“นกปากห่าง” นับหมื่นตัว ยึดพื้นที่วัดป่า พระเณรทนเสียงไม่ไหว หนีจำวัดที่อื่น

ผอ.อนุรักษ์สัตว์ป่าอุดรฯ เร่งประสานหน่วยงานช่วยผลักดัน “นกปากห่าง” ออกจากวัดป่า ที่อุดรธานี หลังเข้ามายึดพื้นที่ สร้างครอบครัว ส่งเสียงดัง จนพระ เณร ต้องทิ้งกุฏิหนีไปจำพรรษาที่วัดอื่น 

จากกรณีชาวบ้านร้องเรียนว่า ที่วัดป่ามัชฉิมวงศ์รัตนาราม บ้านเหล่าใหญ่ ต.แชแล อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี มีนกปากห่างจำนวนหลายหมื่นตัว บุกเข้ามาอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในวัด ทำรังออกลูกขยายพันธ์ ส่งเสียงดังรบกวนพระ เณร และผู้มาปฏิบัติธรรมในวัด จนต้องทิ้งกุฏิหนีไปจำพรรษาที่วัดอื่น ที่สำคัญมูลนกหรือขี้นกที่ขับถ่ายออกมาทำให้ต้นไม้ยืนต้นตาย อีกทั้งชาวบ้านไม่กล้ามาวัดเพราะเกรงจะติดโรค แม้ว่ามัคนายกวัดจะขับไล่นกหลายวิธีแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เคยทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ทำได้เพียงมาฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรคปีละครั้ง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

"นกปากห่าง" นับหมื่นตัว ยึดพื้นที่วัดป่า พระเณรทนเสียงไม่ไหว หนีไปจำวัดที่อื่น

ล่าสุดผู้สื่อข่าวเดินทางไปยัง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) พบกับนายสมบัติ สุภศร ผอ.ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) เพื่อสอบถามแนวทางการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมานานนับ 10 ปี พร้อมกับเปิดเผยว่า นกปากห่างเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองลำดับที่ 612 ตามกฎกระทรวงที่กำหนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวนคุ้มครอง ตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า นกปากห่างเป็นนกขนาดใหญ่ จะชอบอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติในเวลากลางวัน เพื่อหาอาหารคือหอยชนิดต่างๆ เช่นหอยเชอรี่ หอยโข่ง ในที่นาและพื้นที่ชุ่มน้ำ นกปากห่างกำจัดหอยเชอรี่ได้ดี พอตกกลางคืนก็จะพากันบินกลับมาที่พักหรือรัง ที่เหมาะสมคือต้นไม้สูง ที่จะทำรังบนยอดต้นไม้

นายสมบัติ เปิดเผยต่อว่า กรณีที่วัดป่าในพื้นที่ตำบลแชแล อ.กุมภวาปี เป็นพื้นที่ที่เหมาะสม เพราะอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำในพื้นที่หนองหาน-กุมภวาปี ซึ่งวัดป่าก็เป็นพื้นที่ป่าต้นไม้สูงใหญ่ และล้อมรอบไปด้วยที่อยู่ของชุมชน และมีเนื้อที่ป่าผืนใหญ่ประมาณ 50-70 ไร่ ซึ่งเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ และไม่มีชาวบ้านมารบกวนเนื่องจากเป็นวัดป่า นกปากห่างจึงมาทำรัง ส่วนปัญหาดังที่ชาวบ้านร้องเรียนมาประมาณ 10 ปีแล้ว ที่นกปากห่างเข้ามาทำรังอาศัยอยู่บริเวณวัด ก็จะมีชาวบ้านร้องมาในพื้นที่ของกรมอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหนองหาน-กุมภวาปี เราก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบดู แล้วได้ประสานไปทางปศุสัตว์อำเภอ มาฉีดพ่นยาปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันโรคระบาดต่างๆ และทำมาทุกปี

"นกปากห่าง" นับหมื่นตัว ยึดพื้นที่วัดป่า พระเณรทนเสียงไม่ไหว หนีไปจำวัดที่อื่น

นายสมบัติ เปิดเผยต่อไปว่า ช่วงที่นกปากห่างวางไข่ ก็จะทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้สูงในช่วงหน้าหนาว คือเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม ส่วนช่วงผสมพันธุ์อยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ของทุกปี ในช่วงที่ทำให้คนและพระสงฆ์เดือดร้อน จากมูลนกและเสียงอย่างมาก ก็อยู่ระหว่างการทำรังเลี้ยงลูกระหว่างเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม ในปีนี้เห็นทราบว่ามีประชากรนกเพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปี เนื่องจากสภาพวัดป่ามีความสมบูรณ์ และมีความเหมาะสมในการวางไข่เลี้ยงลูก ก็เลยอพยพมากันเยอะ แต่นกปากห่างจริงๆที่เราสำรวจเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีปริมาณ 2,000-3,000 ตัว ส่วนที่เหลือเป็นนกประเภทอื่น เช่น นกกระยาง นกกระยางน้อย นกกระยางใหญ่ นกกระยางควาย นกกระยางเปีย ฯลฯ รวมประชากรนกกระยางประมาณ 7,000-8,000 ซึ่งรวมกับนกปากห่างก็จะมีประชากรนกประมาณ 10,000 ตัว

“ตอนนี้ทางเราก็ได้ประสานงานกับทางนายอำเภอกุมภวาปี ท่านจะได้นัดหมายกับทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ ปศุสัตว์อำเภอ ปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหนองหาน-กุมภวาปี ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ และสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) ร่วมไปประชุมหารือ ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อพยายามผลักดันประชากรนกออกนอกพื้นที่ แต่คงต้องใช้เวลา เพราะว่านกชนิดต่างๆมาอยู่อาศัยจำนวนมาก การผลักดันก็ต้องเป็นไปตามหลักวิชาการ ซึ่งต้องค่อยๆดำเนินการ”

ผอ.ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) เปิดเผยอีกว่า โดยทางเราได้รับข้อมูลจากทางภาคกลางว่ามีปัญหาเรื่องนกปากห่างและนกชนิดต่างๆ เยอะมาก เพราะทางภาคกลางมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นจำนวนมาก สุดท้ายนี้เราไม่ได้นิ่งนอนใจเราประสานงานกับทางอำเภอ ทางกรมอุทยาน ได้ศึกษาแนวทางแก้ไข และจะได้เร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประสานงานวิจัยข้อมูลของกรมอุทยาน ที่ได้ทำการวิจัยไว้แล้ว เพื่อจะได้มาใช้ดำเนินการแก้ไขปัญหา ผลักดันนกปากห่างออกจากวัดและชุมชน และจะได้เข้าไปคุยกับชุมชน แต่ต้องค่อยๆเป็นไป เพราะว่านกปากห่างเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

ฝรั่งคลั่งทำร้ายหมอฟันสาวทั่วเมืองโคราช ถูกเชือดคอดับปริศนาคาบ้านพัก ตร.ตั้ง 2 ปม

นครราชสีมา- พบศพฝรั่งชาวเยอรมันคลั่งตระเวนทำร้ายหมอฟันสาวทั่วเมืองโคราช ถูกเชือดคอดับสยองคาห้องนอน ภายในบ้านพัก อ.โนนสูง นครราชสีมา เผยมีสุนัขร็อตไวเลอร์ 2 ตัว ท่าทางดุร้ายเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ตำรวจตั้ง 2 ปมการเสียชีวิต ฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม



เจ้าหน้าตำรวจ สภ.โนนสูงและหน่วยกู้ภัยฮุก 31 จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งเมื่อเวลา 17.20 น.วันที่่ 21 มี.ค.256 จากว่ามีผู้พบศพ นายมัททิอัส เอ็บเนอร์ (MR.MATTHIAS EBNER) ผู้ต้องหา นอนเสียชีวิตอยู่ในห้อง ภายในบ้านพักชั้นเดียวซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 301หน้าวัดดอนชมพู ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา โดยสภาพศพนอนหงายอยู่บนเตียง สวมเสื้อกล้ามสีเทา กางเกงขาสั้น ที่ลำคอมีแผลขนาดใหญ่ยาวประมาณ 2 นิ้ว เหมือนถูกของมีคมเชือดเลือดไหลนองที่นอน และภายในห้องมีร่องรอยรื้อค้นเอกสารและข้าวของกระตัดกระจาย โดยมีสุนัขร็อตไวเลอร์ 2 ตัว เฝ้าอยู่ไม่ห่าง และมีท่าทางดุร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งประสานให้ปศุสัตว์อำเภอโนนสูงนำอุปกรณ์มาจับสุนัขทั้งสองตัวออกไปก่อนจึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุได้

จากการสอบถามพยานแวดล้อมทราบว่าก่อนจะพบศพ MR.MATTHIAS EBNER วันนี้ ภรรยาของนายมัททิอัส ที่ไปทำงานอยู่ จ.ปราจีนบุรี ไม่สามารถติดต่อกับสามีได้ จึงเห็นว่าผิดปกติจึงได้โทรศัพท์แจ้งให้เพื่อนของสามี ที่อาศัยอยู่ตำบลจอหอ อ.เมืองนครราชสีมามาดูที่บ้านให้ จากนั้นเพื่อนของนายมัททิอัส ได้มาที่บ้านดังกล่าวและพยายามติดต่อนายมัททิอัส แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้จึงได้ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านมาช่วยกันหาจนพบศพ นายมัททิอัส เอ็บเนอร์ นอนหงายเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนดังกล่าว

หลังเกิดเหตุญาติได้แจ้งให้ภรรยานายมัททิอัสซึ่งอยู่ จ.ปราจีนบุรีทราบแล้วและกำลังเดินทางกลับมาที่บ้านเกิดเหตุ ตำรวจ สภ.โนนสูง ได้ตั้งประเด็นการตายของนายมัททิอัส ไว้ 2 ประเด็น คือ ฆ่าตัวตายและถูกฆาตกรรม พร้อมตรวจสอบกล้องวรจรปิดภายในบ้านและบริเวณรอบบ้านเพื่อหาเบาะแสต่อไป


จากการสอบถาม นายสายน้อย บุญศรี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านดอนชมพู เล่าว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุภรรยาของผู้ตายได้ติดต่อไปหาเพื่อนของผู้ตายซึ่งเป็นชาวต่างชาติเหมือนกันที่อาศัยอยู่ตำบลจอหอ อ.เมืองนครราชสีมา ให้ช่วยเข้าไปดูสามีที่บ้านให้หน่อย เพราะติดต่อไม่ได้ และได้โทรศัพท์มาหา นางอนันต์ ฉนำกลาง ผู้ใหญ่บ้านดอนชมพู ให้ช่วยพาเพื่อนชาวต่างชาติคนดังกล่าวเข้าไปดูสามีของตนในบ้านให้ด้วย

ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยจึงเข้าไปในบริเวณบ้านและเรียกผู้ตายที่อาศัยอยู่ในบ้าน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงพากันไปมองดูที่หน้าต่างซึ่งเป็นกระจกใส พบร่างของผู้ตายนอนอยู่บนเตียง มีแผลบริเวณลำคอ เลือดไหลนองเต็มพื้น มีเศษกระดาษกระจัดกระจาย แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปข้างในเพราะมีสุนัขร็อตไวเลอร์ตัวใหญ่ 2 ตัว ท่าทางดุร้ายเดินวนเวียนเฝ้าศพนายมัททิอัส อยู่ตลอดเวลา จึงได้แจ้งให้ตำรวจ สภ.โนนสูง ทราบดังกล่าว

MR.MATTHIAS EBNER (มิสเตอร์ มัททิอัส เอ็บเนอร์) ชาวเยอรมัน วัย 41 ปี มีภรรยาเป็นหญิงชาวไทยอาศัยอยู่บ้านดอนชมพู ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา มีพฤติกรรมคลุ้มคลั่งบุกเข้าไปก่อเหตุทำร้ายร่างกาย และข่มขู่ทันตแพทย์หญิงในคลินิกทันตกรรมหลายแห่งในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา โดยเหตุเกิดขึ้นกับคลินิกทันตกรรมหลายแห่งหลายครั้ง ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยชาวต่างชาติผู้ก่อเหตุได้แสดงพฤติกรรมรุนแรง ทั้งการทำลายข้าวของ การบุกเข้าไปในห้องพักส่วนตัวของทันตแพทย์หญิง รวมถึงการใช้กำลังทำร้ายร่างกายทันตแพทย์หญิง เช่น การจับหัวโขกผนัง และกัดปากทันตแพทย์หญิงจนได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังมีการส่งข้อความข่มขู่ผ่านโซเชียลมีเดีย สร้างความหวาดผวาให้กับทันตแพทย์ในพื้นที่อย่างมาก จนถูกศาลออกหมายจับชายชาวต่างชาติรายนี้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้จับกุมตัว MR.MATTHIAS EBNER (มิสเตอร์ มัททิอัส เอ็บเนอร์) ชาวเยอรมัน อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว โดยจับกุมตัว MR.MATTHIAS ได้ที่บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าคลังวิลล่า ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่ผู้ต้องหานั่งอยู่ท้ายรถกระบะ ยี่ห้อฟอร์ด สีเขียว หมายเลขทะเบียน ขล 3262 นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัว และแสดงหมายจับศาลจังหวัดนครราชสีมา ที่ จ.161/2568 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2568 ให้ผู้ต้องหาดูและแจ้งข้อกำล่าวหา บุกรุก ทำร้ายร่างกายและ ทำให้เสียทรัพย์

โดยผู้ต้องหารับว่า ตนเองเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง แต่ไม่ยอมให้การใดๆ หลังถูกจับกุมตัว เบื้องต้น MR.MATTHIAS ให้การผ่านล่ามแปลภาษายอมรับว่า ตัวเองเป็นบุคคลตามหมายจับจริง แต่ไม่ยอมให้การใดๆ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะขอไปให้การในชั้นศาล และจากการตรวจสอบ MR.MATTHIAS มีวีซ่าอยู่ในประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยต่อวีซ่าปีต่อปี

ในวันนี้ 19 มี.ค. 68 พนักงานสอบสวนได้ส่งตัว MR.MATTHIAS ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นผู้ต้องหาได้ขอประกันตัวที่ศาลจังหวัดนครราชสีมากลับไปอยู่ที่บ้าน อ.โนนสูง โดยทางตำรวจเตรียมทำหนังสือถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) นครราชสีมา ขอให้พิจารณาเพิกถอนวีซ่า MR.MATTHIAS เนื่องจากถือเป็นบุคคลอันตราย และมีพฤติกรรมเป็นภัยต่อสังคม แต่มาเสียชีวิตดังกล่าว



สภาฯเดือด! ‘สส.รัฐบาล-ฝ่ายค้าน’เรียงหน้าถล่มยับบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยอันตรายคุกคามสุขภาพ

สภาฯต้านบุหรี่ไฟฟ้าเดือด “สส.รัฐบาล-ฝ่ายค้าน” เรียงหน้าถล่มยับบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยอันตรายคุกคามสุขภาพเยาชน ด้าน “หมอทศพร” แฉรายงาน กมธ.บุหรี่ไฟฟ้าหมกเม็ดอุ้มบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมาย เตือนรัฐบาลอย่าหลงกลกับ 2 แนวทางอีแอบเอื้อธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำทางรอดเดียวต้อง “แบน” บุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 25 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานฯ ได้มีการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว โดย นพ.นิยม วิวรรธนดิฐกุล ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ชี้แจงว่าคณะกรรมาธิการฯได้มีการประชุมทั้งหมด 39 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.2566 – 19 ม.ค.2568 รวม 480 วัน โดยศึกษาปัญหาผลกระทบด้านต่างๆ ทั้งด้านสุขภาพ ด้านสังคม ด้านกฎหมาย และด้านเศรษฐกิจ มีบทสรุป 3 แนวทาง คือ 1.บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated tobacco Products) เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย 2.ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated tobacco products)
เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย และ 3.บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated Tobacco
Products) เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ส.ส.ส่วนทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างอภิปรายไปในทิศทางเดียวกัน โดยระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคตินและสารอื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ สส.ทุกคนต่างแสดงความเห็นเป็นเอกฉันท์ แสดงความเป็นห่วงบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพเด็กและเยาวชนอนาคตของประเทศ หากเสพติดตั้งแต่อายุน้อยจะไปกระทบสมองที่กำลังพัฒนา ผลร้ายของสารนิโคตินต่อสมองของเด็กมันเยอะกว่าผู้ใหญ่ นอกจากนี้บุหรี่ไฟฟ้ามีกลิ่นหอม สูบง่าย ไม่ระคายเคือง ไม่มีการเผายิ่งเป็นการหลอกล่อเด็กให้ตกเป็นเหยื่อ พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลมีนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

นายธีระชัย แสงแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าทุกวันนี้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นปัญหาที่กัดกินสังคมโดยเฉพาะเด็กเยาวชน ซึ่งวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยระบุว่าการโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้ามีการบิดเบือนการเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้บุหรี่ไฟฟ้าเปลี่ยนจากสิ่งเสพติดที่อันตรายให้เป็นทางเลือกในการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นการบิดเบือนทั้งสิ้น แม้แต่แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีก็ยืนยันหลักฐานทางการแพทย์บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายมาก บุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้คนติดบุหรี่ได้ง่ายเพราะมันสูบง่ายกว่าเดิม มีรสชาติใหม่ มีหลายรสชาติ เด็กสามารถติดใจง่ายขึ้น บุหรี่ไฟฟ้ามันเป็นตัวกระตุ้นให้เยาวชนอยากสูบ ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพและสมองของเขา ขอชื่นชมรัฐบาลที่มีการปราบปรามกวาดล้างอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีมาตรการทางกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า แต่ก็ยังพบการแพร่ระบาดการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นในหมู่เด็กและเยาวชน

“ผมขอกราบต้องปราบปรามอย่างจริงจังนะครับ เอาทุกหน่วยงานรัฐเข้ามาร่วมจัดการ ทุกกระทรวงต้องร่วมมือ คนที่นำเข้าบุหรี่บุหรี่ไฟฟ้าต้องตรวจสอบบัญชีต่างๆ เพราะมันทำความฉิบหายกับเยาวชน ไอ้พวกผู้ใหญ่มันใกล้ตายแล้ว แต่เป็นปัญหากับเด็กเยาวชนของชาติ เราต้องมีกฎหมายพระราชบัญญัติที่กำหนดเพื่อควบคุมป้องกันและปราบปรามไฟฟ้า  เรื่องนี้มันจะสร้างความฉิบหายของประเทศ เราต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น กำหนดโทษสูงสูง และเฝ้าระวังการจำหน่ายออนไลน์และตัวการนำเข้า ขอให้เอาจริงเอาจังกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า เราจะต้องไม่ให้เยาวชนตกเป็นทาสของบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ตกเป็นทาสยาเสพติดในอนาคต”สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยกล่าวย้ำ

ด้าน นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่าตนได้รับการร้องเรียนเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ามาตลอดเวลาเจอนักเรียนและผู้ปกครอง เคยไปเดินแถวสุขุมวิทพบการขายบุหรี่ไฟฟ้าเต็มไปหมด ตนเดินทางไปที่โรงพยาบาลสตึก จ.บุรีรัมย์ เยี่ยมนักเรียน ม.2 ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วปอดอักเสบต้องนอนโรงพยาบาลมีอยู่ 6-7 คน บางคนต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ไปที่สถานีตำรวจภูธรสตึกก็ทราบการจับบุหรี่ไฟฟ้ามีการขายอยู่ใกล้ใกล้โรงเรียน เด็กบางคนบอกว่าหัดสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพราะเห็นพี่สูบเท่ห์ดีก็เลยไปขอสูบด้วย แล้วหลังจากนั้นก็ใช้วิธีหุ้นกับเพื่อนซื้อบุหรี่ไฟฟ้าแล้วก็มาแบ่งกันสูบ แอบสูบในห้องน้ำโรงเรียนบ้าง เลิกเรียนแล้วก็ไปแอบสูบที่บ้านเพื่อนบ้าง แล้วก็ซื้อน้ำกระท่อมไปดื่มด้วย คือน้ำกระท่อมกับบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นของคู่กัน

นายแพทย์ทศพร กล่าวว่ายังไม่เห็นคนไหนพูดถึงข้อดีของบุหรี่ไฟฟ้าเลย แต่มีกรรมาธิการบางท่านโลกสวย บอกว่าถ้าทำบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมายจะได้ภาษีปีละเป็นหมื่นล้าน ท่านทราบไหมครับเวลาคนที่เป็นมะเร็งปอดอุดกั้นแล้วใช้เครื่องช่วยหายใจนอนอยู่ในโรงพยาบาล จะตายก็ตายไม่ได้ จะอยู่ก็หายใจไม่ออก มันเจ็บปวดมันทรมานทั้งตัวเองทั้งญาติ แล้วใช้ค่ารักษาพยาบาลมากมายขนาดไหน ข้ออ้างภาษีบุหรี่ไฟฟ้าที่เก็บได้มาก็ไม่เท่ากับค่ารักษาพยาบาลที่รัฐบาลหรือประชาชนต้องจ่ายในการรักษา

“ในที่ประชุมกรรมาธิการเอง บางคนบ่นว่าทำไมเชิญแต่คนไม่เห็นด้วยกับการบุหรี่ไฟฟ้ามา เชิญแต่หมอ เชิญแต่นักเรียนที่ไม่เห็นด้วย ทำไมไม่เชิญพวกที่เห็นด้วยกับบุหรี่ไฟฟ้ามา เพราะความจริงมันไม่ค่อยมีคนที่เห็นด้วยกับบุหรี่ไฟฟ้าเลย ไปดูการประชุมหลายครั้งคุณหมอทั้งหลายมาพูดถึงโทษถึงความร้ายแรงของบุหรี่ไฟฟ้าก็จะลุกหนีกันหมด ผมข้องใจภาคผนวกในรายงานฉบับนี้ ผมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะ ถ้าไปอ่านให้ดีแนวทางที่ 2 และ 3 มันจะชักจูงประชาชนให้เข้าใจผิด คือบอกว่ายาสูบแบบให้ความร้อนเป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย เป็นการใช้วาจาซ่อนเร้น พูดจริงๆก็คือจะบอกว่าจะทำให้มันถูกกฎหมายนั่นแหละ ใช้คำว่าถูกควบคุมตามกฎหมาย แสดงว่าต่อไปนี้จะออกกฎหมายให้ถูกกฎหมายแล้ว

ผมอยากถามว่าคนที่เห็นด้วยกับแนวทางให้บุหรี่มันถูกกฎหมายเป็นทาสที่สูบบุหรี่หรือเปล่า เป็นคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือเปล่า กรรมาธิการฯกี่คนที่มีความสัมพันธ์กับอาชีพยาสูบ หรือปลูกยาสูบหรือเปล่า หรือเกี่ยวข้องกับชาวไร่ยาสูบอย่างไร มีหมอในกรรมาธิการฯ 6 คนไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ 2 และ 3 เลย ผมฝากไปยังรัฐบาล เรามีอยู่ทางรอดเดียว ต้องไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาถูกกฎหมาย มีแต่จะต้องเข้มงวดกับกฎหมายที่มีอยู่ หรือออกกฎหมายที่เข้มงวดกับบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น ทุกวันนี้เด็กไทยเกิดน้อยอยู่แล้วเราต้องป้องกันให้ลูกหลานของเราพ้นภัย อย่าให้มีบุหรี่ไฟฟ้ามาทำร้ายเด็กไทย ทางรอดของเด็กไทยมีอย่างเดียวเราต้อง “แบนบุหรี่ไฟฟ้า” ขอบคุณครับ”นายแพทย์ทศพรกล่าวย้ำ

หลังจากที่ประชุมอภิปรายเป็นเวลาพอสมควรแล้ว นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ในฐานะกรรมาธิการฯ ลุกขึ้นชี้แจงยืนยันสนับสนุนแนวทางที่ 1.บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated tobacco Products) เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพราะหากปล่อยบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องถูกกฎหมายจะเกิดการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าตามมาอย่างรุนแรงมากและยากที่จะควบคุมได้ ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นปัญหาหรืออุปสรรคอย่างอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาประเทศชาติในทุกๆด้าน ประเทศไทยของเรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแบนบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดอย่างต่อเนื่องต่อไปเพื่อปกป้องชีวิตและสุขภาพของเด็กและเยาวชนลูกหลานให้มีความอยู่รอดปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่เป็นพลังอันสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองของเราให้เจริญรุ่งเรืองเติบโตต่อไป

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีกรรมาธิการฯคนไหนกล้าลุกมาแสดงตัวยืนยันสนับสนุนแนวทางที่ 2 และ 3 แม้แต่คนเดียว จากนั้นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมรับทราบข้อสังเกตก่อนส่งให้รัฐบาลพิจารณาต่อไป

“SME Privilege” จัดเต็มสิทธิพิเศษจากพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน ตลอดปี 2568

สสว. แถลงแผนงาน “SME Privilege” จัดเต็มสิทธิพิเศษจากพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน ตลอดปี 2568 ส่วนลดสินค้าและบริการ ช่องทางตลาดใหม่ งานแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ ที่ปรึกษาด้านการเงิน ระดมทุน คอร์สอบรมนวัตกรรมพัฒนาธุรกิจ มุ่งเสริมแกร่ง SME ทุกมิติ

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ในปีนี้ งาน SME Privilege ซึ่งอยู่ภายใต้งานเผยแพร่สิทธิประโยชน์ให้แก่ MSME มุ่งเน้นการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ 3 มิติหลัก คือ ส่วนลดสินค้าและบริการ การขยายช่องทางการตลาด และการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน ผ่านการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน

รักษาการ ผอ. สสว. เผยอีกว่าปัจจุบัน สสว. ทำความร่วมมือแล้ว 47 หน่วยงาน และผลตอบรับในภาพรวมค่อนข้างดี เพราะมีจำนวนหน่วยงานพันธมิตรที่ต้องการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ แจ้งความประสงค์ขอทำความร่วมมือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันสิทธิพิเศษต่างๆ ของ SME Privilege ก็มีผู้ประกอบการให้ความสนใจร่วมกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องหารือกับพันธมิตรเพื่อเพิ่มกิจกรรมหรือสิทธิพิเศษต่างๆ ตามความต้องการของผู้ประกอบการให้มากขึ้น

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสสว.

นางสาวปณิตา กล่าวต่อว่า สสว. ต้องการที่จะสื่อสารถึงผู้ประกอบการว่า ในปี 2568 นี้ นอกเหนือจากความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรแล้ว สสว. มีแผนกิจกรรมอะไรบ้าง เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมตัว หรือตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือใช้สิทธิพิเศษในเรื่องใดตามความต้องการ โดยมีกิจกรรมหลัก ๆ ด้านการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจ ที่ สสว. ดำเนินการภายใต้ SME Privilege ปีนี้ 4 ครั้ง คือ 

•THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ระหว่าง 27-31 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จำนวน 20 กิจการ

•Gift & Houseware Fair Cultural & Creative Tourism Commodities Fair ระหว่าง 19-21 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติแห่งใหม่เฉิงตู เซ็นจูรี่ ซิตี้ (CCNCEC) Chengdu China จำนวน 10 กิจการ

•งานมหกรรมการค้าชายแดนภาคใต้  ประมาณเดือนกรกฎาคม 2568  ณ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 30 กิจการ 
•HKTDC Food Expo PRO, Wan Chai ระหว่าง 14-16 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมและการจัดงานแสดงแห่งฮ่องกง (HKCEC) Hong Kong จำนวน 10 กิจการ

นอกจากนี้ ยังมีการเจรธุรกิจ SME Privilege Business Matching : The Connection Match ร่วมกับ Modern Trade อีก 2 ครั้ง ในเดือนพฤษภาคม และกรกฏาคม รวมทั้ง กิจกรรม SME Privilege Connect : SME Boost Lab อีก 3 ครั้ง มีประเด็นที่น่าสนใจจากวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระดมทุน การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ การใช้ AI ในการพัฒนาธุรกิจ การยกระดับการให้บริการธุรกิจ การใช้ Influencer ในการเพิ่มยอดขายพัฒนาธุรกิจ เรียกได้ว่าเป็น Privilege ตลอดทั้งปี 

นางสาวปณิตา กล่าวด้วยว่า SME Privilege ยังได้เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ซึ่งเน้นให้มีความทันสมัย น้อยแต่มาก สร้างการจดจำ โดยใช้ Font OSMEP ใช้สีหลักน้ำเงินและเทาจากโลโก้ สสว. เพิ่มเติมด้วยสีทองเพื่อบ่งบอกถึงคุณค่าของสิทธิพิเศษและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกใช้สัญลักษณ์ที่พัฒนาจากการพับกระดาษ แบบโอริกามิ เพื่อสื่อถึงความสวยงามในการค่อยๆ ตั้งใจทำอย่างละเอียด ประณีต สร้างสรรค์กระดาษธรรมดาให้มีความสวยงามและมีความหมายด้วยการพับ และเมื่อพับเสร็จ จากชิ้นเล็กๆ ก็สามารถขยายและกางออกให้เห็นว่า แท้จริงแล้วเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ สื่อแทนความตั้งใจของโครงการ SME Privilege ที่ให้ความสำคัญต่อการคัดสรรอย่างตั้งใจ ให้ความสำคัญต่อ SME ทุกราย ส่งเสริมการต่อยอดและเชื่อมโยงเพื่อพัฒนาให้มีความยิ่งใหญ่ต่อไป

“งานแถลงข่าววันนี้ สสว. ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท เทค อี-บิสสิเนส เซ็นเตอร์ จำกัด และ บริษัท กู๊มี มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นหน่วยพันธมิตรใหม่ด้านการขยายช่องทางตลาด ซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีอีกหลายหน่วยงานที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องสิทธิพิเศษต่างๆ กันอยู่  ก็อยากให้ ผู้ประกอบการคอยติดตามข่าวสารกัน เพื่อสมัครเข้าร่วมกิจกรรมที่สนใจได้ตามความต้องการ โดยปีนี้มีการปรับปรุงช่องทางการใช้สิทธิพิเศษด้วยการให้ใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน SME Connext ของ สสว. ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ของ สสว. สามารถให้บริการได้ทั่วถึง รวมถึงเข้าไปช่วยแก้ปัญหาในกรณีที่เกิดความคลาดเคลื่อนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และที่พิเศษมากกว่านั้นคือ ได้มอบสิทธิประโยชน์เหนือสิทธิประโยชน์ เป็นโค้ดส่วนลดเพิ่มอีก 500 บาท สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ SME Privilege ระหว่าง 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2568 ผ่าน SME Connext เพื่อใช้เป็นส่วนลดเพิ่มเติมพิเศษภายใต้โครงการ SME Privilege อีกด้วย

สสว. มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดสิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ ในลักษณะที่เป็น Privilege จริงๆ ดังนั้น หน่วยงานไหนที่พร้อมจะเป็นผู้ให้สิทธิพิเศษแก่ SME สามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการนี้กับ สสว. ได้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่านใดที่อยากจะแนะนำหรือมีความต้องการด้านใด ก็สามารถส่งข้อมูลความต้องการเหล่านั้น ผ่านทางเจ้าหน้าที่ สสว. หรือช่องทางในการติดต่อต่างๆ ที่เราพยายามจัดให้มีอย่างครอบคลุมและเท่าทัน และขอฝากให้ช่วยกันผลักดัน SME Privilege ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย โดย สสว. ก็จะทำหน้าที่ “เคียงข้าง SME คู่คิดที่ดีผู้ประกอบการไทย” ตลอดไป” รักษาการแทน ผอ.สสว. กล่าว

คนเชียงรายผวา! ร้องตรวจแม่น้ำกก หวั่น “ไซยาไนด์” จากเหมืองทองปนเปื้อน

เชียงราย –ประชาชนชาวเชียงราย ผวาตาม..หลังน้ำกกขุ่นคลักจากต้นน้ำเขตรัฐฉานไหลเข้าแม่อาย เชียงใหม่ ผ่านเชียงรายยาวกว่า 130 กม. ผู้ว่าฯสั่ง ทสจ.ประสาน สนง.สิ่งแวดล้อมฯตรวจคุณภาพน้ำด้วย หวั่นสารเคมี รวมถึงไซยาไนด์เหมืองทองทุนจีนว้าเมืองยอนหลุดปนเปื้อนด้วย

จากกรณีแม่น้ำกกที่ไหลผ่าน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีสภาพขุ่นข้นและทางสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมควบคุมมลพิษได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจตค่าพารามิเตอร์หรือชี้วัดค่าของน้ำ ทั้งตรงน้ำผิวดิน ค่าของสารไซยาไนด์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทอง ฯลฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาทราบผลอีก 1 เดือนนั้น

ล่าสุด วันที่ 21 มี.ค.68 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.เชียงราย ได้ประสานกับนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ดังกล่าว ร่วมลงพื้นที่ตรวจตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกกในเขตของ จ.เชียงราย ด้วย เนื่องจากแม่น้ำกกไหลมาจาก ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ โดยกำหนดให้ลงพื้นที่ตรวจในวันจันทร์ที่ 24 มี.ค.2568 นี้ 

ทางด้านสำนักงานประชาสัมพันธ์ จ.เชียงราย แจ้งว่า เนื่องจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการทำเหมืองทองริมแม่น้ำกกในพื้นที่เมืองยอน รัฐฉานใต้ ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทยบริเวณ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เมื่อน้ำมีความขุ่นจึงทำให้ประชาชนเกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำ เนื่องจากมีการใช้น้ำจากแม่น้ำกกมาใช้ในการอุปโภคและบริโภคในเขต จ.เชียงราย ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย รวมระยะทางกว่า 130 กิโลเมตร

นอกจากนี้ยังแม่น้ำกกยังมีลำน้ำสาขาที่สำคัญ เช่น แม่น้ำลาว แม่น้ำกรณ์ และแม่น้ำแม่สรวย ส่งผลให้เกิดความกังวลเต่อประชาชนในพื้นที่ต่างๆ อีกด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีเมื่อวันที่ 19 มี.ค.2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกกพื้นที่หมู่บ้านแก่งทรายมูล หมู่ 14 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ชายแดนไทย-เมียนมา ทางนายชัยวัฒน์ ปันสิน ผู้อำนวยการส่วนตรวจและบังคับใช้กฎหมาย สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ระบุว่า น้ำมีความขุ่นแต่จากการตรวจเบื้องต้นพบว่าคุณภาพน้ำยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งปริมาณอ๊อกซิเจนและค่ากรดด่างก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 7-8 จึงยังไม่มีผลกระทบหากไปสัมผัส นอกจากนี้ยังตรวจเรื่องความนำไฟฟ้าก็ยังเป็นปกติ แต่ผลตรวจอย่างเป็นทางการต้องรออีก 1 เดือน

ด้านชาวบ้านที่ ต.ท่าตอน บางส่วนระบุว่าที่บ้านฮุงในเขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) ติดกับ จ.เมืองสาด และห่างจากชายแดนไทยประมาณ 36 กิโลเมตร มีกลุ่มทุนจีนเข้าไปลงทุนกว่า 23 บริษัท เพื่อทำเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะทองคำ

‘บุรีรัมย์’ตั้งเป้าฮับผ้าไทยชู ‘Colors of Buriram เติมเต็มอีสาน ‘Power if E-San’

จังหวัดบุรีรัมย์ จัดงาน Colors of Buriram มหกรรมผ้าไทยครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี โดยก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 อย่างมั่นคง ตอกย้ำความสำเร็จบนเส้นทางผ้าไทย ด้วยการวางแผนขยายตลาดโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้านยอดขายของผ้าไทย หรือจำนวนผู้เข้าชมงานนิทรรศการที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ผ้าทอนานาชนิด และงานหัตถกรรมต่างๆ มากกว่า 2,000 ชิ้น ในรูปแบบของการจัดแสดงที่ทันสมัย ซึ่งคัดสรรมาจากทั้ง 23 อำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อสืบสานและต่อยอดจากโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” สำหรับภาพรวมของการจัดงานผ้าไทยของจังหวัดบุรีรัมย์ในครั้งนี้ มีความคาดหวังว่าจะเติบโตมากขึ้นจากยอดเข้าชมกว่า 20,000 คน ในปี 2567 

ชิดชนก ชิดชอบ

นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ประธานผู้จัดงาน กล่าวว่า ในปี 2567 ฅนบุรีรัมย์ ร่วมมือกันจัดงานผ้าไทยขึ้นเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมผ้าไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก โดยภายใน 3 วันสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ได้กว่า 4 ล้านบาท สิ่งนี้ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างมหาศาล นำมาสู่แรงบันดาลใจว่าอุตสาหกรรมนี้สามารถต่อยอดและประสานพลังให้ ฅนบุรีรัมย์ ขับเคลื่อนไปต่อกับการจัดงานในครั้งนี้ โดยความพิเศษของงานในปี 2568 คือการนำผ้าที่มีอยู่แล้วจากคนและชุมชนทอผ้ามาประยุกต์ในมุมมองใหม่ให้น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ 

ดังนั้นในปีนี้จึงได้ explore มากขึ้นในเชิงของการออกแบบ มีการพัฒนาลายใหม่ๆ เลือกคู่สีของผ้าที่ทันสมัยมากขึ้น อีกทั้งยังนำไปประยุกต์ใช้กับการออกแบบภายในและเฟอร์นิเจอร์ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ซื้อผ้าไปแล้วไม่ทราบว่าจะตัดชุดที่ไหน ภายในงานยังมีร้านตัดผ้าแนะนำเพื่ออำนวยความสะดวกในการตัดเย็บอีกด้วย 

ทั้งนี้ ชิดชนก ชิดชอบ คณะผู้จัดงาน Colors of Buriram กล่าวว่า เมื่อพูดถึงจังหวัดบุรีรัมย์ หลายคนจะนึกถึง Sport Entertainment แต่สืบเนื่องมาจากการจัดงาน Colors of Buriram ปีที่แล้ว ช่วยเพิ่มอีกเรื่องที่โดดเด่น คือเรื่องงานผ้าไทยและหัตถกรรม จึงอยากแสดงให้เห็นทุกคนเห็นว่าบุรีรัมย์ไม่ได้โดดเด่นแค่เรื่องกีฬาแต่ยังเป็นเมืองของหัตถกรรมและศิลปะ โดยคาดหวังให้นักท่องเที่ยวขยายตัวไปอย่างหลากหลายมากขึ้น รวมถึงในด้านธุรกิจในจังหวัดที่จะสามารถต่อยอดและสานต่อได้มากขึ้นจากการจัดงานในครั้งนี้

โดยคอนเซ็ปต์ของงานในครั้งนี้คือ The Gradients เป็นแนวคิดที่ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันภายในนิทรรศการ Colors of Buriram ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อพาผู้เข้าชมเดินทางผ่านเรื่องราวอันรุ่มรวยของวิวัฒนาการผ้าไหมไทย การเดินทางครั้งนี้ถูกถ่ายทอดผ่านห้องจัดแสดงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ณ สนามฟุตบอล ช้างอารีนา ด้วยการนำเสนอแต่ละโซนในแง่มุมที่แตกต่างกัน  ได้แก่  The Traditions ดินแดนแห่งมรดกอันทรงคุณค่าของผ้าไหมไทยเผยโฉมอย่างงดงาม เปิดประสบการณ์ดื่มด่ำไปกับความสำคัญทางประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางศิลปะของผ้าไหมไทย  The Cultivation in Fashion วิวัฒนาการอันพลิ้วไหวของผ้าไหมไทยในโลกแฟชั่นร่วมสมัย โดยเน้นการผสมผสานเข้ากับงานออกแบบสมัยใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่และสร้างเสน่ห์ให้กับแฟชั่นยุคปัจจุบัน 

นอกจากนี้ยังมี The Cultivation in Creative Lifestyle นวัตกรรมการนำผ้าไหมไทยที่นำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องประดับและของใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยแนวคิด Up-cycling และการสร้างสรรค์จากวัสดุเหลือใช้ ต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน The Reclamation and Innovation นำเสนอแนวคิดสำคัญสองประการ คือ การอนุรักษ์ผ้าไหมไทยโบราณ ควบคู่ไปกับการค้นคว้าและพัฒนานวัตกรรมผ้าไหมในยุคปัจจุบันทั่วประเทศไทย See Now, Buy Now Section ดื่มด่ำกับโลกแห่งสิ่งทอไทยผ่านการคัดสรรผืนผ้าไหมคุณภาพเยี่ยมจากช่างทอท้องถิ่น มีโอกาสเลือกซื้อผ้าไหมลวดลายพิเศษที่จัดแสดงในนิทรรศการ เมื่อลงทะเบียนสั่งซื้อเสร็จสิ้น ผลิตภัณฑ์จะถูกบรรจุและจัดส่งถึงบ้านอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้สัมผัสมรดกแห่งงานฝีมือไทยได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ขอเชิญชมและช้อปในงานผ้าไทยครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี COLORS OF BURIRAM ได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 16 เมษายน 2568 เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ สนามฟุตบอล ช้างอารีนา จังหวัดบุรีรัมย์ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โทรศัพท์ 0944764899 ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โทร. 0944764899 หมายเลขสำหรับติดต่อสอบถามข้อมูลงาน Colors of Buriram 081-6699966 , 084-8740634 , 085-4125738 ,064-1807193

6 กลุ่มองค์กรยื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลยกเว้นภาษีสรรพสามิตสถานบริการชั่วคราว

ศูนย์ร้องเรียนทำเนียบรัฐบาล -กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานบริการ รวม 6 กลุ่มองค์กร นำโดย ดร.ญานี เลยวานิชเจริญ เลขาและกรรมการสมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน และ นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกันยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ขอให้พิจารณาทบทวน การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของสถานบริการ เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคต่อการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว”

ดร.ญานี เลยวานิชเจริญ เลขาและกรรมการสมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน เปิดเผยว่า เครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานบริการ ประกอบด้วย สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน, สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร, สมาคมร้านอาหาร, สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์, สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา, และสมาคมบาร์เทนเดอร์ประเทศไทย รวม 6 กลุ่ม ได้ร่วมกันยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้รัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือยกเว้นภาษีสรรพสามิตสถานบริการชั่วคราว รวมทั้งพิจารณากำหนดโครงสร้างภาษีใหม่ให้มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทบทวนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสถานบริการว่าเป็นลักษณะภาษีซ้ำซ้อนหรือไม่6 กลุ่มผู้ประกอบการฯยื่นหนังสือวอนรัฐบาลยกเว้นภาษีสรรพสามิตสถานบริการชั่วคราว

ดร.ญานี กล่าวว่า ปัจจุบันสรรพสามิตกำหนดอัตราเรียกเก็บจากรายรับจากสถานบริการหรือสถานบันเทิงที่คล้ายสถานบริการหรือร้านอาหารที่เปิดบริการเกิน 24.00 น. ในอัตรา 5% เมื่อนำมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบกับรายได้ปัจจุบันของการประกอบกิจการ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงด้านราคา โดยต่างมีเป้าหมายเพื่อให้กิจการอยู่รอด ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีกำไรคงเหลือสุทธิไม่ถึง 10% เมื่อต้องแบ่งรายได้ให้กับสรรพสามิตจำนวน 5% แล้วนั้น โดยรวมถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เป็นสาเหตุทำให้กิจการต้องปรับราคาขายให้สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีภาระในการจ่ายสูงขึ้นตาม

“สินค้าที่ผู้ประกอบการซื้อมาเพื่อจำหน่ายภายในร้าน เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือวัตถุดิบประเภทอื่นๆ ที่สรรพสามิตมีจัดเก็บภาษีไปแล้วนั้น หากผู้ประกอบการต้องจ่ายภาษีรายได้ในการขายให้กับสรรพสามิตในอัตรา 5% คือความซ้ำซ้อนหรือไม่ และเมื่อรวมกับภาระภาษีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการจะต้องเสียจากการประกอบกิจการอยู่แล้ว เช่น ภาษีรายได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นต้น เมื่อผู้ประกอบการจำเป็นต้องจ่ายภาษีรายได้ให้สรรพสามิต ก็จำเป็นอย่างยิ่งต้องนำค่าใช้จ่ายนี้มาร่วมคำนวณเป็นต้นทุนและปรับราคาขาย ซึ่งอาจเกิดผลกระทบกลับมายังผู้ประกอบการ มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ท้ายที่สุดเมื่อกิจการซบเซา ผู้ประกอบการจะไม่สามารถรักษาสภาพกิจการไว้ได้ อาจจำเป็นต้องปิดร้านค้า ในที่สุดทำให้เกิดปัญหาการตกงานในกลุ่มแรงงานทุกภาคส่วนของธุรกิจร้านอาหารกลางคืนเป็นวงกว้างทั้งประเทศ” ดร.ญานี กล่าว

นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันเต็มไปด้วยสัญญาณเตือนถึงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง มีธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องปิดตัวลงอย่างไม่คาดฝัน ไปจนถึงการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก เมื่อคนตกงาน รายได้ลดลง กําลังซื้อก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้ธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานบริการ ได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตช้าลงกว่าปี 2567 เล็กน้อย ตามแรงหนุนท่องเที่ยว การส่งออกที่ลดลง ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน และภาคการผลิตไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว”

นายสง่า กล่าวต่อไปว่า ท่ามกลางสภาวะวิกฤติความตกต่ำด้านเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการยังคงหาวิธีดิ้นรนเพื่อให้กิจการอยู่รอด เพื่อประคองสถานการณ์ให้กิจการมีรายได้เพียงพอต่อรายจ่ายของต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรในด้านต่างๆ เช่น ค่าแรง ค่าเช่า ค่าวัตถุดิบ เป็นต้น โดยบางเดือนผู้ประกอบการจำต้องนำเงินออมออกมาใช้ หรือหาแหล่งเงินกู้ เพื่อนำมาใช้หมุนเวียนให้กิจการมีสภาพคล่อง ผู้ประกอบการพยายามอย่างสูงเพื่อที่จะรักษากิจการให้พ้นวิกฤติ ทั้งนี้ เพียงเพราะผู้ประกอบการมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งจากนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ

“วันนี้เราขอความเห็นใจจากท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรัฐบาล ได้โปรดพิจารณาช่วยเหลือทบทวนมาตรการการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในส่วนนี้ ความสอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การยกเว้นหรือปรับลดภาษีดังกล่าวจะช่วยให้สถานบริการสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ขอให้รัฐบาลได้โปรดให้พวกเราเป็นส่วนร่วมในการร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานที่ดี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวภาคกลางคืน ให้มีความยั่งยืน” นายสง่า กล่าว

กางเกงแมวโคราชสุดปัง!ขึ้นแท่นสินค้าขายดี แห่ซื้อใส่สาดน้ำเล่นสงกรานต์

นครราชสีมา- กางเกงลาย “แมวโคราช” หรือ “โคราชโมโนแกรม” ฮอตไม่เลิก ประชาชนนักท่องเที่ยวแห่ซื้อคึกคักสุดขีด ขานรับซอฟต์พาวเวอร์ มหาสงกรานต์ 2568

บรรยากาศการซื้อขายเสื้อ กางเกงแมวโคราชกำลังคึกคักสุดขีด หลังรัฐบาลประกาศรณรงค์ให้คนไทยสวม “กางเกงลายประจำจังหวัด” ร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์ตลอดเดือนเมษายน เพื่อสร้างอัตลักษณ์การท่องเที่ยวที่โดดเด่นเฉพาะตัวให้แต่ละท้องถิ่น โดยเฉพาะที่ร้าน “มดส้ม” หน้าสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมาแห่งที่ 1 หรือ “บขส.เก่า” ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งกลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของประชาชนชาวโคราชและนักท่องเที่ยว ที่แห่กันมาจับจอง “กางเกงลายแมว” สัญลักษณ์ประจำจังหวัดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

นายโชคชัย พิชัยวรกุล เจ้าของร้านมดส้ม เผยด้วยความดีใจว่า รู้สึกภูมิใจมากที่รัฐบาลหยิบยกแนวคิดนี้มาส่งเสริม เพราะมันคือมิติใหม่ของสงกรานต์ จากเดิมที่เน้นเสื้อลายดอกทั่วไป ซึ่งไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่กางเกงลายแมวของนครราชสีมาเป็นมากกว่านั้น มันคือ ลาย “โคราชโมโนแกรม” ที่ชนะการประกวดเมื่อ 2 ปีก่อน จัดโดยหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา วันนี้ลายนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ต่อยอดสร้างมูลค่าและความภาคภูมิใจให้ชาวโคราชได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ภายหลังจากเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประชุมวางแผนจัดงาน “Maha Songkran World Water Festival 2025” ณ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2568 หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาร่วมมหกรรมสงกรานต์สุดยิ่งใหญ่ คาดสร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 46,000 ล้านบาท พร้อมผลักดันให้กางเกงลายประจำจังหวัดกลายเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน

สำหรับ ร้านมดส้ม ถือเป็นผู้บุกเบิกที่นำลายโคราชโมโนแกรมมาพัฒนาเป็นกางเกงลายแมวเจ้าแรกของจังหวัด จำหน่ายทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ในราคาเพียงตัวละ 199 บาทเท่านั้น โดยไม่เคยปรับขึ้นราคาแม้ความต้องการจะพุ่งสูงต่อเนื่อง

“กระแสดีมากครับ ยอดขายไม่เคยตก ล่าสุดหลังรัฐบาลส่งเสริม ยอดสั่งซื้อพุ่งขึ้นอีก คาดว่าเดือนเมษายนจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว” นายโชคชัยกล่าวอย่างมั่นใจ

นอกจากกางเกงลายแมวแล้ว ร้านยังมีสินค้าอื่น ๆ ในธีม ลาย “โคราชโมโนแกรม” เช่น เสื้อ หมวก กระเป๋า และรองเท้าแตะ ราคาเท่ากันที่ 199 บาท ครบครันให้เลือกชอปอย่างจุใจ และพิเศษสุดในช่วงนี้ เนื่องจากจังหวัดนครราชสีมากำลังจัดงานฉลองวันแห่งชัยชนะท้าวสุรนารี หรือ “งานย่าโม” ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2568 ทางร้านได้เปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ “ย่าฉัน ท่านชื่อโม” เสื้อลายพิเศษราคา 199 บาท เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 199 ปีแห่งชัยชนะ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายจากชาวโคราชที่แห่จองกันจนแทบผลิตไม่ทัน

“นครราชสีมาไม่ใช่แค่มีกางเกงลายแมว แต่เรามีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนทั้งเสื้อผ้าและสินค้าต่าง ๆ ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้ชาวโคราชภาคภูมิใจ และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในสงกรานต์นี้” นายโชคชัย กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

อุบลราชธานีต้นแบบปลูกมะพร้าวน้ำหอมสู้ดินเค็มรสชาติหอมหวาน

มะพร้าวน้ำหอมเป็นที่ชื่นชอบของคนหลายๆ คน เพราะมีประโยชน์มากมาย อาทิ ช่วยแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่น บำรุงผิวพรรณ โดยกรมวิชาการเกษตรพบว่า มะพร้าวน้ำหอมสามารถปลูกได้ในพื้นที่ดินเค็ม

ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรดำเนินโครงการศูนย์เรียนรู้การผลิตพืชตามแนวพระราชดำริทฤษฎีใหม่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2552 เพื่อเผยแพร่หลักการทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ และเป็นศูนย์ต้นแบบเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตร ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกรและผู้ที่สนใจทั่วไป

โดยพื้นที่ดำเนินโครงการศูนย์เรียนรู้การผลิตพืชตามแนวพระราชดำริฯ นี้เริ่มต้นจากพื้นที่ประสบปัญหาดินเค็มทั้งหมดจำนวน 14 ไร่ ระดับความเค็มของดินในพื้นที่อยู่ในช่วง “เค็มน้อยถึงเค็มมาก” ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกพืชทั่วไปอย่างรุนแรง และการแก้ไขปัญหาดินเค็มยังต้องใช้ต้นทุนสูง

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาดินเค็มสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีการหนึ่งที่ไม่ยุ่งยากและลงทุนต่ำคือ การปลูกพืชทนเค็มจัดหรือพืชชอบเกลือที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินเค็มให้เกิดศักยภาพในการผลิตพืชได้อีกด้วย

นายขจรวิทย์ พันธุ์ยางน้อย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 4 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า เนื่องจากความเค็มของดินทำให้ไม่สามารถปลูกพืชทั่วไปได้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโนนสูง จึงได้คัดเลือกพืชที่เหมาะสมกับดินเค็ม

จากการศึกษาพบว่า มะพร้าวน้ำหอมเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดีในพื้นที่ดินเค็ม จึงนำพันธุ์มะพร้าวน้ำหอม “ก้นจีบ” จากศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพรมาทดลองปลูกในพื้นที่โครงการศูนย์เรียนรู้ฯ ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

เนื่องจากมะพร้าวน้ำหอมไม่เพียงสามารถตอบสนองต่อดินเค็มได้ดี แต่ยังให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ รสชาติหอมหวานกว่าการปลูกในพื้นที่ปกติ วัดค่าความหวานได้เฉลี่ย 7.5-9 องศาบริกซ์ ซึ่งอาจเนื่องมาจากพืชที่ทนเค็มจะหลีกเลี่ยงการดึงโซเดียมไปใช้ทำให้ดึงโพแทสเซียมไปใช้ได้มากขึ้น

โดยประโยชน์ของโพแทสเซียมจะช่วยสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายของน้ำตาลจากใบไปยังผล ในขณะที่บางพื้นที่มีการปลูกมะพร้าวน้ำหอม เกษตรกรจะโรยเกลือบริเวณรอบๆ โคนต้นเพื่อเพิ่มความหวาน

อีกทั้งในเทคโนโลยีการผลิตมะพร้าวน้ำหอมของกรมวิชาการเกษตรแนะนำให้ใส่ปุ๋ย 13-13-21 ร่วมกับ แมกนีเซียมซัลเฟต จะเห็นว่าการผลิตมะพร้าวน้ำหอมนั้นเกลือมีส่วนสำคัญอย่างมาก ซึ่งในลักษณะของพื้นที่ดินเค็มอาจไม่จำเป็นต้องโรยเกลือหรือใส่แมกนีเซียมซัลเฟต เนื่องจากในลักษณะดินเค็มจะมีแมกนีเซียมอยู่ในรูปของซัลเฟตเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโนนสูงได้ศึกษาวิจัยการจัดการปุ๋ยที่เหมาะสมกับการผลิตมะพร้าวน้ำหอมระยะก่อนให้ผลผลิต และระยะให้ผลผลิตในดินเค็มน้อย-ปานกลาง โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตร พบว่าการใส่ปุ๋ยมะพร้าวน้ำหอมตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรร่วมกับแมกนีเซียมซัลเฟต ให้ผลผลิตและองค์ประกอบผลผลิต เช่น ลักษณะเนื้อ ความหวาน ขนาดผลไม่แตกต่างจากการไม่ใส่แมกนีเซียมซัลเฟต

ดังนั้น การจัดการปุ๋ยมะพร้าวในพื้นที่ ดินเค็มที่เหมาะสมคือการใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำกรมวิชาการเกษตร แต่ไม่ใส่แมกนีเซียมซัลเฟตก็ได้ อีกทั้งในระหว่างดำเนินการทดลองได้เพิ่มเติมการถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการศัตรูมะพร้าวน้ำหอมแบบผสมผสานคือหนอนหัวดำมะพร้าว โดยการใช้ชีวภัณฑ์บีทีร่วมกับสารเคมี พบว่าสามารถป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าวน้ำหอมได้

สำหรับแนวทางการใส่ปุ๋ยสำหรับมะพร้าวน้ำหอมเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรคือ ปีที่ 1 ช่วง 4 เดือนแรกหลังปลูก เริ่มให้ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยสูตรเดียวกันในอัตราเดิมช่วงปลายฤดูฝน

ปีที่ 2 ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี เพิ่มโดโลไมท์ อัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น/ปี แบ่งใส่ปุ๋ยเป็น 2 ครั้งต่อปี ต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน

ปีที่ 3 ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 3 กิโลกรัม/ต้น/ปี เพิ่มโดโลไมท์ อัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี แบ่งใส่ปุ๋ยเป็น 2 ครั้ง/ปี ต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน

ปีที่ 4 ขึ้นไป ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 4 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใช้โดโลไมท์ อัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี แบ่งใส่ปุ๋ยเป็น 2 ครั้ง/ปี ต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน วิธีการใส่ปุ๋ยให้หว่านปุ๋ยรอบบริเวณทรงพุ่มของต้นมะพร้าวพรวนดินตื้นๆ เพื่อช่วยให้ปุ๋ยซึมลงในดิน กลบปุ๋ยให้ทั่วบริเวณทรงพุ่ม

“โครงการศูนย์เรียนรู้การผลิตพืชตามแนวพระราชดำริทฤษฎีใหม่ จังหวัดนครราชสีมา ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามะพร้าวน้ำหอมเป็นพืชที่มีศักยภาพสูงในการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรที่ประสบปัญหาในพื้นที่ดินเค็ม” นายขจรวิทย์กล่าว

หากเกษตรกรประสบปัญหาการปลูกพืชในพื้นที่ดินเค็มสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4437-9390

จากพนักงานบริษัทสู่เจ้าของกิจการ “ขนมครกไส้โคตรทะลัก” สร้างรายได้วันละ 2,000 บาท

หากนักท่องเที่ยวผ่านไปมาที่ ตลาดรอมฏอนเทศบาลตำบลฉลุง อ.เมือง จ.สตูล จะพบเห็น นางสาวฐิติภัทร โลณะปาลวงษ์’ อายุ 36 ปี เจ้าของร้าน ‘ขนมครกไส้โคตรทะลัก’ พร้อมด้วยบุตรสาวและบุตรชาย มาช่วยกันขายขนมครกไส้ทะลักตั้งแต่บ่ายถึงเย็น

กว่าจะมาถึงวันนี้ นาสาวฐิติภัทร เล่าให้ฟังถึงเส้นทางการเปลี่ยนชีวิตจากพนักงานบริษัทในแผนก QC  สู่การเป็นผู้ประกอบการขนมไทยที่มีรายได้วันละ 2,000 บาท จากขนมครกเพียง 3 กิโลกรัมต่อวัน

“เริ่มต้นจากการตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง และความชอบส่วนตัวในการขายของ ดิฉันได้ศึกษาการทำขนมครกจากช่องทางออนไลน์ แล้วทดลองทำด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูกจนได้สูตรที่ลงตัวอย่างทุกวันนี้”

สูตรพิเศษที่ทำให้แตกต่างอยู่ที่การใช้แป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ ผสมกับน้ำกะทิคุณภาพดี ทำให้ได้เนื้อขนมที่นุ่ม หอม ไม่แข็งกระด้าง โดยเมื่อทำแป้งเสร็จแล้วจะเติมหัวกะทิอีกครั้ง และตามด้วยไส้ที่หลากหลายถึง 4 ชนิด ได้แก่ ไส้ฟักทอง ไส้มันม่วง ไส้ข้าวโพด ไส้เผือก

“ความลับอยู่ที่เราใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การผสมแป้ง และการทำไส้ที่สด ใหม่ทุกวัน หวานพอดีด้วยรสชาติของไส้ที่มาขากธรรมชาติ มีความมันจากหัวกะทิ ไม่ใช้วัตถุกันเสีย” คุณฐิติภัทรกล่าว

กลยุทธ์การตลาดสร้างลูกค้าประจำ ด้วยประสบการณ์จากการทำงานในบริษัท คุณฐิติภัทรได้นำความรู้ด้านการตลาดมาปรับใช้กับธุรกิจขนมครก จัดแคมเปญ ‘ซื้อขนมครก 20 บาท แถมคูปอง 1 ใบ’ เมื่อสะสมครบ 10 ใบ สามารถแลกขนมครกฟรี 1 กล่อง

เวลาเปิดให้บริการ เดือนรอมฎอน 13.00-18.00 น.  ช่วงเวลาเดือนปกติ เวลา 10.00-18.00 น. ที่สามแยกฉลุง สนใจสั่งขนมครกไส้โคตรทะลัก สามารถติดต่อได้ที่ 099-304-2659

“จากความฝันเล็กๆ สู่ความสำเร็จวันนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ ขอเพียงมีใจรัก ตั้งใจ และลงมือทำอย่างจริงจัง” คุณฐิติภัทรกล่าวทิ้งท้าย