“เขาชัยสน”เมืองพัทลุง หลายพื้นที่ยังจมบาดาล ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

“ริมทะเลสาบสงขลา” อ่วมหนัก คอสะพานหน้าที่ว่าการอำเภอตะโหมด สายถนนเศรษฐกิจ ทรุดรถเบี่ยงเส้นทางเดิน เกษตรเลี้ยงหมูภาคใต้ ยังมีผลรายงานความเสียหาย

เมื่อวันที่ 23 พย.68 ระดับน้ำริมเทือกเขาบรรทัดในพื้นที่  อ.กงหรา  อ.ศรีนครินทร์ อ.ตะโหมด อ.ป่าบอน อ.ป่าพะยอม   และ อ.ศรีบรรพต ระดับน้ำได้ลดลง เนื่องจากกระแสน้ำได้ไหลลงสู่ริมพื้นที่ริมทะเลสาบลำปำ ทะเลสาบสงขลาตอนใน จนทำให้พื้นที่ อ.ควนขนุน อ.เมืองพัทลุง อ.เขาชัยสน อ.บางแก้ว ระดับน้ำได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำริมทะเลสาบสงขลา

ในส่วนของพื้นที่ อ.ควนขนุน มีพื้นที่ที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในตำบลทะเลน้อย ต.มะกอกเหนือ ต.พนางตุง  โดยเฉพาะเส้นทางในหมู่ที่ 2 ต.มะกอกเหนือ หมู่ 9 ต.พนางตุง เส้นทางเข้าหมู่บ้านรถเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้
ส่วนในพื้นที่ หมู่ 4  ต.ลำปำ อ.เมืองพัทลุง ระดับน้ำภายในหมู่บ้านสูงกว่า 2 เมตร

ส่วนสะพานเหล็กข้ามคลองลำปำ  หมู่ 4  ต.ลำปำ ถูกกระแสน้ำพัดสะพานขาด ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้เส้นทางออกสู่ภายนอกได้  ส่วนในพื้นที่ หมู่ 9,10,12  ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน ชาวบ้านหลายครัวเรือนก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกันเนื่องจากกระแสคลื่นลมในทะเลสาบัดหนุนอย่างตอเนื่อง ส่วนคอสะพานที่เยื้องที่ว่าการอำเภอตะโหมด ถนนสายแม่ขรี โล๊ะจังกระ รอยต่อระหว่างเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลควนเสาธง  ถนนสายหลังทางเศรษฐกิจ ยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ ต้องเปลี่ยนเส้นทางการสัญจร เพราะเกิดชำรุดคอสะพานทรุด

ทางด้านชาวบ้าน หมู่ 15  ต.ควนมะพร้าว  อ.เมืองพัทลุง  เปิดเผยว่า ให้รัฐบาลเร่งขุดคลองควนกุฎิ ความยาว 4 เมตร  เพื่อระบายน้ำจากคลองลำเบ็ดลงสู่ทะเลสาบสงขลาอีกทางหนึ่งให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี เนื่องจากกระแสน้ำจากคลองจากการดูแลของกรมชลประทานได้สร้างความเสียหายแก่ชาวบ้าน  พื้นที่เกษตร สัตว์เลี้ยง ในพื้นที่หมู่ 15 ,16 ต.ควนมะพร้าว ในช่วงน้ำท่วมมาเป็นระยะเวลานาน

ขณะนี้ในหมู่บ้านดังกล่าวบังมีน้ำท่วมขังที่สูงมาก  บางจุดสูงมากกว่า 2  เมตร และเป็นพื้นที่ของ อ.เมืองพัทลุงที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดในทุกปีและจากการที่เกิดฝนตกหนักและมีน้ำท่วมขังของจังหวัดพัทลุง ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 รายเป็นชาย.

ทางด้านนายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าเลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยว่า จากภาวะน้ำท่วม เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วภาคใต้ยังไม่ได้รายงานถึงผลกระทบที่เกิดน้ำท่วม แต่ถึงอย่างไรในการเลี้ยงสุกรเกษตรกรต่างเป็นมืออาชีพเรื่องน้ำ น่าจะมีการดำเนินการล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ เอาไว้แล้ว.

ก้าวข้าม “กำแพงทางใจ”คนอีสานติดหนี้พุ่ง-รายได้ต่ำ สู่เกษตรวิถีใหม่

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ห้อง Convention 2–3 โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) จัดสัมมนาประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “เกษตรวิถีใหม่เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์จากกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ หน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ สถาบันการเงิน และประชาชนทั่วไป ในการร่วมกันหาแนวทางเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรอีสานให้ยั่งยืน โดยการสัมมนาแบ่งเป็น 4 ช่วงหลัก

งานเริ่มด้วยการปาฐกถาของนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เน้นย้ำบทบาทสำคัญของ ธปท. ในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทั้งด้านเงินเฟ้อ ระบบสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน พร้อมย้ำว่าในระยะต่อไป ธปท. จะลงพื้นที่ทำงานใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ปัญหาทุนสีเทา และสแกมเมอร์

นายวิทัย กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568–2569 คาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำมาก เพียง 2.1% และ 1.6% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ขีดความสามารถการแข่งขันลดลง และไทยอยู่ในภาวะสังคมผู้สูงอายุ ขณะที่ภาคอีสานซึ่งพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นหลักนั้นกำลังเผชิญปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ รายได้ไม่สอดคล้องรายจ่าย นำไปสู่หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล โดยหนี้ครัวเรือนภาคอีสานเพิ่มขึ้นถึง 55% ในช่วงปี 2560–2566 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศมาก ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นภารกิจเร่งด่วน

ธปท. จึงต้องเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ผ่าน โครงการแก้หนี้เสีย (NPL) สำหรับรายย่อยไม่เกิน 1 แสนบาท ผ่าน Social AMC ช่วยให้ประชาชนปิดหนี้ได้จริง พร้อมเตรียมพัฒนารูปแบบการค้ำประกันใหม่เพื่อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ตั้งเป้า 1 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกษตรกรจำนวนมากในภาคอีสาน นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เดินหน้าสร้างความรู้ทางการเงินในพื้นที่ 3 จังหวัดนำร่องได้แก่ หนองบัวลำภู ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ รวมกว่า 5,000 กองทุน รวมถึงโครงการ “ครูสตางค์” เพื่อสร้างทักษะทางการเงินให้ครูและเยาวชน

ถัดมาในช่วงที่สองเป็นการเสวนาในประเด็น “เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ด้วยเทคโนโลยีเกษตร” โดย รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ชี้ให้เห็นเหตุผลสำคัญว่าเหตุใดเกษตรกรจำนวนมากยังไม่ใช้เทคโนโลยี โดยพบว่าเกษตรกรยังไม่เชื่อมั่นว่าการลงทุนคุ้มค่า แม้คุณภาพผลผลิตดีขึ้น แต่ราคาที่ได้รับไม่สะท้อนคุณภาพ ทำให้ขาดแรงจูงใจ อีกทั้งยังขาดบุคลากรด้านเทคโนโลยี เพราะแรงงานสูงวัยไม่กล้าลงทุน และคนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพเกษตรน้อยลง

อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นตัวอย่างเกษตรกรยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จ เช่น กลุ่มทำนาประณีตที่ชัยภูมิ และทายาทอ้อยร้อยล้านที่บุรีรัมย์ ที่หันมาใช้เทคโนโลยีและสร้างอาชีพใหม่ เช่น บริการโดรนพ่นยา และให้เช่าเครื่องจักรสมัยใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้มั่นคง

ต่อมาในช่วงที่สาม มีการนำเสนอหัวข้อ “พลิกมุมคิดเพื่อยกระดับผลผลิตข้าวอีสาน” โดยนายสินสมุทร ศรีแสนปาง ผู้ก่อตั้งโครงการศรีแสงดาวหมู่บ้านนาหยอด กล่าวย้ำถึงปัญหาสำคัญของชาวนาคือ “กำแพงทางใจ” ที่ทำให้ไม่กล้าปรับตัว ทั้งที่เพียงเปลี่ยนมุมคิดก็เพิ่มรายได้ได้จริง พร้อมเผยเคล็ดลับ 3 อย่าง ได้แก่ ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร–ถูกเวลา ปรับปรุงดินเพื่อลดปุ๋ยเคมี และการทำนาหยอด ซึ่งใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 1.6 กิโลกรัม/ไร่ แต่ให้ผลผลิตสูงถึง 600 กิโลกรัม/ไร่ ลดต้นทุนลงหลายเท่า พร้อมเน้นทัศนคติที่ดีและกล้าลงมือทำ

ขณะที่ช่วงสุดท้าย เป็นการเสวนาเรื่อง “เกษตรวิถีใหม่เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” โดยผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และผู้บริหารจาก ธ.ก.ส. ที่ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลว่า…ทำไมเกษตรกรจำนวนมากยังไม่กล้าปรับตัว แม้จะเห็นโอกาสจากการทำเกษตรสมัยใหม่ เนื่องจากกลัวความเสี่ยงและไม่รู้จะเริ่มอย่างไร อย่างไรก็ดี ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักเริ่มจากการรู้จักตลาด เรียนรู้จริงจากการลงมือทำ และมองเกษตรเป็นธุรกิจที่สร้างคุณค่าได้ พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐที่ช่วยสร้างความมั่นใจ

โดยสรุปประเด็นสำคัญจากการจัดสัมมนาในครั้งนี้ สะท้อนภาพชัดเจนว่า “การปรับตัวไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของเกษตรอีสาน” เพราะรายได้จากการขายผลผลิตไม่ได้โตแต่กลับมีหนี้เพิ่ม หากไม่ปรับตัว ภูมิภาคจะก้าวต่อไม่ได้ แต่วันนี้มีตัวอย่างสำเร็จเกิดขึ้นจริงมากมาย ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนวิธีคิดสามารถเพิ่มรายได้ได้ และเมื่อพร้อมจึงค่อยยกระดับสู่ผู้ประกอบการเต็มตัว ทั้งนี้ภาครัฐยังคงมุ่งสนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกษตรกรอีสานสามารถ “ก้าวทัน–ก้าวไกล” ด้วยวิธีคิดใหม่ และสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

ต้นทุนพุ่งสวนทางมะพร้าวราชบุรีดิ่งเหลือ2บาท/ลูก ชาวสวนขาดทุนยับ

ราชบุรี – สถานการณ์ราคามะพร้าวน้ำหอมราชบุรีทรุดหนักสุดรอบปี ชาวสวนโอดต้นทุนพุ่งแต่ราคาหน้าสวนต่ำเตี้ย รองนายกฯ “ธรรมนัส” ส่งสัญญาณเด็ดขาด ล้ง–ผู้รับซื้อหยุดพฤติกรรมไม่เป็นธรรม มิเช่นนั้นเตรียมใช้ไม้แข็งจัดระเบียบตลาด

เมื่อวันที่ 23 พ.ย.22568 ผู้สื่อข่าวรายงานระบุว่า สถานการณ์ราคามะพร้าวน้ำหอมจังหวัดราชบุรียังคงน่าเป็นห่วงอย่างหนัก หลังราคาหน้าสวนดิ่งลงเหลือเพียง ลูกละ 2 บาท ทำให้เกษตรกรหลายพื้นที่เดือดร้อนอย่างหนัก ทั้งจากต้นทุนที่เพิ่มสูง รายได้ลดฮวบ และอำนาจต่อรองแทบไม่เหลือ แม้ความต้องการจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ยังสูงต่อเนื่อง แต่กลับสวนทางกับราคาที่เกษตรกรได้รับ

ทั้งนี้ชาวสวนจำนวนมากสะท้อนตรงกันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ได้มาจากภาวะตลาดโลก หากแต่เกิดจาก การกดราคาในประเทศ โดยเฉพาะล้งรับซื้อบางกลุ่มที่มีอิทธิพลในพื้นที่ จนไม่สะท้อนภาวะดีมานด์จริง ขณะที่ภาคเกษตรกรรอการขับเคลื่อนจากรัฐบาลเพื่อจัดการเชิงโครงสร้างอย่างเป็นธรรมเร่งด่วน

ด้านร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรับทราบปัญหาจากพื้นที่แล้ว โดยพบความผิดปกติใน “ห่วงโซ่การซื้อขายภายในประเทศ” ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคามะพร้าวถูกกดต่ำเกินจริง ถือเป็นการฉวยโอกาสเอาเปรียบเกษตรกร

อย่างไรก็ตามร้อยเอกธรรมนัส ส่งสัญญาณเตือนไปยังล้งและผู้รับซื้อทุกกลุ่มว่า ต้องหยุดพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมทันที พร้อมย้ำว่ารัฐบาลพร้อมใช้มาตรการเด็ดขาดหากยังพบการกดราคา

“อย่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่าเอาเปรียบเกษตรรมากเกินไป ถ้ายังไม่หยุด ผมจำเป็นต้องใช้ไม้แข็งนะครับ เราผ่านวิกฤตราคาทุเรียนและลำไยมาแล้ว มะพร้าวก็เช่นเดียวกัน” — ร.อ.ธรรมนัส กล่าวย้ำ

‘ก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต ณ ปากช่อง’ สูตรเด็ดต้นตำรับ อร่อยแบบไทย ราคาโดนใจ

ร้าน‘ก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต ณ ปากช่อง’จ.นครราชสีมา มีเมนูหลากหลายให้เลือกกิน ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก ครบเครื่องเรื่องหมูสดเด้งๆ หมูตุ๋นเปื่อยนุ่มกำลังดี ลูกชิ้นหมูเคี้ยว หนุบหนับ ตับหมูสดๆ รสชาติจัดจ้าน เข้มข้นทุกชาม น้ำซุปหอมๆ วัตถุดิบสดใหม่ทุกวัน

เส้นก๋วยเตี๋ยวมีให้เลือกทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ และเส้นบะหมี่ ส่วนเครื่องเคียงชอบอย่างไหนเป็นพิเศษสั่งได้เลย มีผักสดเป็นถั่วงอกให้เพิ่มอรรถรสในการกินด้วย สำหรับก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกต้องกินคู่กับกากหมูเจียวสดใหม่วันต่อวัน ทำเป็นชิ้นพอคำ กินได้ทั้งก๋วยเตี๋ยวน้ำ และก๋วยเตี๋ยวแห้ง กรุบกริบมากๆ เข้ากันอย่างลงตัว

ทางร้านยังมีเมนูเสริมที่ทำไว้ให้ลูกค้าได้เลือกกิน อย่างปีกไก่ทอด ปีกไก่ชุบแป้งปรุงรสแล้ว นำมาทอดจนเหลืองทองหอม กรอบนอกนุ่มใน ส่วนเมนู ส้มตำ ทางร้านทำเสริมไว้ เพราะแม่ครัวของทางร้านเป็นคนอีสาน ตำส้มตำได้แซ่บมาก มีทั้งส้มตำปู ส้มตำปลาร้า ส้มตำกุ้งสด ส้มตำไทย ส้มตำปูปลาร้า

นอกจากนี้ยังมีอาหารจานเดียว อาทิ ขนมจีนน้ำยาปลาช่อน ขนมจีนน้ำยาป่า หรือข้าวผัดกะเพรา หมู ไก่ ทะเล หมูกรอบ กะเพรารวมมิตร และข้าวผัดหมู เป็นต้น แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกินอาหารคาวแล้ว ต้องตบท้ายด้วยของหวาน อย่างขนมถ้วย ที่เป็นสูตรของทางร้าน กะทิคั้นสดใหม่ทุกวัน นึ่งเอง หอมกรุ่นจากเตา

ส่วนราคาก๋วยเตี๋ยวมีให้เลือก 2 ราคา เริ่มต้นชามละ 20 บาท พิเศษ 50 บาท ลูกชิ้นปิ้ง มีแบบเนื้อหมูล้วน และลูกชิ้นเอ็นหมูอร่อยโดนใจ ไม้ละ 15 บาท ส้มตำเริ่มต้น 50 บาท เมนูข้าวเริ่มต้น 50 บาท น้ำสมุนไพร แก้วละ 25 บาท กาแฟสดแก้วละ 50 บาท

ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต ณ ปากช่อง มี 2 สาขา คือ สาขา 1 ขาเข้าอ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และสาขา 2 ติดถนนมิตรภาพ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ

เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. สอบถามได้ที่ โทร.06-3272-3358.

นักท่องเที่ยวแห่ชมทะเลหมอกภูกระดึง โต้ลมหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11.5 องศา

อุทยานแห่งชาติภูกระดึงกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของปี หลังสภาพอากาศเริ่มหนาวจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 อุณหภูมิบนยอดเขาลดลงต่ำสุดที่ 11.5 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 18 องศา ความชื้นสัมพัทธ์ 88% สร้างบรรยากาศหนาวสบายที่หลายคนรอคอย

บรรยากาศยามเช้าบนภูกระดึงในขณะนี้เต็มไปด้วยอากาศหนาวสดชื่น พร้อมทะเลหมอกที่ปกคลุมไปทั่วทิวเขา ขณะที่แสงแดดยามเช้าส่องประกายผ่านม่านหมอก สร้างภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างพากันตื่นแต่เช้าเพื่อชมทิวทัศน์อันงดงามและสัมผัสลมหนาวที่พัดโชยมาเย็นสบาย

สำหรับใครที่กำลังมองหาจุดหมายท่องเที่ยวรับหน้าหนาว ภูกระดึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรพลาด ด้วยอากาศที่หนาวเย็นสบาย บวกกับทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมดอกไม้ป่าหลากหลายสายพันธุ์ที่กำลังผลิบาน รับรองว่าจะได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจอย่างแน่นอน

.

ฝนตกหนักต่อเนื่องสงขลาจมยกจังหวัด “หาดใหญ่”หนักสุดรอบ 15 ปี

น้ำท่วมสงขลาทั้ง 16 อำเภอ ประชาชนกว่า 77,000 คน 29,000 ครัวเรือน ได้รับความเดือดร้อน ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฯ เตือนเฝ้าระวังจนถึงวันที่ 25 พ.ย.ประกาศเป็นเขตพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินแล้ว 10 อำเภอ

นายจิรวัตร์ มณีโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า  ฝนตกหนักสะสมกันต่อเนื่องในช่วง 3–4 วันที่ผ่านมา ทำให้หลายพื้นที่เริ่มได้รับผลกระทบ โดยในเบื้องต้นพื้นที่ อ.นาหม่อม หาดใหญ่ และระโนดถูกน้ำท่วมก่อน แต่ปัจจุบันทุกอำเภอได้รับผลกระทบหมด โดยเฉพาะในช่วงเย็นวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา กระแสน้ำหลากเข้าสู่ อ.นาหม่อมอย่างรวดเร็ว และมีระดับสูงที่สุดช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. ก่อนจะไหลเข้าสู่พื้นที่อำเภอหาดใหญ่ในช่วงเที่ยงคืน

“สถานการณ์ปีนี้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา โดยปีที่แล้วน้ำจำนวนมากไหลมาจากอำเภอสะเดา แต่ปีนี้ปริมาณน้ำหลักไหลมาจากอำเภอจะนะ เข้าสู่นาหม่อมและเข้าสู่หาดใหญ่ ทำให้ปริมาณน้ำหลากมีความรุนแรงมากขึ้น”

ด้านศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก รายงานว่า ขณะนี้แนวร่องมรสุมยังปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณตะวันตกของประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้เมฆฝนหนาแน่นปกคลุมตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีถึงสตูล และเกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยจังหวัดสงขลายังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักต่อเนื่องจนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 โดยเฉพาะพื้นที่รับน้ำของเมืองหาดใหญ่

ทั้งนี้จังหวัดสงขลาประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัย 10 อำเภอ คือ อำเภอรัตภูมิ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอบางกล่ำ อำเภอระโนด อำเภอสิ่งหนคร อำเภอควนเนียง อำเภอหาดใหญ่ อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอนาเภอนาหม่อม และอำเภอจะนะ พร้อมสั่งการให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าอำเภอหาดใหญ่ โดยมอบหมายให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า และติดตามสถานการณ์ พร้อมจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ 2 จุด คือ โรงเรียนเทศบาล 1 (เอ็งเสียงสามัคคี) และโรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน)

ปัจจุบันมีพื้นที่ 3 อำเภออยู่ในระดับหนักมาก ได้แก่ 1. อำเภอรัตภูมิ ได้รับผลกระทบ 5 ตำบล 63 หมู่บ้าน 1,875 ครัวเรือน 5,025 คน 2. อำเภอหาดใหญ่ 5 ตำบล 24 หมู่บ้าน 1 ชุมชน 1,348 ครัวเรือน 4,240 คน และ 3. อําเภอนาหม่อม 4 ตำบล 24 หมู่บ้าน 479 ครัวเรือน 1,758 คน และมีพื้นที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ 1) อำเภอหาดใหญ่ ทุกพื้นที่ 13 ตำบล 15 ท้องถิ่น 130 ชุมชน 80,000 คน 2) อำเภอนาหม่อม ทุกพื้นที่ 4 ตำบล 3) อำเภอรัตภูมิ ทุกพื้นที่ 5 ตำบล และ 4) อำเภอระโนด

สำหรับอ.หาดใหญ่  น้ำท่วมทั้งเมือง หนักสุดในรอบ 15 ปี ถนนหลายสายถูกน้ำท่วมและไหลเอ่อล้น  เทศบาลนครหาด ใหญ่ประกาศ “ยกธงเหลือง” เฝ้าระวัง 12 พื้นที่เสี่ยง เตือนประชาชนเตรียมพร้อม 

นายกฯลั่นไม่ทิ้งกันแน่นอน ลุยน้ำท่วมหาดใหญ่ให้กำลังใจผู้ประสบภัย

นายกฯ อนุทิน ลงเรือท้องแบนติดตามสถานการณ์น้ำหาดใหญ่ จ.สงขลา แจกถุงยังชีพ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ย้ำ! เร่งทุกหน่วยทำงานเต็มกำลัง


.
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อมาถึงสี่แยกโรงปูน ซึ่งเป็นจุดที่ประชาชนมารอรับถุงยังชีพ นายกรัฐมนตรีได้ลงจากรถยกสูง ปภ. ทักทายให้กำลังพี่น้องประชาชนอย่างเป็นกันเอง ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เข้ามาทักทายและขอข้าว-น้ำ เพราะโดนตัดน้ำตัดไฟไม่มีสถานที่ประกอบอาหาร ร้านค้าปิดเกือบทั้งเมือง ขณะที่บางคนขอความช่วยเหลือให้ช่วยนำผู้สูงอายุและผู้ป่วยซึ่งติดอยู่ที่บ้านออกมา ด้านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัด ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือแล้ว

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ลงเรือท้องแบนแจกถุงยังชีพให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งสิ้น 1,600 ชุด สนับสนุนจากจังหวัดสงขลา 700 ชุด องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา 500 ชุด และจากหน่วยงานอื่น ๆ อีก 900 ชุด

สำหรับจังหวัดสงขลา ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากฝนตกสะสมต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 19–22 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมทั่วทั้ง 16 อำเภอ 70 ตำบล 395 หมู่บ้าน รวม 28,940 ครัวเรือน หรือประชาชน 77,374 คน โดยยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ทั้งนี้ ได้ประกาศเขตภัยพิบัติในพื้นที่ 10 อำเภอ ได้แก่ เมืองสงขลา บางกล่ำ ควนเนียง คลองหอยโข่ง นาหม่อม หาดใหญ่ รัตภูมิ จะนะ ระโนด และสิงหนคร พร้อมยกระดับการเฝ้าระวังเป็นพิเศษในอำเภอหาดใหญ่ 13 ตำบล ครอบคลุมประชาชนกว่า 80,000 คน รวมถึงประกาศ “ยกธงแดง” ใน 103 ชุมชน

แนวทางการแก้ปัญหา จังหวัดสงขลาได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเร่งด่วนจำนวน 80 เครื่อง ใน 68 จุดสำคัญ ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำจาก ปภ. เขต 12 จำนวน 6 เครื่อง สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 8 จำนวน 11 เครื่อง สำนักงานชลประทานที่ 16 จำนวน 43 เครื่อง อบจ.สงขลา 3 เครื่อง และจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เสี่ยงอีก 17 เครื่อง นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเรือท้องแบนจาก ปภ. เขต 12 จำนวน 6 ลำ รถยกสูง และกำลังพลจากมณฑลทหารบกที่ 42 รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อปพร. ตำรวจ และจิตอาสา เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการอพยพ การจราจร และให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มกำลัง


ขณะที่เทศบาลนครหาดใหญ่ได้เปิดจุดอพยพ 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 1 (เอ็งเสียงสามัคคี) รองรับได้ 100 คน และโรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน) รองรับได้ 50 คน พร้อมจัดเตรียมอาหาร น้ำดื่ม ของใช้จำเป็น และถุงยังชีพสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และประชาชนกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและทันท่วงที.

เดชทัต ควง ภริยา ร่วม พปชร.มุสลิม พร้อม หนุน

นายเดชทัต บุนนาค หรือ ชื่อเดิม ไกรเดช อดีต ผู้สมัคร ผู้ว่ากรุงเทพฯตัดสินใจ ร่วม พรรคพลังประชารัฐ สู้ศึก เลือกตั้ง ครั้งหน้า ที่จะมีขึ้นต่อไป

นายเดชทัต บุนนาค อดีตผู้สมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เผยต่อ ผู้สื่อข่าว ถึงการทำงาน การเมือง ในการเลือกตั้ง ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นนั้น ตนเอง และ ภริยา พรกมล บุนนาค มีความพร้อม ร่วมสู้ศึกไปกับ พรรคพลังประชารัฐ ที่มี พลเอกประวิตร์ วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค 
    
สำหรับ การเลือกตั้งต่อไปที่จะมีขึ้นทาง การเมือง นี้ ตน ได้นำเสนอ นางพรกมล บุนนาค ภรรยา ต่อ กรรมการบริหาร พรรค ร่วมสู้ศึกด้วย โดยจะลงในพื้นที่ อำเภอ เสนา อยุธยา บ้านเกิด

 สำหรับตนเองนั้น น่าจะลงระบบ ปาร์ตี้ลิสต์ ส่วนจะลำดับเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่ที่การพิจารณาของ คณะกรรมการบริหาร พิจารณา เช่นกัน
   
นอกจากนี้ นายเดชทัต ยังได้เปิดเผยต่อว่า ทางตนได้รับแรงสนับสนุน จากพี่น้อง มุสลิม ในกรุงเทพฯ และ ทางใต้ ให้ลง สมัคร ผู้สื่อข่าว ได้ถามว่าทำไม พี่น้อง มุสลิม ถึงได้สนับสนุน นายเดชทัต ตอบว่า ในฐานะ ต้นสกุล บุนนาค มาจาก ท่านเฉก  อะหมัด สมัยกรุงศรีอยุธยา และ ปัจจุบัน ตนเอง ก็ยังมีการร่วมงาน กิจกรรม ต่างๆ กับ พี่น้อง มุสลิม อย่างต่อเนื่อง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในอดีต ถึง ปัจจุบันนี้

ตำรวจทางหลวงสกัดจับ 6 คนจีนคาดหลบหนีจากถูกทลายรังสแกมเมอร์ในเมียนมา

ตำรวจทางหลวงสกัดจับ ชาวจีน 6 คน คาดหลบหนีออกจากพื้นที่ “เคเคปาร์ค หลังทหารเมียนมาปราบแก๊งสแกมเมอร์ สอบปากคำผ่านล่าม ยังปากแข็ง

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.1 บก.ทล. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวจีน 6 รายที่บริเวณ กม.48-49 ถนนพหลโยธิน(ขาเข้า) ทล.1 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

พฤติการณ์  เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2568 เวลา 17.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมออกตรวจพื้นที่ในเขตรับผิดชอบ เพื่อสกัดกั้นการกระทำผิดทางอาญาและความผิดตามกฎหมายที่มีโทษทางอาญา จนมาถึงบริเวณ กม.48–49 ถนนพหลโยธิน (ขาเข้า) ทล.1 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบรถยนต์กระบะยี่ห้อ TOYOTA REVO สีขาว ติดป้ายทะเบียนจังหวัดตาก จอดอยู่ริมทางก่อนถึงจุดตรวจประมาณ 200 เมตร

เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบ พบ นายวัฒนชัยฯ อายุ 30 ปี เป็นผู้ขับขี่ พร้อมผู้โดยสารชาวต่างชาติหลายรายอยู่ภายในรถ เมื่อขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าทั้งหมดเป็น สัญชาติจีน จึงนำตัวมาทำการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดผ่านระบบสารสนเทศ (PIBIC) ของ สตม. ผลการตรวจสอบพบว่า ผู้โดยสารชาวจีนทั้งหมด เคยได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง แต่ไม่ได้ต่ออายุวีซ่า (Overstay) โดยบางรายอยู่เกินกำหนดมากถึง 900 วัน

จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ถูกจับ ไม่ปรากฎการใช้งานตามลักษณะของบุคคลทั่วไป คล้ายต้องการปิดบังตัวตน หรือการตรวจสอบ ทำให้เจ้าหน้าที่สงสัยว่า กลุ่มผู้ถูกจับอาจมี ส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่าย แก๊งสแกมเมอร์ “เคเคปาร์ค” เนื่องจากปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ “เคเค ปาร์ค” ของทหารเมียนมา ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม มีการจับกุมชาวต่างชาติจำนวนมาก  ส่งผลให้แรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ต้องหลบหนีออกจากพื้นที่และลักลอบเข้าสู่ฝั่งไทย เมื่อสอบปากคำเบื้องต้น ผ่านล่ามแปลภาษาจีน ผู้ถูกจับ ไม่ให้ความร่วมมือ และหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูล

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”ต่อมาเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ถูกจับทั้งหมด พร้อมของกลาง ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน สภ.พระอินทร์ราชา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล นำทีม “สื่อมวลชนจิตอาสา” แจกอาหารพระราชทาน ณ ท้องสนามหลวง

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 (เวลา 11.00 น.) สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล นำโดยนายรัฐณกรณ์ อมรวีระวัฒน์ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย ที่ปรึกษาสมาคมฯ อาทิ หมึก มายา – ป๋าแหง็ม และเพื่อนพ้องน้องพี่สื่อมวลชน ทุกสำนักข่าวร่วมแจกอาหารพระราชทาน ณ ท้องสนามหลวง

กิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติ จากดร.ชูชีพ ตรีโภคา เลขานุการในองศ์ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล (ท่านใหม่) พร้อมด้วย คุณสมหมาย เอี่ยมสะอาด ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราาฎรคนที่ ๒ มาร่วมเป็นประธานฯ แจกอาหารพระราชทานให้กับประชาชนที่มาถวายความอาลัย “สมเด็จพระพันปีหลวง”

โดยได้รับการสนับสนุนซาลาเปา จำนวน 4,000 ลูก และชิฟฟ่อนเค้กฟู 1,000 ชิ้น จาก KOMOLAB CHEESE  MOONE Hand crafted Rolls ขนมปังสังขยา เพื่อร่วมแบ่งปันและเสริมกำลังใจแก่ผู้มาร่วมงาน ณ ท้องสนามหลวง (ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ขออนุโมทนาบุญกับทุกแรงใจและความเมตตาที่ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันให้เกิดขึ้นอย่างงดงาม

.