มหกรรมอาหารทะเลสตูลสุดยิ่งใหญ่! “มรกตอันดามัน มหัศจรรย์อาหารอร่อย” ครั้งที่ 17

มหกรรมอาหารทะเลสตูลสุดยิ่งใหญ่! เนรมิตดงทิวลิปแรกอันดามันกลางเมืองละงู พร้อมเสิร์ฟความอร่อย 120 ร้านดัง มรกตอันดามัน มหัศจรรย์อาหารอร่อย  ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 10-16 กุมภาพันธ์ 2568

จังหวัดสตูลเตรียมจัดงานเทศกาลอาหารอย่างยิ่งใหญ่  โดยที่บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล  ประกาศความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน “มรกตอันดามัน มหัศจรรย์อาหารอร่อย” ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 10 – 16 ก.พ.2568 นี้

ทั้งนี้ความพร้อมในครั้งนี้ได้เชิญ นางสาวดุษฎี พฤกษเศรษฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล , นายวริช วิชิต รองผอ.ททท.สำนักงานสตูล , นางสาวภัชกุล ตรีพันธ์  ผอ.ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสตูล , นายธีระพงษ์  คุ่มเคี่ยม  นายอำเภอละงู และนายวิชิต  แช่ลิ่ม  นายกเทศมนตรีละงู เจ้าภาพร่วมแถลงข่าว  ในการจัดงานมาร่วมประกาศความพร้อมที่จะเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวใกล้และไกลมาสัมผัสเสน่ห์ของอำเภอละงู  ผ่านเทศกาลอาหารที่นับเป็นครัวธรรมชาติของจังหวัดสตูล

ที่มีทั้งกุ้ง  หอย  ปู และปลา ที่พร้อมเสิร์ฟ กับ 120 บูธอาหารที่ขึ้นชื่อมาจัดจำหน่าย  พร้อมกันนี้ได้เตรียมเนรมิตดอกไม้นานาพันธ์มาประทับตกแต่งให้ถ่ายรูปกันอย่างจุใจ  โดยเฉพาะ ดงดอกทิวลิป  ที่เชื่อว่าจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวชมในงานไม่น้อย  พร้อมทั้งการเข้มงวดในมาตรฐานของอาหารให้สด สะอาดปลอดภัยพร้อมทานได้อย่างมั่นใจ  ไปพร้อมกับการรักษาความปลอดภัยที่ทุกฝ่ายมาคอยอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

การจัดงานในครั้งนี้เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างมหาศาล  พร้อมกับการประกาศให้  จ.สตูล  เป็นที่รู้จักไปทั่วถึงความสวยงามของธรรมชาติ ท้องทะเล และวัตถุดิบด้านอาหารที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยตลอด 10 คืนนี้จะมีการแสดงจากชุมชน  และศิลปินมาขับกล่อมทุกค่ำคืน  เชิญชวนทุกคนมาชิม ช้อป และเช็คอิน กระตุ้นเศรษฐกิจ  จ.สตูล

สร้างสุขภาพดี มีรายได้ยั่งยืน “โก โฮลเซลล์” รับซื้อผักออร์แกนิกชาวสวนสงขลา

เมื่อคนเริ่มกลัวการตายแบบผ่อนส่ง! เครือข่ายปลูกผักเกษตรอินทรีย์จึงเข้มแข็ง “โก โฮลเซลล์” รับซื้อผักออร์แกนิก หนุนชาวสวนสงขลา สร้างสุขภาพดี มีรายได้ยั่งยืน

ชื่อของ “เครือข่ายใต้ร่มบุญ เกษตรอินทรีย์” เป็นที่รู้จักและพูดถึงกันในกลุ่มปลูกผักออร์แกนิก และผู้บริโภคปลายทางที่ตามหาสินค้าอินทรีย์จากกลุ่มนี้ เพราะเชื่อมั่นในผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิตจากธรรมชาติ และแนวคิดในการทำเกษตรที่ต้อง win win ทั้งคนปลูก คนขาย คนซื้อ และธรรมชาติ

“จันทร์เพ็ญ เพ็ชรัตน์” หรือ แม่เอียด เจ้าของฟาร์มพ่อไข่แม่เอียด หนึ่งในสมาชิกของเครือข่ายใต้ร่มบุญ เกษตรอินทรีย์ เล่าว่า เห็นเกษตรกรรุ่นปู่ย่าตายาย ป่วยเป็นมะเร็งกันเยอะ ก็หันมาทำเกษตรอินทรีย์ และได้พบคนที่มีแนวคิดเดียวกัน รวมกลุ่มกัน เกิดเป็นเครือข่ายเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม ที่นอกจากผู้ปลูกจะมีหัวใจเดียวกันแล้ว ยังมีภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เข้ามาร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง อาทิ วิสาหกิจชุมชนต่างๆ  เกษตรจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด  พัฒนาที่ดิน  กรมวิชาการเกษตร พาณิชย์จังหวัด ภาคเอกชนต่างๆ ฯลฯ

นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพคนปลูกแล้ว การหันมายึดวิถีปลูกผักออร์แกนิก หรือทำเกษตรอินทรีย์ ยังช่วยในเรื่องสิ่งแวดล้อม ยึดวิถีการทำเกษตรแบบไม่เอาเปรียบธรรมชาติ ซึ่งจะใช้ปุ๋ยหมัก เลี้ยงไส้เดือนเอามูลมาบำรุงดิน ใช้สารชีวภัณฑ์จากธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืช และที่สำคัญยังได้ส่งต่อผลิตผลที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพไปยังผู้บริโภคอีกด้วย

“สิ่งที่ยากสำหรับคนทำเกษตรก็คือ ทำแล้วจะเอาไปขายที่ไหน การที่เรารวมกลุ่มเป็นเครือข่ายทำให้มีความเข้มแข็ง ช่วยกันวางแผนการปลูกร่วมกัน หาตลาดร่วมกัน และช่วยกันขาย จนล่าสุดก็ได้พบกับ โก โฮลเซลล์ ในงานจับคู่ธุรกิจที่จัดโดยพาณิชย์จังหวัด และในเบื้องต้นได้ตกลงรับซื้อสินค้าเกษตรในกลุ่มผัก ไปขายที่ สาขาหาดใหญ่ โดจะเริ่มส่งผัก กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค คอส เบบี้คอส ผักสลัดรวม กวางตุ้ง กวางตุ้งฮ่องเต้ คะน้า เคล เป็นสาขานำร่องก่อน”

นับเป็นการขยายตลาด เพิ่มช่องทางจำหน่าย จากเดิมที่ส่งขายใน โรงพยาบาล ตลาดสด  ทำให้เกษตรกรในเครือข่ายมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเครือข่ายใต้ร่มบุญเกษตรอินทรีย์ มีสมาชิกกว่า 450 คนกระจายอยู่ใน 11 อำเภอของสงขลา ทั้ง หาดใหญ่  คลองหอยโข่ง เทพา สะบ้าย้อย สะเดา จะนะ นาทวี อำเภอเมือง บางกล่ำ รัตภูมิ ควนเนียง โดยมี “มนูญ แสงจันทร์สิริ” หรือ ตานูน เป็นประธาน ฯ

ผักที่ได้จากเกษตรกรกลุ่มนี้ นอกจากจะสด ปลอดภัยแล้ว คนปลูกยังสุขภาพดี ส่วนคนกินก็จะสุขภาพดีไปด้วยเช่นกัน!

พบกับ “ผักอินทรีย์” จากเครือข่ายใต้ร่มบุญเกษตรอินทรีย์ ได้ที่ โก โฮลเซลล์ สาขาหาดใหญ่ (ตรงข้าม ม.อ.)  ที่กำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้

‘สี จิ้น ผิง’ถกนายกฯ’อุ๊งอิ๊งค์’ลั่นจีนพร้อมหนุนไทยปราบแก๊งคอลฯ-ความร่วมมือทั้งสองชาติทุกมิติ

นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ คุย “สี จิ้นผิง” สานสัมพันธ์ครบ 50 ปี ร่วมปราบอาชญากรรมข้ามชาติ ชมไทยตัดน้ำไฟ เพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมยกระดับบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคี-อนุภูมิภาค

วานนี้ 6 ก.พ.2568  เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง) ที่มหาศาลาประชาชน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะนายสี จิ้นผิง (H.E. Xi Jinping) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเดินทางเยือนสาธารณประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-8กุมภาพันธ์ 2568 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าว “สวัสดีปีใหม่จีน” และยินดีที่ได้มาเยือนจีนในปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่พิเศษครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยในปัจจุบัน จีนถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจของไทย และเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 อีกทั้งจีนยังเข้ามาเป็น นักลงทุนอันดับต้นๆของไทยต่อเนื่องหลายปี มูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนให้เห็นว่าไทย-จีน มีมิติทางความสัมพันธ์เป็นพิเศษ ทีั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจะร่วมส่งต่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันต่อไปอีก 50 ปีข้างหน้า เพื่อสานต่อความร่วมมือไปยังคนรุ่นต่อไป

ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 50 ปี ไทย-จีน มีหลักการและวิสัยทัศน์ความร่วมมือในการแบ่งปันความเจริญรุ่งเรือง (shared prosperity) ซึ่งจีนยังสนับสนุนบทบาทไทยในทุกกรอบความร่วมมือทั้งระดับทวิภาคี พหุภาคีและภูมิภาค ซึ่งยังเห็นควรขยายความร่วมมือในด้านต่างๆ ทั้งการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เศรษฐกิจดิจิทัล เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการใช้ประโยชน์ความร่วมมือเศรษฐกิจ ไทย ลาว จีน อีกทั้งจีนยังส่งเสริม ภาคเอกชนไทยในทุกมิติ ทั้งนี้ประเทศจีนจะมีการจัดงาน“ China International Import Expo ”ซึ่งถือเป็นงานสำคัญของการค้าขายระหว่างกัน ซึ่งจีนยังสนับสนุนสินค้าและบริการที่ดีของไทย มาที่ประเทศจีนส่วนความร่วมมือในด้านยุทโธปกรณ์ทางทหารนั้น ไทย จีนมีจุดเริ่มต้นจากโครงการเรือดำน้ำอีกด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในความร่วมมือ ด้านความเชื่อมโยงระหว่างไทย-จีน โดยรัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรี (4 ก.พ. 2568) ที่ผ่านมาอนุมัติดำเนินการโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย รวมทั้งจะให้การรถไฟแห่งประเทศ ยกระดับความร่วมมือด้านการรถไฟ ระหว่างไทยและจีน ให้เพิ่มเติมมากกว่าระบบรางอีกด้วย นอกจากนี้ไทยยังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการ Entertainment complex และ Land bridge ซึ่งจะเป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดทำมาตรฐานร่วมกันในการจัดการ ณ ด่านศุลากร เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ใช้เหลือผู้ประกอบการทั้งไทย-จีน รวมทั้งเพื่อประโยชน์ ของผู้บริโภคจีนด้วย

“ด้านความปลอดภัยของประชาชน และนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุด ซึ่งไทยพร้อมเดินหน้าความร่วมมือกับจีนในการสะกัดกั้นกระบวนการอาชญากรรมที่เดินทางผ่านประเทศไทยและจะเตือนภัย ผ่านกลไกความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้เป็นที่น่ายินดีที่ทั้งสองฝ่าย รวมถึงประเทศที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค ได้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการ call center อย่างจริงจังแล้วในปัจจุบัน”นายกรัฐมนตรี กล่าว

โดย ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง กล่าวว่า “จีนสนับสนุนอย่างเข็มแข็งในการปราบปราม ขบวนการหลอกหลวง( online scam ) การลักพาตัว การค้ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ของประชาชนจีน เป้าหมายหลักของทั้งสองประเทศ คือ การปราบปรามกิจกรรมผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาจีนได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและท้องถิ่นสามารถปราบปรามยาเสพติด จนประสบความสำเร็จ โดยอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นความท้าทาย มีความเสี่ยงสูง และชื่นชมรัฐบาลไทยที่พยายามอย่างเต็มที่และเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะการตัดน้ำ ไฟ อินเตอร์เน็ตและน้ำมัน ที่จะสามารถตัดวงจรกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมต่างๆ ได้ และเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม จะดูแลความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฏหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค

ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง กล่าวว่า ส่วนการยกระดับความร่วมมือในระดับประชาชน อาทิ​ การจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ 50 ปี ไทย -จีน ในการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ร่วมทั้งการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนการแสดงวัตถุโบราณ การส่งมอบแพนด้ายักษ์ รวมไปถึงการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการให้ทุนการศึกษา และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและ soft power เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งในด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมและสื่อวัฒนธรรมสมัยใหม่ ความร่วมมือด้านสื่อ วัฒนธรรม เพื่อส่งต่อความร่วมมือจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมมือกัน

จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้แสดงความยินดีที่ไทยและจีนเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะในสาขาแห่งอนาคต เนื่องจาก “คน” ถือเป็นอนาคตของประเทศและความสัมพันธ์ไทย – จีน นอกจากนี้ ไทยยังมุ่งส่งเสริมและแลกเปลี่ยนด้านการศึกษา วัฒนธรรม soft power เพื่อสร้างรากฐานที่เข้มแข็งให้แก่ประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมหารือครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ยังเห็นพ้องกันที่จะสนับสนุนบทบาทของทั้งสองประเทศ ในเวทีระหว่างประเทศ อาทิการส่งเสริมบทบาทขององค์การสหประชาชนชาติ UN ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาความร่วมมือของโลก เพื่อความร่วมมีอทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม การส่งเสริมการเป็นแกนกลางของอาเซียน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีจีนยังยินดีที่ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกประเทศ หุ้นส่วนของ BRICS พร้อมมั่นใจว่า นายกรัฐมนตรีจะประสบความสำเร็จในการเยือนนี้ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรให้การแข่งขันเอเชียนเกมส์ฤดูหนาวครั้งที่ 9 ประสบความสำเร็จ

ชื่นชม!ตร.คลองหลวงฮีโร่ช่วยนศ.สาวถูกแก็งคอลเซ็นเตอร์กักตัวรีดเกือบ1.5ล้าน

จากกรณีเพจบิ๊กเกรียนได้โพสข้อความแจ้งข่าวแก็งคลอเซนเตอร์ลวงนักศึกษามธ.ศูนย์รังสิต ไปกักตัวหลอกให้โอนเงินไปเกือบ1.5 ล้านบาท

ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่สภ.คลองหลวง พบ พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง กล่าวว่า คืนนี้วันที่ 6 ก.พ.เวลาช่วงประมาณตี 2 ได้มีผู้ปกครองของนักศึกษาปี3 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาแจ้งว่า น้องได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโดยที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสภ.คลองหลวงก็ได้ออกติดตามต่อเนื่องถึงตี4แล้วมาจนถึงเวลา10โมงเช้าพบน้องนักศึกษาและอยู่อย่างปลอดภัย

กรณีนี้ไม่มีการกักขังแต่ตัวน้องได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงโดยโทรศัพท์มาบอกว่าเป็นเครื่อข่ายของทรูมูฟโทรมาบอกว่าซิมของน้องนักศึกษาเป็นซิมโทรศัพท์ที่ใช้ผิดกฎหมายและก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจป่าตองที่ภูเก็ตมาหลอกให้น้องโอนเงิน และบอกให้น้องไปซ่อนตัวโดยบอกว่าคนที่เอาบัญชีน้องไปใช้ รู้ตัวแล้วว่าน้องอยู่ที่ไหนและจะเข้ามาทำร้าย และตัวน้องก็เกิดความกลัวจึงได้รถนั่งแท็กซี่ไปเช่าหอพักแห่งหนึ่งอยู่เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้าย

นอกจากนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็โทรไปขู่พ่อกับแม่น้องนักศึกษาว่าจะทำร้ายน้องให้โอนเงินไปจำนวนเงิน3แสนบาทจึงจะปล่อยตัวน้องกลับมา แต่พ่อกับแม่น้องอยู่กับตำรวจแล้วจึงไม่ได้มีการโอนเงินให้ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสภ.คลองหลวงก็ได้ไปช่วยตัวน้องได้อย่างปลอดภัยและเมื่อตรวจสอบภายในห้องก็พบว่าน้องอยู่แค่คนเดียวไม่มีใครอยู่ในห้อง ส่วนที่เงิน1.5 ล้านบาทที่ถูกหลอกไปนั้นช่วงชักหวะที่น้องคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ได้หลอกให้โอนเงินไปจำนวนหลายครั้ง จำนวน5บัญชี เป็นจำนวนเงิน1,490,000 บาท 4 ซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้โทรหลอกน้อง

โดยทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกว่าเป็น บริษัททรูมูฟและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจป่าตองซึ่งเป็นตำรวจปลอมและก็วีดีโอคลอคุยกับน้องผู้เสียหายโดยเปลี่ยนกันมาคุยหลายคน ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วตั้งแต่ตี2 เมื่อที่เราได้รับแจ้งจนถึงเวลาตี4 ที่เข้าช่วยเหลือน้องนักศึกษาสาวได้อย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องของคดีความก็ได้ทำการอายัดบัญชีทั้งหมดและสอบปากคำผู้เสียหายจำนวน5บัญชี4 ซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้โทรหลอกน้อง

เหยื่อแห่ร้อง ปอศ.โดนท้าวแชร์“บ้านแม่อัง”เชิดเงินกว่า 30 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 ก.พ.68 ที่ริมฟุตบาท ถนนพหลโยธิน บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เขตจตุจักร กทม.กลุ่มผู้เสียหายจำนวน 40 คนจาการเล่นแชร์วง“บ้านแม่อัง” เดินทางเข้าพบ พงส.บก.ป. ที่ล้มวงแชร์ ไม่รับผิดชอบลูกแชร์ทั้งแชร์รายเดือน รายสัปดาห์ และ รายวัน อ้างถูกลูกแชร์โกง ต้องแบกรับจ่ายเงินแทนวันละนับล้านบาทไม่ไหว ก่อนจะประกาศล้มวงแชร์ทั้งหมด มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

นางเยาว์ (สงวนนามสกุล)อายุ 35 ปี ตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนรู้จัก น.ส.อัง ท้าวแชร์“บ้านแม่อัง” รายนี้จากเพื่อนที่เล่นแชร์อยู่ก่อนชักชวนเข้าไป เห็นเขาเป็นท้าวแชร์มาหลายปีแล้ว เพิ่งเล่นได้แค่ 3 เดือนท้าวแชร์ก็ประกาศล้มวง เดิมเขามีแชร์วงรายสัปดาห์ รายเดือน รายปี  ก่อนจะมาเปิดเล่นแชร์รายวันได้แค่ 4-5 เดือน เวลาส่งเงินก็จะโอนผ่านบัญชีธนาคารของท้าวแชร์คนเดียว มีคนที่เคยเล่นแชร์กับเขานานสุดกว่า 4 ปีแล้ว จึงมีคนเชื่อถือว่าจะไม่โดนโกง เดิมเข้าเคยแจ้งว่าได้เปิดวงแชร์อยู่ประมาณ 160 วง ก่อนจะมาเปิดแชร์รายวันแบบขั้นบันได ไม่ต้องเปีย รอถึงคิวเขาก็จะโอนเงินกลับคืนให้ลูกแชร์ตามลำดับ เพิ่งมาเปิดแชร์รายวันวงละ 8 หมื่นถึง 1 แสนบาท เพิ่มวันละ 5-10 วงทุกวัน ใช้วิธีการปิดต้นทั้งหมด ไม่ได้จ่ายเงินเหมือนแชร์วงตามปกติทั่วไป  ให้ลูกแชร์รอรับเงินก้อนทีเดียว เขาอ้างเหตุผลว่าเก็บเงินไม่ได้ จึงไม่มีจ่ายลูกแชร์รายอื่นๆ ทำให้เกิดความเสียหายมูลค่าสูงถึง 30 กว่าล้านบาท

ด้าน น.ส.เพ็ญ อายุ 49 ปี ลูกแชร์อีกรายเปิดเผยว่าพวกตนได้มาแจ้งความ พงส. กก.2 บก.ป.เมื่อ 26 ธ.ค.ให้ดำเนินคดีกับนางอัง ท้าวแชร์รายครั้งหนึ่งแล้ว ตนรู้จักกับนางอังคณา ท้าวแชร์ตอนที่ทำงานเป็นพนักบริษัทเดียวกัน เขาเปิดรับเล่นแชร์วงมานาน 2-3 ปีแล้ว ชักชวนให้ตนเล่นแชร์วงด้วยกันมาตลอด  เพิ่งลงเล่นด้วย เมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว เป็นแชร์รายเดือน ได้ค่าตอบแทนมาตลอด จนเมื่อ 19 พ.ย.ท้าวแชร์ตั้งวงรายวัน เห็นว่าน่าจะได้ผลตอบแทนดี จึงลงเล่นด้วยจำนวน 10 วงๆ ละ 36 มือ ซึ่งจะได้ผลตอบแทนเป็นขั้นบันได รวมส่งเงินไปทั้งสิ้น 433,600 บาท ผ่านไปแค่เดือนเดียว วันที่ 21 ธ.ค. ท้าวแชร์ประกาศล้มวงทั้งหมด อ้างว่าถูกลูกแชร์โกง ไม่ยอมส่งค่าแชร์ ต้องแบกภาระจ่ายแทนวันละ 1 ล้านบาท ซึ่งวันที่มาพบ พงส.บก.ปอศ.ได้ให้ตัวแทนผู้เสียหาย 2 คนอยู่ให้ปากคำถึง 3 ทุ่ม ให้คนอื่นๆ กลับบ้านไปก่อน พวกเราร้อนใจเกรงว่าคดีจะขาดอายุความ จึงปรึกษาจ่าคิงส์ให้พามาพบ พงส.วันนี้อีกครั้ง

ต่อมา ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง  ตัวแทนผู้เสียหาย 5 คน ที่เข้าพบ พงส.บก.ปอศ. ลงมาแจ้งให้ผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่รออยู่ด้านล่างตัดสินใจว่าคดีนี้จะดำเนินคดี“แม่อัง”ท้าวแชร์รายนี้ฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นคดีอาญา ทางตำรวจจะทำคดีฟ้องหมู่ให้ หรือ ถ้าเลือกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.แชร์ฯ ก็แนะนำให้ตั้งทนายฟ้องศาลได้ทันที

ป่วนนราธิวาส!คาร์บอมบ์สนั่นทต.รือเสาะ หลังจัดพิธีต้อนรับตำแหน่ง นายกฯ คนใหม่

นราธิวาส- เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์รถกระเช้าในเทศบาลตำบลรือเสาะ หลังจัดพิธีต้อนรับตำแหน่ง นายกเทศมนตรีคนใหม่ แทน นายวิเชษฐ์ ไทยทองนุ่ม นายกเทศมนตรีตำบลรือเสาะ (ทต.รือเสาะ) หรือนายกอาร์ม ที่ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต

ร.ต.อ.คมสัน ทีฆกาญจน์ สารวัตรสอบสวน สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ได้รับแจ้งเมื่อเวลา 12.33 น. วันที่ 6 ก.พ. 68 มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นภายในอาคารที่จอดรถ ซึ่งอยู่ด้านหลังของอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองตำบลรือเสาะ ม.10 ต.รือเสาะ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมร่วมเดินทางไปที่เกิดเหตุกับ พ.ต.อ.ศุภชัย ศุภกิจจารักษ์ ผกก.สภ.รือเสาะ และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่ง รุดเดินทางไปตรวจสอบ

ระเบิดคาร์บอมบ์สนั่น เทศบาลตำบลรือเสาะ หลังจัดพิธีต้อนรับตำแหน่ง นายกฯ คนใหม่

ที่เกิดเหตุ พบเพลิงกำลังโหมลุกไหม้รถกระเช้า 6 ล้อ ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีส้ม ทะเบียนตราโล่เทศบาล 0571 ที่จอดไว้คันที่ 2 นับจากด้านซ้ายมือในจำนวน 5 คัน ที่อยู่ในอาคารที่จอดรถของสำนักงานเทศบาลฯ โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลรือเสาะ ใช้รถดับเพลิง จำนวน 3 คัน ระดมฉีดน้ำดับไฟ ที่กำลังลุกลามไปยังรถยนต์อีก 4 คัน ที่จอดอยู่ด้านหน้า ด้านซ้ายมือกับขวามือของรถกระเช้า และเรือติดเครื่องยนต์อีก 1 ลำ รวมเป็น 4 คัน 1 ลำ โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถควบคุมต้นเพลิงเอาไว้ได้

ระเบิดคาร์บอมบ์สนั่น เทศบาลตำบลรือเสาะ หลังจัดพิธีต้อนรับตำแหน่ง นายกฯ คนใหม่

ต่อมา นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รอง ผวจ.นราธิวาส พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.นิยม สุวรรณคง ผกก.สส.ภ.จว.นราธิวาส ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ

ระเบิดคาร์บอมบ์สนั่น เทศบาลตำบลรือเสาะ หลังจัดพิธีต้อนรับตำแหน่ง นายกฯ คนใหม่

พบรถยนต์กระเช้า 6 ล้อ สีส้ม ทะเบียนตราโล่เทศบาล 0571 ถูกอนุภาพของระเบิดได้รับความเสียหาย จนถังน้ำมันเชื้อเพลิงกระเด็นหลุดออกมาจากตัวรถ ส่วนรถยนต์ 6 ล้อ สีฟ้าที่อยู่ด้านซ้ายมือ ยี่ห้อฮีโน่ สีฟ้า ทะเบียน 80-4477 นราธิวาส และรถยนต์กระเช้า 6 ล้อสีส้มอีก 1 คัน ซึ่งอยู่ด้านขวามือ ยี่ห้อฮีโน่สีส้ม ทะเบียน 80-7322 นราธิวาส และคันที่อยู่ด้านหน้าของรถกระเช้าคันที่คนร้ายผูกติดระเบิด ยี่ห้ออีซูซุ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน และเรือติดเครื่องยนต์อีก 1 ลำ ซึ่งอยู่ด้านหน้าคันที่ 3 ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายบริเวณด้านข้างของตัวรถและด้านหลังของห้องโดยสาร รวมไปถึงส่วนของลำเรือ ซึ่งจุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่อง ที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนัก 5 ก.ก. ไม่พบตัวจุดชนวน ตกกระจายเกลื่อนทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ

ระเบิดคาร์บอมบ์สนั่น เทศบาลตำบลรือเสาะ หลังจัดพิธีต้อนรับตำแหน่ง นายกฯ คนใหม่

จากการสอบสวนทราบว่า รถยนต์กระเช้า 6 ล้อ คันที่คนร้ายผูกติดระเบิดเสีย ทางกองช่างได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปซ่อมที่อู่แห่งหนึ่งในเขตเทศบาลตำบลรือเสาะ เมื่อช่างซ่อมแล้วเสร็จได้ขับมาจอดที่ในอาคารที่จอดรถจุดเกิดเหตุ เพื่อทำการส่งมอบหลังจากซ่อมแล้วเสร็จ จู่ๆ ในช่วงเที่ยงกว่าๆ รถยนต์คันดังกล่าวได้เกิดระเบิดขึ้น ซึ่งคาดว่าได้มีกลุ่มคนร้ายได้แอบนำระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนักประมาณ 5 ก.ก. ไม่ทราบตัวจุดชนวนที่แน่ชัด ลอบนำไปผูกหรือตั้งไว้บนถังน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่รถยนต์คันดังกล่าวจอดที่บริเวณอู่ซ่อมรถ โดยที่ทางอู่ไม่ทราบมาก่อนว่ามีระเบิด จึงได้นำไปจอดแล้วเกิดระเบิดขึ้นสร้างความเสียหายดังกล่าว

ระเบิดคาร์บอมบ์สนั่น เทศบาลตำบลรือเสาะ หลังจัดพิธีต้อนรับตำแหน่ง นายกฯ คนใหม่

ผ่านพ้น 9 วันแล้วยังหาไม่พบร่าง คนขับรถตกหลุมยุบที่ญี่ปุ่น

ทีมกู้ภัยของญี่ปุ่นยังพยายามค้นหาตัวคนขับรถบรรทุกที่ตกหายตัวไปในหลุมยุบ โดยผ่านไป 9 วันแล้วยังหาไม่เจอ พบเพียงวัตถุคล้ายเก้าอี้คนขับอยู่ภายในท่อระบายน้ำ

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ทีมกู้ภัยของประเทศญี่ปุ่นพยายามค้นหาคนขับรถบรรทุกที่ตกหลบยุบโดยผ่านไป 9 วันแล้วก็ยังหาไม่พบ แต่พบวัตถุคล้ายเก้าอี้คนขับรถอยู่ภายในท่อระบายน้ำใต้หลุมยุบกลางถนน ในเมืองยาชิโอะ ซึ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเจ้าหน้าที่กำลังพยายามตามหาคนขับรถบรรทุกที่ตกลงไปในหลุมพร้อมกับเขา

หลุมยุบดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2568 ทำให้คนขับรถบรรทุกวัย 74 ปี ตกลงไปในช่องว่างพร้อมกับรถของเขา โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่ยังสามารถสื่อสารกับชายคนนี้ได้ ก่อนจะขาดการติดต่อไปในช่วงเย็นวันเดียวกัน

ปฏิบัติการค้นหาหลังจากนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากถนนทรุดตัวมากขึ้น ทำให้รถจมลึกลงไปในดินมากขึ้นอีก ขณะที่มีน้ำรั่วจากท่อระบายน้ำจนท่วมหลุมบางส่วน เจ้าหน้าที่พยายามใช้เครนยกรถขึ้นมา แต่ก็ยกขึ้นมาได้เพียงส่วนบรรทุกเท่านั้น ส่วนหัวรถที่คนขับอยู่ยังติดอยู่ในหลุม

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่พบวัตถุคล้ายเก้าอี้คนขับรถในวันพุธ ระหว่างการใช้โดรนดำน้ำค้นหาภายในท่อระบายน้ำ โดยวัตถุดังกล่าวถูกพบอยู่ห่างจากจุดที่เกิดหลุมยุบตอนแรกสุดราว 100-200 เมตร

เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถดำเนินการค้นหาอย่างเต็มรูปแบบได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ท่อระบายน้ำซึ่งทำจากคอนกรีตจะแตก โดยทีมกู้ภัยวางแผนจะนำท่อออกแล้วสร้างทางลาดจุดที่ 2 เพื่อเข้าถึงจุดที่พวกเขาเชื่อว่าคนขับรถรายนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม การค้นหาจะดำเนินต่อไปก็ต่อเมื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความปลอดภัยในพื้นที่แล้วเท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมยุบดังกล่าวคาดว่าเป็นเพราะท่อระบายน้ำใต้ถนนแตกจนน้ำทะลักออกมากัดเซาะพื้นดินถนนทรุดตัว และมีน้ำไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนท่วมหลุมบางส่วน เป็นอุปสรรคต่อการค้นหาของเจ้าหน้าที่ ทำให้ทางการเมืองยาชิโอะต้องเรียกร้องให้ชาวเมืองลดการใช้น้ำ เพื่อไม่ให้น้ำไหลลงท่อ

หลังเกิดเหตุ กระทรวงคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน และที่ดิน ออกคำสั่งให้มีการตรวจสอบระบบท่อระบายน้ำทั่วประเทศแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก

เทคโนโลยี “4n”ความหวังในการจัดการปลาหมอคางดำ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างร่วมมือกัน เพื่อลดประชากรปลาหมอคางดำอย่างจริงจัง  เห็นได้จากมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐเป็นแกนกลางนำดำเนินการ เช่น กิจกรรมลงแขกลงคลองกำจัดปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ การอนุญาตให้ใช้เครื่องมือจับปลาบางชนิดที่ผิดกฎหมาย  จากนั้นปล่อยปลานักล่าตามกำจัดลูกปลาหมอคางดำทันที ฯลฯ หลากหลายความพยายามที่เกิดขึ้น กำลังสร้างผลกระทบเชิงบวก นำไปสู่การผลลัพธ์ในการลดพื้นที่ระบาดของปลาหมอคางดำจาก 19 จังหวัด เหลือ 17 จังหวัดในปัจจุบัน  

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญและจะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวในการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ คือการใช้เทคโนโลยีเหนี่ยวนำโครโมโซม เพื่อทำให้ปลาเป็นหมัน  เป็นไปตามมาตรการที่ 6 จากทั้งหมด 7 มาตรการในการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  วิธีนี้เป็นการนำหลักพันธุศาสตร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อการควบคุมการแพร่ขยายพันธุ์ของมัน

เทคนิคนี้จะเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม จากเดิมที่มีจำนวนชุดโครโมโซมตามธรรมชาติ 2 ชุด หรือ 2n ให้เป็นปลาหมอคางดำที่มีชุดโครโมโซม 4 ชุด หรือ 4n  โดยใช้ความร้อนที่อุณหภูมิ 40 °C เป็นระยะเวลา 5 นาที  จากนั้นจะนำปลาหมอคางดำ 4n เพศผู้ ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเพื่อให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำซึ่งมีชุดโครโมโซม 2n ในธรรมชาติ โดยลูกปลาหมอคางดำที่ได้จากการผสมในลักษณะนี้จะเป็นลูกปลา ที่มีชุดโครโมโซม 3 ชุด หรือ 3n  และเป็นปลาที่มีลักษณะเป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์นี้ไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานการจัดการระบบนิเวศอย่างยั่งยืน เมื่ออธิบดีกรมประมงประกาศความสำเร็จเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2568 มันไม่ใช่แค่ข่าวดี แต่เป็นสัญญาณแห่งความหวังที่จับต้องได้

“มาตรการนี้จะช่วยลดจำนวนปลาชนิดนี้ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ  นับเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมประชากรของปลาชนิดนี้ในอนาคต”  อธิบดีกรมประมงกล่าว ขณะปล่อยปลาหมอคางดำที่ได้รับการเหนี่ยวนำโครโมโซมให้เกิดลูกเป็นหมันลงในแหล่งน้ำ

อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการสร้างปลา 4n จำนวนมากให้เพียงพอ และยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งคาดว่า โครงการนี้จะสัมฤทธิ์ผล ควบคุมประชากรปลาหมอคางดำให้อยู่หมัดได้ภายใน 3 ปี  

เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยในการควบคุมปลาหมอคางดำ แต่ยังมีศักยภาพในการนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ที่ต้องการควบคุมประชากรสัตว์น้ำที่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น การปล่อยปลา 4n ลงในแหล่งน้ำที่มีการระบาดอยู่ ถือเป็นการเดินหน้าอย่างมั่นคง  ช่วยสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ และจะตามด้วยการปล่อยปลาพื้นถิ่นฟื้นฟูระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ต่อไป

ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และหนึ่งในความร่วมมือที่น่าสนใจคือ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ที่ประกาศรับซื้อปลาหมอคางดำในเฟส 2 จำนวน 600,000 กิโลกรัม โดยจะนำไปผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ในสวนยางพารา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นี่คือตัวอย่างที่ดีในการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ที่ทุก ๆ คนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขปัญหานี้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเกินจริง ขอเพียงอย่าให้เสียงจากคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างกระแสสวนทาง มาบั่นทอนกำลังใจของคนทำงานได้เท่านั้นพอ

โดย… นิกร ประกอบดี 

ผู้ว่าฯชลบุรี มอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราวแก้ความยากจน

ผู้ว่าฯชลบุรีเป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราว ตามนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน แก่ผู้ได้รับอนุญาตเพิ่มเติม ตามโครงการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่มีการบุกรุกเพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาชนบท

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ บริเวณอาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนวัดนาจอมเทียน ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราว ตามนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน แก่ผู้ได้รับอนุญาตเพิ่มเติม ตามโครงการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่มีการบุกรุกเพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาชนบท บริเวณปากคลองนาจอมเทียน หมู่ที่ 1 ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายนกุล สมบูรณ์ภัทรกิจ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี นายอนุศักดิ์ พิริยอมร นายอำเภอสัตหีบ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธีฯ

นายธวัชชัย กล่าวว่า จังหวัดชลบุรี ได้ให้ความเห็นชอบโครงการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์ที่มีการบุกรุกเพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาชนบท บริเวณปากคลองนาจอมเทียน ม.1 ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี อำเภอสัตหีบ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน และสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาสัตหีบ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการ มีเป้าหมายดำเนินการในที่ดินสาธารณประโยชน์ แปลง “ป่าฟืนแสม” ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ชบ 0059 จำนวนเนื้อที่ 40-3-07 ไร่

ทั้งนี้ กรมที่ดินได้พิจารณาเห็นชอบและจัดสรรงบประมาณให้จังหวัดชลบุรีดำเนินการรังวัดวางผังแบ่งแปลงที่ดินในโครงการแล้ว จำนวนรวม 182 แปลง  จังหวัดชลบุรีได้ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราวตามนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน จำนวน 107 ราย 107 แปลง หนังสืออนุญาตมีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 18 ต.ค. 60 จนถึงวันที่ 17 ต.ค. 65 คงเหลือแปลงว่าง จำนวน 75 แปลง คณะกรรมการพิจารณาเพื่ออนุญาตให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ จังหวัดชลบุรี ได้ประชุมพิจารณาการขอรับอนุญาตใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ ในการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 67 ได้พิจารณารายชื่อผู้ประสงค์ขอรับอนุญาตใช้ประใยชน์ในที่ดินของรัฐ ซึ่งยอมรับหลักเกณฑ์การจัดที่ดินตามโครงการฯ และผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติโดยเทศบาลตำบลนาจอมเทียนและอำเภอสัตหีบ พร้อมได้ผ่านการรับรองรายชื่อโดยการจัดทำประชาคมแล้ว

จากนั้น คณะกรรมการจึงพิจารณา มีมติอนุญาตให้ประชาชนผู้ยอมรับการจัดที่ดินซึ่งเป็นผู้ผ่านการหลักเกณฑ์การตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองรายชื่อจากการประชุมประชาคมเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราวตามนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน จำนวน 63 ราย 68 แปลง ตามผังแบ่งแปลงที่ดินซึ่งเป็นแปลงว่าง ตามโครงการฯดังกล่าว

ผู้ว่าฯชลบุรี กล่าวว่า จังหวัดชลบุรี ได้ดำเนินการออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราวตามนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน ให้แก่ประชาชนผู้ได้รับอนุญาต จำนวน 63 ราย 68 แปลง มีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 14 ม.ค.68 จนถึงวันที่ 13 ม.ค. 73 เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้กำหนดจัดพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราวแก่ผู้ใด้รับอนุญาตเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อไป

ต้นแบบพระนักพัฒนานำชาวบ้านพลิกที่ดินวัดทำเกษตรพอเพียง สร้างงาน สร้างอาชีพ

นครราชสีมา –”คุณพระทำ” วัดดังโคราชพาชาวบ้าน คนตกงาน ผู้ติดสุรายาเสพติด หันมายึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสร้างงานสร้างรายได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

พระครูโอภาสศีลคุณ เจ้าคณะอำเภอเฉลิมพระเกียรติ และเจ้าอาวาสวัดสมานมิตร บ้านเสม็ด ตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา  ละมีพระครูโกศลวิทยาคมหรือพระอาจารย์ป๋อง ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งในจังหวัดนครราชสีมาและต่างจังหวัด ต่างรู้จักกันดีเพราะทั้งสองรูปเป็นพระนักสร้าง และพัฒนาวัดบนเนื้อที่ 73 ไร่ 3 งาน 94 ตารางวา มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะศาสนสถานวิหารปฏิบัติธรรมสมานมิตรที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปปางมารวิชัยสีขาวสวยงามอลังการ

อีกทั้งภายพระอุโบสถหลังใหม่ยังมีพระพุทธชินราชจำลอง ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้กราบไหว้บูชา และวัดสมานมิตรยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา อีกทั้งยังตั้งอยู่ไม่ห่างจากตัวอำเภอเมืองนครราชสีมามากนัก จึงมีผู้คนแวะเวียนมาทำบุญกันไม่ขาดสาย โดยมีความเชื่อในเรื่องของการมาขอพรให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ค้าขายร่ำรวย อีกทั้งยังมีรูปหล่อองค์ท้าวเวสสุวรรณให้ประชาชนได้กราบไหว้ขอพรอีกด้วย ทำให้วัดสมานมิตรเป็นอีกวัดดังที่ผู้คนนิยมมาทำบุญกันมากในช่วงวันหยุด

แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่ทางวัดสมานมิตรได้ทำคือการพัฒนาคน ที่เป็นปัญหาในสังคมในปัจจุบัน จากแนวคิดของพระครูโกศลวิทยาคมหรือพระอาจารย์ป๋อง ที่มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนไม่ว่าจะเป็นคนตกงาน คนติดสุรายาเสพติด หันหน้ามาเข้าวัด ติดอาวุธทางปัญญา บำบัดรักษา โดยนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการสร้างและพัฒนาบุคคลเหล่านี้ให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม

พระครูโกศลวิทยาคม รองเจ้าอาวาสวัดสมานมิตร กล่าวว่า อาตมาเล็งเห็นความสำคัญจากแนวพระราชดำริของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวงเสด็จพ่อรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านได้ทำเป็นตัวอย่างให้กับประชาชนได้เห็นมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการใช้พื้นที่ที่เราอยู่อาศัยให้เป็นประโยชน์ทุกตารางนิ้ว วัดสมานมิตรก็ได้เดินตามรอยพ่อหลวงได้ใช้พื้นที่เกือบ 74 ไร่ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ โดยชักชวนญาติโยมที่สนใจ ยากจน ว่างงาน ติดสุรา ติดยาเสพติด มาสร้างด้วยการให้ความรู้ ความเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ติดอาวุธทางปัญญา  บำบัดคนที่ติดสุรา ยาเสพติด ด้วยวิธีธรรมชาติให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง และร่วมกันปลูกผักหลายชนิด

เช่น กระเทียม หอมแดง ผักกาด กวางตุ้ง ผักขี้เหล็ก รวมถึงร่วมกันทำนา  เลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ปลา รวมทั้งผลไม้ต่างๆ ตามฤดูกาลคนไหนถนัด เรื่องก่อสร้างก็ไปทำก่อสร้างเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับพวกเขา ด้วยการนำผลผลิตไปวางขายให้กับผู้คนที่มาทำบุญที่วัด และชาวบ้านในหมู่บ้านชุมชนในราคาที่ไม่เเพง แล้วนำรายได้นั้นมาเเบ่งปันให้คนที่มาทำงาน มีอยู่มีกิน มีรายได้ ไม่อดอยากอีกต่อไป ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจมาทำงานที่วัดสมานมิตรแล้วร่วม 40 คน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาสังคมได้อีกทาง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางราชการเพียงอย่างเดียว เป็นการดึงคนเข้าวัด ใช้ธรรมะและธรรมชาติบำบัด

จนขณะนี้ได้มีชาวบ้านที่มีที่ดินใกล้เคียงกับวัด นำแนวคิดนี้ไปขยายผล ไม่ปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่า หลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ถือว่าเป็นผลดีที่มีคนเห็นความสำคัญ และทำให้ชาวบ้านมีรายได้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องไปทำงานที่อื่นหรือไปอยู่ต่างจังหวัด ทิ้งให้ผู้สูงอายุนั่งรอลูกหลานอยู่บ้านเพียงลำพังจนเจ็บป่วย เพราะฉะนั้นจึงฝากถึงญาติโยมว่าเราต้องมีความขยันอดทน อย่าอยู่บ้านเฉยๆ และอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข หันมายึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นแสงสว่างในการดำรงชีวิตเพราะปรัชญานี้ใช้ได้จริงเหมือนที่วัดสมานมิตรทำอยู่ในปัจจุบัน พระครูโกศลวิทยาคม รองเจ้าอาวาสวัดสมานมิตร กล่าว.

โดย…ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ/โคราช