มหกรรม”เทศกาลควายไทยอุทัยธานี”กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

“ซาบีดา ไทยเศรษฐ์”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลควายไทยอุทัยธานี” ครั้งที่ 13 สร้างมูลค่าเพิ่มกระบือไทย

เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้(16 มี.ค. 68) ที่บริเวณแก้มลิงเขื่อนวังร่มเกล้า จังหวัดอุทัยธานี นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลควายไทย อุทัยธานี” ครั้งที่ 13 โดยมี  นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชรินทร์ ไชยะ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี นายกฤษฎา ซักเซ็ค นายกสมาคมพัฒนาพันธุ์ควายไทย ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกษตรกร และประชาชน ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมงาน

การจัดงาน”เทศกาลควายไทย อุทัยธานี” ครั้งที่ 13 มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกษตรกรได้พบปะ เรียนรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเกษตรกรด้วยกัน ปราชญ์ด้านกระบือ และผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนเพื่อการอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ พัฒนาปรับปรุงพันธุ์กระบือของชาวอุทัยธานีให้ดียิ่งขึ้นไป รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบือสวยงาม ช่วยกระตุ้นการซื้อขายกระบือในจังหวัดอุทัยธานี ให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาสนใจในการประกอบอาชีพการเลี้ยงกระบือ อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากกระบือมากขึ้น

 โดยมีกำหนดการจัดงาน”เทศกาลควายไทยอุทัยธานี” ครั้งที่ 13 ในวันที่ 15 – 16 มีนาคม 2568 ณ บริเวณแก้มลิงเขื่อนวังร่มเกล้า จังหวัดอุทัยธานี ภายในงานจัดให้มีการประกวดกระบือ ประกอบด้วยการประกวดกระบือลุ่มน้ำสะแกกรัง (เฉพาะกระบือในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี) จำนวน 16 รุ่น การประกวดกระบือทั่วไป จำนวน 16 รุ่น และการประกวดกระบือแกรนด์แชมป์ (Grand Champion) ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 4 ถ้วย ประกอบด้วย กระบือลุ่มน้ำสะแกกรัง เพศผู้ เพศเมีย และกระบือทั่วไป เพศผู้ เพศเมีย ตามลำดับ

นอกจากนั้น ยังมีการประกวดควายยักษ์และกระบือแคระ ในวันที่ 15 มีนาคม 2568 หลังเสร็จสิ้นการประกวดกระบือลุ่มน้ำสะแกกรัง แกรนด์แชมป์ ภายในงานยังจัดให้มีการแสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับกระบือ การจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ และสินค้า OTOP อีกด้วย

พ่อเมืองชลบุรีลุยสางหนี้ก่อนสงกรานต์จัด”มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีชีวิตแห่งความเป็นธรรม ปีที่ 2″

ผู้ว่านชลบุรีเดินหน้าสางหนี้ก่อนสงกรานต์”มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีชีวิตแห่งความเป็นธรรม ปีที่ 2″ได้ส่วนลดจบหนี้ ลดดอกเบี้ย ไม่ถูกบังคับคดี

เมื่อเวลา 09.30 น. วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2568 เมื่อเวลา 09.30 น. นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวต้อนรับและร่วมพิธีเปิดกิจกรรม “มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีชีวิตแห่งความเป็นธรรม ปีที่ 2” ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยมี พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารภาคีเครือข่าย สถาบันการเงิน และประชาชนร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ณ หอประชุมลีลาวดี วิทยาลัยเทคโนโลยีชลบุรี ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี

กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมบังคับคดี ร่วมบูรณาการกับสำนักงานยุติธรรมจังหวัดชลบุรี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดชลบุรี ร่วมใจจัดงานนี้ขึ้นเพื่อลดปัญหาหนี้สินของประชาชนไทย ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 25.5 ล้านคน หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากร โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่คิดเป็น 91% ของ GDP ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อีกทั้งกลุ่มคนทำงานอายุ 20-35 ปี กว่า 52.7% มีภาระหนี้ตั้งแต่เริ่มทำงาน และหนี้เสียในกลุ่มนี้สูงถึง 27%

ภายในงานมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การไกล่เกลี่ยหนี้ ทั้งก่อนฟ้องและหลังศาลมีคำพิพากษา การให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและหนี้สิน โดยหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม การอำนวยความสะดวกให้ลูกหนี้เจรจากับเจ้าหนี้โดยตรง จากสถาบันการเงินและหน่วยงานรัฐ

นิทรรศการให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการหนี้ ปีที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้กว่า 66,000 ราย รวมมูลค่าหนี้ที่ไกล่เกลี่ยสำเร็จมากกว่า 12,000 ล้านบาท รวมถึงช่วยปลดภาระผู้ค้ำประกันกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้กว่า 2.8 ล้านราย

ทั้งนี้ ประชาชนที่มีปัญหาหนี้สินสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันที่ 16 – 18 มี.ค. 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีชลบุรี ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และได้รับคำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน

11 ปีแห่งตำนาน!! ‘ไก่ย่างกอและโบราณ’ ไม้ละ 5 บาท ‘อร่อยเท่าเดิม-ราคาคงเดิม’

ในยุคที่ราคาอาหารถีบตัวสูงขึ้นดันค่าครองชีพพุ่งกระฉูด แต่มีร้านเล็กๆริมคลอง (เอวหัก) ม.7 ซอยทรายทอง. ทต.คลองขุด อ.เมืองสตูล แห่งหนึ่งที่ยังคงยืนหยัด ขายไก่ย่างไม้ละ 5 บาท มาเนิ่นนานถึง 11 ปี ‘ร้านสามพี่น้องริมคลองเอวหัก’ ของคุณอัญชลี บิลเต๊ะ หรือที่ลูกค้ารู้จักกันในนาม ‘น้องกิ๊ก’ วัย 38 ปี คือตัวอย่างของความมุ่งมั่นที่หาได้ยากในปัจจุบัน

‘ขายราคานี้ลูกค้าอยู่ได้ เราก็อยู่ได้’ คือคำพูดติดปากของคุณอัญชลี ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้อส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้าประจำ และนักเรียน อีกทั้งเป็นผู้ซึ่งใช้อาชีพขายไก่ย่างเลี้ยงดูครอบครัว 6 ชีวิต รวมลูกอีก 4 คน โดยทางร้านเปิดให้บริการวันละสองรอบ ช่วงเช้าตั้งแต่ 6.00-9.00 น. และช่วงบ่ายตั้งแต่ 15.00-18.00 น. (และหยุดทุกวันเสาร์)  ยกเว้นช่วงเดือนรอมฎอนที่จะเปิดขายตอน 14.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด

เมนูยอดนิยมของทางร้านคือ ‘ไก่ย่างสามรส’ ในราคาเพียงไม้ละ 5 บาท และ ‘ไก่กอและ’ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ไก่แดงโบราณ’ ในราคาไม้ละ 10 บาท พร้อมข้าวเหนียวห่อละ 5 บาท โดยทั้งหมดมีหอมกระเทียมเจียวโรยหน้าให้เพิ่มความหอม

คุณอัญชลี เล่าว่า น้ำราดไก่กอและสุดพิเศษใช้สูตรจากพี่เขยที่จังหวัดตรัง มีส่วนผสมของเครื่องแกง ถั่วลิสง พริกแห้ง ผสมแป้งข้าวโพดเล็กน้อย น้ำตาลทราย และเกลือ ทำให้ได้รสชาติที่หวาน มัน เค็ม และเผ็ดเล็กน้อย ที่สำคัญคือทำสดใหม่ทุกวัน

ทางร้านปรับตัวเข้ากับเทศกาลรอมฎอนด้วยการเพิ่มเครื่องดื่มหลากหลายชนิด ทั้งน้ำพุทรา น้ำกระเจี๊ยบ โอเลี้ยง ชาดำเย็น และน้ำลิ้นจี่ ในราคาเพียงถุงละ 10 บาท

ทุกวันคุณอัญชลีจะเตรียมไก่ย่างวันละประมาณ 10 กิโลกรัม แบ่งเป็นช่วงเช้า 5 กิโลกรัม (ซึ่ง 1 กิโลกรัมสามารถแบ่งได้ประมาณ 60 ไม้) โดยชิ้นส่วนที่ขายดีที่สุดคือหนังไก่และเนื้อสะโพก

ด้าน ป้ายิ้ม ลูกค้าประจำของร้าน กล่าวว่า ซื้อที่ร้านนี้เป็นประจำเพราะรสชาติอร่อย ราคาถูก ซื้อประจำทั้งเช้าและเย็น

หากใครสนใจอยากลิ้มลองไก่ย่างราคาประหยัดที่คงราคาเดิมมานานถึง 11 ปี สามารถไปอุดหนุนได้ที่ ‘ร้านสามพี่น้องริมคลอง’ ตั้งอยู่ที่ซอยเอวหัก ริมคลอง. หรือทรายทอง หมู่ 7 เขตเทศบาลตำบลคลองขุดอำเภอเมืองสตูล หรือติดต่อคุณอัญชลีได้ที่ 065-015-0955

เกษตรกรมหาสารคามพลิกไร่มันสำปะหลังปลูกฟักทอง 5 ไร่ 3 เดือน โกยกว่า 3 แสนบาท

เกษตรกรบ้านปทุมทอง จ.มหาสารคาม ปรับเปลี่ยนพื้นที่ไร่มันสำปะหลังขนาด 5 ไร่ มาปลูกฟักทอง ใช้เวลา 3 เดือนได้ผลผลิตไร่ละ 5 ตันทำเงินรวมกว่า 2 แสนบาท ชี้เป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ เพราะปลูกมันฯ ได้ปีละครั้ง การปลูกพืชสลับไปมาทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี

ฟักทอง ผักสวนครัวพื้นบ้านทำอาหารได้ทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม หรือจะต้มกินเล่นๆ เป็นอาหารว่าง อาหารลดน้ำหนักก็เยี่ยมไปเลย เกษตรกรมหาสารคามได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง มาปลูกพืชผสมผสาน สร้างรายได้ตลอดปี โดยปลูกฟักทองไว้ขาย 5 ไร่ โดยไร่หนึ่งได้ผลผลิตกว่า 5,000 กก. สร้างรายได้รวมกว่า 2 แสนบาท

น.ส.หนูพิศ ชาดง เกษตรกรบ้านปทุมทอง ม.13 ตำบลนาโพธิ์ อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม กล่าวว่า ที่บ้านตนเองมีพื้นที่ 70 ไร่ ปลูกมันสำปะหลังเป็นหลัก ตนเองก็ได้ขอทางบ้านโดยแบ่งออกมา 17 ไร่ เพื่อมาปลูกพืชผสมผสานเพราะจะได้มีรายได้ใช้ตลอดทั้งปี เพราะปลูกมันสำปะหลังจะมีรายได้แค่ปีละครั้ง โดยแบ่งเป็นปลูกฝรั่งกิมจู 5 ไร่ ก็มาปลูกฟักทองพันธุ์ทองอำไพ 5 ไร่ ใช้เวลา 90 วัน และพักดิน 30 วัน ก็ลงหมุนเวียนกลับมาปลูกต่อได้เลย

ฟักทองที่เราปลูกมีนั้นจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงที่สวน นำไปส่งขายต่อที่ประเทศเวียดนามในราคา 10 บาทต่อ กก. ถ้าเราจะขายปลีกก็ขายได้ในราคา 15 บาท ต่อ กก. ผลผลิตที่ได้ในสวนส่วนใหญ่ลูกหนึ่งมีน้ำหนัก ตั้งแต่ 7-13 กก. ทำให้ 1 ไร่ สามารถได้ผลผลิตฟักทอง หนักกว่า 5,000 กก. รายได้ต่อไร่ ประมาณ 50,000 บาท พ่อค้ามารับผลผลิตรอบนี้ได้ประมาณ 2 แสนกว่าบาท ทำให้เรามีรายได้ตลอดทั้งปีจากการปลูกพืชผสมผสาน

เกษตรกรบ้านปทุมทอง กล่าวต่อว่า การลงทุนต้นทุน 1 ไร่ เงินลงทุนมีเพียงค่าไถเตรียมดิน ปุ๋ยคอก และค่าน้ำมันในการไถเตรียมดินและสูบน้ำบาดาล ที่ใช้แรงงานในครัวเรือนซึ่งแทบไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนเมล็ดพันธุ์ก็ราคาไม่กี่ร้อยบาท ขุดหลุมเล็กๆ ลงไปในดินประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ห่างประมาณ 1×1 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว หยอดเมล็ดฟักทองลงไปหลุมละ 3-5 เมล็ด กลบด้วยดินผสมละเอียด หรือขี้เถ้าแกลบดำ รดน้ำให้ชุ่ม คลุมด้วยฟางเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้าดิน ภายใน 3-4 วัน ต้นกล้าจะงอกพ้นพื้นดิน มีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนต้นกล้าที่อ่อนแอทิ้งไป ให้เหลือหลุมละ 1-2 ต้นเท่านั้น

น.ส.หนูพิศ กล่าวด้วยว่า เมื่อปลูกฟักทองอายุได้ 2 เดือนกว่าๆ ก็เริ่มเก็บเกี่ยว ผลผลิตฟักทองที่ได้จะมีขนาดใหญ่ลักษณะผิวด้านนอกขรุขระตะปุ่มตะป่ำ สีเขียวเข้มจนเกือบดำ ผลใหญ่ น้ำหนักประมาณ 7-13 กิโลกรัม ผลแป้น เป็นพู เนื้อหนาสีเหลือง และสีเหลืองอมเขียว รสชาติหวาน มัน และเหนียว. 

สหรัฐฯ ลงดาบแบนวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทย ตอบโต้ส่งตัวอุยกูร์ กลับจีน

นายมาร์โค รูบิโอ รมว. ต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประกาศใช้มาตรการ จำกัดวีซ่าต่อเจ้าหน้าที่และอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและทางอ้อมในการบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนเมื่อ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา โดย มาตรการดังกล่าวอาจขยายถึงสมาชิกครอบครัวของผู้ที่ถูกลงโทษเช่นกัน

ทั้งนี้ นายรูบิโอระ บุว่า รัฐบาลสหรัฐฯมุ่งมั่นต่อต้านการกดดันรัฐบาลต่างๆของจีนที่บีบบังคับให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ กลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่ม ศาสนาอื่นๆกลับประเทศจีน อาจทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ถูกทรมานและถูกบังคับให้สูญหายได้ รัฐบาลจีนกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมทางมนุษยชาติต่อชาวอุยกูร์มาอย่างยาวนาน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทุกชาติทั่วโลกไม่บังคับส่งตัวชาวอุยกูร์และกลุ่มอื่นๆกลับสู่ประเทศจีน

เปิดผลวิจัยคลองไทยดันไทยสู่ระดับโลก:อภิมหาโปรเจ็กต์ ฟื้นเศรษฐกิจระดับประเทศ

A handout picture released by the Suez Canal Authority on March 24, 2021 shows the Panama-flagged MV Ever Given (operated by Taiwan-based Evergreen Marine), a 400-metre- (1,300-foot-)long and 59-metre wide vessel, lodged sideways and impeding all traffic across the waterway of Egypt’s Suez Canal. – A giant container ship ran aground in the Suez Canal after a gust of wind blew it off course, the vessel’s operator said on March 24, 2021, bringing marine traffic to a halt along one of the world’s busiest trade routes. (Photo by – / Suez CANAL / AFP) / “The erroneous mention[s] appearing in the metadata of this photo by Marina PASSOS has been modified in AFP systems in the following manner: [STR] instead of [Marina Passos]. Please immediately remove the erroneous mention[s] from all your online services and delete it (them) from your servers. If you have been authorized by AFP to distribute it (them) to third parties, please ensure that the same actions are carried out by them. Failure to promptly comply with these instructions will entail liability on your part for any continued or post notification usage. Therefore we thank you very much for all your attention and prompt action. We are sorry for the inconvenience this notification may cause and remain at your disposal for any further information you may require.”

เปิด  “บทวิจัยคลองไทย” กระหึ่มโลก  ไทยสู่ระดับโลกอภิมหาโปรเจ็กต์ “ไทยเปลี่ยน” ไม่สิ้นหวังหลุดพ้นความยากจน ประชาชนในพื้นที่สนับสนุนเต็มพิกัด สมาคมคลองไทย ชี้ คลองไทย คือ “คลองสันติภาพ” สร้างงาน สร้างประเทศไทย หลุดพ้นความยากจน หลุดหนี้ เสนอนายกรัฐมนตรี เร่งพิจารณาตั้งคณะกรรมการแห่งชาติคลองไทย ระบุ เสนอหุ้นคนไทย 51 % ต่างประเทศ 49 % เชิญชาติมหาอำนาจร่วมหุ้น จีน รัสเซีย สหรัฐ อินเดีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอาหรับ ซาอุดีอารเบีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ร่วม เสนอนายกรัฐมนตรี พิจารณาไทย เร่งด่วน

นายณรงค์ ซุ้มทอง ประธานอำนวยการศึกษาความเป็นไปได้คลองไทยเชื่อมทะเลอ่าวไทย-ทะเลอันดามัน 5 จังหวัดภาคใต้ จ.พัทลุง สงขลา ตรัง นครศรีธรรมราช ตรัง และ จ.กระบี่ เปิดเผยว่า นายกสมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา มี พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป  นายกสมาคมคลองไทย ซึ่งทางสมาคมคลองไทยได้ยื่นหนังสือถึง ฯพณฯ นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ ต.ทะเลน้อย อ.ควนขุน จ.พัทลุง ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 คราวมาตรวจราชการที่ทะเลน้อยที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการคลองไทยแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทำการศึกษาเพิ่มเติมจากที่เคยดำเนินการศึกษามาแล้ว ถึงการลงทุน การคุ้มทุน และการขุดคลองไทย ฯลฯ

สำหรับคลองไทยเชื่อมระหว่างทะเลอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน เขตแนวคลอง 9 A ระยะยาว 135 กม. ความกว้าง 300-400 เมตร และความลึก 15-18 เมตร  โดยต้นทางที่ทะเลอ่าวไทย บ้านท่าบอน อ.ระโนด จ.สงขลา  ปลายทางที่พอร์ทท่าเรืออ่าวลึก อ.อ่าวลึก จ.กระบี

นายณรงค์ กล่าวอีกว่า คลองไทยมีเป้าหมายคือคลองสันติภาพจะมีมิตรทั่วโลก จะมีการเชิญชวนต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนถือหุ้น โดยไทยถือหุ้น 51 % ต่างประเทศถือหุ้น 49 % โดยมีประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี และรวมถึงประเทศมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส อินเดีย สหรัฐอาหรับอามิเรสต์ ซาอุดีอารเบีย  ฯลฯ

“ทั้งนี้เป้าหมายเป็นการประสานผลประโยนช์ คลองไทยคือคลองสันติภาพ มีแต่มิตรร่วมกันทุกฝ่าย”

นายณรงค์ กล่าวอีกว่า คลองไทย เป็นอภิมหาโปรเจ็กต์ เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางทะเลสำคัญของโลก จะสร้างงานสร้างเงินให้กับประชาชนและประเทศ และประเทศหุ้นส่วนทั่วโลก และคลองไทย จะเกิดกิจกรรมงานขยายมากมาย ตลอดจนถึงแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญของโลก นอกจากจะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์โลกแล้วในพื้นที่บริเวณคลองไทย โดยเฉพาะ จ.พัทลุง จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล และเป็นแหล่งแวะจอดเรือยอร์ช เรือสำราญ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาตินิเวศ เขา ป่า นา เล และที่ตั้งมหาวิทยาลัยทักษิณ จะเป็นมหาวิทยาเทคโนโลยี่ขั้นสูงที่จะเป็นอู่ต่อเรือ อู่ซ่อมเรือของโลกอีกด้วย

ส่วนฝั่งอันดามันก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและที่จอดแวะพักเรือสำราญ เรือยอร์ช  นอกจะเป็นศูนย์กลางขนส่งสินค้าทางเรือกว่า 300,000 ล้านตัน / ปี และยังมีการขยายผลที่ต่อเนื่องอีกปริมาณมาก ในขณะเดียวกันยังมีนโยบายเปิดโอกาสให้กับบุตรหลานประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ปัตตานี ยะล และ จ.นราธิวาส หากเมื่อเป็นผู้มีคุณวุฒิทางการศึกษาจะให้เข้ามาทำงานและผู้บริหารโครงการคลองไทยอีกด้วย

“คลองไทยที่สมาคมคลองไทย ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ตั้งคณะกรรมการแห่งชาติคลองไทย เพื่อให้มีการทำศึกษาความเป็นไปได้เพิ่มเติม จากที่มีการศึกษามาก่อนแล้ว โดยเอกสารการศึกษาของสภาผู้แทนราษฎร”

นายณรงค์ กล่าวอีกว่า โดยการศึกษาใหม่ความเป็นไปได้คลองไทย จะใช้เวลาประมาณ 3 ปี ในการศึกาเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อมูลมี่อย่างรอบด้านครอบคลุม เพื่อนำมาพิจารณาตัดสินขุดคลองไทย

“หวังว่านายกรัฐมนตรี จะเร่งรีบพิจารณาจัดตั้งได้โดยเร็ว และหากได้ขุดคลองไทย ไทยจะหลุดพ้นจากเป็นความยากจน หนี้สินประเทศไทยที่ก่อไว้จะหลุดพ้นหมดในระยะอันใกล้”

นายณรงค์  กล่าวอีกว่า จากศึกษาเพิ่มเติมใช้เวลาประมาณ 3 ปี หากมีมติลงทุนขุดก็จะใช้เวลาขุดประมาณ 5 ปี โดยเฉพาะหากประเทศจีนจะเป็นผู้ขุด หรือประเทศใดที่เสนอเข้ามา

 นอกนั้นแล้วยังมีแนวทางที่จะหารือกับนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมภาคใต้แห่งประเทศไทย (สนต.)  เพื่อพิจารณจัดชุดนักข่าวเดินทางสำรวจศึกษเส้นทางคลองไทยแนว 9 A ระหว่าง จ.สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช ตรัง และ จ.กระบี่ พร้อมกับแนวทางที่จะมีการเชิญนักข่าวต่างประเทศร่วมด้วย.

ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผยว่า คณะวิจัยโครงการขุดคลองไทย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ประกอบด้วย น.ส.ก่อแก้ว จันทร์กิ่งทอง น.ส.ชุติมา หวังเบ็ญหมัด นายมณีรัตน์ รัตนพันธ์ และนายสิงหนาท เอียดจุ้ย  ได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการขุดการขุดคลองไทย

ซึ่งประกอบด้วยเส้นทางคลองไทย 4 เส้นทาง คือเส้นทางแนว 9 A  แนว 7 A แนว 5 A และแนว  2 A  มีประชาชนใน  8  จังหวัดคือ จ.ชุมพร ระนอง กระบี่ พัทลุง สงขลา ตรัง นครศรีธรรมราช และ จ.สตูล จำนวน 1,600 คน
ทั้งนี้มีเห็นด้วยกับเส้นทางคลองไทย แนว 9 A เป็นส่วนใหญ่ และอีกเส้นทาง 3 เส้นทางยังไม่แน่ใจกับไม่เห็นด้วย

เส้นทางคลองไทย แนว 9 A กระกอบด้วย จ.กระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช สงขลา  เมื่อได้บทสรุปงานวิจัย จึงได้มีการนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร (สส.)  และคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้สภาผู้แทนราษฎร  (กมธ.) ที่ผ่านมา

สำหรับรายงานบทวิจัยศึกษาคสวามเป็นไปได้ในการดำเนินการขุดคลองไทย เมื่อหากขุดสำเร็จ จะเกิดประโยชย์อย่างมหาศาลเพราะเป็นอภิมหาโปรเจ็กต์ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ความมั่นคง และเทคโนโลยี

“โครกงารขุดคลองไทยจะเป็นกุญแจสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมามีบทบาทเศรษฐกิจสำคัญระดับโลก และจะเป็นเส้นทางเดินเรือสากลใหม่ของโลก จะพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจของภาคใต้โดยตรง อันจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน จะได้ลดปัญหาคนตกงานและแก้จะได้ไขปัญหาความยากจนของประเทศ” 

บทวิจัย ยังระบุต่อว่า เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี ก็จะส่งผลให้ความมั่นคงของประเทศเพิ่มสูงมาก

สำหรับการขุดคลองไทย บทวิจัยรายงงานว่า เหตุผลสำคัญเพื่อจะเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่ และเป็นทางเลือกในการขนส่งทางเรือให้กับไทยและนานาชาติด้วย  ทั้งนี้การขนส่งทางเรือในโลก 1 ใน 3 oyho0tต้องผ่านช่องแคบมะลา และปัจจุบันช่องแคบมะละกา ต่างมีเรือค้าสินค้าผ่านถึงประมาณ 80,000 ลำ / ปี  คิดเป็น 6.6 นาทีต่อลำ

และในอีก 5 ปีข้างหน้า  คาดการณ์ว่าจะไม่สามารรองรับเพิ่มขึ้นได้ เพราะจากจำนวนเรือขนาดใหญ่ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น  ในขณะที่ที่ความลึกของช่องแคบมะละกา จะเป็นอุปสรรคกับเรือขนาดใหญ่ในที่สุด
ผลกระทบกับโครงการขุดคลองไทย

บทวิจัย ยังได้รายงานถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อผลกระทบในการดำเนินการโครงการขุดคลองไทย ทั้งทางบวกและทางลบ โดยมีกลุ่มตัวอย่างการวิจัยที่มีประชาชนในพื้นที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่อยู่ใน 8 จังหวัด คือ จ.ชุมพร ระนอง กระบี่ พัทลุง สงขลา ตรัง นครศรีธรรมราช และ จ.สตูล จำนวน 1,600 คน ในโครงการขุดคลองไทย

ผลการวิจัย พบว่าประชาชนในแต่ละเส้นทาง  2A 5A 7A และ 9A โดยมีความคิดเห็นในแต่ละด้านจะต่างกัน โดยประชาชนในเส้นทาง 9A เห็นด้วยกับโครงการคลองไทย ในขณะที่ในเส้นทาง 2A และ 7A ต่างยังไม่แน่ใจกับโครงการ และส่วนเส้นทาง 5A ต่างไม่เห็นด้วย

สำหรับเริ่มมีความคิดในเรื่องของการขุดคลองเพื่อเชื่อม ระหว่าง2 ฝั่งทะเลของไทย ระหว่างฝั่งทะเลอันดามันกับฝั่งทะเลอ่าวไทย ซึ่งจากแนวคิดการขุดคลองไทยนี้ที่มีมานานถึง 327 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้นมา

โดยเหตุผลหลักที่สำคัญ คือต้องการย่นระยะทางของการเดินเรือของทั้ง 2 ฝั่งทะเล และเพื่อทำการค้ากับต่างประเทศ โดยที่ผ่านมามีแนวคิดเกี่ยวกับการขุดคอคอดกระในหลายครั้ง นั้น ไม่ได้ประสบความสำเร็จ เพราะจะมีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ

แต่มาในปี พ.ศ. 2513  ทางกระทรวงมหาดไทย ได้ว่าจ้างบริษัท แทมส์ (Tippetts-AbbettMcCarthy-Stratton: TAMS) ให้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจโครงการขุดคลองไทย ในเส้นทางต่าง ๆ และได้รายงานผลการศึกษาใน พ.ศ. 2516 

ปรากฎว่าพบว่าแนวคลองที่เหมาะสมและเป็นไปได้มากที่สุดคือเส้นทาง 5A ระหว่าง จ.สตูล-สงขลา แต่จากการประเมินความเป็นไปได้ขององค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่ายังไม่คุ้มค่าแนวคิดเกี่ยวกับในเส้นทางการขุดคลองไทยจึงมีการนำเสนอขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง จนได้มีการเสนอแนวคลองที่ควรจะขุด 4 เส้นทาง ที่คาดว่าน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ คือเส้นทางที่ 2A  บ้านราชกรูด จ.ระนอง-อลังสวน จ.ชุมพร ความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร2 เส้นทาง 5A  จ.สตูล -จ. สงขลา ความยาว ประมาณ 102 กิโลเมตร  3 เส้นทาง 7A จ.ตรัง- จ.สงขลา ความยาวประมาณ 110 กิโลเมตร และ 4 เส้นทาง 9 A จ.กระบี่ – ตรัง – พัทลุง – นครศรีธรรมราช – ตอนเหนือ อ.ระโนด จ.สงขลา  ความยาวประมาณ 120  กิโลเมตร

บทวิจัยรายยังงานว่า และในปี พ.ศ. 2544 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความ เป็นไปได้สภาผู้แทนราษฎร (สส.)  (กมธ.) ของโครงการทั้ง 4  เส้นทาง เส้นทาง 2A 5A 7A และ 9A โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีมีมติเลือกเส้นทาง 9A เป็นเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด

จากการสรุปรายงานความเป็นไปได้ของโครงการขุดคลองไทยนั้น  เมื่อหากดำเนินการเสร็จ จะเป็นประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคง และเทคโนโลยีซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมามีบทบาทเศรษฐกิจที่สำคัญในระดับโลก และเป็นเส้นทางเดินเรือสากลใหม่ของโลกซึ่งจะช่วยพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภาคใต้โดยตรง อันจะท าให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นไม่ น้อยกว่า 3 ล้านคน ทำให้ลดปัญหาคนตกงานและแก้ไขปัญหาความยากจนเมื่อฐานะทาง เศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น ก็จะส่งผลให้ความมั่นคงของประเทศเพิ่มสูงมากขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้นการขุดคลองไทยน่าจะเป็นการลดปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์แก่ประเทศในทุกด้านที่เห็นได้ชัดได้แก่ การคมนาคม การค้า การเกษตร การอุตสาหกรรม การท่าเรือ การท่องเที่ยว เป็นต้น อันเป็นการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองในระยะยาวและตลอดไป

สอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในจ.สงขลา เกี่ยวกับโครงการขุดคอคอดกระกับการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ พบว่าประชาชนเห็นว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ทางให้เศรษฐกิจดีขึ้นมากที่สุด รองลงมาคือการคมนาคมขนส่งทางทะเล ใช้ระยะเวลาสั้นลง ได้ประโยชน์จากภาษีเรือผ่านทางคอคอดกระและเกิดพื้นที่ในการท่องเที่ยวใหม่ของประเทศ ร้อยละ 16.05

ผลการศึกษาในอดีต “คลองไทย”ยังไม่มีความเป็นไปได้บทวิจัย ยังได้รายงานต่อว่า ผลการศึกษาการขุดคลองไทยที่ผ่านมาในเชิงวิชาการได้ข้อค้นพบเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นมากมาย และจากการประเมินความเป็นไปได้ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการพิจารณาความเป็นไป ได้ในการขุดคลองไทย มีผลสรุปคือยังไม่มีความเป็นไปได้

หากแต่ในปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปและได้มีการเสนอให้ขุดคลองไทยอีกครั้ง ทั้งนี้ในการพิจารณาที่จะดำเนินโครงการขนาดใหญ่จำเป็นที่จะต้องศึกษาเชิงลึก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นเส้นทางขุดคลองไทย โดยทำการสำรวจกับประชาชนที่อาศัยในบริเวณเส้นทางเพื่อศึกษาถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ

และจากผลการศึกษาต่าง ๆ ในอดีตจึงทำให้คณะผู้วิจัยสนใจศึกษาผลกระทบในการดำเนินการโครงการขุดคลองไทย วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อศึกษาความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อผลกระทบทางบวกและทางลบในการโครงการขุดคลองไทย 

ทั้งนี้จากประโยชน์ของการวิจัย 1. หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่กำกับดูแลเกี่ยวกับโครงการขุดคลองไทย สามารถนำาผลการวิจัยเพื่อเสนอต่อรัฐบาลในการพิจารณาตัดสินใจ 2. นักวิชาการและนักวิจัยที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับโครงการขุดคลองไทย สามารถนำผลการวิจัยไปต่อยอดการศึกษาในครั้งต่อไป

ชายแดนระอุ!เมียนมา-กะเหรี่ยง รบเดือด กระสุนปืนหนักตกฝั่งไทย

ชายแดนพบพระระอุ กองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสู้รบเดือดใช้ โดรน ทิ้งระเบิดโจมตี สถานีตำรวจ สภ.วาเล่ย์ใหม่ (เมียนมา) – กระสุนปืนหนัก ตกฝั่งไทย

สถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก  กองกำลังชนกลุ่มน้อย กลุ่ม KNDO กองพัน.8 กองกำลังของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงอสระ KNU ซึ่งเป็นทหารชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ได้ใช้อากาศยานไร้คนขับ(โดรน)ไปทิ้งระเบิดยิงโจมตี สถานีตำรวจ สภ.วาเล่ย์ใหม่ อ.วาเล่ย์ใหม่ จังหวัดเมียวดี ทำให้ทหารเมียนมา ได้ยิงตอบโต้ด้วยอาวุธปืนหนักสนับสนุน ตำรวจเมียนมา ทำให้มีกระสุน ขนาด ค.81 ของทหารเมียนมาข้ามมาตกฝั่งไทย

โดยทหาร KNDO พัน.8 ของกลุ่ม KNU  ได้ใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ทิ้งระเบิด จำนวน 4 ลูก โจมตี สนง.ตร.สภ.วาเลย์ใหม่  อ.วาเลย์ใหม่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง  สหภาพเมียนมา ด้านตรงข้าม บ้านวาเลย์ใต้  หมู่ 2 ต.วาเลย์ อ.พบพระ จ.ตาก   โดยทหารเมียนมา กอง พัน.ป.315 ค่ายทีตาแหล่  ได้ทำการยิงอาวุธปืนหนัก เข้าไปยังพื้นที่เป้าหมายบริเวณพื้นที่ เขาเลก่อตู้   ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ/พื้นที่เคลื่อนไหวของ กองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่อต้าน รัฐบาลเมียนมา  จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีกระสุน ค.81 จำนวน 2 นัดข้ามมาตกยังฝั่งไทย ห่างจากแนวชายแดน 150 เมตร บริเวณไร่ข้าวโพด    ซึ่งพื้นที่นี้ได้มีการทำเกษตรกรรม ของชาวบ้าน เพื่อทำไร่ข้าวโพด และเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งปลูกพริก มีพื้นที่อยู่ใกล้กับลำห้วยวาเล่ย์ บ้านวาเล่ย์ใต้ หมู่ 2 ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีราษฎรไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต   โดยมีทรัพย์สินเป็นต้นข้าวโพดเสียหายประมาณ ครึ่งงาน   ทหารหน่วยงาน ร้อย ร.421  ได้นำกำลังพลทหารเพิ่มความเข้มข้นในการลาดตระเวนตามแนวชายแดนเพื่อแสดงกำลัง และป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยของกองกำลังติดอาวุธ   และมีการประสานฝ่ายปกครอง ตำรวจ แจ้งเตือนพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนให้ทราบสถานการณ์ และเพิ่มความระมัดระวัง   รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ได้มีการแจ้งเตือนไปยังกองกำลังฝั่งตรงข้ามให้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้อาวุธบริเวณใกล้แนวชายแดน  รวมถึง การทำหนังสือประท้วงฝ่ายเมียนมา ผ่านช่องทาง TBC กรณีมีกระสุน ค.81 ของฝ่าย ทหารเมียนมา ยิงมาตกข้ามแดนมายังฝั่งประเทศไทย

ผู้อพยพหนีภัยสู้รบเมียนมาเดินทางกลับภูมิลำเนาหลังสิ้นเสียงปืน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอำนวยความสะดวกส่งผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา จำนวน 437 คนกลับภูมิลำเนาหลังเสียงปืนฝั่งเมียนมาสงบ

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2568 พ.อ..องอาจ  สัมพันธ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 พร้อมด้วย นายทหารฝ่ายอำนวยการฯ เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 3505 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนที่ 305 กองกำลังนเรศวร และอาสาสมัครกิจการพลเรือน (อส.กร.) อ.ท่าสองยาง ร่วมกับ ฝ่ายปกครอง อ.ท่าสองยาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าสองยาง เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ร้อย.ตชด.344

และผู้นำชุมชนในพื้นที่ อำนวยความสะดวกแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภสม.) จำนวน 437 คน ที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวบ้านหนองบัว ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ที่มีความสมัครใจกลับสู่ภูมิลำเนา ฝั่งประเทศเมียนมา เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์สู้รบของทหารเมียนมากับกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้สงบลงแล้ว จึงทำให้ ผภสม. คลายความกังวล และเดินทางบ้านตามภูมิลำเนา

เช็กเส้นทางเลี่ยง-ปิดการจราจร เหตุ “สะพานก่อสร้าง” ถนนพระราม 2 พังถล่ม

เช็กเส้นทางเลี่ยง-ปิดการจราจร เหตุ “คานเหล็กสะพาน” ถนนพระราม 2 ทรุดตัว พังถล่มขณะก่อสร้าง หน้าทางขึ้นทางด่วนดาวคะนองขาเข้า

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2568 จากกรณีเกิดเหตุพังถล่มของโครงสร้าง ระหว่างการก่อสร้างทางยกระดับพระราม 2 เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย ดังที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น (อ่านเพิ่มเติม : เปิดภาพมุมสูง จุดเกิดเหตุ “สะพานก่อสร้าง” ถนนพระราม 2 ทรุดตัว พังถล่ม)

ล่าสุดทางเพจเฟซบุ๊ก สำนักงานเขตจอมทอง Chom Thong District Office ได้โพสต์ข้อความประชาสัมพันธ์ เขตจอมทอง ขอแจ้งประชาสัมพันธ์การใช้เส้นทางของประชาชนในพื้นที่เขต และพื้นที่ใกล้เคียง จากกรณีเกิดเหตุการณ์คานสะพานถล่มขณะก่อสร้าง

เนื่องจากเหตุโครงสร้างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทรุดตัว และพังถล่ม บริเวณทางขึ้นทางด่วน ดาวคะนองขาเข้า และทำให้โครงสร้างสะพานขาออกชำรุด ในพื้นที่การก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญาที่ 3

โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้แจ้งปิดทางขึ้นลงทางพิเศษเฉลิมมหานครชั่วคราว โดยบริเวณทางขึ้นทางด่วนดาวคะนองขาออก ปิดเพื่อซ่อมแซมประมาณ 30 วัน ส่วนขาเข้าจะมีการรื้อถอนชิ้นส่วนเพิ่มเติมและปิดการจราจรประมาณ 3 วัน รวมถึงปิดการจราจรบริเวณถนนจอมทองบูรณะเป็นการชั่วคราวด้วย

จึงขอแจ้งประชาชนที่ต้องการขึ้นทางด่วนเพื่อเข้าเมือง ขอให้ขับรถมุ่งหน้าไปแยกบางปะแก้วและใช้ถนนสุขสวัสดิ์ เพื่อไปใช้ด่านฯ สุขสวัสดิ์แทน และประชาชนที่จะเดินทางมุ่งหน้าไปสมุทรสาคร โดยใช้สะพานพระราม 9 ให้ลงทางออกถนนสุขสวัสดิ์แทน เพื่อมุ่งหน้าไปถนนพระราม 2

ทั้งนี้ ประชาชนที่ใช้เส้นทางถนนพระรามที่ 2 สามารถใช้เส้นทางสัญจรได้ตามปกติ ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ขอให้ท่านเผื่อเวลาในการเดินทางและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

สำหรับเหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณ 01.40 น. โดยคานสะพานที่อยู่ระหว่างการเทปูนได้พังถล่มลงมาและทับสะพานทางด่วนเดิม ทำให้เกิดความเสียหาย

เบื้องต้นทราบว่ามีผู้ปฏิบัติงานจำนวน 37 ราย พบผู้เสียชีวิต 5 ราย บาดเจ็บเข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาล 24 ราย อยู่ระหว่างค้นหา 2 ราย และสามารถกลับบ้านได้แล้ว 6 ราย

เปิดภาพมุมสูง “สะพานก่อสร้าง” ถนนพระราม 2 ทรุดตัว พังถล่ม

เปิดภาพมุมสูงเหตุ “คานสะพานก่อสร้าง” ถนนพระราม 2 พังถล่ม ขณะที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้แจ้งปิดทางขึ้น-ลง ทางพิเศษเฉลิมมหานครชั่วคราว แนะประชาชนใช้เส้นทางเลี่ยง

จากกรณี โครงสร้างสะพานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เกิดการทรุดตัว พังถล่ม ในพื้นที่แขวงบางมด เขตจอมทอง ถนนพระราม 2 กรุงเทพมหานคร บริเวณหน้าด่านฯ ดาวคะนอง ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร จัดกำลังรถและอุปกรณ์เข้าให้การช่วยเหลือ ดังที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น (คานสะพานก่อสร้างพังถล่ม ถนนพระราม 2 เร่งค้นหาผู้ติดค้าง เบื้องต้นดับ 4 ศพ)

ขณะที่ ทาง กทพ. ได้แจ้งปิดทางขึ้น-ลง “ทางพิเศษเฉลิมมหานคร” ชั่วคราว เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็น การก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญาที่ 3 พร้อมแจ้งประชาชนที่ต้องการขึ้นทางด่วนเพื่อเข้าเมือง ขอให้ขับรถมุ่งหน้าไปแยกบางปะแก้วและใช้ถนนสุขสวัสดิ์ เพื่อไปใช้ด่านฯ สุขสวัสดิ์แทน และประชาชนที่จะเดินทางมุ่งหน้าไปสมุทรสาคร โดยใช้สะพานพระราม 9 ให้ลงทางออกถนนสุขสวัสดิ์แทน เพื่อมุ่งหน้าไปถนนพระราม 2

ทั้งนี้โครงสร้าง “สะพานที่กำลังก่อสร้าง” บริเวณถนนพระราม 2 ทรุดตัว พังถล่มเหตุเกิดเมื่อเวลา  01.48 น. วันที่ 15 มีนาคม 2568  เบื้องต้นตาย 4 บาดเจ็บ 16 เจ้าหน้าที่เร่งค้นหาผู้ติดค้างและสูญหาย
 เบื้องต้นตาย 4 บาดเจ็บ 16 เจ้าหน้าที่เร่งค้นหาผู้ติดค้างและสูญหาย

เครดิตภาพ : บอย168UAV.BKK