สพฉ.ผนึก อพท.เสริมแกร่งสร้างความเชื่อมั่นพื้นที่ท่องเที่ยวยั่งยืนคุ้งบางกระเจ้า

สพฉ. ร่วมกับจังหวัดสมุทรปราการ ผนึกกำลังเครือข่ายเสริมแกร่งสร้างความเชื่อมั่นท่องเที่ยวไทยร่วมกับ อพท. บมจ.บางจาก  อบต.บางยอ ซ้อมแผนการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ในพื้นที่ท่องเที่ยวคุ้งบางกระเจ้า สมุทรปราการ

เรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการซ้อมแผนการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ในพื้นที่ท่องเที่ยวคุ้งบางกะเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีพลตำรวจตรี อังกูร คล้ายคลึง  ประธานคณะอนุกรรมาธิการความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา นายโฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ประภาส ผูกดวง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ

นางกลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น ดร.ชูวิท มิตรชอบ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) นายสมปอง รัศมิทัต นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางยอ พร้อมทั้งผู้บริหาร ผู้แทนและเจ้าหน้าที่หน่วยงานเครือข่าย เข้าร่วมอย่างคับคั่ง ณ พื้นที่ท่องเที่ยวคุ้งบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

การซ้อมแผนฯ ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือของ สพฉ. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น องค์การบริหารส่วนตำบลบางยอ และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เพื่อยกระดับและเตรียมความพร้อมการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินของจังหวัดสมุทรปราการ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อตอบรับพันธกิจด้านความปลอดภัยและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า โดยในการนี้ สพฉ. ยังเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ

และผู้เข้าร่วมการประชุมวิชาการ International Helicopter Emergency Medical Services (HEMS) Conference 2025 เข้าร่วมงานและชมการซ้อมแผนเสมือนจริง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมกันพัฒนาการปฏิบัติการเฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยสืบต่อไป

สพฉ.องค์กรแห่งการช่วยชีวิต : NIEM for life saving 
ช่องทางติดตาม สพฉ.
Website ➡️https:// www.niems.go.th/
Tiktok ➡️ @niem.1669
Youtube ➡️ 1669 Channel
เจ็บป่วยฉุกเฉิน????โทร 1669 
#สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ #สพฉ #niem #พบเห็นหน่วยปฏิบัติการหรือสถานพยาบาลที่ไม่เป็นมาตรฐานโทร028721669 #ทุกชีวิตปลอดภัยมั่นใจแพทย์ฉุกเฉิน #สพฉองค์กรแห่งการช่วยชีวิต #NIEM_for_life_Saving

บุญใหญ่ชวนชาวพุทธทำบุญตักบาตรพระ 1,234 รูปฉลองครบรอบ 234 ปีเมืองขอนแก่น

คณะสงฆ์ขอนแก่น ชวนร่วมบุญใหญ่ตักบาตรพระ 1,234 รูปฉลองครบรอบ 234 ปีเมืองขอนแก่น สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา รักษาวัฒนธรรมชาวพุทธ ช่วยเหลือผู้ยากไร้ในชุมชน

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 11 ก.พ.2568 ที่วัดธาตุพระอารามหลวง พระครูศรีวิสุทธิวัฒน์ เจ้าคณะ อ.เมืองขอนแก่น พร้อมด้วยนายชินกร แก่นคง นายอำเภอเมืองขอนแก่น และคณะสงฆ์ในเขต อ.เมืองขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าวการจัดกิจกรรมตักบาตรพระ 1,234 รูป ฉลองครบรอบอายุ 234 ปีเมืองขอนแก่น สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาและรักษาวัฒนธรรมชาวพุทธ ซึ่งคณะสงฆ์ในเขต อ.เมืองขอนแก่นร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันกำหนดจัดกิจกรรมขึ้นในวันที่ 16 ก.พ.ที่ลานวัฒนธรรม บึงแก่นนคร

พระครูศรีวิสุทธิวัฒน์ เจ้าคณะ อ.เมืองขอนแก่น กล่าวว่า คณะสงฆ์ จ.ขอนแก่น โดยเจ้าคณะ อ.เมืองขอนแก่น และราชการ จ.ขอนแก่น ได้ลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงเพื่อช่วยเหลือคณะสงฆ์และประชาชนใน จ.ขอนแก่น ใน 5 ด้านประกอบด้วยเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องสุขภาพ เรื่องการศึกษา เรื่องภัยพิบัติและเรื่องยาเสพติด

“การสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชน ยังมีการขยายขอบเขตออกไปเรื่อยๆ มีปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้การช่วยเหลือไม่ทั่วถึงทั้งเครื่ออุปโภคและบริโภค ทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง สุขภัณฑ์ เวชภัณฑ์ต่างๆไม่เพียงพอ คณะสงฆ์จึงร่วมกับภาคราชการ พ่อค้า ประชาชน ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันจัดกิจกรรมตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งเพื่อแบ่งปันผู้ยากไร้ คนขอนแก่น ไม่ทอดทิ้งกัน ในวันที่ 16 ก.พ.ที่ลานวัฒนธรรมริมบึงแก่นนครตรงข้ามวัดธาตุ พระอารามหลวงเพื่อร่วมกันแสดงออกของชาวพุทธที่จะร่วมกันแบ่งปันเป็นงานบุญใหหญ่ฉลองครบรอบก่อตั้งเมืองขอนแก่น 234 ปี ฉลองพระลับ พระคู่บ้านคู่เมืองขอนแก่นครบ 500 ปีอีกด้วย”

เศรษฐกิจตกต่ำฉุดยอดขายดอกบัวรับเทศกาลมาฆบูชาซบเซา

เจ้าของนาบัวเผยมาฆบูชาปีนี้ไม่คึกคัก ยอดสั่งซื้อดอกบัวลดลงกว่าครึ่ง ในขณะที่ราคาจำหน่ายหน้าแปลงยังคงอยู่ที่ราคาดอกละ 1 บาท ขณะที่ราคาที่แพงขึ้นคาดเป็นดอกบัวจากที่อื่นจึงมีค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

เมื่อเวลา  10.30 น.วันที่ 11 กุ.พ. 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจแปลงนาบัว เนื่องในวันพระใหญ่วันมาฆบูชา ประจำปี 2568 โดยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ กำลังเร่งเก็บดอกบัวไปขาย โดยเฉพาะที่บ้านอัมวัน ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น พื้นที่นาบัวแปลงใหญ่ ของเขต อ.เมืองขอนแก่น ซึ่งพบว่าเกษตรกรกำลังเร่งเก็บดอกบัวในนาบัวของตัวเอง เพื่อนำมามัดเป็นกำส่งขายให้พ่อค้า-แม่ค้า ตามยอดการสั่งซื้อที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก 

นางทัศนีย์ ศรีโนนม่วง อายุ 67 ปี เจ้าของนาบัว กล่าวว่า ครอบครัวทำนาบัวในพื้นที่จำนวน 8 ไร่ โดยยึดอาชีพทำนาบัวและขายดอกบัวมาแล้วกว่า 30 ปี โดยเก็บดอกบัวส่งขายดอกละ 1 บาทมาโดยตลอด ซึ่งโชคดีที่การทำนาบัวนั้น ไม่ต้องรดน้ำพรวนดิน ปลูกเอาไว้ถึงเวลาก็เก็บดอกขาย แต่การปลูกดอกบัวจะแย่ในช่วงหน้าหนาว อากาศเย็น บัวไม่ค่อยออกดอก

 “แม้สภาพอากาศจะเป็นอย่างไร และความต้องการของตลาดจะเป็นอย่างไร เราก็ขายเท่าเดิมคือดอกละ 1 บาท ส่วนที่ตลาดซื้อขายกันดอกละ 7 -10 บาท นั้น น่าจะเป็นการซื้อดอกบัวมาจากภาคอื่นที่ส่งต่อๆกันมา ทำให้มีราคาค่าขนส่งเพิ่มขึ้นจึงทำให้ขายได้ราคากว่าดอกบัวในพื้นที่”

นางทัศนีย์ กล่าวต่ออีกว่า  ยอดการสั่งซื้อวันมาฆบูชาปีนี้น้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งทุกปียอดสั่งซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 ดอก แต่ปีนี้อยู่ที่ 2,000 ดอก อย่างไรก็ตามในช่วงปกติที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาลจะเก็บดอกบัวจำหน่ายวันละ 600-1,000 ดอก แต่ในช่วงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนายอดเก็บจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ดอก  และทุกวันจะมีพ่อค้า-แม่ค้า ตลาดดอกไม้มารับซื้อถึงที่ในราคา ดอกละ 1 บาทเลยทีเดียว

หนุ่มสาวชาวจีนเมินแต่งงานฉุดยอดการสมรสวูบ 20% ต่ำสุดในประวัติศาสตร์

หนุ่มสาวชาวจีนเมินแต่งงานฉุดยอดการสมรสในจีนดิ่งลง 20% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 ตรงข้ามกับความพยายามของรัฐบาลกรุงปักกิ่งในการแก้ไขวิกฤตประชากรที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจจีน

การแต่งงานในจีนดิ่งลง 20% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 ซึ่งฉุดรั้งความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤตประชากรที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจจีน โดยจำนวนการแต่งงานในจีนลดลงถึง 1 ใน 5 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมา แม้ว่าทางการจีนจะพยายามหลายครั้งที่จะส่งเสริมให้คู่รักหนุ่มสาวแต่งงานและมีลูกเพื่อกระตุ้นจำนวนประชากรที่ลดลงของประเทศก็ตาม

ความสนใจในการแต่งงานและการเริ่มต้นครอบครัวที่ลดลง มักถูกระบุว่าเกิดจากปัญหาค่าเลี้ยงดูบุตรและการศึกษาที่สูงในจีน นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะงักงันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังทำให้บัณฑิตจบใหม่หางานทำได้ยาก และผู้ที่มีงานทำก็รู้สึกไม่มั่นคงเกี่ยวกับอนาคตในระยะยาว

ตัวเลขจากกระทรวงกิจการพลเรือน ระบุว่ามีคู่รักมากกว่า 6.1 ล้านคู่ที่จดทะเบียนสมรสในปีที่แล้ว ซึ่งลดลงจาก 7.68 ล้านคู่ในปีก่อนหน้า

อี้ ฟู่เซียน นักประชากรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน กล่าวว่า ตัวเลขนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “แม้แต่ในปี 2020 การแต่งงานก็ลดลงเพียง 12.2% เนื่องจากโควิด-19”  เขาตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนการแต่งงานในประเทศจีนเมื่อปีที่แล้ว มีน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของ 13.47 ล้านคู่ในปี 2013 เขากล่าวเสริมว่า หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป “ความทะเยอทะยานทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนจะพังทลายลงด้วยจุดอ่อนด้านประชากร” 

สำหรับทางการจีน การกระตุ้นความสนใจในการแต่งงานและการมีลูกเป็นปัญหาที่เร่งด่วน ขณะที่จีนมีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลกที่ 1,400 ล้านคน ซึ่งกำลังเข้าสู่วัยชราอย่างรวดเร็ว

อัตราการเกิดลดลงเป็นเวลาหลายทศวรรษเนื่องมาจากนโยบายลูกคนเดียวของจีนในช่วงปี 1980-2015 และการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว และในทศวรรษหน้า คาดว่าชาวจีนประมาณ 300 ล้านคน ซึ่งเทียบเท่ากับประชากรเกือบทั้งสหรัฐฯ จะเข้าสู่วัยเกษียณ มาตรการที่ทางการจีนได้ดำเนินการเมื่อปีที่แล้วเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ได้แก่ การเรียกร้องให้วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยของจีนจัดให้มี “การศึกษาด้านความรัก” เพื่อเน้นย้ำมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการแต่งงาน ความรัก การเจริญพันธุ์ และครอบครัว

ในเดือนพฤศจิกายน คณะรัฐมนตรีหรือสภาแห่งรัฐของจีนยังได้สั่งให้รัฐบาลท้องถิ่นจัดสรรทรัพยากรเพื่อแก้ไขวิกฤตประชากรของจีนและเผยแพร่ความเคารพต่อการมีบุตรและการแต่งงาน “ในวัยที่เหมาะสม”

ปีที่แล้วพบว่าจำนวนการเกิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่หยุดชะงักเนื่องจากการระบาดใหญ่ และเนื่องจากปี 2024 เป็นปีนักษัตรจีน ซึ่งเชื่อกันว่าเด็กที่เกิดในปีนั้น จะเป็นเด็กที่มีความทะเยอทะยานและมีโชคลาภ แต่ถึงแม้จะมีการเกิดเพิ่มขึ้น แต่ประชากรของประเทศก็ลดลงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ข้อมูลยังแสดงให้เห็นด้วยว่าคู่รักมากกว่า 2.6 ล้านคู่ยื่นฟ้องหย่าในปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.1% จากปี 2023.

นายกฯอุ๊งอิ๊งค์สั่งทบทวนช่วงเวลาขาย “เหล้า-เบียร์”ใหม่ควบคู่ปกป้องเยาวชน

สายดื่มเฮ! นายกฯ สั่งทบทวนช่วงเวลาขายเหล้า-เบียร์ สอดรับธีมปีท่องเที่ยว ควบคู่ปกป้องเยาวชน ไม่ให้เข้าถึงแอลกอฮอล์ ด้าน 8 กลุ่มผู้ประกอบการฯ ยื่นหนังสือถึง ‘อิ๊งค์’ ขอรัฐบาลพิจารณาอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่าย 2-5 โมงเย็น

เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 11 ก.พ.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า เนื่องด้วยได้รับข้อร้องเรียนจากภาคธุรกิจในหลายกลุ่มค่อนข้างเยอะในเรื่องข้อจำกัดทางกฎหมาย ในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และไม่สอดคล้องกับนโยบาย ที่ปีนี้รัฐบาลได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีAmazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 จึงได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นกฎเรื่องการห้ามขายช่วงเวลา 14.00-17.00 น. หรือในช่วงของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ว่าเรื่องนี้มีการกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง การห้ามขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ กรณี หรือกรณีที่อาจจะติดขัด ในเรื่องข้อจำกัดด้านการควบคุมพื้นที่ที่เป็นโซนนิ่ง และกฎบางกฎออกมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 หรือตั้งแต่ช่วงปี2515 ก็มี จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวน เรื่องนี้อีกรอบ

นายกฯ กล่าวว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย และการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้อย่างง่ายดาย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุด เมื่อเราปลดล็อคตรงนี้ เพิ่มรายได้ผู้ประกอบการแล้ว เพิ่มเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว แต่เยาวชนจะต้องถูกปกป้องเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ที่จะทำให้ไม่เข้าถึงแอลกอฮอล์ เป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญและไม่ละเลย 

เมื่อถามว่า วันพระจะสามารถซื้อเหล้าได้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวจะให้ทางทีมไปศึกษาดูก่อนว่าจะได้อย่างไรบ้าง เพราะอย่างวันพระใหญ่ หรือวันอะไรที่เราเป็นข้อห้ามอยู่ ชาวต่างชาติที่มาเขาไม่ได้ทราบวันเหล่านี้ก่อน และจะมีผลเรื่องการท่องเที่ยว

“เรามองว่าในธีมปีนี้เป็นปีของการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะต้องถูกพิจารณาอีกครั้ง จริงๆก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้มีกฎเรื่องนี้ มีอยู่แล้ว แต่ช่วงที่ให้เลิกขายตอน 14.00-17.00 น. มีมาช่วงไม่นานนี้ ดิฉันยังบอกกับครม.เลยว่า คงต้องเน้นย้ำเรื่องของการเข้าถึงมากกว่า อย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะก็เรื่องหนึ่ง แต่เด็กที่เราควรจะโฟกัส ว่าไม่ใช่พอเปิดตรงนี้ แล้วทุกคนมีสิทธิ์ขาย ก็ไม่ใช่ นี่คือเรื่องที่ต้องเน้นย้ำมาตรการให้ถูกจุด” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เวลา 10.23 น.ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม การท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และการบริการ รวม 8 กลุ่มองค์กร นำโดย นายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย และนายณัฐชัย อึ๊งศรีวงศ์ นายกสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ ยื่นหนังสือถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี  และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ผ่านนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนรับหนังสือ เพื่อขอให้รัฐบาลพิจารณาอนุญาตการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างเวลา 14.00 ถึง 17.00 น. และการขาย แอลกอฮอล์ผ่านช่องทางออนไลน์

โดยนายกวี กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯร่วมกันยื่นหนังสือถึงตัวแทนรัฐบาลเพื่อขอให้รัฐบาลพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย 2 เรื่องที่เกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเร่งด่วน เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทประเทศที่เปลี่ยนไป การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. ตามประกาศฯ นั้นทำให้สถานประกอบการทั้งหลายเสียโอกาสในการประกอบธุรกิจ อีกทั้งยังส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย ดังนั้นทางเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการฯ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาปรับปรุงแก้ไขประกาศฯ โดยเร่งด่วน ให้การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างเวลา 14.00-17.00 น. สามารถกระทำได้ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจร้านอาหารและค้าปลีกที่ให้เติบโตขึ้น อีกทั้งเพื่อให้การขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์สาขาการท่องเที่ยวและสาขาอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล

เมื่อถามถึงการห้ามขายออนไลน์นั้น นายณัฐชัย กล่าวว่า การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ในลักษณะเด็ดขาดดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันตามประกาศฯ ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการค้า และนโยบายการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการฯ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาปรับปรุงกฎหมายการค้าการห้ามขายออนไลน์เป็นการกำกับการขายออนไลน์  โดยจัดให้มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่ายโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอุปสรรคร้ายแรงต่อการประกอบวิชาชีพของประชาชน และไม่จำกัดสิทธิผู้บริโภคเกินควร

“เครือข่ายผู้ประกอบการฯ ขอบคุณและชื่นชมรัฐบาลในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของประเทศ ครั้งนี้เราหวังว่ารัฐบาลจะพิจารณาอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็นและการขายออนไลน์  ซึ่งทางเครือข่ายผู้ประกอบการฯ พร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนรัฐบาลในการทำงานเพื่อสร้างวัฒนธรรมการประกอบการและการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ เมาต้องไม่ขับต่อไปด้วย” นายณัฐชัย กล่าว.

ส่งออกข้าวไทยปี ’68 เจอศึกหนัก! ราคาตลาดโลกลดฮวบ ออเดอร์สั่งซื้อล่วงหน้าถูกยกเลิก

สถานการณ์ส่งออกข้าวไทยในปี 2568  น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง หลังจากประเทศอินเดียประกาศปลดล็อกส่งออกในยังนานาประเทศ ส่งผลกระทบกับประเทศผู้ผลิต ที่ส่งออกข้าวทั่วโลก ขณะที่ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันราคากับประเทศส่งออกคู่แข่งอื่นๆ  อีกหลายราย 

ชาวนาไทยพอจะลืมตาอ้าปากได้จากการส่งออกข้าวในปีที่แล้ว โดยมียอดปริมาณส่งออกสูงถึง  9.95 ล้านตัน ผลพวงที่ประเทศอินเดียให้ระงับการส่งออกเพื่อบริโภคในประเทศจากปัญหาภัยธรรมชาติ ซึ่งสูงมากในรอบ 6 ปี แต่ในปีนี้ จากการประเมินสถานการณ์ส่งออกข้าวไทยของกรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจะเผชิญกับความท้าทาย และการแข่งขันอย่างหนัก

โดยเฉพาะการปลดล็อคส่งออกข้าวของประเทศอินเดีย หลังจากผ่านพ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ มีผลผลิตเพียงพอ และพร้อมกลับส่งออกเช่นเดิม โดยคาดว่าปีนี้อินเดียจะมีปริมาณส่งออกมากถึง 22  ล้านตันและส่งผลกระทบกับออเดอร์ที่มีการสั่งซื้อล่วงหน้า (ในปี 2567)  มีราคาที่สูงกว่า ราคาซื้อขาย ณ ปัจจุบัน ประเทศผู้นำเข้าทิ้งสัญญาเดิม และชะลอการนำเข้า สร้างความเสียหายให้กับผู้ส่งออกไทยบางรายค้างส่งนับแสนตัน

เรื่องนี้ นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุว่า สถานการณ์ส่งออกข้าวไทยช่วงต้นปี  2568 ว่า ตลาดค้าข้าวโลกปั่นป่วนอย่างหนัก คำสั่งซื้อใหม่หยุดชะงัก เนื่องด้วยปริมาณข้าวทั่วโลกยังอยู่ในปริมาณที่สูง ส่งผลต่อราคาข้าวทั่วโลกลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบการค้าปกติเริ่มมีปัญหา ทั้งจากประเทศผู้นำเข้าหลายประเทศชะลอส่งมอบข้าวในสัญญาเดิม หลายบริษัทเริ่มเห็นการทิ้งสัญญาที่ตกลงไว้เดิมตั้งแต่ปลายปี 2567 เพราะราคาข้าวที่ได้ตกลงกันไว้ช่วงซื้อขายปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 สูงกว่าค่อนข้างมาก

“ที่น่าวิตกคือ ราคาข้าวไทยกลับมาสูงกว่าประเทศคู่แข่งค้าข้าวของโลกในเกือบทุกชนิด และราคาส่งออกข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง 50-60 เหรียญสหรัฐต่อตันแล้ว อย่างข้าวขาว 5% ราคาส่งออกของไทยเฉลี่ย 430-440 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาข้าวส่งออกเวียดนามต่ำกว่า 390 เหรียญสหรัฐต่อตันแล้ว และราคาเวียดนามต่ำกว่าอินเดียแล้วด้วย”

สาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวร่วงรุนแรงและกำลังป่วนระบบการค้าข้าวโลก จากเหตุการณ์สำคัญ คือ ประเทศนำเข้าอย่างอินโดนีเซียหยุดการซื้อข้าว หลังจากราคาข้าวร่วงต่ำลงกว่าที่เจรจาซื้อไว้ ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับผู้ส่งออกไทยบางรายค้างส่งนับแสนตัน

“เดือนมีนาคมนี้ เราจะเจอทั้งสต๊อกเดิมค้างรอระบาย และผลผลิตข้าวรอบใหม่ออกตลาด อินเดียก็เร่งระบาย กำลังเจรจาขายให้กับมาเลเซีย ที่ก่อนหน้านี้ซื้อจากเวียดนามมาก เราประเมินว่าการค้าข้าวและการส่งออกข้าวไทยที่คาดการณ์ปีนี้หวังส่งออกไว้ 7.5 ล้านตัน จะพลาดเป้าแค่ไหน น่าจะชัดเจนในเดือนเมษายน”

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหามาตรการต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือผู้ส่งออก โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ทางกรมการค้าระหว่างประเทศ ได้ออกมาตรการในการช่วยเหลือ โดย อำนวยความสะดวกในการส่งออกข้าวไทย กรมฯ ได้ดำเนินการแล้วในการปรับลดขั้นตอนและระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าว จากเดิมใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 3 วัน เหลือเพียง 30 นาที ซึ่งสามารถดำเนินการได้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งกรมฯ และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจึงคาดการณ์ร่วมกันว่าการส่งออกข้าวไทยในปี 2568 จะมีประมาณ 7.5 ล้านตัน

นอกจากนี้ กรมฯ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสในการขยายช่องทางตลาดของข้าวไทยให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีแผนนำผู้ประกอบการรายเล็กที่มีศักยภาพในการส่งออกข้าวเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจในงาน BIOFACH (เยอรมัน) งาน Natural Products Expo West (สหรัฐอเมริกา) และงาน THAIFEX – Anuga Asia (ไทย) แต่ปัญหานี้ก็คงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาภายใน เพราะเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้

มาติดตามดูว่าส่งออกข้าวไทยในปี 2568 นี้ จะสามารถฟันฝ่าสถานการณ์ความความท้ายทายนี้ได้อย่างไร  และรัฐบาลจะมีมาตรการอื่น ๆ  ออกมาช่วยเหลือและรับมืออย่างไร

ตำรวจปทุมธานีหิ้วไอ้เบลทำแผนชิงทองกว่า 5 ล้านในห้างดังย่านลำลูกกา

ตำรวจปทุมธานีโชว์ฟอร์มเจ๋งตามลากคอโจรชิงทองในห้างห้างบิ๊กซี สาขาลำลูกกาคลองห้ากว่า 5 ล้านบาทหนีลอยนวลไปกบดาน 4 วันแต่ไม่รอด ประวัติเคยก่อคดีมาโชกโชน

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ สภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.จ.ปทุมธานี พ.ต.อ.หฤษฎ์ คำจุมพล ผกก.สส.จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมกันแถลงจับกุมนายฐาปนัส หรือ เบล อายุ 38 ปี ชาวจังหวัดสงขลา ตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรีที่ 117/2568 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ในข้อหา”ชิงทรัพย์

ทั้งนี้ จับได้พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟสีดำ-แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 2. จับกุมผู้ต้องหาพร้อมตรวจยึดทอง ได้ 4 รายการก้อนทองหนัก 4 บาท ก้อนทอง หนัก 3 บาท จำนวน 2 ก้อน สร้อยคอทองคำ 1 บาทพร้อมพระ 1องค์ (รวมทอง 11 บาท) จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า ก่อนหน้าวันก่อเหตุทางด้านผู้ต้องหาได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาในห้างดังย่านลำลูกกาก่อน หลังจากก่อเหตุแล้วนำรถจักรยานยนต์ไปทิ้งในคลองรังสิตประยูรศักดิ์ แถวคลองหกธัญบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและสามารถตรวจยึดเอาไว้ได้

จากการตรวจสอบประวัติพบว่า ปี 2558 ลักทรัพย์นายจ้าง สน.ดอนเมือง ปี 2559 ลักทรัพย์นายจ้าง สน.ดอนเมือง ปี 2559 เสพยาเสพติด สภ.เมืองสงขลา ปี 2561 เสพยาเสพติดฯ สภ.แม่จัน เชียงราย และยังพบประวัติการกระทำผิด สภ.เมืองสงขลา คดีวิ่งราวทรัพย์ จำนวน 3 คดี

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเสร็จได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่ห้างทองห้างแห่งหนึ่ง สาขาลำลูกกาคลองห้า ตำบลบึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยชี้จุดจอดรถมอเตอร์ไว้ที่บริเวณที่จอดรถใต้อาคาร ก่อนที่จะเดินไปขึ้นบันไดทางด้านทิศใต้ แล้วเดินมาอ้อมตรงเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อนเมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงได้เดินเข้าไปชิงทองมา ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้หลบหนีไปพร้อมทั้งนำหมวกไปทิ้ง ก่อนที่จะนำรถ จยย ที่ใช้ก่อเหตุเอาไปทิ้งลงคลอง พร้อมทั้งได้ไปตัดผม เผื่อเปลี่ยนทรงผมเพราะเห็นตัวเองออกข่าวในสื่อ

พล.ต.ท.อัครเดช  เปิดเผยว่า จากการกำชับข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ให้เร่งปราบปรามจับกุมผู้ก่อเหตุอาชญากรรมทุกรูปแบบ วันนี้ได้รับรายงานว่า บก.ป.ร่วม กับ บก.สส.ภ.1 ได้จับกุมผู้ต้องหา ชิงทรัพย์ ร้านทองแห่งนี้ จับกุมนาย ฐาปนัส จากการสอบสวนขยายผล ถึงทองคำ ที่ถูกประทุษร้าย จากการตรวจยึดทอง ได้จากบ้านภรรยาของนายฐาปนัส ได้ทอง จำนวน 52 เส้นนำหนักประมาณ 50 บาท ที่ อ.เมือง จ.สงขลา จับกุมผู้ต้องหาพร้อมตรวจยึดทอง ได้ 4 รายการ คือ(1.)ก้อนทองหนัก 4 บาท (2.)ก้อนทอง หนัก 3 บาท จำนวน 2 ก้อน (3.)สร้อยคอทองคำ 1 บาทพร้อมพระ 1องค์ รวมทอง 11 บาท(4.) ทองส่วนที่เหลือนำไปฝากให้นายทิวอายุ 25 ปี และนายบอย ไม่ทราบชื่อสกุล (อยู่ด้วยกันกับนายทิว) ให้การว่า ติดต่อนายทิว ทางเฟสด้วยการโทร นัดหมายที่ตลาดนัดข้างห้างแห่งหนึ่ง จากนั้นส่งทองให้นายทิวและ นายบอย ไม่ทราบชื่อสกุล คนละ 1 กำมือ ไม่รู้จำนวนเส้นและน้ำหนัก ช่วงเวลา 13.00-15.00 น. จากนั้นเดินขึ้นสะพานลอยไปฝั่งตรงข้าม ขึ้นรถแท็กซี่ไปย่านดินแดง เพื่อหลบหนีต่อไป

ด้าน พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ 1 กล่าวว่า คดีนี้เกิดเหตุมาตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. ทางผู้ต้องหาได้เข้ามาชิงทรัพย์เป็นทองจำนวน 113 บาท มูลค่า 5.4 ล้านบาท หลังจากนั้นได้ใช้ยานพาหนะ แล้วหลบหนีไป โดยใช้เวลาติดตามจับกุมตัวทั้งหมด 4 วัน ในส่วนของการสืบสวนติดตามคนร้ายเราได้บูรณาการตำรวจสืบสวนทุกฝ่ายในตำรวจภูธรภาค 1 เราไม่อยากให้คนร้ายกระทำการแบบนี้เพื่อไม่ให้ไปเกิดในที่อื่นอีกเลย กระทั่งตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวคนร้ายได้แทบจะ 100% ซึ่งการสืบสวนครั้งนี้ใช้เวลาไปเพียงแค่ 4 วัน หลังจากการจับกุมเราได้ติดตามยึดของกลางต่างๆ มาตั้งแต่วันแรกและตามยึดเป็นระยะั เมื่อเรารู้ตัวชัดเจนแล้วเราได้ปรับโหมดจากการหาตัวคนร้ายว่า คนร้ายคือใคร กระทั่งจับกุม

จากการสอบสวนปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ตัวคนร้ายเป็นคนหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ขึ้นมาทำงานเคยมีเพื่อนอยู่ในพื้นที่อ.ลำลูกกา ก่อนลงมือดูลาดเลามาเป็นเวลา 3 วัน ดูทางเข้าออกที่สะดวก ดูร้านค้ามีพนักงานกี่คน มีรปภ. กี่คนจุดไหนบ้าง ก่อนได้เริ่มลงมือก่อเหตุ การทำงานไม่ได้เตรียมอะไรมามากหลังจากทำงานเสร็จกล้าหาช่องทางหลบหนีอย่างปลอดภัย ในเบื้องต้นตำรวจได้ยึดของกลางมาจำนวนหนึ่งและของกลางที่เหลือส่งไปให้ภรรยาที่ภาคใต้ก็สามารถยึดคืนมาได้ และมีอีกส่วนนึงที่ผู้ต้องหาอ้างว่านำไปให้เพื่อนตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างติดตามทองที่คนร้ายนำไปจำนำไปฝากเพื่อน เพื่อที่จะรวบรวมให้ได้ครบตามจำนวนต่อไป

ไฟไหม้บ่อขยะเนื้อที่กว่า 45 ไร่อยู่ใกล้ชุมชนเจ้าหน้าที่เร่งระดมรถดับเพลิงสกัดจ้าละหวั่น

เจ้าหน้าที่ระดมรถดับเพลิงดับไฟไหม้บ่อขยะห่างจากชุมชนกว่า 500 เมตร พื้นที่หมู่ที่ 10 ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เนื้อที่กว่า  45 ไร่ พร้อมเร่งหามือเผามาดำเนินคดี

เกิดเหตุไฟไหม้บ่อขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลกบินทร์ (อบต) และพื้นที่หมู่ที่ 10 ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี  เจ้าหน้าที่ได้ระดมรถดับเพลิง รวม 5 คัน  จาก อบต.กบินทร์, อบต.เขาไม้แก้ว ช่วยกันดับไฟที่ไหม้บ่อขยะ แต่ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ เนื่องจากเป็นบ่อขยะขนาดใหญ่ ความสูงกว่า 3.00 เมตร เนื้อที่รวมกว่า  45 ไร่ ตั้งอยู่ห่างชุมชนราว 500 เมตร และใกล้ฟาร์มไก่ 4 -5 ฟาร์ม พบกลุ่มควันและไฟจากบ่อขยะกำลังลุกไหม้หวั่นฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และมลภาพวะทางกลิ่นควันฟุ้งกระจายกระทบชุมชน

นายวินัย นามพิลา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ต.กบินทร์ บอกว่า ได้รับแจ้งไฟไหม้บ่อขยะเมื่อช่วงเช้าจึงลงพื้นที่มาตรวจสอบพบว่าไฟไหม้บ่อขยะ ขณะนี้ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ จึงได้ร่วมกับทางอบต.กบินทร์ ประสานรถแม็คโครเพื่อที่จะมาคุ้ยเกลี่ยดับไฟที่กำลังลุกไหม้บ่อขยะเป็นวงกว้างเพิ่มขึ้น ๆ  เบื้องต้นคาดอาจมาจากความร้อน หรือ ลุกลามจากไฟลามทุ่ง

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุนายวีระพันธุ์  ดีอ่อน ผวจ.ปราจีนบุรี ได้สั่งการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กบินทร์บุรี ส่งทีมงาน พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบหาผู้ทำผิดมาดำเนินคดี 

ข่าว/ภาพ : มานิตย์  สนับบุญ /ทองสุข  สิงห์พิมพ์ ผู้สื่อข่าวจังหวัดปราจีนบุรี

เอกชนหนุนนายกฯ ยกเลิกมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่าย 2-5 โมง

ผู้ประกอบการหนุนนายกฯ พิจารณายกเลิกมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่าย 2-5 โมง เพื่อสร้างเศรษฐกิจ ย้ำ “เมาต้องไม่ขับ” พร้อมสนับสนุนบังคับใช้กฎหมาย

หลังจากที่รัฐบาลดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งทำการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ทันสมัย โดยทางฝั่งผู้ประกอบการได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมาตราการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น. มาโดยตลอดนั้น ล่าสุด ในบรรยากาศที่ร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการวิสามัญ กำลังเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ตัวแทนผู้ประกอบการได้ร่วมกันแสดงจุดยืนสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกมาตรการห้ามขายในช่วงเวลาดังกล่าว

นายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย กล่าวว่า มาตรการห้ามขายในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. นั้นมีที่มาจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 พ.ศ.2515 ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร จุดเริ่มต้นของมาตรการนี้คือรัฐต้องการป้องกันไม่ให้ข้าราชการดื่มในเวลาทำงานราชการ ซึ่งปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว และทุกวันนี้ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว มาตรการ 14-17 จึงสร้างผลกระทบที่เห็นได้ชัด จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวนเปลี่ยนแปลงมาตรการที่มีอายุมากว่า 50 ปี ซึ่งผู้ประกอบการขอสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้

“มาตรการห้ามขายนั้นมีอยู่ในทุกประเทศ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีลักษณะฟันหลอแบบประเทศไทย กล่าวคือ ประเทศไทยมีการห้ามซื้อขายเวลา 14.00 – 17.00 น. คนไทยซึ่งคุ้นเคยและปรับตัวได้แล้ว สามารถซื้อก่อนเวลาหรือซื้อตุนไว้ได้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงแล้วไม่ได้เตรียมตัวมา ก็อาจจะไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ตั้งใจไว้” นายกวี กล่าว 

นายกวีกล่าวด้วยว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นสร้างรายได้จากการขายให้กับเศรษฐกิจไทยราว 6 แสนล้านบาท และภาครัฐมีรายได้จากภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีละ 1.5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ฝั่งผู้ประกอบการนั้นก็ตระหนักเช่นกันถึงเรื่องต้นทุนทางสังคมและประเด็นที่คนห่วงกังวล อาทิ ความกังวลว่าจะมีเยาวชนเป็นนักดื่มไหม นี่คือเรื่องที่ฝั่งผู้ประกอบการเห็นตรงกับฝ่ายที่กังวล ทั้งนี้โดยส่วนตัว ตนไม่รู้จักใครเลยในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตั้งเป้าว่าจะทำอย่างไรให้เยาวชนมาดื่ม ส่วนเรื่องเมาแล้วขับซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของนั้น ฝั่งผู้ประกอบการก็อยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ก็หวังว่าทุกภาคส่วนจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้

ด้าน นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมาประเทศไทยตั้งเป้าตั้งเป้าหมายด้านรายได้จากการท่องเที่ยวไว้ที่ 3 ล้านล้านบาทจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน ส่วนเป้าหมายของปี 2568 นี้คือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน ซึ่งคนเหล่านี้จะนำรายได้มาสู่ประเทศไทย อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้รับเสียงสะท้อนจากนักท่องเที่ยวว่ามีอุปสรรคในการหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

“ในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นความพยายามของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายและทำแคมเปญต่างๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง แต่ยังคงมีกฎหมายและมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยที่เปลี่ยนไปอีกหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างเวลา 14.00 – 17.00 น. เราผู้ประกอบการเห็นร่วมกันว่ามาตรการห้ามขายในเวลาดังกล่าวควรถูกยกเลิกได้แล้วและขอสนับสนุนให้รัฐบาลพิจารณาโดยไม่จำเป็นต้องรอพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว

นายเทียนประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มีข้อมูลจากงานศึกษาที่บอกว่า นักท่องเที่ยวยุโรปที่เข้ามาในประเทศอาเซียนนั้นมีงบประมาณสำหรับอาหารและเครื่องดื่มราว 250 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยจากข้อมูลนี้จะเห็นว่าหากประเทศไทยให้ทางเลือกในการใช้จ่ายกับนักท่องเที่ยวเหล่านี้ได้ ก็จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มาก ซึ่งในฝั่งของโรงแรมนั้น ผู้ประกอบการโรงแรมต้องการให้โรงแรมเป็นพื้นที่ผ่อนปรนที่นักท่องเที่ยวสามารถดื่มได้ตลอดเวลา เพราะว่านักท่องเที่ยวนั้นไม่ต้องขับรถ และผู้ประกอบการไทยนั้นก็สามารถดูแลแขกของโรงแรมได้

ส่วน น.ส.ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์) และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นในการปฏิรูปกฎหมายและนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ในวันนี้ก็คือ การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำกฎหมาย ซึ่งการยกเลิกมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างเวลา 14.00 – 17.00 น. ก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเสนอและถูกรับฟัง 

“หากรัฐบาลยกเลิกมาตรการห้ามขาย คนที่จะได้ประโยชน์คือผู้ประกอบการรายย่อย เช่นร้านอาหารเล็กๆ หรือร้านเครื่องดื่มกลางคืนที่เปิด 5 โมง ปิดเที่ยงคืน ร้านเหล่านี้ก็จะสามารถใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์ได้จากขยายเวลาเปิดช่วงกลางวัน ทุกวันนี้บางร้านเปิด 11 โมงแล้วก็ต้องเบรกเพราะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ แต่หากพวกเขาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วงกลางวันก็ไม่ต้องตอบลูกค้าว่าจะขายหรือไม่ขาย ร้านรายย่อยเหล่านี้ก็จะมีตัวเลือกในช่วงเวลาเปิดทำการมากขึ้น สามารถปิดเร็วขึ้นได้ด้วยซ้ำเพราะขายได้ยอดแล้ว คนดื่มกลับบ้านไวก็มีทางเลือกในการใช้ขนส่งสาธารณะกลับบ้านได้ ส่วนในภาคการท่องเที่ยวนั้นก็จะได้การตอบรับที่ดีมาก ซึ่งแน่นอนว่าผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยคือหน้าด่านหลักที่ดูแลนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว”  น.ส.ประภาวี กล่าว

น.ส.ประภาวี กล่าวต่อไปว่า ส่วนความกังวลที่ว่าการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มโอกาสที่คนจะดื่มมากขึ้นไหม นี่คือสมการที่พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะทุกคนก็รู้ว่ามีร้านโชว์ห่วยที่เปิดทั้งวันหรือมีคนเข้าห้างไปซื้อตุนไว้ ทั้งนี้ เราสามารถลองทำดูก่อนได้โดยขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 6 เดือน – 1 ปี แล้วดูว่ายอดขายโตขึ้นผิดหูผิดตาไหม ถ้ายอดดื่มโตขึ้นขนาดนั้นจริงๆ ก็มาปรับกันได้ 

“อยากให้รัฐบาลเชื่อใจผู้ประกอบการ เชื่อใจประชาชน ให้พวกเราได้มีส่วนร่วมในการสร้างเศรษฐกิจไทย รัฐบาลมีงานหนักอยู่แล้ว การเปิดโอกาสให้ประชาชนคือการแบ่งเบาภาระให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการอยู่แล้ว เชื่อใจพวกเราเถิด เพราะว่าเราต่างก็ต้องการชีวิตที่ดี” น.ส.ประภาวี กล่าวทิ้งท้าย.

สุดปัง!เกษตรกรโคราชปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ส่งออกออก สร้างรายได้กว่า 4 ล้าน

เกษตรกร อ.บัวลาย อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ส่งออกต่างประเทศปีละกว่า 70 ตัน สร้างรายได้กว่า 4 ล้าน พร้อมตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมะม่วงบัวลายเพื่อการส่งออก ลงนาม MOU ซื้อขายมะม่วงล่วงหน้ากับบริษัทเอกชน สร้างความมั่นใจให้เกษตรกร เผยจุดเด่นมะม่วงบัวลาย หวาน หอม อร่อย

นายทองล้วน แก้วไพฑูรย์ อายุ 60 ปี เกษตรกรบ้านศาลาดิน หมู่ที่ 7 ตำบลโนนจาน อำเภอบัวลาย จังหวัดนครราชสีมา ได้ใช้พื้นที่ 80 ไร่ลงทุนปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จำนวนกว่า 4,800 ต้น โดยให้ระบบน้ำสปริงเกอร์ ใช้ระยะเวลาปลูกเพียง 3 ปีสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกจำหน่ายได้

เกษตรกร บ้านศาลาดิน บอกว่า ขั้นตอนการปลูกมะม่วงนั้นง่ายไม่ยุ่งยาก ใช้ต้นพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ปลูกห่างกันประมาณ 4 เมตร ให้น้ำสปริงเกอร์ เมื่อมะม่วงอายุได้ 3 ปีจะมีบางต้นเริ่มติดผลบ้างแล้ว และพอใกล้ถึงฤดูหนาวจะคอยสังเกตและคาดการณ์ระยะเวลาว่ามะม่วงน่าจะออกช่อดอก จึงหยุดให้น้ำเป็นเวลา 2 สัปดาห์ และให้เด็ดทิ้งเหลือช่อละเพียง 2-3 ผล แล้วห่อด้วยถุงคาร์บอน หลังจากนั้นสามารถเก็บผลผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองส่งขายได้ ซึ่งส่งขายในราคากิโลกรัมละ 70-100 บาท ตามขนาดของผลมะม่วง

ในแต่ละปีสามารถเก็บมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองส่งขายได้ ปีละกว่า 10-20 ตัน ซึ่งปัจจุบันได้ตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมะม่วงบัวลายเพื่อการส่งออก โดยมีสมาชิกในกลุ่ม 14 ราย มีพื้นที่เพาะปลูกมะม่วงทั้งหมดกว่า 400 ไร่ ส่งออกต่างประเทศมาแล้วปีละกว่า 70 ตัน เป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท วันนี้จึงได้ลงนามความร่วมมือ MOU ซื้อขายมะม่วงล่วงหน้ากับบริษัทเอกชน เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้มั่นใจว่าสามารถขายผลผลิตของตนเองได้อย่างแน่นอน พร้อมมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพผลผลิตเพื่อการส่งออกให้มากที่สุด ซึ่งจุดเด่นของมะม่วงน้ำดอกไม้บัวลาย คือเนื่องจากพื้นที่เป็นดินทรายละเอียดทำให้มะม่วงมีรสชาติหวาน หอม อร่อย