เธอคือใคร…? มาดามเมนี่“เมย์-วาสนา”จากลูกชาวนา สู่นักธุรกิจพันล้าน

ทำความรู้จัก “ดร.วาสนา อินทะแสง” หรือ มาดามเมนี่ หญิงสาวสุดแกร่งมากความสามารถ เจ้าของแบรนด์ความงาม-อาหารเสริมชื่อดัง และเป็นนักปั้นมือทอง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จธุรกิจของเหล่าคนดัง และกลายเป็นคนที่ชาวไทยรู้จักทั่วไทยหลังออกมาเปิดโปงดาราสาวดัง “ดิว อริสรา”ยืมแบรนด์ดังมูลค่ากว่า 62 ล้านแล้วไม่คืน

มาดามเมนี่ หรือ “เมย์” ดร. วาสนา อินทะแสง จากเด็กสาวลูกชาวนา จ.ร้อยเอ็ด ที่จบเพียงชั้นม.3 ก็ต้องออกจากโรงเรียนด้วยความที่ครอบครัวมีฐานะยากจน เพื่อเข้ามาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในกรุงเทพฯ เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน จนเรียน ปวช. ได้ 2 ปี และสอบเทียบไปต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และศึกษาต่อจนได้รับปริญญาโท 2 ใบ คือ Master of Business Administration (Strategic Management)

จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Master of Science (Anti-Aging and Regenerative Medicine) จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ รวมถึงจบปริญญาเอกด้านการบริหารจัดการภาครัฐและเอกชนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

เธอทำงานสู้ชีวิตมาหลายอาชีพไม่ว่าจะเป็นเซลส์ขายประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมให้โครงการหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งคุณเมย์บอกว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย แต่สิ่งเดียวที่เธอถนัดคือ “เธอรักการขาย” จนถึงการได้ทำงานเป็นเซลล์กับบริษัทยาชื่อดัง และถูกส่งตัวไปดูแลบุกเบิกทีมทางภาคอีสาน

“..เมย์สร้างยอดขายอันดับหนึ่ง ขายเก่งก็ส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเมย์ว่าเพราะเราใส่ใจลูกค้ามาก มีวินัยและขยัน คนอื่นทำ 1 เราทำ 10 เวลาเดินเขตก็จะขับรถวีออสไป ตอนนั้นเราไม่มีรถก็ต้องไปออกรถคันนี้มา เป็นรถมือสอง ผ่อนเดือนละ 7,248 บาท จำได้แม่นเลย คนอื่นขับทำงานวันละจังหวัด เมย์ขับวันละ 3 จังหวัด พอ 7 โมงเช้าเมย์ไปนั่งรอหมอหน้า OPD สายไปหาหมออีกคน ตกบ่ายก็ไปหาหมออีกที่..”

จนเธอลาออกจากงานและมาเริ่มสร้างธุรกิจส่วนตัว ปัจจุบันเธอกลายเป็น CEO เจ้าของโรงงานผลิตเครื่องสำอางอาหารเสริม REVOMED Group บริษัทระดับ Top 3 ในแวดวงผู้ให้บริการผลิตสินค้าความงามและอาหารเสริมที่กวาดรายได้กว่า 800 ล้านบาทในปีเดียว และ Group CEO ของ BENOVA Global

ฮือฮาวัดป่าอุดรธานี เอาน้ำลูบต้นโพธิ์กลายเป็นสีทองอร่าม

ฮือฮาวัดป่าอุดรธานี เอาน้ำลูบต้นโพธิ์กลายเป็นสีทองอร่าม เจ้าอาวาสเผยเพิ่งรู้เมื่อวาน เจอโดยบังเอิญ ชาวบ้านแห่พิสูจน์ เชื่อเทวดาคงมาอนุโมทนา

ชาวบ้าน แจ้งผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ที่วัดป่าหนองช้างคาว ต.คอนสาย อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี มีต้นโพธิ์แปลกตา เพราะลำต้นเป็นสีทองอร่ามเมื่อถูกน้ำ จึงเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงก็พบว่ามีชาวบ้านที่รู้ข่าวเดินทางมาดู และต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นต้นโพธิ์ที่มีลำต้นสีทองแบบนี้ ซึ่งต้นโพธิ์ต้นนี้สูงประมาณ 10 เมตร ขนาด 2 คนโอบ มีกิ่งก้านแตกกำลังสวยงามเป็นอย่างมาก โดยลำต้นเป็นสีเขียวอ่อน เพราะยังไม่โดนน้ำ

จากนั้นชาวบ้านได้เอาผ้าชุบน้ำมาถูกเช็ดที่ลำต้น พอลำต้นถูกน้ำก็ปรากฏว่ากลายเป็นสีทองเปล่งประกายงดงามเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้ทดลองเอาน้ำฉีดใส่ต้นโพธิ์ปรากฏว่า ลำต้นออกประกายสีทองสวยงามสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับชาวบ้านที่มายืนดู

พระมหาสุพรรณ ธัมมรโต อายุ 38 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าหนองช้างคาว กล่าวว่า เพิ่งเห็นลำต้นของต้นโพธิ์เป็นสีทองก็เมื่อวานนี้เอง อาตมาก็แปลกใจ โดยเมื่อวานอาตมาพาเณรมาก่ออิฐรอบต้นโพธิ์เพื่อความเรียบร้อยสวยงาม ให้ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ประจำวัดและเป็นสิริมงคลกับวัดป่าแห่งนี้

แต่ปรากฏว่า จังหวะที่เณรเอาผ้าชุบน้ำไปจับลำต้น ก็กลายเป็นสีทองทันที เณรจึงเรียกอาตมาให้มาดู ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าเณรพูดเล่น และไม่สนใจจึงช่วยกันก่ออิฐทำงานต่อไป แต่พอเณรเอาผ้าชุบน้ำมาลูบลำต้นโพธิ์ก็เป็นสีทองอีก อาตมาเป็นพระแต่เห็นแบบนี้ก็อึ้งและตกใจ ตอนแรกคิดว่ามีชาวบ้านเอาสเปรย์มาพ่นต้นโพธิ์หรือเปล่า จึงพิสูจน์อีกครั้งโดยเอาน้ำมาฉีด กลับเห็นว่าพอน้ำถูกต้นโพธิ์ก็เป็นสีทองอย่างที่เห็น ยืนยันว่าไม่มีใครเอาสีมาทาต้นโพธิ์อย่างแน่นอน

สำหรับต้นโพธิ์ต้นนี้ ไม่แน่ใจว่าอดีตเจ้าอาวาสองค์เดิมปลูกไว้หรือเกิดเองตามธรรมชาติ ตามคำบอกเล่าก็เห็นต้นโพธิ์ต้นนี้ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดใหม่ๆ อายุเกือบ 40 ปี ซึ่งเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนี้ คือหลวงปู่ไม อินทสิริ แต่ตอนนี้ท่านละสังขารไปแล้ว เมื่อปี 2564 โดยหลวงปู่ไม เป็นศิษย์ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ซึ่งหลวงปู่อ่อนก็เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าก่อนที่หลวงปู่ไมจะมาสร้างวัดนี้ใหม่ๆ ท่านได้นั่งภาวนา จากนั้นนิมิตเห็นหลวงปู่มั่นเดินเข้ามาในวัด และมีญาติโยมแต่งชุดขาวเดินตามด้วย ในนิมิตหลวงปู่ไมได้ถามหลวงปู่มั่นว่ามาทำอะไรที่แห่งนี้มันลำบาก หลวงปู่มั่นก็ตอบว่า เราจะมาอยู่กับท่านที่นี่ พอวันรุ่งขึ้นก็มีญาติโยมซึ่งเคยบวชเป็นเณรกับหลวงปู่มั่นมาหาเอาพระทันตธาตุมาให้หลวงปู่ไมด้วย

สำหรับต้นโพธิ์เป็นสีทองแบบนี้ส่วนตัวแล้วอาตมาคิดว่า แปลกตาดีหากมองในมุมของเรื่องความเชื่อแล้ว ที่วัดนี้ปฏิบัติทำวัตรเช้าและวัตรเย็นอย่างเคร่ง เพราะเป็นวัดป่า มีการสวดมนต์เป็นประจำเทวดาคงมาอนุโมทนาแสดงอะไรให้เราเห็น แต่มองในมุมธรรมชาติก็คิดว่าต้นไม้ก็คงจะเป็นสีของเขาตามธรรมชาติ ส่วนตัวอาตมาเองก็ไม่ได้แนะนำว่าให้ต้องเชื่อแบบงมงายต้องกราบไหว้ เจ้าอาวาสพูดตอนท้ายให้ญาติโยมมองหลายมุมเอา

ด้านนางเขียว อายุ 70 ปี ชาวบ้านหนองช้างคาว บอกว่า ปกติมาทำบุญที่วัดนี้ประจำ ก็เห็นต้นโพธิ์มานานแล้ว แต่ทราบจากเจ้าอาวาสว่ามีลำต้นโพธิ์ที่วัดนี้มีสีทอง จึงมาดูก็เห็นกับตาจริงๆ เกิดมา 70 ปียังไม่เคยเห็นมาก่อน ขนาดตนเอาผ้าชุบน้ำเช็ดแล้วไม่มีสีทองหลุดติดผ้าออกมา มีแต่ฝุ่นผงเท่านั้น

อิสราเอลขยายปฏิบัติการภาคพื้นดินฉนวนกาซา หลังโจมตีทางอากาศดับกว่า500ศพ

กองทัพอิสราเอลขยายปฏิบัติการภาคพื้นดินในฉนวนกาซา หวังสร้างเขตกันชน หลังการโจมตีทางอากาศในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 500 ศพ

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ระบุว่า ได้ขยายปฏิบัติการภาคพื้นดินในฉนวนกาซาออกอีก โดยให้กองทัพเคลื่อนกำลังเข้าไปลึกจนถึง “เน็ตซาริม คอร์ริดอร์” ถนนสายสำคัญที่แบ่งแยกส่วนเหนือกับส่วนใต้ของฉนวนกาซาออกจากกัน โดยมีป้าหมาย เพื่อสร้าง “พื้นที่กันชนบางส่วน” ระหว่างส่วนเหนือกับส่วนใต้ของฉนวนกาซา

ก่อนหน้านี้ในวันอังคารที่ผ่านมา อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศอย่างดุเดือดรุนแรงทั่วฉนวนกาซา สังหารผู้คนไปกว่า 400 คน บาดเจ็บอีกกว่า 500 คน ทั้งนี้ตามรายงานของพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชาวปาเลสไตน์ ถือเป็น 1 ในวันที่มีการสูญเสียชีวิตสูงที่สุดนับตั้งแต่การสู้รบขัดแย้งคราวนี้เริ่มต้นขึ้นมา และเป็นการปิดฉากระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่เหตุการณ์ค่อนข้างเงียบสงบนับจากที่อิสราเอลกับฮามาสทำข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวกันได้ในเดือนมกราคม

ทั้งอิสราเอลและฮามาสต่างกล่าวหากันและกันว่าเป็นผู้ละเมิดการตกลงหยุดยิงครั้งนี้ ซึ่งทำให้ประชากร 2.3 ล้านคนของกาซามีเวลาพักหายใจบ้าง หลังจากเผชิญสงครามมา 17 เดือน โดยที่รัฐยิวถล่มโจมตีทั่วทั้งกาซาจนเหลือแต่กองซากปรักหักพัง อีกทั้งบังคับให้ผู้คนเกือบทั้งหมดในกาซาต้องกลายเป็นคนพลัดบ้านเรือนต้องอพยพกันครั้งแล้วครั้งเล่า

ทางด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล แถลงในวันอังคารว่า สั่งการให้โจมตีกาซาหลังจากฮามาสปฏิเสธข้อเสนอขยายข้อตกลงหยุดยิง

ผู้นำอิสราเอลยังเรียกร้องให้ชาวกาซาอพยพออกจากพื้นที่ที่มีการโจมตีไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า และโทษว่า การล้มตายของพลเรือนเป็นผลจากฮามาส พร้อมขู่ว่า นับจากนี้อิสราเอลจะใช้กำลังจัดการกับฮามาสรุนแรงขึ้น และการเจรจาจะเกิดขึ้นท่ามกลางการสู้รบ ก่อนทิ้งท้ายว่า ฮามาสรู้ฤทธิ์อาวุธของอิสราเอลแล้วจากการโจมตีในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

รองเสนาธิการทหาร ลงพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เสริมสร้างความมั่นใจ ป้องกันภัยความมั่นคง

มื่อวันพุธที่ 19 มีนาคม 2568 พล.อ. ไพบูลย์ วรวรรณปรีชา รองเสนาธิการทหาร และรองหัวหน้าศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านส่วนหน้า (ศอ.ปชด.ส่วนหน้า) ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์บริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่ อ.แม่ระมาด และ อ.แม่สอด จ.ตาก ณ จุดตรวจท่าข้ามบ้านวังผา อ.แม่ระมาด ซึ่งเป็นจุดที่ไทยระงับการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังพื้นที่เมืองชเวโกโก่ สังเกตการณ์การขนส่งสินค้าข้ามแดนบริเวณท่า 23 ท่า 34 และท่า 13/1 อ.แม่สอด รวมทั้งท่า 10 ซึ่งเป็นจุดระงับการส่งน้ำมันเชื้อเพลิงข้ามแดน

จากนั้นตรวจพื้นที่ที่มีปัญหาเขตแดนอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำโดยฉับพลันบริเวณวัดพระธาตุคอกช้างเผือก และตรวจการสัญจรข้ามแดนของประชาชนไทยและเมียนมา สะพานมิตรภาพ ไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย  แห่งที่ 1

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเข้ารับฟังปัญหา-สร้างความร่วมมือ และตรวจสอบความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน ตลอดจนรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการท่าข้ามสินค้า พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานของ ศอ.ปชด. ให้สอดคล้องกับ นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ แก้ไขปัญหาชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม

โดย พล.อ. ไพบูลย์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานเชิงรุก เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ ดูแลความสงบเรียบร้อย และอำนวยความสะดวกทางการค้าชายแดน ทั้งนี้ การลงพื้นที่ยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมเป็น “Team Thailand” ในการร่วมมือด้วยความเข้มแข็ง ขับเคลื่อนภารกิจเพื่อความมั่นคง

ทั้งนี้ การดำเนินงานของ ศอ.ปชด.ส่วนหน้า เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ประชาชน และนักท่องเที่ยว รวมถึงเร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาล เพื่อความมั่นคงและความร่วมมือระหว่างประเทศที่

ทลายแก๊งค้ายา-พอตยาเคคาบ้านพักหรูย่านวังทองหลางยึดของกลางเพียบ

ตำรวจ 191 บุกรวบจับหนุ่มซุกหัวพอตยาเค คาบ้านพักหรูย่านวังทองหลาง ของกลางเพียบ สารภาพขายให้นักเที่ยวท่องราตรีใช้เริงรมย์

เมื่อวันที่ 19 มี.ค.พล.ต.ต.วรวิทย์ ญาณจินดา ผบก.สปพ., , พ.ต.อ.กรกฎ โปชยะวณิช, พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ,   รอง ผบก.สปพ., สั่งการให้พ.ต.อ.วสันต์ ธวัชชัยวิรุตษ์ ผกก.สายตรวจ,พ.ต.ท.วสุเทพ ใจอินทร์,พ.ต.ท.อัษฎาวุธ ขวัญเมือง, พ.ต.ท.ศตวรรษ คนชุม ,พ.ต.ท.ไพบูลย์ สอโส รอง ผกก.สายตรวจฯ พ.ต.ต.ณัฐดนัย บำรุงศรี สว.งานสายตรวจ 2 กก.สายตรวจ   ร.ต.ต.ไพโรจน์ จำนงค์ รอง สว.งานสายตรวจ 2 กก.สายตรวจ นำกำลังจับกุมนายปวริศร์  (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ,น.ส.อรวรรณ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี  น.ส.วรรณวิสา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี   พร้อมของกลาง ยาอี 53 เม็ด ,คีตามีน น้ำหนักรวมประมาณ 96.43 กรัม ,หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า (พอตเค) จำนวน 367หัว Happy Water ซองสีแดง ยี่ห้อ Supreme  จำนวน 4 ซอง บุหรี่ไฟฟ้าแบบสูบแล้วทิ้ง จำนวน 38 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง โดยจับกุมได้บริเวณหมู่บ้านย่านวังทองหลาง

สืบเนื่องจากพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร .ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผช.ผบ.ตร.พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น.  พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น.ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง  จนมีการสืบสวนทราบว่ามีการลักลอบจำหน่ายหัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าพอต ผสมยาเสพติดเมทแอมแฟตามีน หรือพอตเค กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายของกลุ่มวัยรุ่น แฝงมาในรูปแบบบุหรี่ไฟฟ้า ตามสถานบันเทิงกลางคืน ในพื้นที่ กทม. และพบว่านายปวริศร์ เป็นผู้ลักลอบจำหน่ายในราคาหัวละ2,000- 3,000 บาท จึงสืบสวนกระทั่งพบวาาพักอาศัยและจัดเก็บ “พอตเค” อยู่ที่บ้านดังกล่าว และจับกุม ก่อนที่นายปวริศร์จะให้การซัดทอดว่าได้ติดต่อสั่งซื้อพอตเค มาจากน.ส.อรวรรณและ น.ส.วรรณวิสา จึงนำกำลังจับกุมได้พร้อมของกลางพอตเค ภายในคอนโดหรู ย่านรัชดาฯ

เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหามีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอี, Happy Waterหรือเมทแอมเฟตามีน)    โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า, มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (เคตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า, ฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย (บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า) ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558, ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิด ตามมาตรา 246พรบ.ศุลกากร พ.ศ. 2560” นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สธ.ยึดสินค้าตลาดอินโดจีนมุกดาหารไม่มีเครื่องหมายอย.-ขนมหมดอายุ

เจ้าหน้าที่ตรวจสอบร้านค้าตลาดอินโดจีนมุกดาหาร พบจำหน่ายสินค้าประเภทขนมหมดอายุ ไม่มีเครื่องหมาย อย.จึงยึดให้เจ้าของเสียค่าปรับและกล่าวตักเตือน

นายณรงค์ จันทร์แก้ว นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร เทศกิจ และตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าตลาดอินโดจีนมุกดาหาร จำหน่ายสินค้าประเภทขนม เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค หลังจากได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายหาซื้อสินค้ที่ตลาดอินโดจีน และซื้อขนมของฝาก ร้องว่าทางร้านสำสินค้าที่หมดอายุมาขาน สินค้าไม่มีสลาก อย. และสินค้ามีแต่ภาษาต่างประเทศ ทำให้ไม่ปลอดภัยต่อสุขอนามัย ขอให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องได้กำกับควบคุมอย่างเข้มข้นด้วย

ทั้งนี้ ในรอบปี 2567 คณะทำงานได้ลงตรวจตราแนะนำไปแล้วประมาณ 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของปี 2568 ผลการตรวจยังพบเจอสินค้าประเภทขนมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย พบสินค้าประเภทขนมหลายรายการหมดอายุ สินค้าไม่มีสลาก อย. และสินค้ามีแต่ภาษาต่างประเทศตามที่ร้องเรียรนเจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดสินค้าดังกล่าวให้เจ้าของเสียค่าปรับและได้กล่าวตักเตือนห้ามนำมาจำหน่ายอีก หากตรวจพบจะดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดต่อไป

ข่าวภาพ : อนุศักดิ์ – เสาวภา แสนวิเศษ ผู้สื่อข่าวจังหวัดมุกดาหาร

‘เชียงราย’อ่วม! ‘พายุฤดูร้อน’ถล่มหลายอำเภอ วัด โรงเรียน โรงพยาบาล เสียหายยับ

หลังจากอากาศร้อนอบอ้าวมาตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดฝนตกและพายุลมพัดแรงในบางพื้นที่ของ จ.เชียงราย โดยเฉพาะ อ.แม่ลาว นอกจากจะมีฝนและพายุแล้ว ยังมีลูกเห็บตกลงมา ทำให้มีต้นไม้ กิ่งไม้ หักโค่นบางจุดขวางถนน เช่น บ้านห้วยส้านดอนจั่น ต.จอมหมอกแก้ว และบางส่วนของ ต.ป่าก่อดำ ทำให้อาคารบ้านเรือนหลายแห่งได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะส่วนของหลังคาบ้าน รวมทั้งป้ายด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เป็นต้น ทำให้ถนนบางสายไม่สามารถสัญจรไปมาได้โดยสะดวก โดยล่าสุดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ นำกำลังเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านและสำรวจความเสียหายเพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป

ขณะที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า เวลาประมาณ 18.00-19.30 น.วันที่ 18 มี.ค.68 เกิดพายุฝน และลมแรงจากพายุฤดูร้อนในจังหวัดเชียงราย  มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากพายุฤดูร้อนครั้งนี้ เบื้องต้นรวม 2 อำเภอ 5 ตำบล คือ ต.จอมหมอกแก้ว , ต.ป่าก่อดำ , ต.บัวสลี , ต.ดงมะดะ อ.แม่ลาว และ ต.ธารทอง อ.พาน ส่วนพื้นที่ที่มีฝนตกมี 7 อำเภอ คือ อ.เมืองเชียงราย , อ.แม่จัน , อ.เทิง , อ.พาน , อ.แม่ลาว , อ.เวียงชัย และ อ.พญาเม็งราย

ด้านนายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว เปิดเผยว่า พายุฤดูร้อนนี้ เกิดนานประมาณ 30 นาที ที่อ.แม่ลาว มีความเสียหาย 15 หมู่บ้านใน 4 ตำบล คือ ต.จอมหมอกแก้ว , ต.ป่าก่อดำ , ต.บัวสลี และต.ดงมะดะ  ส่วนตำบลที่ได้รับความเสียหายหนักสุด คือ ต.จอมหมอกแก้ว และ ต.ป่าก่อดำ สถานที่ราชการได้รับความเสียหาย 3 แห่งคือ โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว , โรงเรียนป่าก่อดำ , โรงพยาบาลแม่ลาว วัดได้รับความเสียหาย 1 แห่ง คือ วัดห้วยส้านดอนจั่น มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย แขนหัก1 ราย หน้าต่างพัดใส่จนสลบ 1 ราย ส่งไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์แล้ว  อีกทั้งตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาลแม่ลาว หลังคาได้รับความเสียหาย ไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ ต้องใช้เวลาปรับปรุงฟื้นฟู 3-5 วัน ส่วนผู้ป่วยได้ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร ที่อำเภอเวียงชัย

ด้านนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ประสานกับฝ่ายปกครองอำเภอต่างๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ที่มีฝนตกและพายุลมกระโชกแรง ให้ทำการสำรวจความเสียหาย และเร่งพิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด

“หญ่าโย่”หนุนคนรุ่นใหม่ปลูกกาแฟ สร้างรายได้กว่า 5 แสน/ปี

“หญ่าโย” แบรนด์ศูนย์กลางรวมชุมชนกว่า 300 รายสร้างรายได้จาก “กาแฟ” หนุนคนรุ่นใหม่ทำอาชีพปลูกกาแฟเพราะสามารถทำเงินให้ได้ถึง 500,000 บาทต่อคนใน 1 ปี พร้อมผลักดันให้เกิดความภูมิใจในการมีอาชีพปลูกกาแฟเพราะต่อยอดให้เป็นทั้งร้านคาเฟ่และบาริสต้าระหว่างประเทศได้

ร.ต.จีรศักดิ์ จูเปาะ เจ้าของแบรนด์หญ่าโย เล่าว่า บนดอยช้างเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่มีดินเป็นดินภูเขาไฟเก่ามาก่อน ทำให้เมล็ดกาแฟมีรสชาติโดดเด่นและมีสายพันธุ์กาแฟที่ให้ความเป็นถั่ว โกโก้ และช็อกโกแลตที่ชัดมาก ซึ่งคำว่า “หญ่าโย” มีนัยยะแฝงคือสุภาพบุรุษ เพราะมีความสตรองแข็งแกร่งเปรียบดั่งเช่นรสชาติของเมล็ดกาแฟ โดยเจ้าของแบรนด์ยึดถือคติ 3 แฟร์ ในการบริหาร ได้แก่ 1.ยุติธรรมกับเกษตรกร โดยให้ราคากาแฟที่ดีกับสมาชิกในกลุ่มเพราะแบรนด์หญ่าโยมีสมาชิกกว่า 300 ครอบครัวที่ทำร่วมกัน ส่งเสริมองค์ความรู้เรื่องต่างๆ สายพันธุ์กาแฟใหม่ๆ ในส่วนของเกษตรกรเองจะให้เป็นพื้นที่อาหารปลอดภัย นั่นคือการที่ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า 100% โดยใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนทั้งหมด 2.ยุติธรรมกับลูกค้า หมายถึงลูกค้าจะได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ กาแฟที่อร่อย สะอาด ปลอดภัย จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ 3.ยุติธรรมกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าและส่งเสริมการปลูกต้นไม้ร่วมกับการปลูกกาแฟ โดยมองว่าความยั่งยืนจำเป็นต้องมีทั้ง 3 อย่างรวมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์หญ่าโยพยายามและกำลังทำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกาแฟโรบัสต้า โดยที่ในปีนี้ได้ปลูกไปแล้ว 1,500,000 ต้น

เหตุผลที่เป็นคนริเริ่มนำเอากาแฟโรบัสต้ามาปลูกที่ภาคเหนือนั้นเพราะว่าในปัจจุบันโลกของเราร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง อากาศบนดอยหรือภาคเหนือก็ส่งผลให้การปลูกกาแฟอาราบิก้าลดน้อยลงเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น เจ้าของแบรนด์จึงแก้ปัญหาด้วยการนำเอากาแฟโรบัสต้าที่ส่วนใหญ่ปลูกในภาคใต้มาทดแทน เพื่อที่จะให้เกษตรกรไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากเพราะคุ้นชินกับการปลูกกาแฟอยู่แล้ว เพียงเปลี่ยนแค่สายพันธุ์เท่านั้นเอง

การปลูกกาแฟในปัจจุบันบนดอยช้างเริ่มเป็นเทรนด์ให้กับเยาวชน เพราะการปลูกกาแฟสามารถสร้างรายได้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี จากเดิมที่มีแค่รุ่นพ่อแม่ที่นิยมปลูกและเก็บผลผลิตเมล็ดกาแฟ แต่ในตอนนี้เด็กรุ่นใหม่เริ่มให้ความสนใจ ส่งผลให้เยาวชนเด็กรุ่นใหม่ที่ทำอาชีพปลูกกาแฟบนดอยช้างมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ แบรนด์ “หญ่าโย” นั้นเป็นรุ่นที่ 2 โดยรุ่นแรกมาจากครอบครัวของคุณสุกัญญา บีซีทู ภรรยาของ ร.ต.จีรศักดิ์ ที่ปลูกกาแฟบนดอยช้างมาก่อนและต้องการพัฒนาให้กลายเป็นโปรดักส์หรือสินค้าจากเมล็ดกาแฟ เพื่อเป็นมรดกในเรื่องวัฒนธรรม องค์ความรู้และสวนกาแฟ ทำให้เกิดความร่วมมือกับแบรนด์ในชุมชน

ปัจจุบันสร้างแบรนด์มาได้ประมาณ 15 ปีและต่อยอดเป็นร้านกาแฟบนดอย พร้อมกับมีผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟขายให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบควบคู่ไปกับการเปิดคาเฟ่ นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจคือที่พักรีสอร์ทบนดอยช้างที่เข้ามาส่งเสริมและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอีกด้วย ในส่วนของการออกแบบรีสอร์ทจะเน้นออกแบบให้เข้ากับธรรมชาติบนดอย เมื่อลูกค้าได้มาพักและสัมผัสกับทั้งที่พักและกาแฟก็จะได้รับความสุขและความผ่อนคลายกลับไปนั่นเอง นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังมีโรงคัดแยก บ่ม และคั่วเมล็ดกาแฟอย่างครบวงจรเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า

การปลูกกาแฟให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้ผู้ปลูกนั้น ทางแบรนด์มองว่า กาแฟที่ดีและขายได้ในตลาดมีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกันได้แก่ 1.กาแฟที่สร้างรายได้ 2.กาแฟที่ขายได้ และ 3.กาแฟที่สร้างชื่อได้ ทั้งสามอย่างต้องควบคู่กันไปจึงจะประสบความสำเร็จในตลาดกาแฟที่มีคุณภาพได้ ซึ่งกาแฟที่ตอบโจทย์สำหรับเกษตรกรที่สามารถเข้าถึงและมีทักษะการปลูกกาแฟอยู่แล้วนั้นก็คือกาแฟโรบัสต้าและอาราบิก้าที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน จากนั้นจึงได้เกิดงานวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กาแฟคือสายพันธุ์ห้วยน้ำมา 1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่การปลูกบนดอยช้าง

ในส่วนของรายได้ที่เกษตรกรจะได้รับนั้นเจ้าของแบรนด์ให้ข้อมูลว่าเฉลี่ยราคากาแฟที่ต่ำสุดคือ 30 บาท ใน 1 ไร่มี 300 ต้น ต้นละ 20 กิโลกรัมจะเท่ากับ 180,000 บาท ซึ่งถ้าหาก 1 ครัวเรือนมีมากกว่า 1 ไร่ก็คูณจำนวนไร่เข้าไป ก็จะได้รายได้ที่ได้จากการปลูกกาแฟขาย เพราะฉะนั้นค่า GDP ของสมาชิกในกลุ่ม 300 ครอบครัวจะมีรายได้อยู่ที่ปีละ 500,000 บาทต่อคนใน 1 ครอบครัว และนี่คือสาเหตุที่เด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจมาทำสวนกาแฟมากขึ้น

“หญ่าโย“ ในตอนนี้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องกาแฟแบบครบวงจรเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการทำกาแฟ ซึ่งที่มาของการมีสมาชิก 300 ครอบครัวนั้นเกิดจากความต้องการมีหน้าร้าน มีแบรนด์ดิ้ง มีการคั่ว และการสกัดกาแฟที่ไปด้วยกันได้กับชุมชน ซึ่งถ้าหากไม่สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนได้ชาวบ้านหรือเกษตรกรก็จะไม่เข้าร่วมกลุ่ม ดังนั้นการที่มีสมาชิก 300 ครัวเรือนจึงเป็นเครื่องการันตีว่าหญ่าโยสามารถทำให้ชาวบ้านมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ซึ่งการทำแบรนด์หญ่าโยก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เป็นต้นแบบให้กับแบรนด์อื่นๆ ของชาวบ้านได้

“สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็คือผมสามารถสร้างให้ชุมชนหรือเยาวชนรู้สึกภูมิใจในความเป็นอาข่า คนทำกาแฟ ผมคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ตีค่ามูลค่าไม่ได้ อาจจะสร้างเงินนะแต่ภูมิใจในการเป็นชาวสวนปลูกกาแฟมากกว่า สำหรับผมถ้าถามคนบนดอยว่าทำอาชีพอะไรแล้วตอบว่าทำกาแฟจะรู้สึกมีทักษะ มีสกิลและเท่มาก ซึ่งสกิลการทำกาแฟสามารถไปแข่งขันระหว่างประเทศได้ โดยในตอนนี้มีน้องๆ ที่ไปอยู่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี หรือออสเตรเลีย และไปในฐานะบาริสต้ามีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 50,000-100,000 บาท เป็นอาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับน้องๆ ครับ” ร.ต.จีรศักดิ์ ระบุ

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพืชเศรษฐกิจมีราคาที่ถูกลงแต่กลับกันกาแฟมีราคาที่สูงขึ้น โดยเจ้าของแบรนด์มองว่า GDP สูงขึ้น 100% เพราะก่อนหน้านี้ราคากาแฟเชอรี่อยู่ที่ 20-25 บาท แต่ขึ้นมาเป็น 40 บาท จากข้อมูล 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้การปลูกกาแฟเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งการปลูกกาแฟเพิ่มขึ้นแปลว่าพื้นที่ป่าก็เพิ่มขึ้นไปด้วย ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศ โดยในช่วงที่หมดฤดูกาแฟก็สามารถปลูกแมคคาเดเมีย ตามด้วยอโวคาโด้ และกลับมาที่กาแฟอีกรอบได้ ทำให้พื้นที่สีเขียวมีอยู่ตลอดทั้งปี และกาแฟก็เป็นพืชที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและให้ความมั่นคงต่อการสร้างรายได้ให้ชุมชนได้นั่นเอง

ระทึก!ไฟปริศนาไหม้รถรอประมูลศุลกากรแม่สอด วอดไม่ต่ำกว่า 200 คัน

ตาก – ระทึกสองฝั่งชายแดนไทย-เมียนมา..เผยนาทีเพลิงปริศนาไหม้รถยนต์รอการประมูลของศุลกากรแม่สอด ติดด่านพรมแดนถาวรแม่สอดแห่งที่ 2 จนท.ต้องระดมกำลัง-รถดับเพลิงทั้งอำเภอ ใช้เวลานาน 3 ชั่วโมงถึงดับได้ เบื้องต้นพบรถยนต์ถูกเพลิงไหม้กว่า 200 คัน

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงเทศบาลตำบลท่าสายลวด รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้รถยนต์จำนวนมากภายในลานจอดรถยนต์ของกลางที่รอการประมูลศุลกากร ใกล้กับด่านพรมแดนถาวรแม่สอดแห่งที่ 2 ติดแนวชายแดนไทย-เมียนมา บ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ที่ 7 ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก คืนที่ผ่านมา(18 มี.ค.) จึงเร่งระดมรถดับเพลิงทั้งหมดจากทุกท้องที่ในเขตอำเภอแม่สอด พร้อมฝ่ายปกครองอำเภอแม่สอด ทหาร ฉก.ราชมนู พร้อมฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมระงับเหตุสกัดเพลิง

ที่เกิดเหตุเป็นลานจอดรถยนต์ขนาดใหญ่มีรั้วรอบขอบชิด ที่ลานจอดรถฝั่งทิศตะวันออกโซนด้านหน้าพบรถยนต์จำนวนหลายสิบคันกำลังถูกเพลิงไหม้อย่างรุนแรงและมีเสียงระเบิดดังมาเป็นระยะ แสงเพลิงสูงนับสิบเมตรและกลุ่มควันไฟสีดำลอยโพยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยประชาชนทั้งฝั่งไทยและฝั่งจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา สามารถมองเห็นเปลวเพลิง-กลุ่มควันไฟได้อย่างชัดเจน

รถดับเพลิงจากทุกท้องที่จากอำเภอแม่สอดนับ 10 คันถูกร้องขอกำลังมาเสริมการดับเพลิงอย่างเร่งด่วน แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีเพลิงได้ลุกลามขยายวงกว้างเนื่องจากในลานจอดรถยนต์จุดดังกล่าวมีรถยนต์จอดรวมกันอย่างแออัดเต็มพื้นที่เกือบ 800 คัน หน่วยดับเพลิงต้องระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงไว้โดยรอบลานจอดแต่ไม่เป็นผล

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตัดสินใจพังประตูรั้วลานจอดออกหลายด้านพร้อมส่งทีมดับเพลิงเข้าไปฉีดน้ำสกัดเพลิงจากด้านในใจกลางลานจอดรถยนต์ต้นเพลิง แต่การดับเพลิงก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากกระแสลมเปลี่ยนทิศทางอยู่ตลอดเวลา จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงใช้สารเคมีประเภทโพมและใช้หัวฉีดน้ำดับเพลิงแรงดันสุงระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงพร้อมกันแบบทุกทิศทาง กระทั่งควบคุมเพลิงได้ในวงจำกัดและต้องใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง จึงสามารถดับเพลิงไว้ได้

หลังเพลิงสงบเบื้องต้นพบว่ามีรถยนต์ที่กำลังรอการประมูลถูกเพลิงไหม้เสียหายไปกว่า 200 คัน เจ้าหน้าที่จึงปิดกั้นพื้นที่เกิดเหตุเพื่อรอการตรวจสอบหาสาเหตุ

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า บริเวณดังกล่าวสร้างเป็นลานจอดรถยนต์ของกลางที่อยู่ระหว่างทำการประมูลรถยนต์ของกลางศุลกากรแม่สอดเพื่อขายทอดตลาด มีรถยนต์จอดรวมกันอย่างแออัดเกือบ 800 คันและก็เกิดเพลิงไหม้รถยนต์แบบไม่ทราบสาเหตุและยังไม่พบใครเห็นเหตุการณ์ในช่วงเกิดเหตุ จนเกิดเพลิงไหม้รถยนต์ลุกลามไหม้ขยายไปคันอื่นๆอย่างรวดเร็ว และเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้มีรถยนต์เสียหายไปกว่า 200 คัน ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดตากเข้าไปทำการตรวจสอบหาสาเหตุเพลิงไหม้แบบปริศนาในครั้งนี้ต่อไป

นายกฯแถลงทลายเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า รายใหญ่สุดในประเทศ ยึดได้ 2.6 แสนชิ้น มูลค่า 130 ล้านบาท

แนายกฯอิ๊งค์ รุดจับโกดังบุหรี่ไฟฟ้า ชมตร.ทลายล็อตใหญ่ ยัน รัฐบาลเดินหน้าเข้ม ย้ำ ของกลางทำลายทุกชิ้นไม่มีเล็ดลอดไปขายหรือใช้ต่อ เล็ง ปปง.สอบเส้นทางเงิน

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 68 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยกเลิกการแถลงข่าว ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเดินทางด่วนไปยัง โกดังแห่งหนึ่งพื้นที่ ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อแถลงข่าวผลการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้า โดยพบว่าโกดังดังกล่าวอยู่ห่างจากสถานีตำรวจภูธรบางบัวทองเพียง 900 เมตร

สำหรับการแถลงข่าววันนี้ มีผู้แถลงข่าวประกอบด้วย นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พลตำรวจโท สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และพลตำรวจตรีโชติวัฒน์ เหลืองวิไล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล

พลตำรวจโท สำราญ กล่าว่า วันนี้ เป็นปฏิบัติการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้ขอศาล อนุมัติหมายค้นพื้นที่ 10 จุด ที่สืบทราบว่าเป็นแหล่งเก็บและขายบุหรี่ไฟฟ้า – น้ำยา โดยยึดของกลางทั้งหมด 260,000 ชิ้น มูลค่าประมาณ 130 ล้านบาท เป็นการปฏิบัติงานต่อเนื่องหลังรับนโยบายจากรัฐบาล โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ทุกหน่วยทำงานบูรณาการร่วมกัน โดยภาพรวมผลปฏิบัติการทั้งหมดสามารถยึดของกลางได้กว่า 800,000 ชิ้นมูลค่า กว่า 200 ล้านบาท ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุด และมีมูลค่าที่สูงมาก เพราะของที่พบในโกดังแห่งนี้เป็นสินค้าพรีเมี่ยม โดยประเมินมูลค่าต่อชิ้นอยู่ที่ประมาณ 500 บาท

นางสาวแพทองธาร ชื่นชมตำรวจ ที่ได้ประสานงานกันเป็นอย่างดี จนทำให้สามารถจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าลอตใหญ่ได้ โดยสิ่งที่รัฐบาลกังวล คือปริมาณของสารเสพติดที่แฝงอยู่ในบุหรี่ไฟฟ้าจะมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมีการนำน้ำยาไปผสมกับยาเค และในหลายเคสส่งผลถึงชีวิต โดยบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นยาเสพติดที่จะติดในระยะยาว เลิกยาก 

ด้านพลตำรวจตรีนพศิลป์ ระบุว่า จากการสืบสวนของตำรวจนครบาล ร่วมกับตำรวจภูธรทุกภาค โดยมีการจับกุมทั่วประเทศ และมีการขายผ่านทางออนไลน์อย่างแพร่หลาย ซึ่งเคสนี้เป็นการล่อซื้อผ่านทางเว็บไซต์ และกลุ่มไลน์ จากนั้น ได้มีการสะกดรอยตามว่ามีการจำหน่ายสินค้าบุหรี่ไฟฟ้าที่ใดบ้าง จนมาพบว่ามีจุดพักสินค้า จนขยายผลว่ามีการรับสินค้ามาจากเส้นทางใด ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงกับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่เพิ่งมีการตรวจค้นที่โกดังด่านศุลกากรแหลมฉบัง โดยหลังจากนี้จะมีการสืบสวนขยายผลว่าใครเป็นคนนำสินค้าเข้ามา ขณะเดียวกันในสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่แพ็คสินค้า จากการสั่งของผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ก่อนมีการจัดส่งทางไปรษณีย์ ขณะเดียวกันที่โกดังแห่งนี้ยังมีตู้สำหรับโชว์สินค้าสำหรับผู้ที่จะนำไปจำหน่ายรายย่อยได้นำไปตั้งโชว์สินค้าให้กับลูกค้าด้วย ถือว่าเป็นสถานที่ครบวงจร นอกจากนี้จะมีการขยายผลไปถึงความผิดฐานฟอกเงินต่อไปอีกด้วย

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าโกดังแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง พลตำรวจตรีนพศิลป์ ระบุว่า พื้นที่ของโกดังแห่งนี้ได้มีการแจ้งต่อผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แล้ว จนมีการประสานงานร่วมกัน และพบว่าโกดังดังกล่าวเป็นโกดังปิด ซึ่งในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีมีหลายโกดัง การตรวจสอบของตำรวจอาจจะไม่ทั่วถึง ซึ่งยังพบว่าพฤติการณ์ผู้ต้องหาจะย้ายสินค้าหนีหากมีตำรวจเข้ามาตรวจสอบ

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องของกฎหมายต้องมีความชัดเจน ซึ่งต้องใช้เวลา ตอนนี้ทางรัฐบาลของมุ่งเน้นไปในการจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ และต้องค่อยค่อยสื่อสารไปยังประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ว่า บุหรี่ไฟฟ้าคือสิ่งผิดกฎหมาย จึงขอฝากไปยังกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอุดมศึกษาฯ ที่ต้องเน้นย้ำในเรื่องการให้ความรู้

เมื่อถามว่า เกิดจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่หรือไม่โดยเฉพาะในส่วนของกรมศุลกากร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ด่านแรกในการตรวจสอบสินค้า นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต่อจากนี้รัฐบาลสั่งเข้มงวดในเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อว่าทุกภาคส่วนทราบตรงกันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลเอาจริงเอาจัง แล้วจะเห็นได้ว่าสถานการณ์กำลังจะดีขึ้น และหลังจากนี้ต้องมีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ามีความประหลาดใจหรือไม่ว่าโกดังแห่งนี้อยู่ใกล้กับสถานีตำรวจนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ต้องเด็ดขาดในเรื่องนี้ ซึ่งต้องไปตรวจสอบว่า สินค้าเหล่านี้นำเข้ามาอย่างไร ตำรวจก็กำลังตรวจสอบอยู่ 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันที่รัฐบาลเริ่ม เกิดความสับสนเรื่องของกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ เพราะช่วงแรกไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่วันนี้มีความชัดเจนแล้ว ทุกอย่างก็เดินหน้าได้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของตัวเองในฐานะนายกรัฐมนตรีที่จะต้องสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้

ส่วนมีข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีโกดังที่ใหญ่กว่าโกดังแห่งนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตอนนี้มีข้อมูลเข้ามาจำนวนมาก แต่ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป เพราะข้อมูลต่างๆตำรวจเป็นคนเก็บรวบรวม ซึ่งตัวเองไม่ทราบ 

ฃพลตำรวจโทสำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ ของกลางเหล่านี้จะถูกส่งไปทำลาย โดยมีขั้นตอนวงรอบกำหนดอยู่เหมือนกับการทำลายยาเสพติด โดยวันที่ทำลายจะมีการเชิญสื่อมวลชนไปด้วย 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ว่าจะมีใครเก็บไป เพราะตำรวจได้นับของกลางทุกอย่างไว้ทั้งหมดแล้ว

ขณะที่นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ของกลางทั้งหมดนี้จะนำส่งไปที่กรมศุลกากร ตามที่กฎหมายกำหนด จากนั้นจะมีการประเมินมูลค่า ก่อนที่จะให้ตำรวจขยายผลเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการขยายผลถึงนายทุน และตัวแทนที่นำเข้ามาในปนะเทศ

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า รัฐบาลดำเนินการอย่างครอบคลุมทั้งหมด ทั้งการหาต้นตอ จับกุมและทำลาย 

สำหรับในวันนี้พลตำรวจโทสำราญ ระบุว่า วันนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน และกำลังออกหมายจับอีก 1 คน 

ส่วนที่ตำรวจมีข้อมูลหรือไม่ว่าโกดังแห่งนี้เป็นของภรรยาตำรวจ พลตำรวจตรีนพศิลป์ ระบุว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด โกดังดังกล่าวเป็นโกดังที่ปล่อยเช่า มีเจ้าของเป็นผู้หญิง เป็นอดีตภรรยาตำรวจ แต่ผู้ต้องหาคือผู้ที่มาเช่า ซึ่งผู้ให้เช่าไม่ทราบ