แล้งมาเร็ว!แม่น้ำมูลสายหลักเริ่มวิกฤติแห้งขอดทำ 3 หมู่บ้านเสี่ยงขาดน้ำใช้อุปโภค-บริโภค

DCIM\100MEDIA\DJI_0373.JPG

นครราชสีมา-แม่น้ำมูลสายหลักหล่อเลี้ยงประชาชนชาวโคราชเริ่มแห้งขอดทำ 3 หมู่บ้านเสี่ยงสูงขาดน้ำใช้ช่วงหน้าแล้ง

สถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่ของจังหวัดนครราชสีมา เริ่มแห้งลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปริมาณน้ำในลำน้ำมูล ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งน้ำต้นทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่ โดยเฉพาะปริมาณน้ำภายในลำน้ำมูลในเขตพื้นที่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พบว่าปริมาณน้ำแห้งลงอย่างรวดเร็ว เริ่มส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในพื้นที่

โดยเฉพาะ ตำบลสัมฤทธิ์  4 หมู่บ้านที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำใช้ หลังลำน้ำมูลแห้งขอดจนสันดอนดินทรายโผล่ขึ้นมาเป็นบางช่วง และ บางจุด ชาวบ้านสามารถเดินข้ามไปมาได้ ได้แก่ บ้านสินสมบูรณ์ หมู่ที่ 10 บ้านพุทรา หมู่ที่ 6 บ้านซึมพัฒนาหมู่ที่ 14 และ บ้านซึม หมู่ที่ 5 ตำบลสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย พบว่าปริมาณน้ำมูลที่ชาวบ้านได้ใช้สูบน้ำมาผลิตน้ำประปาเริ่มแห้งขอด ชาวบ้านเสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำใช้ อุปโภค บริโภค ในช่วงฤดูแล้วนี้อย่างแน่นอน

นาย ธวัชชัย นิยมไร่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสัมฤทธิ์ พร้อมด้วย ผอ.กองช่าง ได้ลงพื้นที่สำรวจ ปริมาณน้ำในลำน้ำมูล เพื่อเตรียมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำใช้ในการผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในพื้นที่.

โดย…ประสิทธิ์  ตั้งประเสริฐ//นครราชสีมา

แม่ค้าไก่ทอด-กล้วยทอด โอดน้ำมันปาล์มแพงดันต้นทุนพุ่ง กำไรหดหาย

ยะลา-ร้านข้าวไก่ทอด กล้วยทอด  ยังคงขายราคาเดิมแม้ราคาน้ำมันปาล์มจะปรับขึ้นเท่าตัว ทางร้านยังคงขายราคาเดิมหวั่นลูกค้าหายเพราะประชาชนมีรายได้ลดลง แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นกำไรน้อยลง

นางปราณี แซ่ฉ่าง วัย 60 ปี เจ้าของร้านข้าวไก่ทอดเจ๊ณี ตั้งอยู่ปากซอยสมันตรัฐ ในเขตเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา ร้านไก่ทอดรสเด็ดราคาถูก ขวัญใจชาวเบตงและชาวมาเลเซีย ที่ยังคงขายราคาเดิม ข้าวเหนียวห่อละ 10 บาท ส่วนไก่ทอดราคาเริ่มต้นที่ 15 บาท และ 70 บาทเท่านั้น โดยนางปราณี แซ่ฉ่าง หรือเจ๊ณี เผยว่า ช่วงนี้ราคาน้ำมันปาล์มปรับราคาแพงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทอดไก่และมีความจำเป็นต้องใช้จำนวนมากต่อวัน เนื่องจากต้องใช้กระทะทอดไก่สดและเครื่องใน 2 กระทะ และต้องใส่น้ำมันเกือบเต็มกระทะ

โดยใช้น้ำมันปาล์มของไทยไม่ได้ใช้น้ำมันปาล์มถุงจากมาเลเซียถึงแม้ว่าจะราคาถูกกว่า  เพราะคุณภาพน้ำมันปาล์มของไทยมีคุณภาพดีกว่าไม่มีกลิ่นหืน เพราะส่วนมากมีการเติมสารกันหืนจากโรงงานน้ำมันปาล์ม จึงใช้แต่น้ำมันปาล์มของไทยมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งราคาน้ำมันปาล์มของไทยมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นเท่าตัว ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ที่ร้านยังคงยืนยันที่จะขายราคาเดิมโดยไม่มีการขึ้นราคาแต่อย่างใด เพื่อลูกค้าที่มาอุดหนุนด้วยดีเสมอมาตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี โดยไม่ฉวยโอกาสปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด ลูกค้าก็ยังคงเดิมไม่มีลดลง ขายหมดไม่มีเหลือทุกวันแต่หากขึ้นราคาคิดว่าลูกค้าต้องลดลงแน่นอนเพราะช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ประชาชนมีรายได้ลดลง

ขณะที่ร้านขายกล้วยทอด มันทอด ฟักทองทอด ในเขตเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา ของ นางรจนา บุญประกอบ แม่ค้ากล้วยทอด เผยว่า หลังน้ำมันปาล์มปรับราคาขึ้น แต่กล้วยทอดที่ร้านยังไม่ได้ปรับราคาขึ้นยังคงขายราคาเดิม 6 ชิ้น 20 บาท ทุกอย่างที่ขาย นอกจากน้ำมันปาล์มปรับราคาแล้ว มะพร้าวที่เป็นส่วนประกอบในการทำกล้วยทอดก็ปรับราคาขึ้นเช่นกัน โดยกะทิสดก่อนหน้านี้ กก.ละ 60 บาท ตอนนี้ปรับขึ้นเป็น 90 บาท ต่อ กก. นอกจากนี้ ยังมีแป้งทอดกรอบก่อนหน้านี้ถุง 500 กรัม ราคา 30 บาท ปรับขึ้นเป็น 35 บาท

โดย..เจษฎา สิริโยทัย จ.ยะลา 

เตรียมจัดยิ่งใหญ่ประเพณีสู่ขวัญข้าวชาวไทยทรงดำ บ้านวังพิกุล เมืองพิษณุโลก 1-2 มี.ค.นี้

พิษณุโลก –ชาวไทยทรงดำในพื้นที่ ต.วังพิกุล อ.วังทอง พร้อมใจมาร่วมกันตกแต่งปราสาทรวงข้าว ตามประเพณีสู่ขวัญข้าว ที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่  1-2 มีนาคม นี้

นางพีรกานต์ ทองเชื้อ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลวังพิกุล พร้อมด้วยชาวบ้านบ้านวังพิกุล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยทรงดำ ได้มาร่วมกันช่วยกันคัดแยกตัดแต่งต้นข้าว ให้เหลือเพียงรวงข้าว ก่อนจะมัดตกแต่งตามโครงปราสาทที่ทำจากไม้ไผ่ให้เกิดความสวยงาม เป็นการฟื้นฟูขนบธรรมเนียม ประเพณีสู่ขวัญข้าว ของชาวไทยทรงดำ ตำบลวังพิกุล ที่จัดขึ้นในงานประเพณีสู่ขวัญขวัญ และงานชาวไทยทรงดำ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่  1-2 มี.ค.2568 โดยในวันที่  1 มี.ค. จะเป็นงานประเพณีสู่ขวัญข้าว และวันที่  2 มี.ค.จะเป็นการจัดงานไทยทรงดำ ที่บริเวณลานกิจกรรม องค์การบริหารส่วนตำบลวังพิกุล อ.วังทอง จ.พิษณุโลก

โดยผู้สูงอายุที่เป็นชาวไทยทรงดำ ในตำบลวังพิกุล ได้เล่าวว่า ประเพณีสู่ขวัญข้าว เป็นประเพณีที่สำคัญของชุมชน ขึ้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านในพื้นที่มีพื้นเพเป็นชาวไทยทรงดำและชาวอีสานที่ย้ายถิ่นฐาน มาทำกิน ในพื้นที่ ต.วังพิกุล ปัจจุบันมีถึง 15 หมู่บ้าน จึงมีมติที่จะสืบสานประเพณีสู่ขวัญข้าว เนื่องจากปัจจุบันไม่มีการขอขมาพระแม่โพสพ หลังเก็บเกี่ยวข้าวเหมือนในอดีต ปัจจุบันใช้รถเกี่ยวลงเกี่ยวแล้วก็เผานา ทำให้คนรุ่นใหม่ลืมที่จะขอขมาพระแม่โพสพตามความศรัทธาของคนไทยที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเชื่อว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดความเป็นสิริมงคล

ด้านนางพีรกานต์ ทองเชื้อ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลวังพิกุล กล่าวว่า ชาวไทยทรงดำ ส่วนใหญ่จะมีพื้นเพมาจากเวียดนาม และมาตั้งถิ่นฐานในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งในพื้นที่ ต.วังพิกุล มีชาวไทยทรงดำ ถึง 15 หมู่บ้าน   วิถีตั้งเดิมของชาวนาตำบลวังพิกุลไม่แตกต่างจากชาวนาอื่นทั่วไปแต่มีการดำเนินชีวิตโดยพึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก จึงมีความเชื่อต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ และแสดงความ การทำขวัญข้าวเป็นการแสดง ความอบน้อมต่อแม่โพสพ เพื่อให้ดลบันดาลให้พืชพรรณ ที่เพาะปลูกมีความอุดมสมบูรณ์ แม่โพสพเป็นเทวีแห่งข้าว พิธีทำขวัญหรือรับขวัญข้าวทำตามควานเชื่อ

และความศรัทธาที่มีต่อพระแม่โพสพ เพื่อขอบคุณพระแม่โพสพ ที่ดูแลให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวนา เชื่อกันว่าเมื่อทำพิธีนี้แล้ว แม่โพสพจะช่วยคุ้มครองข้าวในนาให้มีผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ในการทำนาครั้งต่อไป สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวนา ว่าข้าวในนาจะปราศจากโรคภัยธรรมชาติ และจะไม่มีแมลงศัตรูพืชต่างๆ เข้ามาทำร้ายต้นกล้าในนาข้าว จึงขอเชิญชวนประชาชน หรือ ชาวไทยทรงดำ มาร่วมงานในวันดังกล่าว

ตำรวจบุกช่วยเหยื่อแก๊งคอลฯ โดนหลอกโอนเงิน 5 แสน ถูกกักขังในโรงแรม

สืบ สน.วังทองหลาง สืบ 4 สืบนครบาล บุกช่วยชายเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นตำรวจ โดนหลอกให้เปิดโรงแรม ให้ตัดขาดโลกภายนอก ขู่ห้ามบอกญาติ-ตำรวจ สูญเงิน 5 แสนบาท

พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ ผบก.น.4 พ.ต.อ.นิภพล สุขนิยม รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผกก.สน.วังทองหลาง พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข ผกก.กก.สส.บก.น.4 และ พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น.ดำเนินการช่วยเหลือเหยื่อถูกแก๊งคอลเซนเตอร์ หลอกให้ออกจากหอพักมาเปิดโรงแรมใกล้ๆ ให้ตัดขาดโลกภายนอก อยู่ในสภาพบังคับไม่ให้บอกใคร สูญเงินไปกว่า 5 แสนบาท

พล.ต.ต.โชติวัฒน์ กล่าวว่า คดีนี้ได้รับรายงานจาก สน.วังทองหลาง มีกลุ่มคนร้ายขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ ได้โทรศัพท์มาหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินจำนวน 5 แสนบาท และยังหลอกให้มาเปิดโรงแรมห้ามติดต่อญาติ เมื่อได้รับรายงานไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงสั่งการให้ชุดสืบสวน สน.วังทองหลาง สืบสวน บก.น.4 และ บก.สส. บช.น.ลงพื้นที่ตรวจสอบพิสูจน์กรณีดังกล่าวทุกมิติ จากนั้นได้ข้อมูลเบาะแสจึงได้เข้าช่วยเหลือเหยื่อทันที

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบ นายโช (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย อยู่ที่ห้องพักในโรงแรมย่านลาดพร้าว ระหว่างที่เข้าไปช่วยเหลือปรากฏว่า พบผู้เสียหายโทรศัพท์กำลังสนทนาทางไลน์กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยคุยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 17 ชม. ปลายสายอ้างตัวเป็นตำรวจ สภ.แม่โจ้ หลอกให้ทำอะไรต่างๆ โดยไม่ให้เหยื่อติดต่อญาติเด็ดขาด ไม่ให้แจ้งความตำรวจ จึงได้เข้าช่วยเหลือไว้ได้ ขณะนี้นำตัวมาที่ สน.วังทองหลาง และได้พบกับพ่อแม่อย่างปลอดภัยแล้ว.

บุกรวบพ่อค้าบุหรี่ไฟฟ้า-น้ำท่อม ทำ ป.6 ปอดหาย เปิดขายโจ๋งครึ่มหน้าโรงเรียน

บุรีรัมย์-เด็กหญิงชั้น ป.6 วัย 12 ปี ที่ถูกหามส่งโรงพยาบาล และพบว่าปอดหายเกือบทั้งหมด เนื่องจากสูบบุหรี่ไฟฟ้า-ดื่มน้ำท่อมมานาน 2 ปี อาการยังไม่ดีขึ้น ล่าสุดตำรวจตามจับคนขายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้าได้แล้ว ที่แท้เปิดร้านขายโจ๋งครึ่มอยู่หน้าโรงเรียน ชาวบ้านงงเปิดขาย 2 ปี ทำไมคุณครูไม่รู้

จากกรณีเด็กหญิงเอ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี เด็กนักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งใน ต.ดอนมนต์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ถูกครูในโรงเรียนนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการอาเจียนไม่มีแรงและหายใจเหนื่อยหอบ

จนกระทั่งต่อมาแพทย์ระบุเด็กปอดหายไปเกือบทั้งหมด เนื่องจากสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งจากการซักประวัติเด็กหญิง 12 ปี ทราบว่าสูบมาตั้งแต่ชั้น ป.4 หรืออายุ 10 ปี เท่ากับเด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้ามาแล้วประมาณ 2 ปี

หลังตกเป็นข่าว พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ชูสิทธิ์ หล่อแสง รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ เร่งติดตามแหล่งที่มาของการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำกระท่อม

จนกระทั่งต่อมา พ.ต.อ.ยุทธนา ไตรทิพย์ ผกก.สภ.สตึก อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ทำการสืบสวนจนกระทั่งทราบว่าแหล่งที่จำหน่ายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้า จำหน่ายอยู่ที่หน้าโรงเรียนของเด็กนักเรียนที่ป่วย

จนนำมาสู่การตรวจค้นและจับกุมนางสาวเหลา (สงวนนามสกุล) อายุ 84 ปี, ชาว ต.ดอนมนต์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ และนายดาราวิทย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ชาว ต.ดอนมนต์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ หลานชายนางสาวเหลา พร้อมของกลางบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 3 เครื่อง, น้ำต้มใบกระท่อมปรุงรสชาติ จำนวน 41 ขวด, ยาแก้ไอจำนวน 2 ขวด และอาวุธปืนแก๊สแบบไทยประดิษฐ์อีกจำนวน 1 กระบอก จับกุมได้ที่ห้องเช่าตั้งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนที่เด็กเรียนอยู่

ที่แท้ขายโจ๋งครึ่มอยู่หน้าโรงเรียน จับแล้วพ่อค้าบุหรี่ไฟฟ้า-น้ำท่อม ทำ ป.6 ปอดหาย

โดยทั้งสองรับสารภาพว่ามาเช่าห้องเพื่อขายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็กนักเรียนและวัยรุ่นในหมู่บ้านนี้จริง โดยไม่เลือกอายุ โดยสั่งบุหรี่ไฟฟ้ามาทางอินเทอร์เน็ต แล้วเอาไปโพสต์ขายในกลุ่มลับ จนวัยรุ่นในแถบนี้รู้จักกันดี

ผู้สื่อข่าวสอบถามชาวบ้านและวัยรุ่นในหมู่บ้านทราบว่า บริเวณหน้าโรงเรียนมีคนมาเปิดร้านขายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้ามานานกว่า 2 ปีแล้ว มีทั้งวัยรุ่นและนักเรียนในโรงเรียนมาซื้อกันเป็นประจำ

ทั้งนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านหลายคนยังงงว่ามีร้านขายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้ามาเปิดในพื้นที่โดยเฉพาะบริเวณหน้าโรงเรียนมานานกว่า 2 ปี แล้วชาวบ้านรู้กันหมด แต่ทำไมครูในโรงเรียนถึงไม่รู้ ทั้งที่มีการจำหน่ายอยู่หน้าโรงเรียน

โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ร.ต.อ.มานิตย์ ศิริเวช รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.สตึก ได้ตั้งข้อหา โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายน้ำต้มใบกระท่อมซึ่งเป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า ขาย, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป.

ฝนแรกของปี ช่วยดับไฟป่าเขาคอกช้าง อช.ทับลาน มอดสนิทแล้ว

filter: 0; fileterIntensity: 0.0; filterMask: 0; captureOrientation: 0; algolist: 0; multi-frame: 1; brp_mask:0; brp_del_th:0.0000,0.0000; brp_del_sen:0.0000,0.0000; motionR: 0; delta:null; bokeh:0; module: photo;hw-remosaic: false;touch: (-1.0, -1.0);sceneMode: 8;cct_value: 0;AI_Scene: (-1, -1);aec_lux: 128.73927;aec_lux_index: 0;albedo: ;confidence: ;motionLevel: 0;weatherinfo: null;temperature: 45;

ฝนที่ลงมาตกต่อเนื่องหลายวันในพื้นที่อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา จนถึงเช้าวันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) ส่งผลดีต่อสถานการณ์ไฟป่าที่บริเวณเขาคอกช้าง ภายในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ท้องที่เขตรอยต่อระหว่างตำบลครบุรีใต้และตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี  ซึ่งได้เริ่มลุกไหม้มาตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทับลาน พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าทับลาน , เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช หรือ อส.อส. , กำลังพลทหารกองพันทหารปืนใหญ่ที่3 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 กองทัพภาคที่ 2 รวมถึง เครือข่ายจิตอาสาจากภาคส่วนต่างๆ ได้ระดมกำลังเข้าควบคุมไฟป่ากันอย่างต่อเนื่องกว่า 4 วัน จนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นผลสำเร็จ

นอกจากนี้ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้ไฟป่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในพื้นที่บางส่วน โดยเฉพาะไฟสุมตอ ซึ่งเป็นไฟที่ลุกไหม้เศษตอไม้หรือต้นไม้แห้ง ยากต่อการดับ เพราะอยู่กลางวงไฟก่อนหน้านี้ ดับมอดสนิทจนไม่เหลือเชื้อไฟที่จะทำให้ไฟลุกลามขึ้นมาได้อีก เจ้าหน้าที่ที่มาประจำการเข้าควบคุมสถานการณ์และเฝ้าระวังโดยรอบพื้นที่ จึงเตรียมที่จะถอนกำลังกลับที่ตั้ง

นายสมเกียรติ พวงเกาะ หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าทับลาน ระบุว่า เหตุการณ์ไฟป่าที่บริเวณเขาคอกช้าง สร้างผลกระทบต่อสภาพป่าโดยรวมประมาณ 1,800 ไร่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไฟที่ไหม้เศษกิ่งไม้ใบไม้ต้นพริกต้นไผ่แห้งที่กระจายอยู่ตามพื้นดิน ส่วนต้นไม้ใหญ่ยืนต้นได้รับความเสียหายไม่มากนัก ซึ่งหลังจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ฯ จะยังคงร่วมกับเครือข่าย อส.อส.ในพื้นที่ เฝ้าระวังสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

โดย…ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ / นครราชสีมา

ยกทัพสินค้าเด่นจากสุราษฎร์ธานีมาให้คนอีสานได้ชม ชิม ช้อป ที่ขอนแก่น

สุราษฎร์ธานี ยกทัพสินค้าเด่นที่มีเอกลักษณ์ของจังหวัดมาให้คนอีสานได้ชม ชิม ชอป แชร์ ที่ลานกิจกรรมชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล จังหวัดขอนแก่น

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 ก.พ.2568 ที่ ลานกิจกรรมชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ขอนแก่น นายบันดาล สถิรซวาล รอง ผวจ.สุราษฎร์ธานี เป็นประธานเปิดงานจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอัตลักษณ์ สินค้า GI และสินค้าเด่นที่มีเอกลักษณ์ของ จ.สุราษฎร์ธานี  โดยมีนายกอบ ทวนดำ พาณิชย์ จ.สุราษฎร์ธานี ,นายศิริวัฒน์ พินิจพานิชย์  รอง ผวจ.ขอนแก่น,นายศารุมภ์ โหม่งสูงเนิน พาณิชย์จังหวัดขอนแก่น, พัฒนาการจังหวัดขอนแก่น ,ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดขอนแก่น, อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น,สภาอุตสสหกรรม จ.ขอนแก่น  และประธานเครือข่ายธุรกิจ MOC BizClub จังหวัดขอนแก่น เข้าร่วมพิธีเปิดงาน ท่ามกลางความสนใจของชาวขอนแก่นที่มาเลือกซื้อสินค้าอย่าวคับคลั่ง

นายบันดาล สถิรซวาล รอง ผวจ.สุราษฎร์ธานี  กล่าวว่า ภายในงานได้จัดให้มีกิจกรรมการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการ จาก จ.สุราษฎร์ธานี กว่า 30 ร้านค้า โดยเป็นสินค้า GI ประกอบด้วย ไข่เค็มไชยา, หอยนางรม สุราษฎร์ธานี, ขมิ้นชันสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะสินค้าเด่นที่มีเอกลักษณ์ ได้แก่ อาหารทะเล ผ้าปาเต๊ะ ทุเรียน และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรในท้องถิ่น อาทิ น้ำมันขมิ้นชัน  รวมถึงกิจกรรมการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมและดนตรี การเจรจาธุรกิจการค้า กิจกรรมไลฟ์สด และกิจกรรมนาทีทอง คูปองเงินสด

“สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ มีศักยภาพและมีความโดดเด่นในการผลิตสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าอุตสาหกรรมแปรรูป และผลิตภัณฑ์เด่นที่มีเอกลักษณ์ มีความหลากหลายสร้าง ซึ่งชื่อเสียงให้กับจังหวัดอยู่มากมาย จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือสินค้า GI จำนวน 7 สินค้า ประกอบด้วย หอยนางรมสุราษฎร์ธานี, ไข่เค็มไชยา, มะพร้าวเกาะพะงัน ,เงาะโรงเรียนนาสาร ,ขมิ้นชันสุราษฎร์ธานี,ปลาเม็งสุราษฎร์ธานี และกระท้อนคลองน้อย”รองผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าว

ชู”SMEs Growth 2025″พลิกโฉม เอสเอ็มอี ภาคกลางและภาคอีสานเติบโตยั่งยืน

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จับมือรัฐ-เอกชน เปิดตัว “SMEs Growth 2025” พลิกโฉม เอสเอ็มอี ภาคกลางและภาคอีสาน สร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยAI และ Digital Transformation ที่ขอนแก่น

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 20 ก.พ.2568 ที่โรงแรมแอดลิบ จ.ขอนแก่น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.)หรือ ETDA ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และ Tech provider ร่วมกัน เปิดตัว “SMEs Growth 2025 พลิก SMEs ไทย เติบโตได้อย่างยั่งยืน”  เพื่อยกระดับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มภาคกลาง และภาคอีสาน พร้อมสู่โอกาสด้วย AI และ Digital Transformation โดยเปิดรับสมัครผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 29 มี.ค. ที่ http://www.etda.or.th/ th/smesgrowth2025

นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า การมุ่งยกระดับให้ธุรกิจเอสเอ็มอีพร้อมสู่โอกาสและเกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นพันธกิจสำคัญที่ สพธอ.หรือ ETDA ในฐานะหน่วยงาน Co creation Regulator ที่กำกับดูแลธุรกิจบริการดิจิตอลที่พร้อมเดินหน้าอย่างต่อเนื่องผ่านการดำเนินงานต่างๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของการขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันและเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ให้สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดทางธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงานสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้ Digital Eco System ที่ทุกคนมั่นใจ

“โครงการ SMEs Growth ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างโมเดลการยกระดับนวัตกรรมดิจิทัลเชิงพื้นที่ ที่ทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC และภาคใต้ ให้เกิดการพัฒนาการทำธุรกิจและการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสและรายได้เชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีเพื่อสานต่อความสำเร็จในปีนี้ ETDA จึงจับมือกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล DEPA, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สสว., สมาพันธ์ SME ไทย ,และบริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด จัด SMEs Growth 2025 พลิก SMEs ไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน เดินหน้ายกระดับ SMEs ใน 2 ภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางแห่งเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาคกลางและภาคอีสาน คือที่นครปฐม, พระนครศรีอยุธยา และขอนแก่น”

นายมีธรรม กล่าวต่อว่า การเตรียมตัว ให้พร้อมสู่โอกาสทางธุรกิจโดยเทคโนโลยี AI และ Digital Transformation จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างเกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน ผ่านหลากหลายกิจกรรมที่รวมเครือข่ายทางธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐเอกชนหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อให้ SME ได้ทดลองใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจ ที่มาพร้อมกับการให้คำแนะนำและการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำธุรกิจอย่างมืออาชีพ จากเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและผู้นำองค์กร กิจกรรม Business matching ทดลองใช้นวัตกรรมสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ต่อยอด เกิดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่าง SMEs และ Tech provider เพิ่มโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตามผู้ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ SMEs Growth 2025 จะต้องมีคุณสมบัติคือเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในพื้นที่เป้าหมาย ภาคกลางและภาคอีสาน มีความต้องการที่จะพัฒนาและปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และต้องมีความพร้อมในการเข้าร่วมกิจกรรมที่ ETDA ได้จัดขึ้น ภายใต้โครงการนี้ โดย SMEs สมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่ 19 ก.พ.- 29 มี.ค. 2568 ที่ http://www.etda.or.th/ th/smesgrowth2025

เครื่องบินจีนถึงแม่สอดแล้วรับเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชุดแรกกลับแดนมังกรวันนี้

ทหาร ฉก.ราชมนู รับชาวจีน หลังรัฐบาลเมียนมาส่ง  ผ่านสะพานมิตรภาพ ฯ ถึงสนามบินแม่สอด ฝั่งไทยแล้ว  ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับ

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568.  ทหารไทย หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ได้มารับชาวจีน โดยทางรัฐบาลเมียนมาได้มีการส่งตัชาวจีน 50 คนแรก ที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดน  BGF ควบคุมตัวได้จากบริษัทสแกมเมอร์ ในเมืองเมียวดี มาส่งยังสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 โดยใช้รถบัสในการส่งตัว และมีรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการนำขบวน และปิดท้ายขบวน เพื่อรักษาความปลอดภัย

เมื่อรถขนส่งมาเทียบจอดที่ด่านพรมแดนแม่สอด 2 เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจราชมนูได้รับตัวเหยื่อ 1 คน ต่อเจ้าหน้าที่ 1 คน เพื่อพาตัวเข้าไปด้านในซึ่งมีการจัดเตรียมโต๊ะ และเก้าอี้เอาไว้ให้  ก่อนที่จะเป็นการส่งชาวจึนทั้ง 50 คนไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติสนามบินแม่สอด ซึ่งทางการจีนได้ส่งเครื่องบินมารอรับ และเตรียมขึ้นเที่ยวบินแรกวันนี้

โดยที่ด่านพรมแดนแม่สอด 2 มีเจ้าหน้าที่ทหารไทย จากหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ตรึงกำลังอยู่บริเวณโดยรอบ และไม่อนุญาตให้สื่อมวลชน เข้าไปถ่ายภาพทำข่าวในพื้นที่   ทำให้ผู้สื่อข่าวต้องใช้วิธีถ่ายจากด้านนอก และใช้กล้องซูมถ่ายกันเอา  ซึ่งในการเดินกลับโดยเครื่องบินของจีนนั้น ในวันนี้จะมีทั้งสิ้น 4 เที่ยวบินๆละ 50 คน รวมชุดแรกที่จะเดินทางกลับ 200 คน

เปิด 9 สัมปทานซื้อคืนรถไฟฟ้าหาทางออก 20 บาทตลอดสาน

สภาองค์กรของผู้บริโภคสนับสนุน การดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้ศึกษา แนวทางการซื้อคืนสัญญา9สัมปทานรถไฟฟ้าคาดว่าจะใช้เงิน2 แสนล้านบาท  โดยเตรียมเปิดสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าทุกสาย และ ศึกษาแนวทางการซื้อคืนสัมปทานคู่ขนานไปด้วยเพื่อให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทเกิดขึ้นได้จริง  

นาย คงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค บอกว่า สภาองค์กรผู้บริโภคกำลังจะเปิดสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าแต่ละสายเพื่อดูว่ามีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง และจะศึกษาแนวทางการซื้อคืนสัมปทานว่าทำได้อย่างไรบ้าง คาดว่าผลการศึกษาจะออกประมาณปลายปีนี้ และต้นปี2568 เพื่อสนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทให้เกิดขึ้น
 
“เราคิดว่าเรา เปิดตัวสัญญาสัมปทานก่อน  รูปแบบสัญญาสัมปทานในสายสำคัญๆ ที่ให้บริการแล้ว  โดยจะพิจารณาว่ามีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ที่จะส่งผลต่อนโยบายกำหนดราคา 20 บาททุกสาย รวมถึงเรื่องของการซื้อคืนสัมปทานต่างๆเพื่อหาทางออกว่าจะสามารถดำเนินการซื้อคืนสัมปทานจากเอกชนได้อย่างไรบ้าง”

นาย คงศักดิ์   ย้ำว่า การซื้อคืนคงจะส่งผลต่อตัวผู้ประกอบการที่จะขาดตัวรายได้ ในบางส่วนซึ่งรัฐต้องชดเชย เยียวยา แต่นโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่จะทำเรื่องการซื้อคืนสัมปทาน เพื่อให้ทุกคนใช้บริการรถไฟฟ้าในราคา 20 บาท สภาองค์กรของผู้บริโภคให้ความสำคัญจึงไดนำสัญญามาศึกษาและวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยนักวิชาการว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้างซึ่งว่าจะสามารถนำเสนอแนวทางได้ในต้นปี2568
  
ขณะ ที่นายอดิศักดิ์ สายประเสริฐ นักวิชาการอิสระ  เห็นว่ารัฐบาลควรจะเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาคประชาชน เข้ามาร่วมการศึกษาแนวทางการซื้อคืนสัมปทานเพื่อให้เห็นความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการดำเนินการอย่างแท้จริง

คงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค

“ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญให้ภาคประชชนนักวิชาการ  เข้าไปมีส่วนร่วมในการ ทำประมาณการณ์ ที่คาดว่าจะได้รับหลังจากที่มีการซื้อคืน ระบบรถไฟฟ้ามาเป็นของรัฐ  ที่ผ่านมาปัญหาคือว่า เวลาเราทำแผน ทำโครงการรถไฟฟ้ามีการประมาณการณ์ผู้โดยสารที่สูง เกินความเป็นจริง ทำให้ผู้โดยสารที่เป็นจริงไม่เคยถึงประมารการณ์นั้นเลยส่งผลให้การคิดค่าโดยสารแพงกว่าปกติ ซึ่งถือเป็นปัญหาหนึ่ง ดังนั้นการทำเวทีคู่ขนานในการศึกษาวิจัยจะทำให้โครงการซื้อคืนโปร่งใสและสมเหตุสมผลมากขึ้น”

หรับสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเปิดดำเนินการแล้งวในปัจจุบันมีทั้งหมด 9 โครงการ โดยคาดว่า รัฐอาจใช้งบประมาณกว่า2 แสนล้านบาทในการซื้อคืนสัมปทาน

1.รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ผู้ลงทุน ,ผู้บริหาร และผู้เดินรถ คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)   หรือ BEM  ระยะเวลาสัญญา 30 ปี (2563-2593 )เหลือเวลา 26 ปี)

2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ผู้ลงทุน,ผู้บริหารและผู้เดินรถคือ บริษัท บีทีเอส  ระยะเวลา 30 ปี (2542-2572 ) เหลือเวลา 5 ปี 

3.โครงการรถไฟฟ้าสีเขียวส่วนต่อขยาย1 สถานีตากสิน-บางหว้า และสุขุมวิท -แบริ่ง ผู้ลงทุนคือ BMA หรือ การบริหารกรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration  ผู้บริหาร คือ  บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด, ผู้เดินรถคือ บีทีเอส  ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี (2555-2585 )เหลือเวลา 19 ปี

4.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย 2 ช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ และ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต   ผู้ลงทุนคือ BMA หรือ การบริหารกรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration  ผู้บริหาร คือ  บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด, ผู้เดินรถคือ บีทีเอส  ระยะเวลาสัมปทาน 25 ปี (2560-2585 ) เหลือเวลาสัมปทาน 19 ปี

5.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ผู้ลงทุน  และผู้บริหาร คือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ MRTA ,ผู้เดินรถ คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)   หรือ BEM  ระยะเวลาสัมปทาน 30ปี (2559-2589 ) เหลือเวลาสัมปทาน 23 ปี

6.โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง   ผู้ลงทุนคือ BMA หรือ การบริหารกรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration  ผู้บริหาร คือ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และผู้เดินรถ คือ  บริษัท บีทีเอส  ระยะเวลาสัญญา 30 ปี (2561-2591 ) เหลือเวลา 25 ปี

7.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง  ผู้ลงทุนคือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ MRTA  ผู้บริหาร และผู้เดินรถ คือ บริษัท บีทีเอส ระยะเวลาสัญญา 30 ปี (2566-2596 ) เหลือเวลาสัมปทาน 30 ปี

8.โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง  ผู้ลงทุน และผู้บริหาร คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ SRT  ,ผู้เดินรถคือ บริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด  ต่อสัญญาปีต่อปี

9.โครงการถไฟฟ้า แอร์พอร์ต เรล ลิงก์  ผู้ลงทุน และผู้บริหาร  คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ SRT ผู้เดินรถคือ AERA1 ผู้ลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะเวลาสัญญา 50 ปี หลังเริ่มสัญญา

10.โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู  ผู้ลงทุน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ MRTA  ผู้บริหาร และผู้เดินรถ คือ บริษัท บีทีเอส ระยะเวลาสัญญา 30 ปี (2566-2596 )