พายุฤดูร้อนกระหน่ำพัดปลาเลี้ยงเขื่อนลำปาวหลุดกระชังเสียหายหนัก

กาฬสินธุ์-นายอำเภอสหัสขันธ์ ลงพื้นที่วางแนวเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำในเขื่อนลำปาว ย้ำห่วงพายุฤดูร้อน กระทบเกษตรกรเลี้ยงปลาในกระชัง ล่าสุดพายุฤดูร้อนพัดปลาเลี้ยงหลุดกระชังกว่า 5 ตัน มูลค่าเสียหายกว่า 300,000 บาท ประสานประมงอำเภอสหัสขันธ์ เร่งสำรวจขอความช่วยเหลือแล้ว

นางสาวกัญญาภัค แจ่มใส นายอำเภอสหัสขันธ์ พร้อมด้วยนายวิระ จิตรสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืด จังหวัดกาฬสินธุ์, นางกฤษณา เขามีทอง ประมงอำเภอสหัสขันธ์ พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6, 7, 9 ตำบลโนนบุรี พร้อมเครือข่ายประมงร่วมปักป้ายวางแนวเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ ที่แหลมโนนวิเศษ เขื่อนลำปาว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์   แหล่องท่องเที่ยวชื่อดัง หลังมีนักตกปลาเดินทางมาตกปลาจำนวนมาก

จากนั้นทางคณะได้ลงเรือหางยาว ไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังเขื่อนลำปาว หลังได้รับผลกระทบจากวาตภัย ที่ทำให้ปลาเลี้ยงหลุดลอดออกกระชังมากกว่า 5 ตัน มูลค่าความเสียหายกว่า 300,000 บาท พร้อมกำชับให้เทศบาลตำบลภูสิงห์ เข้าดูแลและบรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมเตรียมรับสถานการณ์วาตภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันต้องเตรียมรับมือภาวะร้อนแล้ง เนื่องจากปัจจุบันระดับน้ำในเขื่อนลำปาว

นางสาวกัญญาภัค แจ่มใส นายอำเภอสหัสขันธ์ กล่าวว่าช่วงนี้น้ำในเขื่อนลำปาวลด มีนักตกปลาจากทั่วสารทิศเดินทางเข้ามาตกปลาในเขื่อนลำปาวบริเวณแหลมโนนวิเศษ – สะพานเทพสุดาจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อการอำนวยความสะดวกให้กับนักตกปลา และสร้างความเข้าใจการจัดการพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำในเขตอนุรักษ์สัตว์น้ำเนื้อที่กว่า 245 ไร่ มีพื้นที่หมู่ 6 บ้านโนนสวาท, หมู่ 7 บ้านวังมะพลับ และหมู่ 9 บ้านโนนวิเศษ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว

การลงพื้นที่จะเน้นย้ำสร้างความเข้าใจให้กับนักตกปลา และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้พื้นที่ สิ่งสำคัญคือปัญหาการทิ้งขยะ ต้องขอความร่วมมือจัดการร่วมกัน และงดเผาใบไม้ เผาขยะ บริเวณริมเขื่อนลำปาวทุกจุด ซึ่งได้ย้ำให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หมั่นออกตรวจสอบและลงพื้นที่ดูแลความเรียบร้อย รวมถึงอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของกลุ่มนักท่องเที่ยวด้วย

นายอำเภอสหัสขันธ์ กล่าวต่อว่าช่วงนี้จะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง คือความปลอดภัยทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวกลุ่มตกปลา กลุ่มนักท่องเที่ยวบนแพอาหาร เมื่อเกิดพายุลมแรง ฟ้าคะนอง ต้องเข้าหลบในที่ปลอดภัยหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง และเกษตรกรเลี้ยงปลากระชังต้องเฝ้าระวังวาตภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ด้วย

ล่าสุดจากผลพวงของวาตะภัยเมื่อวันที่ 3-4 มีนาคมที่ผ่านมา ปลานิลที่เลี้ยงในกระชังขนาด 1 – 1.3 กิโลกรัม กำลังพร้อมออกตลาด หลุดในเขื่อนกว่า 5 ตัน มูลค่ากว่า 300,000 บาท เป็นความเดือดร้อนของเกษตรกร เบื้องต้นได้มอบหมายให้ประมงอำเภอสหัสขันธ์ ดำเนินการสำรวจและทำรายงานเพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป ล่าสุดทางอตุนิยมวิทยาได้ออกมาประกาศแจ้งเตือนแล้วระหว่างวันที่ 6-8 มี.ค. นี้ โดยให้ท้องถิ่นท้องที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

“ดอกเหลืองอินเดีย” บานสะพรั่ง ที่บ้านทุ่งสุน อ.ทุ่งช้าง หนึ่งปีมีให้ชมแค่ครั้งเดียว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานน่าน ชวนถ่ายรูปและสัมผัส กับความสวยงามของ “ดอกเหลืองอินเดีย” ผลิบาน สวยงาม เด็มพื้นที่ มีให้ชมได้ปีละครั้งเท่านั้น โดยที่บ้านทุ่งสุน ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน มีผู้ใจดี เปิดบ้านให้ได้เข้าชมความสวยงามของดอกเหลืองอินเดีย ฟรี ทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยว เดินทางขอเข้าไปชื่นชม เช็คอินและถ่ายรูป เป็นจำนวนมาก

โดยดอกเหลืองอินเดียที่กำลังบานสวยงามนี้ จะอยู่ในช่วงแค่ 7-15 วัน และคาดว่าจะเริ่มร่วงโรย ประมาณ 14 มีนาคม นี้ หนึ่งปีออกดอกให้ได้ชมเพียงปีละครั้งเท่านั้น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ : ต้นเหลืองอินเดียบ้านงอบ จ.น่าน และที่เพจ : ททท.สำนักงานน่าน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานน่าน โทร. 054 – 711 217 โทรสาร 054-711 219 Facebook Page : ททท.สำนักงานน่าน LINE@ : tat.nan

ระรินธร เพ็ชรเจริญ รายงาน

ไข่มดแดงออกแล้ว!ต้นฤดูขายกก.ละ 900 บาท แพงมากแต่ก็ไม่พอขาย

ขอนแก่น-ไข่มดแดง มาแล้ว! ช่วงต้นฤดูราคาพุ่งถึงกิโลกรัมละ 900 บาท เผยไข่มดแดงผิวจะตึง ขนาดใหญ่ สีไข่ออกขาวๆอวบๆ รสชาติอร่อยเป็นพิเศษ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย เหตุเป็นอาหารตามฤดูกาลระยะสั้นมีเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น


เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ตลาดสดบางลำภู ภายในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ช่วงนี้แม่ค้าจะนำไปอาหารประจำถิ่น อาหารพื้นบ้านประจำถิ่น รวมไปถึงอาหารประจำฤดูกาลมาวางจำหน่าย โดยเฉพาะช่วงต้นฤดูร้อน จะเริ่มเห็นพ่อค้าแม่ค้านำไข่มดแดงมาวางขายกันจำนวนมาก จากการสอบถามพ่อค้า แม่ค้าพบว่า ราคาไข่มดแดงช่วงต้นฤดูปีนี้ ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 900 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากปีนี้ฝนตกน้อยไข่มดแดงจึงออกช้ากว่าปกติ

นางวราพร สิงหาบุตร อายุ 49 ปี แม่ค้าขายไข่มดแดง กล่าวว่าปีนี้ไข่มดแดงราคาสูงกว่าปีที่ผ่านมา อยู่ที่กิโลกรัมละ 900 บาท ซึ่งทุกปีไข่มดแดงจะเริ่มออกตั้งแต่เดือนม.ค. แต่ปีนี้ได้ขายปลายเดือน ก.พ.ซึ่งถือว่าช้ากว่าปกติ 1 เดือน คาดว่าหลังจากนี้เมื่อไข่มดแดงออกมาเยอะ ราคาจะถูกลงกว่านี้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไข่มดแดงออกใหม่ต้นฤดู ไข่มดแดงในช่วงแรก ไข่จะตึง ขนาดใหญ่ สีไข่จะออกขาวๆอวบๆ รสชาดจะอร่อยเป็นพิเศษ


ช่วงนี้ไข่มดแดงจะขายดีมาก ร้านรับมาขายวันละ 5 กิโลกรัม ขายหมดไม่พอขาย ทุกวันจะมีคนรอซื้อไปทำอาหาร เพราะเป็นอาหารตามฤดูกาลระยะสั้นมีเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น สามารถหารับประทานได้ปีละครั้งเท่านั้น ลูกค้าที่มาซื้อส่วนใหญ่จะซื้อเป็นชุด ประกอบด้วยไข่มดแดง 1 จาน 100 บาท, ผักหวานถุงละ 50 บาท, ผักติ้วถุงละ 20 บาท และเห็ดถุงละ 50 บาท แม่ค้าจะจัดเป็นเซ็ต พร้อมแกงจะอยู่ประมาณ 300 บาท ก็จะแกงได้ 1 หม้อพอดี

กระบี่จัดมหกรรมการออม 51 ปี ขับเคลื่อนศก.ฐานราก ปลุกจิตสำนึกสร้างวินัยในการออม

ผู้ว่าฯกระบี่เปิดโครงการมหกรรมการออม 51 ปี ทุนชุมชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (ระดับภูมิภาค) ปลุกจิตสำนึกสร้างวินัยในการออม

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการมหกรรมการออม 51 ปี ทุนชุมชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (ระดับภูมิภาค) โดยมี นายชัยวุฒิ ครุฑมาศ พัฒนาการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ประธานและคณะกรรมการเครือข่าย กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตทุกระดับ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วมโครงการ ณ ห้องประชุมช้างเผือก องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่

ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดกระบี่ กำหนดจัดโครงการมหกรรมการออม 51 ปี ทุนชุมชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (ระดับภูมิภาค) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แนวคิดการดำเนินงานกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตของกรมการพัฒนาชุมชน และเพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการออม มีวินัยทางการเงินและการมีกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต โดยภายในพิธีมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การอ่านสารอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เนื่องในโอกาส วันก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์ เพื่อการผลิตครบรอบ 51 ปี การหย่อนเงินลงกระปุกออมสิน การมอบต้นไม้สัญลักษณ์การออมให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่

นอกจากนี้ ได้มีการมอบเกียรติบัตร จำนวน 24 รางวัล ได้แก่ กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตที่มีการบริหารจัดการดีเด่นเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ จำนวน 8 รางวัล/อำเภอ สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตที่มีการบริหารจัดการดีเด่น จำนวน 8 รางวัล/อำเภอ และเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนอำเภอที่ขับเคลื่อนงานกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตดีเด่น จำนวน 8 รางวัล/อำเภอ และการเยี่ยมชมนิทรรศการตัวแทนกลุ่มออมทรัพย์การผลิต 8 อำเภอ โดยผู้เข้าร่วมประกอบด้วย เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนจังหวัด/อำเภอ คณะกรรมการและสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต หน่วยงานภาคีภาครัฐ/ภาคเอกชน จำนวน 100 คน

นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต เป็นการส่งเสริมให้ประชาชน มีการออมเงิน และนำเงินไปใช้ในการพัฒนาอาชีพ โดยลดภาระการกู้ยืมเงินจากแหล่งอื่น ๆ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง พัฒนาคนให้มีคุณธรรม ฝึกประสบการณ์ การบริหารเงินทุนให้กับบุคคลในชุมชน พัฒนาศักยภาพของคนในด้านต่าง ๆ เช่น การเป็นผู้นำ การปกครองตามระบบประชาธิปไตย ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนา คิดและแก้ปัญหาของตนเองด้วยวิธีการทำงานร่วมกัน และตามที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการเครือข่าย กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต

ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตครบรอบ 51 ปี ขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการรวมพลัง แสดงถึงความพลังความสำเร็จของการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตและยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน ตามภารกิจกรมการพัฒนาชุมชนและภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนและแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม

สำหรับ จังหวัดกระบี่ ปัจจุบันมีกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต 184 กลุ่ม สมาชิก 16,268 คน เงินออมสัจจะสะสม จำนวน 146 ล้านบาทเศษ ส่วนระดับประเทศมีกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต จำนวน 34,178 กลุ่ม สมาชิก 4.2 ล้านคน มีเงินออมสัจจะสะสม 31,740 ล้านบาท

‘ทุงสะเทวี’นางสงกรานต์ 2568 ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม เสด็จเหนือหลังครุฑ

ประกาศสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘

ปีมะเส็ง (มนุษย์ผู้ชาย ธาตุไฟ) สัปตศก จุลศักราช ๑๓๘๗

ทางจันทรคติ เป็น อธิกวาร ทางสุริยคติ เป็น ปกติสุรทิน

วันที่ ๑๔ เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติ

ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ เวลา๐๔ นาฬิกา

๒๘ นาที ๒๘ วินาที

นางสงกรานต์ ทรงนามว่า ทุงสะเทวี ทรงพาหุรัด

ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราค ภักษาหารอุทุมพร (มะเดื่อ)

พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังครุฑเป็นพาหนะ

วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๐๘ นาฬิกา ๒๗ นาที

๓๖ วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น ๑๓๘๗ ปีนี้

วันศุกร์ เป็น ธงชัย, วันศุกร์ เป็น อธิบดี, วันพฤหัสบดี เป็น อุบาทว์, วันอาทิตย์ เป็น โลกาวินาศ

ปีนี้ วันพุธ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๖๐๐ ห่า

ตกในโลกมนุษย์ ๖๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๑๒๐ ห่า

ตกในป่าหิมพานต์ ๑๘๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๒๔๐ ห่า

นาคให้น้ำ ๕ ตัว

เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๖ ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล ๙ ส่วน เสีย ๑ ส่วน

ธัญญาหาร พลาหาร มัจฉมังสาหาร จะบริบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ ประชาชนทั้งหลายจะเป็นสุขสมบูรณ์แล

เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีอาโป (น้ำ) น้ำมาก

ที่มา : ฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง

ด่วน! บอร์ดคดีพิเศษ รับ “คดีเลือก สว.” ข้อหาฟอกเงิน ไม่รับอั้งยี่

บอร์ดคดีพิเศษ มีมติเสียงข้างมาก 11:4 งดออกเสียง 3 รับคดี เลือก สว. ข้อหาฟอกเงิน ไม่รับอั้งยี่

เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 68 ที่ห้องประชุม ชั้น 10 อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้จัดการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 3/2568 มีวาระเพื่อพิจารณา กรณี การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการประชุมในคราวที่แล้วได้มีมติให้ถอนเรื่องดังกล่าว และให้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเพื่อพิจารณามีความเห็น และให้นำกลับมาเสนอต่อคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อพิจารณาอีกครั้งในวันนี้

ซึ่งที่ประชุมมีประเด็นต้องพิจารณาข้อสงสัยของอนุกรรมการคดีพิเศษเกี่ยวกับการการฟอกเงินทางอาญา ว่าเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) หรือไม่ อันเป็นอำนาจของคณะกรรมการคดีพิเศษในการชี้ขาดข้อสงสัย ตามมาตรา 21 วรรคห้า

โดยที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองประธานกรรมการคดีพิเศษ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมในฐานะกรรมการคดีพิเศษด้วย ซึ่งมี พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 18 คน

หลังจากการประชุม นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุม 18 เสียง เห็นชอบ 11 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ส่วนใหญ่มีมติชี้ขาดให้กรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ ที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก เมื่อ พ.ศ.2567 ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอมา เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ส่วนคดีอาญาใดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับคดีพิเศษดังกล่าว เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคสอง เพื่อทำการสอบสวนต่อไป

ทั้งนี้ หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) อันอยู่ในหน้าที่และอำนาจของสำนักงาน กกต. ให้แจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบเพื่อพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจต่อไป โดยไม่ต้องมีมติให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แต่อย่างใด

ผ้าไหมไทย” สู่สายตาชาวโลก บนรันเวย์สนาม โมโตจีพี 2025

ประเทศไทย สร้างปรากฏการณ์อีกครั้ง กับการนำหัตถศิลป์พื้นถิ่นเผยแพร่สู่การแข่งขันระดับตำนาน MotoGP 2025 ศึกชิงเจ้าความเร็วอันดับหนึ่งของโลกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพสนามแรก กับการนำสุดยอดผ้าไหมไทย ภายใต้โครงการตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา นำชุดผ้าไหมที่ไปเฉิดฉายในรันเวย์โลก มาสู่สุดยอดอีเว้นต์กีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บูรณาการองค์ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัยที่มีความเป็นสากล เพิ่มรายได้และสร้างโอกาสส่งออกสินค้าไปยังตลาดนานาชาติ ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน นำเสน่ห์ของวิถีชุมชนสู่โลกมอเตอร์สปอร์ต

นายเนวิน ชิดชอบ ประธาน สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ” ศึก MotoGP นับเป็นการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเข้าสู่ปีที่ 76 ฤดูกาลนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 22 สนาม โดยประเทศไทยรับบทเป็นเจ้าภาพสนามเปิดฤดูกาล ภายใต้ชื่อรายการ “PT Grand Prix of Thailand 2025”  ถ่ายทอดสู่สายตาแฟนๆ โมโตจีพีที่มีมากกว่า 800 ล้านคน จาก 220 ประเทศทั่วโลก ด้วยเสน่ห์วิถีไทยครองใจคนทั่วโลก

การจัดงานภายใต้แนวคิด Thailand to The World ในโอกาสนี้ฝ่ายจัดการแข่งขัน ร่วมกับดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์โมโตจีพี ชูความงามของ Grid Girl “สาวงามสนามแข่ง” หรูหรา สง่างาม สวมใส่ชุดผ้าไหมไทย นำเสนอความสวยงามของผ้าไทยในช่วงพิธีเปิดการแข่งขัน MotoGP ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่ที่สุดของรายการ

ชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมมัดหมี่ทอมือจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ แนวคิดการออกแบบอ้างอิงจาก EXPRESSIVE EXOTIC “ตัวตนข้ามวัฒนธรรม” หนึ่งในแนวคิดจากหนังสือ Thai Textiles Trend Book หนังสือจากพระดำริใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี  นารีรัตนราชกัญญา ทรงรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการบริหาร นำเสนอข้อมูลตั้งแต่ประเภทเนื้อผ้า การเลือกสี การออกแบบลวดลาย รวมไปถึง ‘เทรนด์’ ของอุตสาหกรรมแฟชั่น

ทั้งนี้ เทรนด์ EXPRESSIVE EXOTIC เล่าถึงเฉดสีของป่าไม้ และความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ พัฒนาผ้าไทยในรูปแบบร่วมสมัย เชื่อมโยงตั้งแต่รากฐานความดั้งเดิมในการรังสรรค์เป็นงานฝีมือสุดประณีต สีสันเน้นความสีสดเป็นชุดสีเหลืองและเขียว ภายใต้รูปแบบที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ผลงานการออกแบบของ อู๋-วิชระวิชญ์ อัครสันติสุข ดีไซเนอร์ชาวบุรีรัมย์ที่นำผ้าไทยไปเฉิดฉายบนรันเวย์โลกมากมาย จนเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล

สร้างความตื่นตาตื่นใจและมิติใหม่ให้กับการแข่งขันในครั้งนี้อย่างมากและยังถือเป็นโอกาสสำคัญในการเผยแพร่เสน่ห์ความสวยงามของผ้าพื้นเมืองของไทยสู่สายตาชาวโลกได้อีกทางหนึ่งด้วย”

“นับเป็นโอกาสอันดีในช่วงหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันชิงเจ้าความเร็วอันดับหนึ่งของโลกที่จังหวัดบุรีรัมย์ ยังมีกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ต่อเนื่องไว้รองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นความร่วมมือของจังหวัดบุรีรัมย์ร่วมกับภาคเอกชน จัดงาน Colors of Buriram งานผ้าไทยครั้งใหญ่แห่งปีของจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมทั้งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ของดีของขึ้นชื่อมากมาย ภายในโดมติดแอร์ขนาดมหึมา  ระหว่างวันที่ 19 มีนาคม -16 เมษายน 2568 เวลา 10.00-18.00 น. บริเวณสนามฟุตบอลช้าง อารีนา เปิดให้เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมงานกันมากๆครับ”

ทั้งนี้ การจัดงาน Color of Buriram จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในเรื่องการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย จัดแสดงผลการขับเคลื่อนงานผ้าและงานหัตถกรรม ที่ดำเนินการตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และเพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมภูมิปัญญาชุมชนของจังหวัดบุรีรัมย์ ให้ช่างทอผ้า ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงท่องเที่ยวได้สัมผัสและเรียนรู้ภูมิปัญญาวัฒนธรรมความเป็นไทยผ่านผลิตภัณฑ์ผ้านานาชนิด

เตือนจังหวัดเฝ้าระวังอันตรายจาก “พายุฤดูร้อน” ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง

กรมอุตุฯ ประกาศฉบับ 5 เตือนหลายจังหวัดเฝ้าระวังอันตรายจาก “พายุฤดูร้อน” ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง เช็กเลยที่ไหนบ้าง

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเรื่อง พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน มีผลกระทบบางพื้นที่ในช่วงวันที่ 6-8 มีนาคม 2568 ฉบับที่ 5

บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก จะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบน มีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน

จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง หรืออยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ส่วนเกษตรกรควรเสริมความแข็งแรงให้ไม้ผล และเตรียมการป้องกันระวังความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผลผลิตทางการเกษตรและสัตว์เลี้ยง รวมทั้งดูแลรักษาสุขภาพในช่วงที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไว้ด้วย จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีดังนี้

วันที่ 6 มีนาคม 2568
ภาคเหนือ : จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
ภาคกลาง : จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรี
ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

วันที่ 7 มีนาคม 2568
ภาคเหนือ : จังหวัดตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์
ภาคกลาง : จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ภาคตะวันออก : จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
ภาคใต้ : จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร

วันที่ 8 มีนาคม 2568
ภาคกลาง : จังหวัดสุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ภาคใต้ : จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร
จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จีนตั้งเป้าหมายเติบโตทางเศรษฐกิจ 5% อัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์กระตุ้นเศรษฐกิจ

จีนตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 ไว้ที่ “ประมาณ 5%” และให้คำมั่นว่าจะอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญกับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

บรรดาผู้นำจีนเปิดเผยแผนดังกล่าวในขณะที่ผู้แทนหลายพันคนเข้าร่วมการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) แต่การประชุมที่คาดว่าจะกินเวลานานหนึ่งสัปดาห์นี้ ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมันอาจสื่อถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของจีน และปีนี้มีความสำคัญมากกว่าปีอื่นๆ

นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง รายงานความยาว 32 หน้านำเสนอในการประชุมเปิดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของสภานิติบัญญัติของจีน สะท้อนถึงแผนของรัฐบาลที่จะพยายามรักษาเสถียรภาพการเติบโตในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความท้าทาย แต่ยังคงชะลอการดำเนินการที่รุนแรงกว่านี้เพื่อกระตุ้นการเติบโต

“สภาพแวดล้อมภายนอกที่ซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อจีนมากขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การค้า วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ในประเทศ รากฐานของการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของจีนยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ อุปสงค์ที่มีประสิทธิผลยังอ่อนแอ และการบริโภคโดยเฉพาะยังซบเซา”

รายงานดังกล่าวได้ให้รายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับแผนที่ประกาศไปก่อนหน้านี้เพื่อเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาในปีนี้ โดยได้ระบุแผนสำหรับ “นโยบายการคลังเชิงรุกมากขึ้น” รวมถึงการเพิ่มการใช้จ่ายเกินดุลจาก 3% เป็น 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี

รัฐบาลจะออกพันธบัตรระยะยาวพิเศษมูลค่า 1.3 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านล้านหยวนเมื่อปีที่แล้ว เพื่อช่วยระดมทุนสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และพันธบัตรดังกล่าวมูลค่า 300,000 ล้านหยวน จะใช้สำหรับโครงการที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเสนอส่วนลดให้กับผู้บริโภคที่นำรถยนต์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ามาแลกเป็นเครื่องใหม่ และยังประกาศแผนการสร้างงานมากกว่า 12 ล้านตำแหน่งในเมือง โดยกำหนดเป้าหมายอัตราการว่างงานในเมืองไว้ที่ประมาณ 5.5% ในปี 2025

ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ต่อสู้กับการบริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และการว่างงาน ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้า 10% เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีทั้งหมดเป็น 20%

จีนตอบโต้กลับในทันที เช่นเดียวกับที่ทำเมื่อเดือนที่แล้ว ทางการจีนได้ประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรบางรายการจากสหรัฐฯ 10-15% ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญเนื่องจากจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าเหล่านี้ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลืองของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสัปดาห์นี้ ซึ่งเรียกว่าการประชุมสองสภา จะเน้นไปที่วิธีการกระตุ้นการเติบโตหลังจากที่มีการเก็บภาษีครั้งนี้

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา จีนสามารถบรรลุเป้าหมาย 5% ได้ แต่การเติบโตนั้นขับเคลื่อนโดยการส่งออกที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลเป็นประวัติการณ์เกือบล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

รัฐบาลจีนได้ออกแผนงานเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงการอนุญาตให้แลกเปลี่ยนหรือเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ในครัว รถยนต์ โทรศัพท์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชนจีนทั่วไป และช่วยลดการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนของจีน

ข้อจำกัดที่เข้มงวดในยุคการระบาดใหญ่ ร่วมกับวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ และการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีและการเงินของรัฐบาล ทำให้เกิดทัศนคติเชิงลบในหมู่ชาวจีน และระบบความปลอดภัยทางสังคมที่อ่อนแอ ทำให้การออมกลายมาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่ต้องจ่ายเงินออกจากกระเป๋าโดยไม่คาดคิด

การลงทุนในสิ่งที่ประธานาธิบดีสีเรียกว่า “การพัฒนาคุณภาพสูง” ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงตั้งแต่พลังงานหมุนเวียนไปจนถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็คาดว่าจะเป็นจุดเน้นที่สำคัญเช่นกัน

จีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก พยายามมาอย่างยาวนานเพื่อเป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยี ส่วนหนึ่งเพื่อลดการพึ่งพาตะวันตก สื่อของรัฐได้กล่าวถึงตัวอย่างล่าสุด เช่น DeepSeek และ Unitree Robotics ซึ่งทั้งสองบริษัทได้รับความสนใจจากทั่วโลก ว่าเป็นตัวอย่างของ “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” ของจีน

สีจิ้นผิงเตือนทรัมป์ พร้อมสู้สงครามทุกประเภท หลังโดนตั้งกำแพงภาษีนำเข้า

ผู้นำจีนเตือนสหรัฐฯ ว่าพวกเขาพร้อมต่อสู้ในสงครามทุกประเภท หลังปักกิ่งตอบโต้การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และประกาศเพิ่มงบฯ กลาโหมขึ้นอีก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกอย่างจีนกับสหรัฐฯ กำลังเข้าใกล้ภาวะสงครามการค้า หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเก็บภาษีศุลกากรสินค้าที่นำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% เมื่อวันอังคาร (4 มี.ค. 2568) ส่วนแดนมังกรก็ตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในอัตรา 10-15%

ล่าสุดในวันพุธ (5 มี.ค.) สถานทูตจีนได้โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า “หากสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ จะเป็นสงครามภาษี, สงครามการค้า หรือสงครามประเภทอื่นๆ เราก็พร้อมที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด” ซึ่งเป็นการนำข้อความจากแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศจีนเมื่อวันอังคารมาโพสต์ซ้ำอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม นี่นับเป็นหนึ่งในข้อความรุนแรงที่สุดจากฝ่ายจีน นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเกิดขึ้นในขณะที่บรรดาผู้นำทางการเมืองและภาคส่วนต่างๆ ของจีน มารวมตัวกันที่กรุงปักกิ่ง เพื่อร่วมการประชุมประจำของสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC)

ขณะเดียวกัน นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีนประกาศว่า จีนจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการกลาโหมขึ้นอีก 7.2% ในปีนี้ และเตือนว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรอบศตวรรษกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก

ทั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งตั้งกำแพงภาษีเม็กซิโก, แคนาดา และจีน ตั้งแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งเมื่อ 20 ม.ค. โดยกล่าวหาทั้ง 3 ประเทศว่ามีส่วนทำให้ยาเฟนทานิลหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ ขณะที่ฝ่ายจีนกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าใช้เฟนทานิลเป็นข้ออ้างในการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีน