“โปรจีโน่”ปิดฤดูกาลสุดหรู!ผงาดคว้าแชมป์“ซีเอ็มอีฯ”รับเงินรางวัล 129.5 ล้านบาท

“จีโน่” อาฒยา ฐิติกุล มือหนึ่งของโลก โชว์ผลงานยอดเยี่ยม คว้าแชมป์ “ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิพ” สมัยที่สองติดต่อกัน หลังจากทำสกอร์ 4 อันเดอร์พาร์ 68 ในวันสุดท้ายของการแข่งขัน ที่รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 สกอร์รวม 26 อันเดอร์พาร์ 262 ชนะ “เมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ รุ่นพี่จากประเทศไทยไป 4 สโตรกพร้อมกับรับเงินรางวัล 4 ล้านดอลลาร์ หรือราว 129.5 ล้านบาท นับเป็นแชมป์ที่ 3 ในปีนี้ และแชมป์ที่ 7 ในการเล่นอาชีพแอลพีจีเอทัวร์ ทำสถิติเงินรางวัลรวมทะลุ 7 ล้านดอลลาร์คนแรก พร้อมรับรางวัลนักกอล์ฟยอดเยี่ยมแห่งปี และวาร์โทรฟี ในฐานะนักกอล์ฟทำสกอร์เฉลี่ยต่ำที่สุดอีกด้วย

การแข่งขันกอล์ฟ “ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิพ” ชิงเงินรางวัลรวม 11 ล้านดอลลาร์ หรือราว 356.3 ล้านบาท ที่ ทีบูรอน กอล์ฟ คลับ พาร์ 72 ในเมืองเนเพิลส์ รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2568 นำเอานักกอล์ฟ 60 อันดับ และเสมอของคะแนนสะสมเรซทู ซีเอ็มอี โกลบ เข้าร่วมชิงชัย เล่นแบบสโตรกเพลย์ 72 หลุม ไม่มีตัดตัว แชมป์ได้รับเงินรางวัลไป 4 ล้านดอลลาร์หรือราว 129.5 ล้านบาท

วันสุดท้าย อาฒยา ฐิติกุล มือหนึ่งของโลก แชมป์เมื่อปีที่แล้ว ออกสตาร์ทในฐานะผู้นำ โดยทิ้งห่าง ปาจรีย์ อนันต์ฤการ และ เนลลี คอร์ดา อันดับสองอยู่ 6 สโตรก และเริ่มต้นทำเบอร์ดี้หลุมแรก แม้ว่าจะพลาดเสียโบกี้หลุมถัดมา แต่ำทำเบอร์ดี้หลุม 6,10,13 และหลุมสุดท้ายสกอร์ 4 อันเดอร์พาร์ 68 สกอร์รวม 4 วัน 26 อันเดอร์พาร์ 262 เกือบเท่ากับสถิติสกอร์ต่อสุดที่ เอมี ยาง ทำเอาไว้ 27 อันเดอร์พาร์ 261 เมื่อปี 2023 รับเงินรางวัล 4 ล้านดอลลาร์ หรือราว 129.5 ล้านบาท ทำเงินรางวัลรวม 7,578,330 ดอลลาร์ หรือราว 245.4 ล้านบาท จากการเล่น 20 รายการ เป็นคนแรกที่ทำเงินรางวัลรวม ทะลุ 7 ล้านดอลลาร์ ต่อหนึ่งฤดูกาล ในประวัติศาสตร์แอลพีจีเอทัวร์

อาฒยา คว้าแชมป์ที่ 3 ในแอลพีจีเอทัวร์ปีนี้ ต่อจากรายการ มิซูโฮ อเมริกา โอเพ่น และ บิวอิค แอลพีจีเอ เชียงไฮ้ และเป็นแชมป์ที่ 7 ในการเล่นอาชีพแอลพีจีเอ ก่อนหน้านี้ คว้าแชมป์ เจทีบีซี คลาสสิก 2022 วอลมาร์ต เอ็นดับเบิลยู อาร์คันซอ แชมเปียนชิพ 2023 และซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิพ 2024

เธอกลายเป็นนักกอล์ฟคนที่สอง ที่คว้าแชมป์รายการนี้ 2 สมัยติดต่อกัน ต่อจาก โค จิน-ยอง ปี 2020 และ 2021 และเป็นนักกอล์ฟคนที่ 3 ที่คว้าแชมป์ ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิพ สองสมัยต่อจาก ลีเดีย โค ปี 2014 และ2022 และโค จิน-ยอง ปี 2020 และ2021 โดยผลงานในแอลพีจีเอทัวร์ฤดูกาลนี้ เล่น 20 รายการจบลงใน 10 อันดับแรกมากที่สุดในทัวร์รวม 14 รายการ

นอกจากนี้แล้ว อาฒยา ยังคว้ารางวัลนักกอล์ฟยอดเยี่ยมแห่งปี ด้วยคะแนนรวม 199 คะแนน ชนะห่าง มิยู ยามาชิตะ โปรสาวจากญี่ปุ่น อันดับสอง 46 คะแนน กลายเป็นนักกอล์ฟไทยคนที่สอง ที่คว้ารางวัลนักกอล์ฟต่อจาก เอรียา จุฑานุกาล ทำได้ในปี 2016 และ2018 และยังคว้าอีก 1 รางวัล รางวัลวาร์โทรฟี ในฐานะนักกอล์ฟทำสกอร์เฉลี่ยต่ำสุดอยุ่ที่ 68.681 นับเป็นสถิติสกอร์ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ทัวร์ ทำลายสถิติของ อันนิกา โซเรนสตัม โปรจากสวีเดน ทำเอาไว้ 68.696 และเป็นนักกอล์ฟคนที่ 3 ที่ทำสกอร์เฉลี่ยต่ำ 69 ต่อจาก อันนิกา ปี 2002 และลีเดีย โค ปี 2022 ทำให้เธอก้าวตามเอรียาที่คว้า 2 รางวัลนี้ในปีเดียวกันซึ่งเอรียาทำในปี 2018 และเป็นนักกอล์ฟคนแรกที่คว้าสองรางวัลตั้งแต่ ลีเดีย โค เคยทำในปี 2022

สำหรับ ปาจรีย์ อนันต์นฤการ เจ้าของแชมป์แอลพีจีเอ 2 รายการ ออกสตาร์ท ทำ 3 เบอร์ดี้รวด และทำเพิ่มอีกสองเบอร์ติดหลุม 6-7 จากนั้นไปพลาดเสียโบกี้หลุม 12 แต่กลับมาด้วยการทำเบอร์ดี้หลุม 16 และ17 สกอร์จบลง 6 อันเดอร์พาร์ 66 สกอร์รวม 4 วัน 22 อันเดอร์พาร์ 266 จบอันดับสอง รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์ หรือราว 32.3 ล้านบาท นับเป็นเงินรางวัลที่มากที่สุดที่เคยทำได้ในการเล่นกอล์ฟอาชีพ

ผลงานนักกอล์ฟไทยคนอื่น ๆ “แพตตี้” ปภังกร ธวัชธนกิจ ทำ 5 อันเดอร์พาร์ 67 รวม 14 อันเดอร์พาร์ 274 จบอันดับ 7 ร่วมรับเงินรางวัล 137,000 ดอลลาร์ หรือราว 4.4 ล้านบาท, “เม” เอรียา จุฑานุกาล ทำ 1 อันเดอร์พาร์ 71 รวม 9 อันเดอร์พาร์ 279 จบอันดับ 33 ร่วม รับเงินรางวัล 67,000 ดอลลาร์ หรือราว 2.1 ล้านบาท และ “พราว” ชเนตตี วรรณแสน ทำ 3 โอเวอร์พาร์ 75 รวม 6 โอเวอร์พาร์ 294 จบอันดับ 60 รับเงินรางวัล 55,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.7 ล้านบาท

เครดิตภาพ: LPGA/Getty Images

นักท่องเที่ยวแห่กางเต็นท์ยนอน “เขาแผงม้า”วังน้ำเขียวโต้ลมหนาว ชมกระทิงยามเช้า

ที่จุดสกัดเขาสูงเขาแผงม้า เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า บ้านคลองทราย ตำบลวังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เช้าบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางแห่มาสัมผัสอากาศหนาวในยามเช้า และชมกระทิงที่มีมากที่สุดในประเทศไทย จนได้ชื่อว่าวังน้ำเขียวเมืองกระทิง หรือ ซาฟารีกระทิงเมืองไทย หลายครอบครัวมานอนกางเต็นท์สัมผัสอากาศหนาวตั้งแต่เมื่อวานนี้ จนทำให้พื้นที่ลานกางเต็นท์เต็ม

ด้านนายมงคลศิลป์ ลีนะกนิษฐ์ นายกสมาคมการท่องเที่ยวอำเภอวังน้ำเขียว ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรอำเภอวังน้ำเขียว เปิดเผยว่า ในช่วงนี้บรรยากาศการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอวังเขียวเต็มไปด้วยความคึกคัก มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่ส่งผลให้ร้านค้าร้านอาหารที่พักของชุมชนได้รับอานิสงส์ สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน ในช่วงสภาพอากาศหนาวเย็น โดยอุณหภูมิลดเหลือ 12-14 องศา ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในพื้นที่เต็มไปด้วยความคึกคัก

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวลานกางเต็นท์ อาทิ ลานกางเต็นท์ จุดสกัดเขาสูงเขาแผงม้า เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า , ลานกางเต็นท์ ผาเก็บตะวัน อุทยานแห่งชาติทับลาน  หรือ ลานกางเต็นท์ ขญ.4 บ้านคลองบ้านกั้ง และลานกางเต็นท์ ภูร่าเริง ต.ระเริง มีนักท่องเที่ยวจองเต็ม

ขณะที่ สวนดอกไม้ในพื้นที่ออกดอกบานสะพรั่งต้อนรับลมหนาว อาทิ ศูนย์เรียนรู้ฯ ฟลอร่าพาร์ค วังน้ำเขียว กับเทศกาลดอกไม้เมืองหนาว สวนดอกไม้ฟูจิฟูใจ สวนดอกไม้ฮักดอยสตอเบอรี่วังน้ำเขียว สวนสับปะรดสี วังน้ำเขียว มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากเช่นกัน

สมาคมการท่องเที่ยววังน้ำเขียวจึงใคร่ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานเทศกาล “ของขวัญจากป่า” ซีซั่น 3 ตอน “ดินแดนแห่งสายหมอก” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2568 จัดโดย ชุมชนท่องเที่ยวบ้านสุขสมบูรณ์ ตำบลไทยสามัคคี ภายในงานมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน ผลไม้ พุทรานมสดของดีวังน้ำเขียว รวมถึงการแสดงของชุมชน และตักบาตรพระถ่อแพไม้ไผ่ในอ่างเก็บน้ำ วันที่ 29 พฤศจิกายนนี้

โดย…นายประสิทธิ์ วนะชกิจ/นครราชสีมา

เตรียมสั่ง ! “พักงาน–ออกจากราชการ” 20 จนท.คุก วีไอพี “นิติวิทย์–ดีเอสไอ” ลงตรวจห้องลับใต้บันได

บรรยากาศหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเป็นไปอย่างคึกคัก ผู้สื่อข่าวหลายสำนักปักหลักติดตามความคืบหน้ากรณีตรวจพบความผิดปกติภายในเรือนจำ รวมถึง “ห้องลับใต้บันได” ที่อยู่ระหว่างการสืบสวน โดยเจ้าหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกรมราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้เข้าพื้นที่เพื่อตรวจเก็บพยานหลักฐานและสอบปากคำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นวันแรก

วันนี้  (24 พ.ย.) ที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ และรักษาการผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกับทีมผู้สื่อข่าวที่โทรศัพท์สอบถามว่า ขณะนี้มีการประสานสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนการตรวจเก็บพยานวัตถุในห้องลับใต้บันได ซึ่งถูกซีลพื้นที่ไว้แล้ว โดยผลตรวจจะถูกส่งให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพิจารณา

ทั้งนี้ คาดว่าระหว่างวันที่ 25–26 พฤศจิกายน พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะออกแถลงการณ์ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจำนวน 20 รายที่ถูกสั่งย้าย หลังพบหลักฐานเชื่อมโยงการกระทำผิดหลายประเด็น โดยมีความเป็นไปได้ว่าคำสั่งย้ายอาจถูกปรับเปลี่ยนเป็น “พักราชการ” หรือ “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” เนื่องจากพยานหลักฐานเริ่มชัดเจนมากขึ้น รวมถึงพบข้อมูลว่าบางรายมีการเดินทางไปมาเก๊าโดยไม่รายงานให้ต้นสังกัดทราบ

ด้าน พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยกับทีมผู้สื่อข่าวที่โทรศัพท์สอบถามว่า ว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอกำลังสอบสวนข้อมูลเกี่ยวกับการเยี่ยมญาติ การรับ–โอนเงิน การเบิกตัวผู้ต้องขังจากแดน และธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้อง พร้อมตรวจสอบคำให้การของเจ้าหน้าที่ทั้ง 20 ราย ผู้ต้องขังชาวจีน 2 ราย รวมถึงหญิงสาวชาวจีน 2 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากพบประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่ม ดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่เรือนจำทั้ง 20 รายอีกครั้ง

ดีเอสไอยังเตรียมประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อตรวจสอบประวัติการเดินทางเข้า–ออกประเทศของนายมานพ ชมชื่น อดีตผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พร้อมพิจารณาประเด็นทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งอยู่ในอำนาจตรวจสอบของ ป.ป.ช. ว่ามีรายการใดผิดปกติหรือไม่ โดยคดีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนสืบสวนว่ามีการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่

ในเวลา 09.35 น. รถตู้ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ 2 คันได้เดินทางเข้าสู่ภายในเรือนจำเพื่อเก็บหลักฐานเพิ่มเติม ขณะที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เข้าไปก่อนหน้านั้นไม่นาน กระบวนการตรวจสอบยังคงดำเนินอย่างเข้มข้นเพื่อคลี่คลายข้อเท็จจริงในเหตุการณ์อื้อฉาวภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครครั้งนี้

มหาอุทกภัยภาคใต้’รฟท.’ แจ้งงดเดินขบวนรถท้องถิ่น 16 ขบวน

รฟท. แจ้ง น้ำท่วมภาคใต้ ระดับน้ำยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง – ปลายทาง และงดเดินขบวนรถท้องถิ่น 16 ขบวน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 68 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. รายงานสถานการณ์ความคืบหน้าน้ำท่วมทางรถไฟในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ที่ยังคงมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะขยายเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ทางรถไฟที่ได้รับความเสียหายก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ยังคงไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบความเสียหายได้ ดังนั้น การรถไฟฯ จึงมีความจำเป็นต้องประกาศแจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง – ปลายทาง และงดเดินขบวนรถท้องถิ่น (สายใต้) จำนวน 16 ขบวน เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้โดยสาร ดังนี้

1. ปรับเปลี่ยนต้นทางปลายทาง จำนวน 4 ขบวน ประกอบด้วย
– ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447/448 สุราษฎร์ธานี – สุไหงโกลก – สุราษฎร์ธานี ปรับเปลี่ยนเป็น สุราษฎร์ธานี – ทุ่งสง – สุราษฎร์ธานี
– ขบวนรถท้องถิ่นที่ 445/446 ชุมพร – ชุมทางหาดใหญ่ – ชุมพร ปรับเปลี่ยนเป็น ชุมพร – ทุ่งสง – ชุมพร

2. งดเดินขบวนรถ จำนวน 12 ขบวน ประกอบด้วย
– ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451/452 นครศรีธรรมราช – สุไหงโกลก – นครศรีธรรมราช
– ขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454 ยะลา – สุไหงโกลก – ยะลา
– ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455/456 นครศรีธรรมราช – ยะลา – นครศรีธรรมราช
– ขบวนรถท้องถิ่นที่ 463/464 พัทลุง – สุไหงโกลก – พัทลุง
– ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 947/948 ชุมทางหาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์ – ชุมทางหาดใหญ่
– ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 949/950 ชุมทางหาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์ – ชุมทางหาดใหญ่

ขณะเดียวกัน ได้ให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำและปริมาณฝนตกอย่างใกล้ชิด โดยให้ฝ่ายการช่างโยธา และนายสถานีในพื้นที่ได้เฝ้าระวังประเมินและแก้ไขสถานการณ์อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ ตลอดจนให้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ มาตรการด้านความปลอดภัย  และให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยหากระดับน้ำลดลงแล้วให้เร่งดำเนินการซ่อมปรับปรุงสภาพทางเพื่อเปิดการเดินรถได้ตามปกติโดยเร็ว อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้โดยสารให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด  

อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ขอแนะนำให้ผู้โดยสารตรวจสอบข้อมูลการเดินรถก่อนออกเดินทางผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ของ รฟท. พร้อมขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้

ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบเวลาและตำแหน่งขบวนรถแบบเรียลไทม์ได้ทาง https://ttsview.railway.co.th/v3/floodingNST/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถานีรถไฟทั่วประเทศ และศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง

TAGS: #น้ำท่วมภาคใต้ #รฟท. #น้ำท่วม #การรถไฟ #การรถไฟแห่งประเทศไทย #น้ำท่วมหาดใหญ่

ขนมหม้อแกงเมืองเพชรเตรียมขึ้นเล้าจ์การบินไทย ดันของดีเพชรบุรีสู่สากล

สส.เพชรบุรีจับมือภาคเอกชน หารือการบินไทย พบมีแนวโน้มสูงนำขนมหม้อแกงขึ้นเสิร์ฟในเล้าจ์ ถือเป็นก้าวใหญ่ผลักดัน Soft Power ไทยและโปรดักต์ท้องถิ่นสู่สายตานักเดินทางทั่วโลก

นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ส.ส.เพชรบุรี ร่วมกับ นายประวิทย์ เครือทรัพย์ ผู้บริหารบริษัท เพชรบุรี ไทยดีเสิร์ท จำกัด และเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี ได้เข้าหารือกับนายนพดล เตี้ยบำรุงญาติ กรรมการผู้จัดการฝ่ายภาคพื้นของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อผลักดันให้ “ขนมหม้อแกง” ของดีขึ้นชื่อเมืองเพชร และขนมหวานตระกูลเมืองเพชรบุรี ได้ถูกนำไปให้บริการเป็นอาหารรองรับในห้องรับรองพิเศษ (เล้าจ์) ของการบินไทย

นางธิวัลรัตน์ เปิดเผยหลังการหารือว่า โครงการมีความเป็นไปได้สูงและขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการ หากสำเร็จจะถือเป็นการยกระดับขนมหม้อแกงจากสินค้าท้องถิ่นสู่ Soft Power ของจังหวัดเพชรบุรี เป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้โดยสารทั้งไทยและต่างชาติได้รู้จักรสชาติความอร่อยแบบบ้าน ๆ ที่อยู่คู่คนเพชรมายาวนาน

ปัจจุบัน ขนมหม้อแกงของจังหวัดเพชรบุรีได้รับการยกระดับมาตรฐานการผลิต มีบรรจุภัณฑ์ทันสมัย และวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นแล้ว แต่การเดินทางเข้าสู่เล้าจ์ของการบินไทย จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้แบรนด์ท้องถิ่นเข้าถึงตลาดระดับสากลมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้โดยสารพรีเมียมและนักเดินทางต่างประเทศที่มักให้ความสนใจสินค้าไทยที่มีเรื่องราวเฉพาะถิ่น

“ชาวบ้านและผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างคาดหวังว่า หากโครงการสำเร็จ จะช่วยเปิดประตูเศรษฐกิจใหม่ให้จังหวัดเพชรบุรี สร้างรายได้ให้ผู้ผลิตท้องถิ่น และทำให้คนทั่วโลกได้ลิ้มลองรสชาติ “หม้อแกงเมืองเพชร” ที่ขึ้นชื่อทั้งความหอม หวานมัน และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น”สส.เพชรบุรีกล่าว

นางธิวัลรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ต้องขอขอบคุณการบินไทยที่เปิดโอกาสให้สินค้าท้องถิ่นมีเวทีสำคัญในการเติบโต เชื่อว่าหากเดินหน้าเต็มรูปแบบ จะเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ทำให้ชื่อเสียงจังหวัดเพชรบุรีดังไกลไปทั่วโลกแบบไม่ต้องพึ่งโฆษณาใหญ่โต แต่ให้รสชาติของหม้อแกงเป็นเครื่องเล่าเรื่องแทนเอง

.

ตำรวจศรีสะเกษทลายเครือข่ายปล่อยกู้นอกระบบในพื้นที่กันทรลักษ์อายัดทรัพย์สินเกือบ 20 ล้าน

ตำรวจศรีสะเกษ ทำหมายเข้าตรวจค้น ทลายเครือข่ายปล่อยกู้นอกระบบ ในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ อายัดทรัพย์ทั้งโฉนดที่ดิน รถยนต์ ได้ล้นเหลือ เกือบ 20 ล้านบาท

 ที่ศูนย์ปฏิบัติการงานสืบสวน สถานีตำรวจภูธรกันทรลักษ์ โชว์งานชิ้นโบว์แดง ผลการระดมปราบปรามหนี้นอกระบบ ในช่วงระหว่างวันที่ 17-23 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 19.6 ล้านบาท ภายใต้การอำนวยการของ พลตำรวจตรีศุภชัย ศักรินพานิชกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ, พันตำรวจเอกไพฑูรย์ อยู่เพนียด รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ, พันตำรวจเอกสาธิต สถิตถาวร ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ และ พันตำรวจเอกศรุต จันทร์เกษ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรกันทรลักษ์

โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากศูนย์ปราบปรามการฟอกเงิน ตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ และชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรกันทรลักษ์ ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดกันทรลักษ์ หมายเลข 55/2568 และ 56/2568 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 2 จุด ในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จุดแรกเป็นบ้านหลังหนึ่งใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดที่สอง โกดังเก็บของแห่งหนึ่งพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

จากการตรวจค้นทั้งสองจุด เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวนมาก ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน 4 ฉบับ มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท, สัญญากู้ยืมเงิน 35 ฉบับ รวมยอดหนี้กว่า 3 ล้าน 5 แสนบาท, รถยนต์ 23 คัน มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท, รถจักรยานยนต์ 5 คัน มูลค่าราว 1 แสนบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ทั้งหมดกว่า 19.6 ล้านบาท

นอกจากนี้ ระหว่างการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ยังพบบุหรี่ต่างประเทศเถื่อน ซึ่งมีมูลค่าการปรับตามกฎหมายสรรพสามิตสูงถึง 1.7 ล้านบาท จึงได้ตรวจยึดไว้เพื่อนำไปดำเนินการตามกฎหมาย

โดยแจ้งข้อกล่าวหา ให้ผู้อื่นกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และประกอบธุรกิจสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหนี้นอกระบบและกฎหมายควบคุมธุรกิจสินเชื่อ

พลตำรวจตรีศุภชัย ศักรินพานิชกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 3 และตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ย้ำว่าจะเดินหน้าปราบปรามหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง เพื่อคุ้มครองประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของนายทุนดอกเบี้ยโหด พร้อมขอความร่วมมือ หากประชาชนพบเบาะแสผู้เกี่ยวข้องกับหนี้นอกระบบ สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ดำรงธรรม 1567, DSI สายด่วน 1202 ต่อ 53610, ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ 1359, หรือสายด่วนตำรวจ 1599

สำหรับการปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจึงได้ทำการสืบสวนและนำไปสู่การจับกุม และตรวจยึดของกลางจำนวนมาก

เสนาะ วรรักษ์/รายงาน

ยืนยันหลักฐานชัด!ทุ่นระเบิด PMN-2 ฝังใหม่ไม่ใช่ของเก่าตามที่กัมพูชาอ้าง

กองบัญชาการกองทัพไทย แถลงผลการสังเกตการณ์ AOT-TH ยืนยันชัดทุ่นระเบิด PMN 2 ถูกฝังในเขตไทยจากหลักฐานเชิงประจักษ์หลักฐานทางกายภาพพิกัดภูมิศาสตร์ ภาพถ่ายวีดีโอ และการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 กองบัญชาการกองทัพไทย ออกประกาศเปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (ASEAN Observer Team- Thailand: AOT-TH) ต่อเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ โดยผลการสังเกตการณ์ยืนยันชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ที่ถูกฝังใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด

คณะ AOT-TH ได้ลงพื้นที่ทันทีหลังเกิดเหตุ และจากการประเมินสภาพหน้าดิน รูปแบบการวางทุ่น และร่องรอยการฝัง พบว่าทุ่นระเบิด PMN-2 ถูกฝังในช่วงเหตุปะทะล่าสุด ลักษณะตรงกับทุกเหตุการณ์ก่อนหน้าในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งทุ่นระเบิด PMN-2 ที่พบในแต่ละครั้งล้วนเป็นการฝังใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่ตกค้างตามคำกล่าวอ้างของฝ่ายกัมพูชา

จากการตรวจสอบของหน่วยวิศวกรรมร่วมกับ AOT-TH ยังพบสัญญาณบ่งชี้ว่าพื้นที่ดังกล่าวอาจมีการฝังทุ่นระเบิดเพิ่มเติม และยังไม่สามารถเข้าดำเนินการเก็บกู้ได้ในทันทีเนื่องจากความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

นอกจากนี้ คณะ AOT-TH ได้ยืนยันพิกัดจุดพบทุ่นระเบิดทุกจุดด้วย GPS โทรศัพท์มือถือ (Google Map) ร่วมกับแผนที่ภูมิประเทศอย่างเป็นระบบ ผลการตรวจสอบชัดเจนว่า ทุกตำแหน่งอยู่ในดินแดนของไทยทั้งหมด ไม่มีจุดใดอยู่นอกเขตแดนไทย

ที่สำคัญ หัวหน้าคณะ AOT-TH ได้ตรวจสอบ โทรศัพท์มือถือส่วนตัวของทหารกัมพูชา ซึ่งถูกทิ้งไว้ขณะถอนกำลังบริเวณภูมะเขือ ภายในโทรศัพท์พบภาพถ่าย วิดีโอ และข้อมูลการลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน โดยมีภาพการวางและขุดฝังทุ่นระเบิด PMN-2 รวมถึงภาพการปฏิบัติของทหารกัมพูชาในพื้นที่ ซึ่งถือเป็น หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้ว่าทุ่นระเบิดถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชาในเขตแดนไทย

คณะสังเกตการณ์ยังระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวเคยใช้เป็นฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในช่วงการปะทะ และมีความเป็นไปได้สูงว่าทุ่นระเบิดถูกฝังในห้วงสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุด ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่เหลืออยู่ในพื้นที่ตามการชี้แจงของฝ่ายกัมพูชา

กองบัญชาการกองทัพไทยขอย้ำว่า ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่มาจากการสังเกตการณ์โดยตรง หลักฐานทางกายภาพ พิกัดภูมิศาสตร์ ภาพถ่าย วิดีโอ และการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ โดยคณะ AOT-TH ซึ่งมีความเป็นกลาง โปร่งใส และปฏิบัติตามมาตรฐานสากลทุกขั้นตอน โดยประเทศไทยปฏิบัติตามทุกข้อตกลงภายใต้กรอบกลไกทวิภาคี ไม่ว่าจะเป็น GBC, JBC หรือข้อตกลงการสังเกตการณ์ร่วมทุกฉบับ พร้อมดำเนินงานตามหลักสันติวิธี ความโปร่งใส และมาตรฐานสากลมาโดยตลอด เพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างสร้างสรรค์และรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศเป็นสำคัญ

ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยังพบพฤติการณ์จากฝ่ายกัมพูชาที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในหลายเวทีการหารือ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการเจรจาและความเชื่อมั่นในกลไกความร่วมมือ

ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทยยังคงเดินหน้าตามกลไกทวิภาคีทุกระดับอย่างโปร่งใส ชัดเจน และตรวจสอบได้ เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏต่อประชาคมในทุกเวทีที่เกี่ยวข้อง และเพื่อปกป้องอธิปไตย-บูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างมั่นคงต่อไป
เสนาะ วรรักษ์/รายงาน

ทหารจับตาเฝ้าชายแดนไทย-เมียนมา เพิ่มมาตรการลาดตระเวนเข้ม ตั้งอาวุธสนับสนุนทันเหตุการณ์

ทหารไทย หน่วยเฉพาะกิจรามนู กองกำลังนเรศวร ยกระดับเฝ้าระวังชายแดนไทย-เมียนมา เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังลาดตระเวนถี่ขึ้น พร้อมอาวุธปืนหนัก-รถยานเกราะ  นำกำลังพลออกลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และวางกำลังตามจุดล่อแหลม ทั้งการป้องกันการรุกล้ำอธิปไตย และการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดทั้งเตรียมความพร้อมตอบโต้หากสถานการณ์ขยายวง

การออกลาดตระเวนชายแดนและการวางกำลัง เนื่องด้วยสถานการณ์การสู้รบในพื้นที่ด้านตรงข้ามพื้นที่รับผิดชอบยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการลักลอบเข้าเมือง และภัยคุกคามต่อความมั่นคง หน่วยเฉพาะกิจราชมนู จึงได้เพิ่มมาตรการในการเฝ้าระวังแนวชายแดน เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยได้ดำเนินการจัดกำลังเพิ่มเติมและเสริมขีดความสามารถในการปฏิบัติ  โดยเพิ่มวงรอบการลาดตระเวนทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน , การจัดตั้งจุดเฝ้าตรวจชั่วคราวบริเวณช่องทางธรรมชาติ ริมแม่น้ำเมย และพื้นที่เสี่ยง

ขณะเดียวกันได้นำอาวุธยิงสนับสนุนเข้าที่ตั้งยิงเพิ่มเติมในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการตอบโต้หากสถานการณ์ขยายวง โดยได้รับการสนับสนุนกำลังจากกองกำลังนเรศวร ประกอบด้วย – หน่วยอากาศยานไร้คนขับ สำหรับการตรวจการณ์ทางอากาศในระยะไกล ,- ชุดต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ เพื่อป้องกันการแทรกซึมด้านข่าวกรอง ,- ชุดลาดตระเวนระยะไกล (ชป.ลว.ไกล) เพื่อเสริมศักยภาพด้านการรวบรวมข่าวสารเชิงลึกและการแจ้งเตือนล่วงหน้า

นอกจากนี้ต้องมีการปรับกำลังหมุนเวียน รวมถึงการสนับสนุนยุทโธปกรณ์ กระสุน และระบบตรวจการณ์เพิ่มเติม หากสถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อหรือทวีความรุนแรง ,ประสานการปฏิบัติกับฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ในการเพิ่มการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดในหมู่บ้านที่ติดแนวชายแดน   การเพิ่มมาตรการดังกล่าว เป็นการยกระดับการเตรียมพร้อมในการรองรับสถานการณ์การการสู้รบในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามเมื่อมีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบต่อประเทศไทยได้อย่างทันท่วงทีต่อไป

.

สืบสุทธิสารจับ 3 ผู้ต้องหาตัดสายเคเบิ้ลกลางดึกยึดของกลาง-กระบะก่อเหตุ

สืบสุทธิสารไหวพริบดี! ขณะขับออกตรวจ พบแก๊ง! 3 ผู้ต้องหามือตัดสายเคเบิ้ลกลางดึก พร้อมของกลางและรถกระบะก่อเหตุ

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สุทธิสาร ภายใต้อำนวยการของ พ.ต.อ.พรเทพ เฉลิมเกียรติ ผกก.สน.สุทธิสาร สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในบังคับบัญชา ตรวจตราพื้นที่ รับผิดชอบอย่างเข้มข้น สามารถจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ที่ร่วมกันก่อเหตุลักลอบตัดสายเคเบิ้ลในเวลากลางคืน พร้อมของกลางและรถกระบะที่ใช้เป็นยานพาหนะในการก่อเหตุ

การจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. บริเวณริมถนนซอย 20 มิถุนา แยก 6 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง  ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.สุทธิสาร นำโดย ร.ต.อ.อภิชาต จันทร์แก้ว รอง สว.สส. พร้อมกำลังชุดสืบสวน  ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ ขณะออกตรวจพื้นที่

เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นกลุ่มบุคคล 3 คน กำลังลากสายเคเบิ้ลและยกขึ้นรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ Mitsubishi รุ่น Triton สีขาว หมายเลขทะเบียน บห-1114 พิษณุโลก ที่จอดอยู่ริมถนน จึงได้เข้าแสดงตัวเพื่อขอตรวจสอบ ผู้ต้องหา ทั้งสามคนในตอนแรกอ้างว่าได้รับคำสั่งมาตัดสายไฟที่ชำรุด แต่ไม่สามารถแสดงเอกสารยืนยันได้ และไม่ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทราบ

จากการสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ให้การยอมรับสารภาพในเวลาต่อมาว่า ไม่ได้เป็นช่างซ่อมสายเคเบิ้ล แต่เป็นการลักลอบตัดและขโมยสายเคเบิ้ลจริง โดยมีแผนจะนำไปทิ้งไว้ตามจุดนัดหมายเพื่อให้บุคคลอีกชุดมารับไปขายเพื่อแลกกับค่าจ้าง

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย มาสอบสวนที่ สน.สุทธิสาร โดยผู้ต้องหาประกอบด้วย
 – นายปภัสร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี
 – นายชลนธี (สงวนนามสกุล)อายุ 21 ปี
 – นายธีรภัทร(สงวนนามสกุล)อายุ 16 ปี “เยาวชน”

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ แจ้งข้อหา”ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่ออำนวยความสะดวกในการกระทำความผิด หรือพาทรัพย์สินนั้นไป หรือหลบหนีจากการจับกุม” ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสามได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดของกลาง หลายรายการ
– สายเคเบิ้ลที่ถูกตัดเป็นท่อนแล้ว จำนวน 18 เส้น ความยาวประมาณเส้นละ 1.50 เมตร
 – สายเคเบิ้ลที่ถูกตัดแล้ว ความยาวประมาณ 50 เมตร จำนวน 1 เส้น

 – รถกระบะ ยี่ห้อ Mitsubishi รุ่น Triton สีขาว 1 คัน (ยานพาหนะที่ใช้ก่อเหตุ)
 – ไฟฉายชนิดติดศีรษะ
 – ครีมตัดท่อสายไฟ
 – ครีมตัดสายเคเบิ้ล จำนวน 2 ด้าม
 – เหล็กแฉลงสำหรับงัดฝาท่อ 1 เล่ม
 – มีดคัตเตอร์ 1 ด้าม

หลังจากการบันทึกจับกุมและตรวจยึดของกลางแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจบุกรวบครบแก๊ง”เกาหลี-ไทย”อุ้มหทำร้ายรีดเงินนุ่มจีน

ตำรวจบุกรวบครบแก๊ง หนุ่มเกาหลี ชวนคนไทย เข้าร่วมอุ้มหนุ่มจีนทำร้ายรีดเงิน สมาชิกอ้าง ไม่ได้ส่วนแบ่ง คิดว่าแค่ช่วยทวงเงิน

พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รองผบช.น.ดูแลงานสืบสวน พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผบก.น.6 พ.ต.อ.นริศ ปรารถนาพร รองผบก.น.6 พ.ต.อ.ธรรมศักดิ์ สารบุญ ผกก.สน.บางรัก พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.ธนพรหม ธนอาภากร รอง ผกก.สส.สน.บางรัก ชุดสืบสวนนครบาล และชุดสืบสวนสน.บางรัก ร่วมกันจับกุมคือนายลี อิน ฮัน  (MR.LEE IN HAN) อายุ 46 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ จับกุมได้หน้าห้องพัก คอนโดแห่งหนึ่ง สุขุมวิท 24 ซอยสุขุมวิท 24, Block B แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จับกุมนายณัฐพงศ์ เทพมา อายุ 35 ปี ได้บริเวณห้องโถงผู้โดยสารฝ่าย ตม.ขาเข้าชั้น 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ควบคุมตัวนายชานนท์ อินทร์โท อายุ 24 ปี และนายธนภัทร ขำกมล อายุ 29 ปี ที่สน.บางรัก เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ตามหมายจับหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่1129, 1130, 1152, 1153/2568 ข้อหา“ร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อการกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่น ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น”

สืบเนื่องจาก พนักงานสอบสวนสน.บางรัก รับแจ้งเหตุชายชาวจีน อายุ 35 ปี ผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ให้การว่า วันที่ 1 พ.ย.68 เวลาประมาณ 10.30 น. หลังจากมาหาเพื่อนที่อาคารมหาเศรษฐ์แล้ว กำลังจะเดินทางกลับที่พัก ได้ยืนรอรถแท็กซี่อยู่บริเวณ ริมถนนมหาเศรษฐ์ หน้าอาคารได้มีบุคคลเป็นชาย 3 คน เป็นชายสัญชาติไทย 2 คน และสัญชาติชาติเกาหลีใต้ 1 คน ขับขี่รถยนต์เข้ามาจอดบริเวณริมถนน จากนั้นเข้ามารุมทำร้ายผู้เสียหาย ด้วยการชกมาที่ใบหน้าของผู้เสียหาย  จากนั้นร่วมกันบังคับฉุดกระชากผู้เสียหาย ให้ขึ้นรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นซีเฮชอาร์ สีขาว เลขทะเบียนรถ 9กฮ5427กรุงเทพมหานคร พาผู้เสียหาย ขับขี่ไปยังบริเวณลานจอดรถใต้ดินไม่ทราบว่าบริเวณที่ใด

จากนั้นพาผู้เสียหายลงจากรถและรวมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอีก โดยมีการรื้อค้นกระเป๋าของผู้เสียหาย  มีเงินสดจำนวน 50,000 บาท คนร้ายได้เอาเงินดังกล่าวของผู้เสียหาย ไปและบังคับให้ผู้เสียหาย โอนเงินเหรียญดิจิตอล (USDT) ของผู้เสียหาย ไปยังบัญชีของชายชาวเกาหลีใต้  ด้วยความกลัวถูกทำร้ายอีก ผู้เสียหาย จึงโอนเงินเหรียญดิจิตอล (USDT) ไปยังบัญชีคนร้ายจำนวน 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 จำนวน 1,500 USDT เมื่อวันที่ 1 พ.ย.68 เวลาประมาณ 11.48 น. และครั้งที่ 2 จำนวน 7,875 USDT เมื่อวันที่ 1 พ.ย.68 เวลาประมาณ 12.05 น. รวมเงินเหรียญดิจิตอล (USDT)ประมาณ 9,375 USDT คิด  รวมมูลค่าเสียหาย 353,656 บาท 

หลังจากได้เงินคนร้ายทั้งสามคนได้พาผู้เสียหาย ขึ้นรถขับขี่ออกไป และพาผู้เสียหายไปปล่อยลงจากรถที่บริเวณปากซอยแสนสุขข้างอาคารมาลีนนท์ ทาวเวอร์ (ช่อง 3 ) ถนนพระราม 4 เวลาประมาณ 12.20 น. เมื่อวันที่ 1 พ.ย.68  การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้เสียหาย ได้รับบาดเจ็บ และเกิดความเสียหาย จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว

ชุดสืบสวนสน.บางรักจึงได้ขยายผลการตรวจสอบจนทราบว่า 1 ในผู้ก่อเหตุคือนายณัฐพงศ์ เทพมา อายุ 35 ปี จึงได้ขออนุมัติหมาย และออกหมายจับตามภาพนายลี อิน ฮัน จนกระทั่งชุดสืบสวนนครบาล สามารถตามจับกุมนายนายลี อิน ฮัน ได้ดังกล่าวภายหลังหมายจับออก จากนั้นชุดสืบสวนสน.บางรัก จึงได้ทำการจับกุมนายณัฐพงศ์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นชุดสืบสวนสน.บางรัก ขยายผลถึงผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2 รายคือ นายชานนท์ และนายธนภัทร เข้ามอบตัวที่สน.บางรัก เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา 

จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 ราย เข้ามาร่วมจากการชักชวนของนายณัฐพงศ์ ที่รู้จักกับนายนายลี อิน ฮัน ไม่ได้เงินส่วนแบ่งแต่อย่างใด โดยผู้ก่อเหตุอ้างว่าผู้เสียหายไม่ชำระหนี้จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าวเท่านั้น จึงตามหาและลงมือก่อเหตุดังกล่าว เบื้องต้นนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป