ไว้พัฒนาชุมชนและเพื่อจัดซื้อพันธุ์ปลามาปล่อยไว้ในปีถัดไป

ซึ่งผู้สื่อข่าว ได้พบกับ“ดีเจนองฅนบ้านกรวด” และ สรยาท ยูทูปเบอร์ และเจ้าของเพจเฟสบุ๊ค“อะไรก็ถ่าย by สรยาท” ซึ่งได้เป็นผู้ประกาศเปิดหนองน้ำสาธารณะหนองตะคร้อ-หนองตาด บริเวณตลาดนัดบ้านพนมดิน เพื่อให้เหล่าบรรดานักจับปลาและเซียนแหอีสานใต้กว่า 500 คน ได้ลงจับปลากันอย่างคึกคัก โดยได้เปิดขายบัตรในราคาบัตรต่อเรือแพ 400 บาท บัตรฝั่ง 300 บาท ซึ่งได้ประกาศประชาสัมพันธ์เปิดจองทุ่นลงแพไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อให้เหล่า FC เซียนแหทราบ

โโยก่อนหน้านี้ได้ปิดสระน้ำเพื่อลงพันธุ์ปลาทิ้งไว้เกือบ 5 ปี มีพันธุ์ปลาหลากหลายชนิดไซส์ใหญ่ๆพอให้เซียนแหได้ลุ้นระทึกกันอย่างคึกคัก อาทิเช่น ปลาคอใหญ่ หรือ ปลาช่อน ปลาดุก ปลานิล ปลายี่สก ปลานวนจันทร์ ปลาฉลาด รวมไปถึงปลาธรรมชาติ อื่นๆ ซึ่งในปีนี้ได้รับความสนใจจากบรรดาเหล่าเซียนแห แห่มาซื้อบัตรจับจองที่ลงเรือแพจับปลากันอย่างเนืองแน่นคึกคักอย่างมาก

ทั้งนี้ทาง ”ดีเจนองฅนบ้านกรวด“ คณะกรรมการชุมชน ได้มีการประกาศให้มีการแข่งขันชั่งน้ำหนักปลาไซส์ใหญ่,ปลาแปลก และปลาน้ำหนักรวม ซึ่งมีรางวัลให้เหล่าเซียนแหได้ลุ้นระทึกกันมากมาย บรรยากาศมีทั้งพ่อบ้าน แม่บ้าน ลูกเด็กเล็กแดง ต่างพากันนำปลาไซส์ใหญ่ ไปชั่งแข่งขันลุ้นรางวัลกันอย่างคึกคัก ต่างพากันนำปลาตัวใหญ่และปลาแปลกที่จับได้มาชั่งน้ำหนักแข่งขันรับรางวัล ที่บริเวณหนองตะคร้อ-หนองตาด บางคนได้ปลาใหญ่มาก็นำไปย่างเผาไฟเพื่อรับประทานกันข้างฝั่งอย่างเอร็ดอร่อยได้บรรยากาศครอบครัวกันเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ทางด้าน”ดีเจนองฅนบ้านกรวด“ซึ่งเป็นผู้รับเหมาเปิดบ่อจับปลา และ ทางผู้นำชุมชนบ้านพนมดิน เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า กิจกรรมลงแหจับปลาในวันนี้ถือว่าเป็น ซอฟต์พาวเวอร์ ในการดึงดูดนักจับปลาหรือเซียนแหจากหลายพื้นที่ภาคอีสานใต้ รวมๆแล้วประมาณ 400-500 คน ต่างก็ได้ปลากันไปอย่างถ้วนหน้า บรรยากาศข้างฝั่งซึ่งมีทั้งชาวบ้านมารอจับจ่ายซื้อปลาสดๆกันถึงที่หนองน้ำ ซื้อขายชั่งกิโลกันสดๆหน้าบ่อ และมีพ่อค้าแม่ค้ามาจับจองที่ขายของกันหลายร้าน สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย ซึ่งเซียนแหแต่ละคนได้โชว์การประลองฝีมือการลงแห่จับปลาและจะได้นำปลากลับบ้านไปประกอบอาหารมื้อค่ำกินกับครอบครัว ส่วนที่เหลือก็จะนำไปขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

ซึ่งทาง“ดีเจนองฅนบ้านกรวด”และ ผู้นำชุมชน ได้ประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงกล่าวขอบพระคุณเหล่าบรรดาเซียนแหนักจับปลา ทุกท่านที่ได้มาร่วมกิจกรรมลงแหจับปลา และท่านที่นำปลามาชั่งน้ำหนักปลาไซส์ใหญ่ รวมทั้งรางวัลปลาแปลก และได้มอบรางวัลให้แก่เซียนแห่ และหลังจากนี้จะนำเงินรายได้ทั้งหมดหลังจากหักค่าใช้จ่าย ไปเข้ากองทุนหมู่บ้านเพื่อจัดซื้อพันธุ์ปลามาปล่อยไว้ในปีถัดไปอีกส่วนก็จะนำไปสมทบทุนพัฒนาชุมชนต่อไป

“รถถัง” จัดหมัดซ้ายน็อก “ทาเครุ”ยกแรก “ตะวันฉาย”พ่ายสุดช็อก ศึก ONE 172

ยิ่งใหญ่สมการรอคอยสำหรับการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 30 ปี ของญี่ปุ่น ในศึก ONE 172 เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ณ ไซตามะ ซูเปอร์ อารีนา จัดเต็มความมันด้วยการโชว์ผลงานของนักสู้แถวหน้าระดับโลกคับคั่ง ส่งตรงให้แฟนมวยใน 195 ประเทศ ได้ร่วมลุ้นระทึกพร้อมกันทุกวินาที

คู่เอกของรายการ “ทาเครุ เซกาวา” นักชกขวัญใจเจ้าถิ่น วัย 33 ปี ท้าชนเดือด “รถถัง จิตรเมืองนนท์” อดีตแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต วัย 27 ปี ในกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต ซูเปอร์ไฟต์ 5 ยก ปรากฏว่าเกมจบลงไวเกินคาด เมื่อ “รถถัง” เอาชนะทีเคโอด้วยการปล่อยหมัดฮุกซ้ายสุดคมส่ง “ทาเครุ” ร่วงนั่งมึนลุกไม่ไหว โดยใช้เวลาไป 1:20 นาทีของยกแรกเท่านั้น ทำเอาแฟนเจ้าบ้านอึ้งไปตาม ๆ กัน พร้อมรับโบนัส 5 หมื่นดอลลาร์ (ราว 1.7 ล้านบาท) กลับบ้านสมใจ

คู่รองของรายการเป็นศึกชิงเข็มขัด ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต เฉพาะกาล ระหว่าง “ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย” ราชัน ONE มวยไทย รุ่นนี้ ปะทะ “มาซาอากิ โนอิริ” นักชกเจ้าถิ่นดีกรีแชมป์ โดย 2 ยกแรก “ต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันไม่มียอม แต่ “มาซาอากิ” มางัดทีเด็ดในยก 3 ปล่อยหมัดส่งราชันมวยไทย หล่นไปโดนนับ 8 ก่อนจะไล่ถลุงอาวุธเป็นชุดปิดเกมไว ได้ขึ้นแท่นแชมป์โลกเฉพาะกาล พร้อมกระชากโบนัส 5 หมื่นดอลลาร์ และคว้าตั๋วสู่ไฟต์ชิงบัลลังก์กับ “ซุปเปอร์บอน ซุปเปอร์บอนเทรนนิงแคมป์” แชมป์โลกคนปัจจุบันในไฟต์ต่อไป

ส่วน “โจนาธาน ดิ เบลลา” นักสู้ฝีมือดี วัย 28 ปี ตัวแทนอิตาลี-แคนาดา วัดฝีมือ  “สามเอ ไก่ย่างห้าดาว” จอมแข้งรุ่นใหญ่ วัย 41 ปี โดยมีเข็มขัดแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต เฉพาะกาล เป็นเดิมพัน ผลปรากฏว่า “ดิ เบลลา” อาศัยความสดและความว่องไวเดินบดขยี้ “สามเอ” ได้ชัดเจนกว่า ครบ 5 ยก “ดิ เบลลา” ชนะคะแนนเอกฉันท์ คว้าสิทธิ์เปิดศึกรีแมตช์รวบเข็มขัดกับเจ้าของคนปัจุบัน “พระจันทร์ฉาย พีเค.แสนชัย” ต่อไป

ด้าน “เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม” แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต วัย 23 ปี ขึ้นทำหน้าที่ป้องกันบัลลังก์ครั้งแรกจาก “คานะ โมริโมโตะ” ผู้ท้าชิงสาวดีกรีแชมป์คิกบ็อกซิ่ง วัย 32 ปี โดยทั้งคู่ยืนซัดกันมันหยดกับผู้ท้าชิงตลอด 5 ยก โดยสุดท้าย “เพชรจีจ้า” เป็นฝ่ายแจกอาวุธได้จะแจ้งกว่า จึงเอาชนะด้วยคะแนนเอกฉันท์ รั้งเข็มขัดกลับไทยได้สำเร็จ

ต่อด้วยคู่รีแมตช์ที่หลายคนรอคอย “ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9” ปะทะ “นาบิล อานาน” ในกติกามวยไทย รุ่นแบนตัมเวต 3 ยก แม้จะไม่ได้มีเข็มขัดเป็นเดิมพัน แต่เกมก็เดือดมันขั้นสุด โดย “นาบิล” โชว์เซอร์ไพรส์อัดหมัดใส่ “ซุปเปอร์เล็ก” หล่นลงไปโดนนับ 8 ตั้งแต่ยกแรก ก่อนจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟอาวุธชุดใหญ่ ทำเอา “ซุปเปอร์เล็ก” เข้าไม่ติด สุดท้ายจึงได้รับการชูมือด้วยคะแนนเอกฉันท์ล้างแค้นได้สำเร็จ

ขณะที่ตัวแทนจากไทยอีก 3 รายที่เหลือทำผลงานไม่เข้าเป้า โดยตกเป็นฝ่ายพ่ายให้กับนักชกเจ้าบ้านทั้งหมด ได้แก่ “รักษ์ เอราวัณ” แพ้น็อก “นาดากะ โยชินาริ” ในยก 3, “ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ” แพ้คะแนนเอกฉันท์ “ชิมอน” และ “สุริยันต์เล็ก พ.เย็นยิ่ง” แพ้คะแนนเอกฉันท์ “ริวเซอิ คุมางาอิ”

โดยสรุปในศึกนี้มีนักสู้ฝีมือดี 4 คน ที่โชว์ฟอร์มได้ใจ บิ๊กบอส “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” คว้าเงินโบนัสคนละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 ล้านบาท) ได้แก่ “อาเดรียน ลี”, “ยูยะ วากามัตสึ”, “มาซาอากิ โนอิริ” และ “รถถัง จิตรเมืองนนท์” รวมยอดทั้งสิ้นกว่า 6.7 ล้านบาท (หกล้านเจ็ดแสนบาท) ในอีเวนต์เดียว

สรุปการแข่งขันทุกคู่ศึก ONE 172: ทาเครุ vs รถถัง
คู่เอก รถถัง จิตรเมืองนนท์ ชนะน็อก ทาเครุ เซกาวา (ญี่ปุ่น) นาทีที่ 1:20 ของยกแรก (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต ซูเปอร์ไฟต์) 
คู่รอง มาซาอากิ โนอิริ (ญี่ปุ่น) ชนะทีเคโอ ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย นาทีที่ 1:55 ของยก 3 (ชิงแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต เฉพาะกาล)
ยูยะ วากามัตสึ (ญี่ปุ่น) ชนะทีเคโอ อาเดรียโน โมราเอส (บราซิล) นาทีที่ 3:39 ของยกแรก (ชิงแชมป์โลก ONE MMA รุ่นฟลายเวต)
โจนาธาน ดิ เบลลา (อิตาลี/แคนาดา) ชนะคะแนนเอกฉันท์ สามเอ ไก่ย่างห้าดาว (ชิงแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต เฉพาะกาล)

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม ชนะคะแนนเอกฉันท์ คานะ โมริโมโตะ (ญี่ปุ่น) (ชิงแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต)
นาบิล อานาน (แอลจีเรีย/ไทย) ชนะคะแนนเอกฉันท์ ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9 (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต)
นาดากะ โยชินาริ (ญี่ปุ่น) ชนะน็อก รักษ์ เอราวัณ นาทีที่ 2:40 ของยก 3 (มวยไทย รุ่นอะตอมเวต)
ชินยะ อาโอกิ (ญี่ปุ่น) ชนะซับมิชชัน เอดูอาร์ด โฟลายัง (ฟิลิปปินส์) นาทีที่ 0:53 ของยกแรก (MMA รุ่นไลต์เวต)
ฮิโรกิ อากิโมโตะ (ญี่ปุ่น) ชนะคะแนนไม่เอกฉันท์ จอห์น ลินีเคอร์ (บราซิล) (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นแบนตัมเวต)
อาเดรียน ลี (สหรัฐอเมริกา/สิงคโปร์) ชนะซับมิชชัน ทาเคฮารุ โอกาวา (ญี่ปุ่น) นาทีที่ 1:03 ของยกแรก (MMA รุ่นไลต์เวต)
ชิมอน (ญี่ปุ่น) ชนะคะแนนเอกฉันท์ ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ (มวยไทย รุ่นฟลายเวต)
ฮิว (ญี่ปุ่น) ชนะน็อก ซากาเรีย เอล จามารี (โมร็อกโก) นาทีที่ 2:12 ของยกแรก (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต)
ริวเซอิ คุมางาอิ (ญี่ปุ่น) ชนะคะแนนเอกฉันท์ สุริยันต์เล็ก พ.เย็นยิ่ง (คิกบ็อกซิ่ง 132 ป.)
แฟนกีฬาติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของ ONE ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand เว็บไซต์ www.ONEFC.com และอินสตาแกรม ONEChampTh และ TikTok ONEChampTH

ตำรวจเร่งล่าโจรบุกเดี่ยวชักปืนขู่ชิงทองที่อยุธยาเชิด 160 บาท วิ่งขึ้นวินจยย. หลบหนี

อยุธยา- คนร้ายถือปืนบุกชิงทรัพย์ร้านทอง ห้างทองเยาวราชเอเชีย ตั้งในห้างสรรพสินค้า กวาดไป 160 บาท โดยทำทีมาดูลาดเลา ก่อนล้วงอาวุธเดินไปหน้าเคาน์เตอร์ ใช้เวลาลงมือไม่เกิน 1 นาที แล้วไปว่าจ้างรถจักรยานยนต์รับจ้าง หลบหนี ตร.เข้าตรวจสอบพื้นที่ ไล่เช็กวงจรปิดเพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 23 มีนาคม 2568 ร.ต.อ.หญิง นิลาวัณย์ สนแก้ว รอง สว.(สอบสวน) สภ.พระอินทร์ราชา ได้รับแจ้งเหตุมีคนร้ายใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ร้านทองเหตุเกิดที่ ห้างทองเยาวราชเอเชีย ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาบางปะอิน บนถนนสายเอเชีย หลักกม. ที่ 1 + 500 ต. เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้รายงาน พล.ต.ต. นฤนาท พุทไธสง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.ชนันท์ เปรมปลื้มจิตต์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ลงพื้นที่ยังจุดเกิดเหตุ

โจรชิงทองที่อยุธยา ชักปืนขู่ ลงมือไม่ถึง 1 นาที ได้ไป 160 บาท ขึ้นวินจยย. หลบหนี

ในที่เกิดเหตุเป็นห้างทองเยาวราชเอเชีย ตั้งอยู่ชั้น 1 ของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ติดโปลิศไลน์ เทปกั้นสถานที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งตรวจสอบรอยนิ้วมือแฝงตามตู้กระจก ตรวจสอบพบคนร้ายเป็นชาย ใส่หมวกปีกคลุมหน้า เพื่อปิดบังใบหน้า สวมถุงมือสีดำ ใช้อาวุธปืนเดินเข้าไปที่พนักงาน ซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ จากนั้นพนักงานก็ได้หยิบทองรูปพรรณ สร้อยคอน้ำหนัก 20 บาท 3 เส้น สร้อยคอน้ำหนัก 15 บาท 2 เส้น สร้อยคอหนัก 10 บาท 7 เส้น ประมาณ 160 บาท จากนั้นคนร้ายก็หนีออกไปด้านนอก แล้วไปว่าจ้างรถจักรยานยนต์รับจ้าง หลบหนีไป

โจรชิงทองที่อยุธยา ชักปืนขู่ ลงมือไม่ถึง 1 นาที ได้ไป 160 บาท ขึ้นวินจยย. หลบหนี

สอบถามพนักงานสาวขายทองภายในร้าน เล่าว่า ตอนนั้นตนเองยืนขายของอยู่ตรงหลังเคาน์เตอร์ แล้วมีคนร้ายเป็นชายใส่หมวกปิดบังใบหน้า สวมถุงมือสีขาวเดินเข้ามาด้านข้างของร้าน แล้วเดินเข้ามาด้านหลังเคาน์เตอร์ จากนั้นก็ควักปืนที่เอวออกมา บอกให้ตนเงียบ แล้วให้ตนหยิบทองรูปพรรณที่อยู่ในตู้ส่งให้คนร้าย จากนั้นคนร้ายพอได้ทองรูปพรรณแล้ว ก็เดินหนีออกจากห้างไปขึ้นรถจักรยานยนต์รับจ้างหลบหนี ตอนนั้นทุกคนในร้านก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก

สอบถามพนักงานของห้างดังกล่าว เล่าว่า ตอนนั้นตนเองกำลังเดินเก็บรถเข็นอยู่บริเวณใกล้กับห้างทอง แล้วได้ยินเสียงมีคนตะโกนบอก คนร้ายมาปล้นร้านทอง แล้วกำลังจะหลบหนีจึงวิ่งไล่ตาม คนร้ายซึ่งใส่หมวกปิดบังใบหน้า สวมถุงมือวิ่งออกไปทางประตูด้านหน้า จากนั้นคนร้ายเห็นตนเอง จึงควักปืนออกมาจากเอวแล้วมาจ่อ ตนจึงหลบหาที่กำบังแล้วคนร้ายก็วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์รับจ้างหลบหนีไป ตนเองก็ไม่ได้ตามต่อ โชคดีที่คนร้ายไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่

ด้าน พ.ต.อ.ชนันท์ เปรมปลื้มจิตต์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา เผยว่า คนร้ายเป็นชายหนึ่งราย เดินเข้ามาจากด้านหน้าห้างสรรพสินค้าและเลาะขอบกำแพงมาเข้าประตูที่หนึ่งตรงกับร้านทอง แล้วเข้าไปลงมือก่อเหตุ จากนั้นก็เดินออกมายังถนนสายเอเชีย เพื่อนั่งวินรถจักรยานยนต์เบอร์เก้า ให้ไปส่งที่จุดพักรถแห่งหนึ่ง ประมาณ 1.9 กิโลเมตร ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ว่าคนร้ายใช้รถยานพาหนะอะไร อยู่ระหว่างการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ เนื่องจากคนร้ายให้รถจักรยานยนต์ที่ไปส่งจอดบริเวณริมถนน ไม่ได้เข้าจอดด้านใน

โจรชิงทองที่อยุธยา ชักปืนขู่ ลงมือไม่ถึง 1 นาที ได้ไป 160 บาท ขึ้นวินจยย. หลบหนี

ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว พนักงานสอบสวนจะลงพื้นที่ โดยให้ชุดสืบสวนไล่กล้องวงจรปิดบริเวณห้างและเส้นทางที่หลบหนี และจะตรวจสอบรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี.

“ทักษิณ” ย้ำซื้อหนี้ประชาชนต้องทำ ชี้ แก้หนี้ภาคประชาชน-ภาคครัวเรือนเกิดปีนี้

“ทักษิณ” ย้ำ ซื้อหนี้ประชาชนต้องทำ หลังโพลเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย ยันแก้หนี้ภาคประชาชน-ภาคครัวเรือนเกิดขึ้นในปีนี้ เชื่อน่าจะไปได้ดี พร้อมขอใจเย็นๆ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอน

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 23 มีนาคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ถึงกรณีผลสำรวจดุสิตโพล ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับนโยบายซื้อหนี้ประชาชน ว่า เป็นเรื่องที่ต้องทำ วันนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าประชาชนลำบากอยู่ 2-3 เรื่อง คือ 1. การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาด 

โดยการดึงเงินออกนอกระบบ ทำให้เศรษฐกิจมันแห้ง ทำให้ประชาชนเดือดร้อน 2. เรื่องของโควิด-19 และ 3. การสร้างโอกาสให้กับประชาชนไม่เพียงพอ ที่ประชาชนจะสามารถทำมาหากินได้ ฉะนั้น วันนี้ก็ต้องหาทางให้ประชาชนสามารถเริ่มต้นใหม่ โดยการพยายามแก้หนี้ให้เขาหรือปรับโครงสร้างหนี้ ให้เขาสามารถชำระหนี้ได้มีเครดิตใหม่ และสร้างโอกาสให้เขาก็จะทำให้เขาฟื้นได้

ผู้สื่อข่าวถามต่อ ได้คุยกับเอกชนบ้างแล้วใช่หรือไม่ที่จะให้มารับซื้อหนี้ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ระบบทุนนิยมเราต้องการมีกำไรอยู่ได้ และวันนี้แบงก์ (ธนาคาร) ให้ดอกเบี้ยต่ำ ถ้าให้ดอกเบี้ยสูงกว่านี้เขาก็มา ซึ่งการแก้หนี้ภาคประชาชน ภาคครัวเรือน จะเกิดขึ้นในปีนี้และน่าจะไปได้ดี

ยกระดับคุมเข้มชายแดนแม่สอดห้ามขนส่งสินค้าท่าข้ามฝากสกัดยาเสพติดทะลัก

ฝ่ายความมั่นคง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประชุมชี้แจง ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เจ้าของท่าข้ามฯ ระงับการนำรถขนส่งสินค้าข้ามแดนไปฝั่งประเทศเมียนมา ยกเว้นบนสะพานมิตรภาพฯ
 
เมื่อวันที่ 23  มีนาคม 2568. พ.อ.ณัฐกร เรือนติ๊บ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ผบ.ฉก.ราชมนู) นายสัญญา เพชรเศษ นายอำเภอแม่สอด จ.ตาก,ตำรวจ  ,ด่านศุลกากรแม่สอด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมร่วมกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เจ้าของท่าข้ามขนส่งสินค้า เพื่อชี้แจง และเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามคำสั่งของ  ผู้อำนวยการศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ด้านเมียนมา จังหวัดตาก ในการ  ระงับการใช้ช่องทางบ้านแม่กุหลวง (ท่า 48)

สำหรับการนำเข้า – ส่งออก ขนส่งสินค้า ณ ช่องทางอื่นนอกจากอนุมัติ ทั้ง 59 ท่า ที่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา ๘๖ วรรค 22.2 การนำเข้า – ส่งออกขนส่งสินค้าและสินค้าผ่านแดน (TRANSIT) ณ ช่องทางอื่นนอกทางอนุมัติ ที่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 86 วรรค 2 ห้ามมิให้บุคคลและยานพาหนะข้ามไป – มา กับสินค้าโดยเด็ดขาด. (ยกเว้นช่องทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แม่สอด=เมียวดี)

ทั้งนี้ผู้ประกอบการท่าข้ามมีความเข้าใจและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการบางรายได้รับผลกระทบจากคำสั่งนี้ เนื่องจากการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ,สินค้ามีขนาดใหญ่ หรือต้องใช้ภาชนะบรรจุเป็นพิเศษ ทางผู้ประกอบการจะได้หาหรือ เพื่อขอให้ทางจังหวัดตาก ได้กำหนดรายละเอียดการปฏิบัติเป็นเฉพาะกรณีต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด ภาค 5 ร่วมกับ ตำรวจภูธรภาค 5 เข้าตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 จับกุมผู้ลำเลียงยาเสพติด จำนวน 2 คน พร้อมของกลางยาเสพติดยาบ้า ประมาณ 18  ล้านเม็ด ยาไอซ์ จำนวน 250  กิโลกรัม, เคตามีน จำนวน 300 กิโลกรัม ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ 

และจากการสอบถามผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมให้การว่า ได้มีการนำรถบรรทุกหัวและพ่วงท้าย ทะเบียน  สมุทรปราการ  บรรทุกน้ำดื่มข้ามไปเมียนมา ผ่านช่องทางบ้านแม่กุหลวง (ท่า 48) หมู่ที่ 1 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก  และมีการพักค้างคืนอยู่ฝั่งเมียนมา ก่อนจะมีคนมารับรถออกไปบรรทุกยาเสพติด โดยได้ทำการดัดแปลงตู้คอนเทนเนอร์ให้เป็นห้องลับ สำหรับบการซุกซ่อนยาเสพติด เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจพบ

หลังจากนั้นได้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ข้ามกลับมาประเทศไทย บริเวณช่องทางบ้านแม่กุหลวง (ท่า48 ) หมู่ที่ 1 ต.แม่กุ อ.แม่สอด. ทำให้นายชูชีพ พงศ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก (ผู้อำนวยการศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ด้านเมียนมา จังหวัดตาก) ได้ออกคำสั่ง ระงับการใช้ช่องทางบ้านแม่กุหลวง (ท่า 48) และ ห้ามไม่ให้มีรถขนส่งสินค้าข้ามแดนไปฝั่งประเทศเมียนมา ตามช่องทางอื่นนอกจากบนสะพานมิตรภาพไทย เมียนมา

กมธ.แรงงาน สภาฯ เข้ม! ให้กรมการจัดหางานยึดหลักประกันบริษัทจัดหางาน ชดใช้แรงงานที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

“กมธ.แรงงาน สภาฯ เข้ม มีมติที่ประชุมให้กรมการจัดหางาน ยึดหลักประกันบริษัทจัดหางาน ชดใช้แรงงานที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม พร้อมให้ตรวจสอบบริษัทที่โดนเพิกถอนใบอนุญาตจัดหางาน เปลี่ยนชื่อ แล้วกลับมาขอใบอนุญาตใหม่ และลงโฆษณาการจัดหางานบนเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน  หวั่นสร้างสร้างความเสียหายในอนาคต”

นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ครั้งที่ 58 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มลูกจ้างแรงงานที่ถูกบริษัทนายหน้าชักชวนไปทำงานต่างประเทศ ที่ประเทศเยอรมนี และประเทศเกาหลี จากการพิจารณาทั้ง 2 เรื่อง พบว่า เรื่องการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศเยอรมนี นายพิชิตพล เจริญโชติรัศมี ได้สมัครเพื่อไปทำงานกับบริษัท K – Industry Solutions GmbH ตำแหน่งพนักงานท่าอากาศยานขนถ่ายสินค้าและจัดการกระเป๋าบนเครื่องบิน โดยการสมัครผ่านบริษัทจัดหางาน ซันโกลด์ เทรดดิ้ง จำกัด ที่จังหวัดนครรราชสีมา และมีการจ่ายค่าดำเนินการ ค่าอบรมภาษา และค่าตรวจสุขภาพไปแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศเยอรมนีเลย  ในประเด็นนี้ กรมการจัดหางานได้ชี้แจงว่า บริษัทจัดหางาน ซันโกลด์ เทรดดิ้ง จำกัด ได้ดำเนินการผิดกฎหมาย โดยให้เพิกถอนใบอนุญาตจัดหางานของบริษัทฯ และทำการยึดหลักประกันมาเยียวยาผู้เสียหาย รายละเอียดข้อเท็จจริงกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลของบริษัท พบว่า บริษัทจัดหางาน ซันโกลด์ เทรดดิ้ง จำกัด ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ถูกต้องตามกฎหมาย และในขณะนี้ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้มีหนังสือถึงกรมการจัดหางาน เพื่อขอให้ตรวจสอบ และพิจารณาบริษัทฯ ดังกล่าวว่ามีความผิดตามกฎหมายอย่างใดหรือไม่

นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร

“บริษัทจัดหางาน ซันโกลด์ เทรดดิ้ง จำกัด ได้ชี้แจงกับคณะกรรมาธิการว่า ผู้ร้องเรียน ได้เสนอเรื่องเพียงแจ้งความประสงค์ในการสมัครงานเท่านั้น ยังไม่ได้สมัครงานแต่อย่างใด เนื่องจาก ยังไม่ผ่านคุณสมบัติต้องสอบด้านภาษาเยอรมนี ระดับ A2 และบริษัทฯ ได้มีการประสานงานกับบริษัทที่จะต้องไปทำงานเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้าง จึงทำให้เกิดความล่าช้า แต่ผู้ร้องเรียน ได้ทำการร้องเรียนไปยังหน่วยงานอื่นๆ ทำให้บริษัทที่ประเทศเยอรมนี ปฏิเสธการรับเข้าทำงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ กำลังประสานการจ้างงานบริษัทอื่นๆ เพื่อให้ผู้ร้องเรียนได้เข้าไปทำงานได้ในอนาคต”

นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องนี้ คณะกรรมาธิการฯ มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ให้กรมการจัดหางานควรระวัง บริษัทจัดหางาน ที่โดนเพิกถอนใบอนุญาตจัดหางานไปแล้ว กลับมาขอใบอนุญาตใหม่อีกครั้ง โดยการเปลี่ยนชื่อบริษัท และควรมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนการอนุญาตให้บริษัทจัดหางานต่าง ๆ ลงโฆษณาการจัดหางานบนเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับในอนาคตได้ และที่ประชุมได้มีมติให้ กรมการจัดหางาน รับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะกลับไปพิจารณาทบทวน หาแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับบริษัทจัดหางาน และเร่งดำเนินการกับบริษัทจัดหางาน ซันโกลด์ เทรดดิ้ง จำกัด เพื่อนำหลักประกันของบริษัทฯ มาเยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนต่อไป

สำหรับประเด็นการจัดส่งแรงงานไปทำงานที่ประเทเกาหลี จากร้องเรียนของ น.ส.กันยาพร พวงจันทร์ และคณะ ที่ได้สมัครงานกับบริษัท จัดหางาน หมิงเซิ่ง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์วิส จำกัด โดยต้องเสียค่านายหน้าและค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน ให้กับทางบริษัทฯ ก่อนการเดินทางนั้น รวมระยะเวลากว่า 2 ปี จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลี และบริษัทฯ ได้บ่ายเบี่ยงกำหนดการที่จะเดินทางไปทำงาน และการคืนเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับผู้เสียหาย ในประเด็นนี้ กรมการจัดหางานได้ชี้แจงว่า การเดินทางไปทำงานในประเทศเกาหลี แบ่งเป็นหลายรูปแบบ อาทิ แบบ E7 เป็นวีซ่าทำงานมีฝีมือ แบบ E8 เป็นวีซ่าเกษตรตามฤดูกาล และแบบ E9 เป็นวีข่าทำงานภาคเกษตรได้ชั่วคราว สำหรับวีซ่าแบบ E8 และ E9 บริษัทจัดหางานเอกชน ไม่สามารถส่งคนไปทำงานได้ เนื่องจากการทำงานแบบดังกล่าว จะเป็นการส่งไปในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือ G to G เท่านั้น จากการตรวจสอบการกระทำของบริษัทจัดหางาน หมิงเซิ่ง อินเตอร์เชั่นแนล เซอร์วิส จำกัด และบริษัท สยามโกโก้ทัวร์ จำกัด กระทำผิดกฎหมาย ทั้งยังมีการเก็บเงินก่อนเดินทางไปทำงานของบริษัทจัดหางานอีกด้วย ในเรื่องดังกล่าว กรมการจัดหางาน ได้มีระเบียบห้ามไม่ให้บริษัทจัดหางาน เรียกหรือรับค่าบริการ จากแรงงานหางานไว้เป็นการล่วงหน้า ก่อนเดินทาง กรมการจัดหางาน ได้พิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตจัดหางานของบริษัทดังกล่าว และทำการยึดหลักประกันของบริษัทฯ เพื่อเยียวยาผู้ร้องเรียนต่อไป

“ในประเด็นดังกล่าว ได้ทำการแจ้งความไว้ สน.โชดชัย ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนด้วย ซึ่ง สน.โขคชัย ได้ทำการตรวจสอบเบื้องต้น และพิจารณาเอกสารและสอบพยาน พบว่าบริษัท สยามโกโก้ทัวร์ จำกัด เคยโดนคดีฉ้อโกงประชาชน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และขณะเดียวกันบริษัทจัดหางาน หมิงเซิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์วิส จำกัด และบริษัท สยามโกโกโก้ทัวร์ จำกัด ได้ดำเนินการถูกต้องตามากฎหมายทั้งหมด โดยมีเอกสารประกอบการดำเนินการทุกขั้นตอน ส่วนสาเหตุที่เกิดความล่าช้าขึ้นเนื่องจากอัตราค่าจ้างไม่ตรงกับสัญญาจ้าง ทำให้ต้องไปประสานกับทางฝั่งบริษัทที่ประเทศเกาหลี เรื่องอัตราค่าจ้างใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังติดปัญหาที่กรมการจัดทางานไม่อนุมัติเอกสารให้กับทางบริษัทฯ สำหรับประเด็นนี้นี้คณะกรรมาธิการฯ ได้มีมติให้ กรมการจัดทางาน นำหลักประกันของบริษัทฯ ดังกล่าว นำมาเยียวยาให้กับผู้ได้รับความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนต่อไป”

ปูพรมล่า 5 หัวเมืองใหญ่ล้างบางเครือข่ายนายทุนปล่อยกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยโหด

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. ร่วมกันเปิดยุทธการปูพรมปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบรวบและผู้กระทำผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ในพื้นที่ กทม., ปทุมธานี, ชลบุรี, ขอนแก่น และ เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 8 ราย ตรวจยึดของกลางหลายรายการ ดังต่อไปนี้
 
ยุทธการที่ 1 : ขุดรากถอนโคนเครือข่ายเงินกู้แก๊ง “พลอยสยาม เงินทุน”
ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ย ร้อยละ 2 ต่อวัน หรือร้อยละ 730 ต่อปี
พื้นที่ จ.ชลบุรี
ดำเนินคดี กับผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายป๋องฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี            
2. นางสาวอัญชลีฯ (สงวนนามสกุล)  อายุ 29 ปี
3. นายพิมพ์พันธุ์ฯ หรือ ติ๊ก (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี (นายทุนใหญ่)

โดยกล่าวหากระทำผิดฐาน “ร่วมประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคลโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด”

พฤติการณ์ เนื่องด้วยผู้เสียหายได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. โดยให้การว่า นายป๋องฯ ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับตน โดยเสนอคิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 2 ต่อวัน หรือร้อยละ 730 ต่อปี

จากการสืบสวน พบ นายป๋องฯ อยู่ในเครือข่าย “แก๊งป๋อง สายบันเทิง”  มีพฤติกรรมปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด มีอาวุธปืนข่มขู่ทวงหนี้ ชอบรวมกลุ่มแต่งและแข่งรถจักรยานยนต์บนท้องถนนรบกวนประชาชน นอกจากนั้น มักจะโพสต์ภาพอาวุธปืนและซื้อขายอาวุธปืนลงโซเซียลทำให้ผู้เสียหายหวาดกลัว

จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มผู้กระทำความผิด มีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นกระบวนการ คือ 1.หน้าที่ในการหาลูกค้า โดยวิธีโปรยนามบัตรเงินกู้ตามหน้าบ้าน และสถานที่สาธารณะในเวลากลางคืน 2.หน้าที่คัดกรองลูกหนี้ และไปดูที่พักและที่ทำงานของลูกหนี้ 3. หน้าฝ่ายอนุมัติและทำสัญญา ทำหน้าที่ดูเอกสารพร้อมกับทำเอกสารสัญญาเงินกู้กับลูกหนี้ 4. ฝ่ายติดตามทวงถามหนี้ ทำหน้าที่ตามเก็บเงินกับลูกหนี้ในทุกวัน จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบเครือข่ายดังกล่าวมีเงินหมุนเวียน กว่า 12 ล้าน โดยมี นายพิมพ์พันธุ์ฯ เป็นนายทุนใหญ่ และมีนายป๋องฯ, น.ส.อัญชลีฯ เป็นเครือข่ายในแก๊งดังกล่าว

ต่อมา เจ้าหน้าตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. ได้นำหมายค้นตรวจค้นบ้านพักของนายป๋องฯ และน.ส.อัญชลีฯ พบนามบัตร พิมพ์คำว่า “พลอยสยาม เงินทุน” จำนวน 9 ลัง จำนวนกว่า 2 แสนใบ และเอกสารลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินอีกจำนวนหลายรายการ และตรวจค้นบ้าน นายพิมพ์พันธุ์ฯ นายทุนใหญ่ของกลุ่มปล่อยเงินกู้ใบปลิว ”พลอยสยาม เงินทุน” ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จากนั้นจึงได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป
สอบถามเบื้องต้นทั้ง 3 ราย ให้การรับสารภาพ
 
ยุทธการที่ 2 : “ทลายแก๊งวัยรุ่นสร้างตัว เปิดเพจปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยโหด MC Credits”
พื้นที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 1 ราย ดังนี้
1.นายณัฐนันท์ฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี
โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคลโดยไม่ได้รับอนุญาตและเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด”

พฤติการณ์ เมื่อเดือน พ.ย.2567 นางเอ (นามสมมุติ) ได้แจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5
บก.ปอศ. ว่ามีเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “MC Money Credit” มีพฤติการณ์ปล่อยเงินกู้ผู้นอกระบบ ร้อยละ 1.546
ต่อวัน หรือร้อยละ 564.43 ต่อปี ต่อมาเมื่อผู้เสียหายเริ่มผ่อนชำระดอกเบี้ยคืนไม่ตรงกำหนด กลุ่มผู้กระทำความผิดได้ส่งข้อความทวงถามหนี้ ต้องการที่จะให้ผู้เสียหายชำระดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ทั้งที่ซึ่งผู้เสียหายชำระหนี้จนเกินยอดเงินต้นไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้เสียหายเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย จึงได้เข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ต่อมา หลังจากทำการสืบสวน จึงได้ขออนุมัติหมายค้นเพื่อเข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว พบ นายณัฐนันท์ฯ แสดงตนเป็นผู้อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงหมายค้น ขณะตรวจค้นผู้ต้องหายอมรับว่าเฟซบุ๊กชื่อ “MC Money Credit” เป็นเพจปล่อยเงินกู้ให้กับบุคคลที่สนใจกู้ยืมเงิน โดยจะเน้นลูกค้าที่มีอาชีพเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือมีกิจการเป็นของตนเอง โดยจะเดินทางไปดูกิจการและหน้างานของลูกค้าด้วยตนเอง และใช้บัญชีตนเองปล่อยเงินต้นและรับดอกเบี้ย จากนั้นจึงได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป
สอบถามเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ
 
ยุทธการที่ 3 : “รวบแก๊งเงินกู้คอปกขาว” หัวหมอไม่แคร์สื่อ ปล่อยกู้ 50,000 บาท ทวงคืน
250,000 บาท อัดดอกเบี้ยไม่ยั้ง ผู้เสียหายโดนยึดทรัพย์ระนาว พบเงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท
พื้นที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี และ พื้นที่ เขตวังทองหลาง กทม.
ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายสุรทินฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี
2. น.ส.รัสรินทร์ฯ (สงวนนามสกุล)อายุ 59 ปี    
3. น.ส.ภัทราพรฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี

โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน  “ร่วมประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคลโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด”

พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก มีกลุ่มผู้เสียหายเข้ามาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. ว่ามีนายทุนนอกระบบปล่อยเงินกู้ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน หรือร้อยละ 120 ต่อปี และบังคับให้เขียนสัญญากู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น โอนเงิน ให้ลูกหนี้ 50,000 บาท แต่ให้เขียนสัญญา 250,000 บาท หากลูกหนี้ชำระหนี้ ไม่ตรงเวลาก็จะนำสัญญาดังกล่าว ไปฟ้องต่อศาล และบังคับคดียึดทรัพย์ อายัดทรัพย์สินจำนวนหลายราย
         
จากการสืบสวนพฤติการณ์และเส้นทางการเงิน พบเงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท และมีผู้ร่วมกระบวนการจำนวนหลายราย จึงได้ขออนุมัติต่อศาลเพื่อตรวจค้น 2 จุด พบหลักฐานเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้นอกระบบ และการฟ้องร้องคดีลูกหนี้อย่างไม่เป็นธรรมจำนวนหลายรายการ จากนั้นจึงได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป
 
ยุทธการที่ 4 บุกทลายที่พักนายทุนเงินกู้นอกระบบสาวเมืองเหนือ ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด
รับจำนำรถจักรยานยนต์ เรียกดอกร้อยละ 186 ต่อปี
พื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 1 ราย ดังนี้
1.นางกัลยาฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี

โดยกล่าวหากระทำผิดฐาน “ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด”


พฤติการณ์ น.ส.บี(นามสมมุติ) ผู้กล่าวหาได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ.  ว่า นางกัลยาฯ ได้ปล่อยเงินกู้ โดยเสนอคิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 186 ต่อปี และมีการให้นำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์มาจำนำกับตนเพื่อเป็นค้ำประกันให้ชำระหนี้ตามที่ต้องการ เมื่อผิดนัดชำระหนี้จะบังคับยึดรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่นำมาค้ำประกัน ผู้เสียหายจึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ.

ต่อมาเจ้าหน้าตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. ได้นำหมายค้นของศาล เข้าค้นบ้านพักของนางกัลยาฯ พบ รถจักรยานยนต์ และรถยนต์ จอดอยู่ภายในบ้านจำนวนมาก ซึ่งคาดว่ามีผู้เสียหายรายอื่นๆที่มากู้เงินอีกหลายราย นอกจากนี้ยังพบเอกสารเกี่ยวกับการจำนำรถ, โทรศัพท์มือถือ, เอกสารข้อมูลลูกหนี้ และสมุดบัญชีธนาคาร จำนวนกว่า 20 รายการ จากนั้นจึงได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป

สอบถามเบื้องต้น นางกัลยาฯ ยอมรับว่าตนปล่อยเงินกู้นอกระบบในอัตราร้อยละ 186 จริง โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์มาจำนำกับตน เพื่อให้สามารถยึดทรัพย์สินดังกล่าวได้ หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามที่กำหนด

สรุปผลการตรวจค้นทั้งสิ้น 4 ยุทธการ ตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 6 จุด 5 จังหวัดใหญ่ทั่วประเทศดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 8 ราย พบเงินหมุนเวียนและยึดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ 11 รายการ รวมมูลค่ากว่าหลายสิบล้านบาท ดังนี้
1.คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จำนวน 6 เครื่อง
2.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 22 เครื่อง
3.แท็บเล็ต จำนวน 4 เครื่อง
4.เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเงินกู้ จำนวน 11 ชุด
5.สมุดบัญชีธนาคาร  จำนวน 21 เล่ม
6. นามบัตรที่พิมพ์คำว่า “พลอยสยาม เงินทุน” จำนวน 9 ลัง จำนวนกว่า 2 แสนใบ
7. กระเป๋าบรรจุ นามบัตรที่พิมพ์คำว่า “พลอยสยาม เงินทุน” จำนวน  3  ใบ
8.กุญแจรถมอเตอร์ไซต์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน 5 คัน
9.กุญแจรถยนต์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 คัน
10.เอกสารรับจำนำรถจำนวน 4 ชุด
11.สัญญาเช่าที่ดิน จำนวน 1ชุด