ตำรวจปส.บุกจับหนุ่มจีนลักลอบผลิต”พอตบุรีไฟฟ้า”ผสม”อีโทมิเดท”ขายลูกค้าย่านห้วยขวาง

ตำรวจปราบปรามยาเสพติดบุกจับชายชาวจีน อายุ 30 ปี ที่เปิดโรงงานผลิตพอตบุหรี่ไฟฟ้าผสมสารอีโทมิเดท ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านห้วยขวางยึดของกล่าง กว่า 1,000 ชิ้น และอุปกรณ์การผลิตอีกจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 600,000 บาท

พลตำรวจโท อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า การตรวจค้นครั้งนี้ ขยายผลมาจากการจับกุมชาวจีนที่ลักลอบขายพอตบุหรี่ไฟฟ้าผสมสารอีโทมิเดท ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จนทราบว่ามีแหล่งผลิตหลักอยู่ในย่านห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร จึงทำการสืบสวนและเข้าจับกุมในครั้งนี้

โดยผู้ต้องหารายนี้ได้ค่าจ้างเดือนละ 150,000 บาท ในการผลิตพอตบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว แล้ววิธีการปั่นจักรยานไปส่งของตามจุดนัดพบ ซึ่งพอร์ตบุหรี่ไฟฟ้าที่ผสมสารอีโทมิเดทเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติและคนไทยบางกลุ่ม เมื่อถึงมือผู้เสพจะมีราคาอยู่ที่ประมาณชิ้นละ 600 บาท

สำหรับสารอีโทมิเดท เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 ซึ่งใช้เป็นยาสลบทางการแพทย์ ราคาซื้อขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 600,000 บาท เป็นสารเคมีที่อยู่ในความควบคุม การสั่งนำเข้าต้องได้รับอนุญาตจาก อย.

ส่วนผู้ที่สูบพอตที่มีสารอีโทมิเดท ก็จะทำให้เกิดอาการสั่นและมึนเมา ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของผู้เสพในประเทศจีน เป็นอันดับ 2 รองจากไอซ์ กำลังสร้างปัญหาในประเทศจีนเป็นอย่างมาก สำหรับในประเทศไทยยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก จึงจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลมปราบปรามไม่ให้มีการแพร่ระบาด ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผลถึงนายทุนผู้ว่าจ้างให้ผู้ต้องหาผลิตพอต อีกทั้งจะขยายผลถึงแหล่งที่มาของสารอีโทมิเดทด้วย

.

สลด!กระทิงป่าถูกกับดักปืนผูกบาดเจ็บสาหัสเสียชีวิตแล้ว อุทยานฯ ปางสีดา เร่งล่าพรานป่ามาลงโทษ

สลด!กระทิงป่าถูกกับดักปืนผูกบาดเจ็บสาหัสเสียชีวิตแล้ว อุทยานฯ ปางสีดา เร่งรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด

เมื่อเวลา 00.05 น.วันที่ 26 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรี  นายยศวัฒน์ เธียรสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 (ปราจีนบุรี) เปิดเผยว่า อุทยานแห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้ว แจ้งสถานการณ์ความคืบหน้า     ล่าสุดว่า กระทิงป่าที่ถูกกับดักอาวุธปืนผูกจนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขา ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.20 น. ก่อนที่คณะสัตวแพทย์จะสามารถเข้าทำการรักษาได้ทันท่วงที ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการผ่าพิสูจน์ซากเพื่อรวบรวมหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด

นายญาณวุฒิ แสงวงศ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติปางสีดา รายงานว่า ชุดเฝ้าระวังและติดตามอาการกระทิงได้รายงานการเสียชีวิตของสัตว์ดังกล่าว ทางอุทยานฯ จึงได้ประสานนายสัตวแพทย์ประจำสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าช่องกล่ำบนเข้าดำเนินการผ่าพิสูจน์ซาก โดยจะเคลื่อนย้ายซากไปยังเขตอุทยานแห่งชาติปางสีดา และเมื่อแล้วเสร็จจะขออนุมัติพนักงานสอบสวนดำเนินการทำลายซากด้วยวิธีการฝังกลบตามระเบียบต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไป   ย้อนรอยเหตุการณ์และการสืบสวนวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 เวลา 17.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 2 (ขุนดง 2) ได้ยินเสียงคล้ายปืนดังสนั่น คาดว่าเป็นเสียงอาวุธปืนผูก ซึ่งเป็นกับดักสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย บริเวณนอกแนวเขตอุทยานฯ ในพื้นที่ทำกินของราษฎร จังหวัดสระแก้ว เจ้าหน้าที่จึงรีบเข้าตรวจสอบและตรึงกำลังในพื้นที่ตลอดทั้งคืน เนื่องจากคาดว่าอาจมีอาวุธปืนผูกมากกว่า 1 กระบอก

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 เจ้าหน้าที่ตรวจพบกับดักอาวุธปืนผูกจำนวน 2 กระบอก ในแปลงปลูกยูคาลิปตัสนอกแนวเขตอุทยานฯ พร้อมกับพบกระทิงป่าได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ตัว อยู่ใกล้จุดที่พบอาวุธ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้เพื่อช่วยเหลือได้ เนื่องจากกระทิงมีอาการตื่นตระหนกและอาจโจมตีเจ้าหน้าที่ จึงต้องเฝ้าระวังจากระยะปลอดภัย

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรปางสีดา พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดสระแก้ว ได้เข้าตรวจพื้นที่และนำอาวุธปืนผูกทั้ง 2 กระบอกไปตรวจสอบลายนิ้วมือและ DNA เพื่อสืบหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 อุทยานฯ ประสานหัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าช่องกล่ำบนเข้าตรวจรักษา พบว่ากระทิงบาดเจ็บสาหัส ขาหน้าซ้ายหักจากการถูกกระสุนปืนโดยตรง และขาหลังซ้ายหักตามมาเนื่องจากไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้ คณะสัตวแพทย์ได้ให้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบ และยาบรรเทาอาการเจ็บปวด แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บรุนแรงเกินกว่าจะรักษาได้ทัน

นายยศวัฒน์ เธียรสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 (ปราจีนบุรี) กล่าวว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาการล่าสัตว์ป่าผิดกฎหมายที่ยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสัตว์ป่าหายาก โดยเฉพาะกระทิงซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

ปัจจุบัน อุทยานแห่งชาติปางสีดาได้จัดตั้งชุดค้นหาและกวาดล้างอาวุธปืนผูก โดยขยายขอบเขตการค้นหาให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงและบริเวณรอบแนวเขตอุทยานฯ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าอื่นได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกับดักอันตรายเช่นนี้อีก จึงขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง หากพบเห็นพฤติกรรมการล่าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย หรือพบอาวุธปืนผูกและกับดักสัตว์ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติปางสีดาทันที เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป

โดย…มานิตย์  สนับบุญ  / ปราจีนบุรี 

สวนสัตว์โคราชงัดสารพัดดูแลสัตว์ เพิ่มฟาง–โคมไฟ–น้ำอุ่น พร้อมพาตากแดดคลายหนาว

นครราชสีมา – จากสภาพอากาศหนาวอย่างต่อเนื่องที่แผ่ปกคลุมทั่วทั้งจังหวัดนครราชสีมา ส่งผลให้อุณหภูมิในตอนเช้าตรู่ลดต่ำลงอย่างมาก ทำให้สวนสัตว์นครราชสีมาต้องปรับมาตรการดูแลสัตว์ทุกชนิดอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันสัตว์ป่วยและลดผลกระทบจากอากาศเย็น

นายธนชน เคนสิงห์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์นครราชสีมา เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสวนสัตว์ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่เฝ้าดูแลสัตว์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสัตว์ที่ไวต่ออากาศหนาว พร้อมเพิ่มมาตรการให้ความอบอุ่นในหลายรูปแบบ ทั้งปูฟางเพิ่มอุณหภูมิภายในส่วนจัดแสดง เปิดโคมไฟให้ความร้อน และพาสัตว์บางชนิดออกมาตากแดดยามเช้าเพื่อคลายหนาว

สำหรับสัตว์ภายในสวนสัตว์แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. สัตว์เลื้อยคลาน – เช่น เต่าอัลดาบรา ได้รับการเสริมฟางเพิ่มความอบอุ่น ส่วนงูหลามมีการปรับอุณหภูมิที่อยู่อาศัยและให้น้ำอุ่นเพื่อลดความหนาว 2. สัตว์ปีก – มีการเพิ่มวัสดุปูรองและพื้นที่หลบลมเย็น พร้อมจัดจุดให้ความอุ่นเป็นพิเศษ 3. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม – เจ้าหน้าที่เพิ่มโคมไฟและจัดพื้นที่นอนใหม่เพื่อกักเก็บความร้อน รวมถึงปรับอาหารให้พลังงานสูงขึ้นเพื่อให้สัตว์ปรับตัวกับอากาศเย็น

นายธนชนระบุว่า มาตรการทั้งหมดเป็นการดูแลเชิงป้องกัน เพื่อให้สัตว์ทุกชนิดปลอดภัยและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในช่วงอากาศหนาวจัด พร้อมย้ำว่าทางสวนสัตว์ติดตามภาวะอากาศและสภาพสัตว์ตลอดทั้งวัน เพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์ทุกตัวได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

โดย….ประสิทธิ์ วนะชกิจ/นครราชสีมา

.

ตลาดรถจยย.ไฟฟ้าแข่งเดือด “i-Motor” เปิดตัว BREEZE ปักธงผู้นำ EV สองล้อที่เข้าใจผู้ใช้ไทยมากที่สุด

i-Motor เปิดตัว “BREEZE” มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด นำเสนอคอนเซ็ปต์ Effortless Mobility พลิ้วดุจสายลม ตอบโจทย์ผู้ใช้เมืองไทยด้วยการออกแบบที่คล่องตัว เทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริง และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล พร้อมยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมด้วยคุณภาพระดับสากล เทคโนโลยีล้ำสมัย และดีไซน์ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมือง

นายปรีชา ประเสริฐถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า i-Motor เปิดเผยว่า จุดยืนของ i-Motor คือการเป็น “แบรนด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เข้าใจผู้ใช้ชาวไทยมากที่สุด” โดยยึดหลักการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมาพร้อมเทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในสู่ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนและมั่นใจ ซึ่ง i-Motor BREEZE ถูกพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองและกลุ่มผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาสู่รถไฟฟ้าครั้งแรก ซึ่งต้องการรถที่ใช้งานง่าย มีความน่าเชื่อถือ และให้ความสบายใจด้านความปลอดภัย

i-Motor BREEZE โดดเด่นด้วยชุดมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลที่บริษัทให้ความสำคัญ ตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างไปจนถึงการติดตั้งระบบไฟและเบรกที่ผ่านการรับรองตามหลักสากล อาทิ UNR136 สำหรับความปลอดภัยแบตเตอรี่, E-Mark, ECE R78 เรื่องระบบเบรก และ ECE R53 เกี่ยวกับการติดตั้งไฟ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ยืนยันคุณภาพของ BREEZE เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าไม่ได้เป็นเพียงรถไฟฟ้าราคาประหยัด แต่เป็นรถที่ผ่านกระบวนการทดสอบและการตรวจสอบตามมาตรฐานนานาชาติ

หนึ่งในฟีเจอร์เด่นที่บริษัทชูขึ้นมาคือระบบ i-Start (NFC Unlock System) ซึ่งเป็นระบบกุญแจดิจิทัลอัจฉริยะที่ผู้ใช้เพียงแค่แตะสมาร์ทคีย์การ์ดก็สามารถปลดล็อกและสตาร์ทรถได้ทันที ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ ลดขั้นตอนการหากุญแจ และยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยการยืนยันตัวตนที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัว ส่งผลให้ประสบการณ์การใช้งานมีความล้ำสมัยมากกว่ามอเตอร์ไซค์ทั่วไป

เพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย BREEZE ถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Breeze ที่ใช้แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) ซึ่งขึ้นชื่อในด้านความทนทาน อายุการใช้งานที่ยาว และความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความอุ่นใจในระยะยาว และรุ่น Breeze Lite ที่ใช้แบตเตอรี่ NMC (Lithium Nickel Manganese Cobalt) ซึ่งให้ความหนาแน่นพลังงานสูง น้ำหนักเบา และระยะทางต่อการชาร์จที่ไกลกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคล่องตัวสูงสุด และสามารถถอดแบตเตอรี่มาชาร์จภายนอกได้สะดวก เช่น ในคอนโดมิเนียม

i-Motor ยังประกาศแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟด้วยการติดตั้งสถานี I-Charger แบบชาร์จไว (22.5A) ปัจจุบันได้ติดตั้งไปแล้วกว่า 20 จุดทั่วประเทศ เพื่อช่วยลดปัญหาการชาร์จและสร้างความสะดวกในการใช้งานจริงต่อผู้บริโภค 

นอกจากนี้บริษัทกล้าการันตีความทนทานของผลิตภัณฑ์ด้วยการให้ การรับประกันโครงสร้างยาวนานถึง 10 ปี ซึ่งบริษัทระบุว่าเป็นผลมาจากกระบวนการผลิตและมาตรฐานการควบคุมคุณภาพที่ถ่ายทอดจากผู้ผลิตระดับ OEM ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 60 ปีในอุตสาหกรรม

ด้านสมรรถนะ BREEZE ถูกออกแบบมาเพื่อให้ความรู้สึกขับขี่ที่นุ่มนวล คล่องตัว และควบคุมง่ายในทุกสภาพถนน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ใช้ในเมือง ทั้งการเร่งความเร็ว การเข้าโค้ง และการขับขี่ในสภาพการจราจรหนาแน่น ผู้ขับขี่ควรรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบายและความมั่นใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ขับขี่

สำหรับช่องทางการจำหน่าย i-Motor จะจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งทั่วประเทศ โดยราคาเปิดตัวของ Breeze จะอยู่ที่ 64,000 บาท และ Breeze Lite จะอยู่ที่ 49,000 บาท ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้มีความแตกต่างกันที่ชนิดของแบตเตอรี่ที่นำมาใช้

ทั้งนี้ i-Motor มีแผนขยายตลาด BREEZE สู่ต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน เริ่มจากประเทศที่บริษัทเคยมีการทดลองทำตลาด เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และศรีลังกา ก่อนจะขยายสู่ประเทศอื่น ๆ ในอนาคต โดยเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า คือการก้าวสู่การเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นและวางใจได้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Reliability, not Liability”

นายปรีชา กล่าวเชิญชวนคนไทยที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนจากรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้าว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงเทรนด์ แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งด้านความประหยัด อากาศที่บริสุทธิ์ และประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกและง่ายกว่าเดิม i-Motor BREEZE พร้อมแล้วที่จะเป็นก้าวแรกที่มั่นใจและปลอดภัยที่สุดในการเดินทางสู่โลกยานยนต์ไฟฟ้าของคุณ มาสัมผัสความรู้สึก ‘EFFORTLESS’ ไปด้วยกันวันนี้”

ผู้ที่สนใจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ “ไอ-มอเตอร์” หรือ สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-855-396-070 หรือติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่www.imotorthailand.com  หรือ  www.facebook.com/imotorthailandbkk 

“เสี่ยก่อง- อัณณพ อารีย์วงศ์สกุล”เจ้าของตลาดน้ำอโยธยา มอบน้ำดื่มซับน้ำตาผู้ประสบภัยชาวอยุธยา

“เสี่ยก่อง” อัณณพ อารีย์วงศ์สกุล เจ้าของตลาดน้ำอโยธยา พร้อมชมรมเพื่อนไม่ทิ้งกัน มอบน้ำดื่มแด่พี่น้องประชาชนประะสบภัยน้ำท่วม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วันนี้ 25 พฤศจิกายน 2568 เวลา (11.00 น.) นายอัณณพ อารีย์วงศ์สกุล ”เสี่ยก่อง” เจ้าของตลาดน้ำอโยธยา พร้อมด้วย ดร.ชูชีพ ตรีโภคา เลขานุการในองศ์ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล(ท่านใหม่)  และชมรมเพื่อนไม่ทิ้งกัน ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา “ณ วัดปราสาททอง ตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล และตำบลบางหลวง อบต.สวนพริก”  “มอบน้ำดื่ม” ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นระยะเวลานาน พร้อมพูดคุยรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจพี่น้องประชาชน

อัณณพ อารีย์วงศ์สกุล ”เสี่ยก่อง” กล่าว ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชน จังหวัดพระนศรีอยุธยา ที่เสียสละเพื่อประเทศ ให้กับกรุงเทพฯ และปริมณฑล วันนี้ผมและเพื่อนๆ ขอมาให้กำลังใจ และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนอย่างมากที่เสียสละพื้นที่ ไร่นา สวน บ้านเรือนเสียหาย เพื่อรับน้ำท่วมปีนี้ วันนี้ผมได้นำน้ำดื่มมามอบ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันและแทนคำขอบคุณ และเข้าใจปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างมาก

.

น้ำท่วม3จว.ใต้ยังวิกฤต ถนนหลายสายถูกตัดขาด ปั๊มนราฯ-โก-ลก น้ำมันใกล้หมด

นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย  ทพญ.ปิยนาถ บุณฑริก รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส และสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส , นายอำเภอเมืองนราธิวาส ตลอดจนจิตอาสาพระราชทาน 904 และชุดควบคุมสันติสุข ที่407  และหน่วยทหารพัฒนา ลงเรือท้องแบนติดเครื่องยนต์ ลำเลียงข้าวกล่อง และน้ำดื่ม จากครัวกาชาด นำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน ผู้ประสบภัยอยู่ภายใน ไม่สามารถออกมาได้เนื่องจากระดับน้ำสูงกว่า 2 เมตร  
         

เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยทหารพัฒนาและชุดควบคุมสันติสุขที่ 407 และ อบต.ลำภู ต้องใช้เรือท้องแบนติดเครื่องยนต์ลำเลียงสิ่งของเข้าไปแจกจ่ายช่วยเหลือเบื้องต้น  โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ ได้อพยพไปยังศูนย์พักพิง มีบางส่วนที่ห่วงทรัพย์สินไม่ยอมออกไป โดยอาศัยอยู่ภายในชั้น 2 ของบ้าน ขณะที่ผูัใหญ่บ้านฯ พร้อมกำนัน และอำเภอฯไดัออกสำรวจ ผู้ที่ยังคงติดค้างอยู่ภายในบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การช่วยเหลือ

ด้านผู้ใหญ่บ้าน ม.9 ได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาช่วยเหลือชาวบ้าน สถานการณ์อุทกภัยในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อำเภอจัดการได้ดีมาก ก่อนเดินภัยได้มีการเตรียมพร้อมไว้ทุกอย่าง ทั้งเรือ อาหารนำดื่ม

นายรุสดี  ปูรียา นายอำเภอเมืองนราธิวาส บอกว่า อำเภอได้มีการวางแผนเตรียมพร้อมรับมือไว้ล่วงหน้า โดยจัดหา เรือไว้ ประจำตำบลอย่างน้อย 1 ลำ เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกขนย้ายผู้ประสบภัย  ขณะที่ อบต.ลำภู ทำหน้าที่ ในการจัดเตรียมด้านอาหาร และน้ำดื่ม ทำให้ปีนี้บริหารจัดการ อพยพคนมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงได้จำนวนมาก

สำหรับ พื้นที่ ม.9 บ้านทุ่งงาย ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส มีประชากรประมาณ 900 ครัวเรือน มีผู้อพยพกระจายไปยังศูนย์อพยพวิทยาลัยชุมชนนราธิวาสแล้ว กว่า 500 ครัวเรือน ขณะที่ระดับน้ำท่วมสูง 1-2 เมตร และเริ่มลดระดับลง หากฝนไม่ตกลงมาซ้ำ สถานการณ์น่าจะคลี่คลายได้ ในเร็ววัน และน้ำท่วมเส้นทาง ทล.43 -ทล.42  โดยพิกัดบ้านสวรรค์ น้ำท่วมสูง 1.5 เมตร แนะ ปชช. เช็กเส้นทางด่วน

สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล่าสุดยังวิกฤต มวลน้ำไหลหลากเข้าท่วมผิวจราจรบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 43 และ 42  ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดสงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ส่งผลให้การจราจรในหลายช่วงเป็นอัมพาตโดยสิ้นเชิง

ล่าสุด เวลา 15.00 น. สำนักงานทางหลวงที่ 18 กรมทางหลวงได้อัปเดตเส้นทางการเดินทางสายใต้ พบจุดวิกฤตที่ต้องแจ้งเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนให้หลีกเลี่ยงการสัญจรอย่างเด็ดขาด ได้แก่ ช่วงบ้านสวรรค์ บน ทล.43 ซึ่งระดับน้ำท่วมสูงถึง 150 เซนติเมตร ส่งผลให้รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านได้และไม่มีเส้นทางเลี่ยง เช่นเดียวกับบริเวณ แยกดอนยาง และ หน้าโรงแรมอัลฟาฮัท ที่ระดับน้ำทรงตัวสูง 60 เซนติเมตร รถไม่สามารถสัญจรผ่านได้เช่นกัน

ขณะที่สถานการณ์บริเวณ ต.สะกอม (กม.43+000 – 43+400) ระดับน้ำสูง 40 เซนติเมตร รถเล็กไม่สามารถผ่านได้ ส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่สามารถสัญจรได้โดยวิ่งสวนทางด้านซ้าย หรือเลี่ยงไปใช้ทางหลวงชนบท สข.2004 (ฝั่งตรงข้าม อบต.สะกอม)

ด้านทางหลวงหมายเลข 42 (ทล.42) ช่วง กาตอ-ปูต้ะ (กม.161+000 – 161+500) พบระดับน้ำสูง 58 เซนติเมตร เจ้าหน้าที่แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว โดยให้ใช้เส้นทางลัดเข้าสู่จังหวัดยะลา มุ่งหน้าโกตาบารู เพื่อเดินทางต่อไปยังตะโล๊ะฮาลอแทน

ทั้งนี้ แขวงทางหลวงในพื้นที่ได้ระดมเจ้าหน้าที่เข้าอำนวยความสะดวกและติดตั้งป้ายเตือนตามจุดเสี่ยงต่างๆ แล้ว พร้อมขอความร่วมมือประชาชนตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

น้ำท่วมใต้ตัดขาดเส้นทางขนส่ง ปั๊มน้ำมันนราฯ-โก-ลก น้ำมันใกล้หมด คาดขายได้อีกแค่วันเดียว

สถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ยังน่าห่วง ล่าสุดกระทบภาคการขนส่งและพลังงาน ผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันรายใหญ่ในสุไหงโก-ลก เผย เส้นทางถูกตัดขาด รถน้ำมันเข้าพื้นที่ไม่ได้ ส่งผลให้สต๊อกน้ำมันเหลือจำหน่ายเพียง 1 วัน บางจุดแก๊สโซฮอล์ 95 เกลี้ยงถังแล้ว เตือนประชาชนวางแผนการเดินทางและใช้น้ำมันเท่าที่จำเป็น

นายชาญณรงค์ อภิบาลธนกิจ ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน ปตท.สุไหงโก-ลก เปิดเผยถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำมันสำรองในพื้นที่อยู่ในภาวะวิกฤต เนื่องจากเส้นทางเดินรถถูกตัดขาดจากน้ำท่วม ทำให้รถขนส่งน้ำมันไม่สามารถนำน้ำมันเข้ามาเติมในพื้นที่ได้ โดยคาดการณ์ว่า น้ำมันที่เหลืออยู่จะสามารถจำหน่ายให้กับประชาชนได้อีกเพียง 1 วันเท่านั้น

โดยปั๊ม ปตท.ในเมืองสุไหงโก-ลก น้ำมันชนิด E95 หมดเกลี้ยงแล้ว เหลือให้บริการเพียง E20 เท่านั้นส่วนปั๊มที่ตำบลปาเสมัส น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เหลือปริมาณจำกัด คาดว่าจะจำหน่ายได้อีกไม่เกิน 1 วันเช่นกัน

นายชาญณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลายและรถขนส่งน้ำมันยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ทางปั๊มอาจมีความจำเป็นต้องปิดให้บริการชั่วคราว และเชื่อว่าสถานีบริการน้ำมันแห่งอื่นๆ ในพื้นที่ก็กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน 
เนื่องจากคลังน้ำมันใหญ่ที่จังหวัดสงขลายังไม่สามารถส่งน้ำมันเข้ามาเติมได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม นายชาญณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่าหากระดับน้ำลดลงจนเส้นทางกลับมาสัญจรได้ การขนส่งน้ำมันจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติทันที ซึ่งจะช่วยคลี่คลายปัญหาน้ำมันขาดแคลนในพื้นที่ได้ในที่สุด.

โดย…แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

พัทลุงเร่งอพยพ “หมู-ควายน้ำ” แหล่งเลี้ยงรายใหญ่ของภาคใต้พ้นภัยน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 25 พ.ย.68  สถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดพัทลุง ที่เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องบนเทือกเขาบรรทัดเขตรักาพันธุ์สัตว์ป่า ไหลทะลักเมื่อตอนดึกวันที่  25 พ.ย.22568 เข้ามาท่วมขังในพื้นที่ด้านล่าง  เป็นระลอก 2 จนทำให้ถนนสายเพชรเกษม ช่วงพัทลุง-หาดใหญ่  รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านโคกยา  ต.เขาชัยสน  อ.เขาชัยสน บ้านทุ่งนารี  ต.ทุ่งนารี  อ.ป่าบอน

ขณะที่พื้นที่ริมเทือกเขาบรรทัด อ.ป่าบอน อ.ตะโหมด และ อ.กงหรา  เข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านอย่างรวดเร็ว จนทำให้ชาวบ้านกว่า 3,000 ครัวเรือน ต้องเร่งขนย้าย  และได้พัดพาบ้านเลขที่ 109 ได้รับความเสียหายหมดทั้งหลัง
และที่ถนนสายกงหรา –เขาพันธุรัตน์  หมู่ที่ 3 ต.กงหรา  ได้เกิดดินสไลด์ทำให้ต้นไม้หลายต้นล้มขวางถนน  และคอสะพานถนนสายแม่ขรี – โล๊ะจังกระเยื้องที่ว่าการอำเภอตะโหมด  ขาดอีกครั้ง

ทางด้านว่าที่รต.มณฑล เลาหภักดี  ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง นายภูษิต จันทร์เพชร ประมงจังหวัดพัทลุง เข้าสนับสนุนช่วยเหลือฟาร์มหมูรายใหญ่หมู่ 10  ต.ควนมะพร้าว  อ.เมืองพัทลุง มีสุกรขุนมากกว่า  500  ตัว และแม่พันธุ์มากกว่า  50  ตัว  ไปไว้ในที่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้หน่วยงานได้เข้าให้การช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายหมูไปหลายฟาร์มแล้วเนื่องจากพื้นที่ จ.พัทลุง เป็นพื้นที่ที่เลี้ยงสุกรรายใหญ่ของประเทศและของภาคใต้

ว่าที่ รต.มณฑล กล่าวว่า  ทางสำนักงานได้เตรียมหญ้าฟ่อนไว้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์มากกว่า  2  หมื่นฟ้อน  และเปิดให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ไปตัดหญ้าสดในศูนย์อาหารสัตว์ อ.ศรีบรรพต

ว่าที่ รต.มณฑล กล่าวอีกว่า  ได้นำฝูงควายน้ำไปไว้ในที่ปลอดภัยแล้วเช่นกัน  ส่วนควายน้ำที่เสียชีวิตไปบางส่วนซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกควายที่เพิ่งคลอดใหม่

.

‘หาดใหญ่’ วิกฤต!อุทกภัยครั้งใหญ่ 2568 กระทบหนักกว่า 1.5 แสนคน

“จิสด้า” เปิดข้อมูลแผนที่ดาวเทียม“หาดใหญ่” ชี้ระดับน้ำท่วมวิกฤติ! พื้นที่ส่วนใหญ่จมมิดหัว สูงสุดเกิน 4 เมตร กระทบประชาชนกว่า 1.5 แสนคน

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 68 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ “GISTDA” เผยแพร่ผลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยใช้เทคนิค HAND Model (Height Above Nearest Drainage) ร่วมกับข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1A ของวันที่ 24 พ.ย. 68 ในการประเมินความลึกของน้ำ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน.

ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่รุนแรงและเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะต่อโครงสร้างพื้นฐานและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ดังนี้ 

1.ประชาชน : ได้รับผลกระทบประมาณ 150,230 คน 2.ที่อยู่อาศัย : ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 25,102 หลังคาเรือน 3.สถานที่สำคัญ : ได้รับผลกระทบประกอบด้วย โรงเรียน 47 แห่ง และโรงพยาบาล 8 แห่ง และ 4.เส้นทางคมนาคม : ได้รับผลกระทบระยะทางรวมกว่า 536 กิโลเมตร

พื้นที่ระดับน้ำท่วมวิกฤติส่วนใหญ่อยู่ในโซนสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งจากการวิเคราะห์และจำแนกตามเฉดสีในแผนที่แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการเข้าช่วยเหลือประชาชน เนื่องจากระดับน้ำท่วมขังในพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับอันตรายสูง ดังนี้… 

โซนสีฟ้าอ่อน (0.5-1 เมตร) : ระดับน้ำท่วมถึงเอว,โซนสีน้ำเงินเข้ม (2-3 เมตร) : ระดับน้ำท่วมสูงมิดหัว (พบในพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอหาดใหญ่) โซนสีเข้มจัด/เกือบดำ (มากกว่า 4 เมตร) : ระดับน้ำลึกมาก

ต้องเน้นย้ำว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของ อ.หาดใหญ่ มีน้ำท่วมขังในระดับ โซนสีน้ำเงินเข้ม (2-3 เมตร) ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากและบ่งบอกถึงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

GISTDA ได้ส่งต่อชุดข้อมูลเชิงวิเคราะห์ดังกล่าวให้กับหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการบริหารจัดการภัยพิบัติ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจและปฏิบัติการตามภารกิจอย่างเร่งด่วนที่สุด

ประชาชนที่ต้องการติดตามสถานการณ์น้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน (Near Real-time) สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ที่ เว็บไซต์ : https://disaster.gistda.or.th และแอปพลิเคชัน “เช็คน้ำ” สำหรับระบบปฏิบัติการ iOS (https://gqr.sh/yxQp) และ Android (https://gqr.sh/rcGq)

พัทลุงน้ำท่วมสูงหลายพื้นที่มีแนวโน้มวิกฤต-สตูลประกาศภัยพิบัติ 7 อำเภอ

พัทลุงน้ำท่วมหลายพื้นที่ มีแนวโน้มวิกฤต เจ้าหน้าที่ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมขอความร่วมมือประชาชน ติดตามประกาศเตือนภัยจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดพัทลุงล่าสุดวันนี้ยังคงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องบนเทือกเขาบรรทัด ส่งผลให้มีน้ำป่าไหลหลากลงสู่พื้นที่ด้านล่างอย่างรุนแรง ท่วมบ้านเรือนประชาชนเป็นวงกว้าง หลายหมู่บ้านได้รับผลกระทบอย่างหนัก น้ำป่าที่ไหลจากอำเภอตะโหมด ผ่าน ฝายท่าเชียด ได้ไหลเข้าท่วมผิวถนนสายเอเชีย บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านโคกยา ทั้งฝั่งขาล่องใต้และขาขึ้น ระยะทางยาวกว่า 200 เมตร

ระดับน้ำสูงประมาณ 50 เซนติเมตร รถยนต์ขนาดเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านได้ เจ้าหน้าที่ต้องตั้งจุดแนะนำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเปลี่ยนไปใช้เส้นทางเบี่ยงแทนเพื่อความปลอดภัย ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณถนนสายเอเชียอีกจุด ตั้งแต่ แยกบ้านโคกทราย จนถึง แยกบ้านทุ่งนารี ถูกน้ำท่วมผิวถนนเช่นเดียวกัน ระดับน้ำสูง 40–50 เซนติเมตร รถเล็กไม่สามารถผ่านได้

ทำให้การจราจรติดขัดและต้องปิดการจราจรบางช่วง ด้านถนนสายทะเลน้อย อำเภอควนขนุน มุ่งหน้าอำเภอระโนด น้ำได้ท่วมสูงจนทั้งรถเล็กและรถใหญ่ไม่สามารถสัญจรผ่าน ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องเลี่ยงเส้นทางโดยเร่งด่วน

สำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในวันนี้ ได้แก่ อำเภอป่าบอน อำเภอตะโหมด เขาชัยสน บางแก้ว ปากพะยูน และอำเภอกงหรา ซึ่งมีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านกว่า 3,000 ครัวเรือน ต้องเร่งขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อปท. และหน่วยกู้ภัย ลงพื้นที่สำรวจและเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง

ขณะเดียวกัน เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาเกิดเหตุระทึก น้ำป่าจากเขาบรรทัดไหลเชี่ยวพัดบ้านของ นายโสภณ คงสุด เลขที่ 109 หมู่ 5 ตำบลกงหรา เสียหายทั้งหลัง ไม่มีส่วนใดเหลืออยู่ เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือเบื้องต้นและจัดหา ที่พักชั่วคราวให้ และโชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต

อีกหนึ่งจุดวิกฤติคือบริเวณถนนสาย เขาพันธุรัตน์ หมู่ที่ 3 ตำบลกงหรา เกิดเหตุดินสไลด์และมีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นล้มทับขวางถนน ทำให้ไม่สามารถสัญจรผ่านได้

ที่จ.สตูล ประกาศให้ทั้ง 7 อำเภอเป็น “พื้นที่ภัยพิบัติ” หลังเผชิญกับภาวะฝนตกหนัก ส่งผลให้มวลน้ำท่วมปริมาณมหาศาล ซัดเข้าท่วมหลายพื้นที่ ทั้ง 7 อำเภอ น้ำไหลเข้าท่วมรอบที่ 2 หมู่บ้าน ชุมชน ตำบลต่าง น้ำไหลเข้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ภาครัฐเร่งสั่งอพยพชาวบ้านไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย

ล่าสุดสถานการณ์วิกฤต ตามรายงานจากหน่วยงานท้องถิ่น สถานการณ์น้ำในหลายจุดโดยเฉพาะในอำเภอละงู มีแนวโน้มล้นและขยายวงกว้าง โดยมวลน้ำได้ไหลเข้าพื้นที่เขตเศรษฐกิจของเทศบาลกำแพง จ.สตูล ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดที่ได้รับผลกระทบหนักสุด น้ำท่วมบางจุดสูงถึงระดับอก

นายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล รักษาราชการแทนผู้ว่าราชาชการจังหวัดสตูล ได้ประกาศให้ทั้ง 7 อำเภอเป็นเขตภัยพิบัติ ประกอบด้วย อ.เมืองสตูล , ควนกาหลง, ควนโดน, ท่าแพ, ทุ่งหว้า, มะนัง และ ละงู และในส่วน 3 อำเภอ นี้ เช่นอำเภอละงู อำเภอเมืองสตูล อำเภอควนโดน น่าเป็นห่วงมากที่สุด

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและกู้ภัยได้ร่วมกันตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อรองรับการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยง โดยให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่ม และของใช้จำเป็นแก่ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน 

ชาวนาเฮ!ข้าวหอมดีดตัวพุ่งเตะ 11.6 หมื่นบาท/ตัน-เปลือกเจ้าตันละ7.2พันบาท

พาณิชย์รายงานราคาข้าวเปลือกหอมมะลิดีดตัวแรงแตะ 16,000 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้นตันละ 1,000 บาท ด้านข้าวเปลือกเจ้า ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด 400 บาท เป็นตันละ 7,200 บาทต่อตัน หลังรัฐบาลเร่งเดินหน้ามาตรการดูแลข้าวทั้งระบบตามมติ นบข. ส่งผลให้ตลาดเกิดการปรับตัวเชิงบวกอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการรับซื้อ การดูดซับผลผลิต และความเชื่อมั่นของเกษตรกร

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อสินค้าเกษตรหลัก โดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งเป็นรายได้สำคัญของเกษตรกรทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กำชับทุกหน่วยงานให้เดินหน้ามาตรการเชิงรุกและลงปฏิบัติการในพื้นที่ทันที เพื่อป้องกันภาวะราคาตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากช่วงปลายปีนี้

อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ล่าสุด เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2568 ได้ออกมาตรการเร่งด่วนในการช่วยดูดซับปริมาณข้าวเปลือกออกจากระบบ รวมทั้งมาตรการก่อนหน้านี้ ทั้งชะลอการขายข้าว มาตรการรับฝากเก็บ รวมถึงการเร่งจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศ เพื่อพยุงราคา สร้างตลาด และเสริมรายได้ให้เกษตรกรในช่วงผลผลิตออกกระจุกตัว

โดยสถานการณ์ราคาล่าสุด ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ยืนยันว่ามาตรการทั้งหมดเริ่มเห็นผลชัดเจน ราคาข้าวเปลือกความชื้น 15% ปรับเพิ่มในแทบทุกชนิด โดยข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 14,700–16,100 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,000–8,300 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 6,300–7,200 บาทต่อตัน และข้าวเหนียว 7,000–10,000 บาทต่อตัน โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิได้มีการปรับตัวขึ้นสูงสุด 1,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด 400 บาทต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสัปดาห์ก่อน (14 พ.ย. 68) ถือเป็นหนึ่งฤดูกาลที่ราคาปรับตัวดีขึ้นเร็วที่สุดในรอบหลายปี

นายวิทยากร กล่าวต่อว่า “ในส่วนของการดำเนินโครงการตลาดนัดข้าวเปลือก กรมการค้าภายในร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 และจะจัดต่อเนื่องรวมกว่า 50 ครั้งใน 32 จังหวัด ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จนถึงเดือนเมษายน 2569 โดยตลาดนัดข้าวเปลือกเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการจากนอกพื้นที่เข้าไปรับซื้อถึงแหล่งผลิตของเกษตรกร ลดภาระค่าขนส่ง เพิ่มช่องทางขายโดยตรง และแก้ปัญหาบางพื้นที่ที่ไม่มีผู้รับซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

ผลการจัดตลาดนัดในช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประกอบการหลายรายเข้าไปรับซื้อในราคานำตลาดอย่างคึกคัก โดยราคารับซื้อในพื้นที่ตลาดนัดสูงกว่าตลาดทั่วไปเฉลี่ย 200–400 บาทต่อตัน ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในหลายจังหวัดปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่สำนักงานชั่งตวงวัดในพื้นที่โดยเฉพาะจุดที่มีการซื้อขายข้าว ได้ลงพื้นที่เพื่อกำกับดูแลการรับซื้อข้าวเปลือกของพี่น้องเกษตรกรโดยตรวจสอบความถูกต้องของการชั่งน้ำหนัก การวัดความชื้น และการหักสิ่งเจือปน รวมถึงการแสดงราคารับซื้อ เพื่อให้การซื้อขายเป็นธรรม เที่ยงตรง และโปร่งใสให้เกษตรกร

นายวิทยากรกล่าวทิ้งท้ายว่า “มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิตนี้ของ นบข. และการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศ ได้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งในด้านราคาที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่พี่น้องเกษตรกร โดยกรมจะขับเคลื่อนมาตรการต่อเนื่องเพื่อรักษาราคาและสร้างเสถียรภาพให้ตลาดข้าวตลอดฤดูกาลผลิตปีนี้”