สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล นำทีม “สื่อมวลชนจิตอาสา” แจกอาหารพระราชทาน ณ ท้องสนามหลวง

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 (เวลา 11.00 น.) สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล นำโดยนายรัฐณกรณ์ อมรวีระวัฒน์ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย ที่ปรึกษาสมาคมฯ อาทิ หมึก มายา – ป๋าแหง็ม และเพื่อนพ้องน้องพี่สื่อมวลชน ทุกสำนักข่าวร่วมแจกอาหารพระราชทาน ณ ท้องสนามหลวง

กิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติ จากดร.ชูชีพ ตรีโภคา เลขานุการในองศ์ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล (ท่านใหม่) พร้อมด้วย คุณสมหมาย เอี่ยมสะอาด ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราาฎรคนที่ ๒ มาร่วมเป็นประธานฯ แจกอาหารพระราชทานให้กับประชาชนที่มาถวายความอาลัย “สมเด็จพระพันปีหลวง”

โดยได้รับการสนับสนุนซาลาเปา จำนวน 4,000 ลูก และชิฟฟ่อนเค้กฟู 1,000 ชิ้น จาก KOMOLAB CHEESE  MOONE Hand crafted Rolls ขนมปังสังขยา เพื่อร่วมแบ่งปันและเสริมกำลังใจแก่ผู้มาร่วมงาน ณ ท้องสนามหลวง (ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ขออนุโมทนาบุญกับทุกแรงใจและความเมตตาที่ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันให้เกิดขึ้นอย่างงดงาม

.

น้ำท่วมใต้ขยายวง รฟท.ปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง-ปลายทาง งดเดินรถท้องถิ่นอีก 13 ขบวน

น้ำท่วมใต้ขยายวงกว้าง การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง – ปลายทาง และงดเดินขบวนรถท้องถิ่น (สายใต้) เพิ่มอีก 13 ขบวน

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย โพสต์ แจ้งการรถไฟฯ แจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง – ปลายทาง และงดเดินขบวนรถท้องถิ่น (สายใต้) เพิ่มอีก 13 ขบวน จากเหตุน้ำท่วม ขยายวงกว้างหลายพื้นที่ ตั้งแต่วันนี้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งว่า เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ครอบคลุมหลายจังหวัดและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการเดินรถ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง–ปลายทาง และงดเดินขบวนรถ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้โดยสาร ดังนี้

– ขบวนรถที่ปรับเปลี่ยนต้นทาง – ปลายทาง จำนวน 8 ขบวน ประกอบด้วย
1. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447/448 (สุราษฎร์ธานี – สุไหงโกลก– สุราษฎร์ธานี)ปรับเปลี่ยนเส้นทาง เป็น 2 ช่วง
ช่วงที่ 1 ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447/448 ปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินขบวนรถ สุราษฎร์ธานี – ชุมทางทุ่งสง – สุราษฎร์ธานี
ช่วงที่ 2 ขบวนรถท้องถิ่นที่ 448/447 ปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินขบวนรถ สุไหงโกลก – ยะลา – สุไหงโกลก
(ช่วงชุมทางทุ่งสง – ยะลา – ชุมทางทุ่งสง งดเดินขบวนรถ)
2. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 452 (สุไหงโกลก – นครศรีธรรมราช) ปรับเปลี่ยนเส้นทางเป็น สุไหงโกลก – ยะลา
3. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 445/446 (ชุมพร – ชุมทางหาดใหญ่ – ชุมพร) ปรับเปลี่ยนเป็น ชุมพร – ชุมทางทุ่งสง – ชุมพร (ช่วงชุมทางทุ่งสง – หาดใหญ่ ไม่มีเดิน)
4. ขบวนรถสินค้าห่อวัตถุด่วนที่ 985/986 กรุงเทพ(หัวลำโพง) – สุไหงโกลก – กรุงเทพ(หัวลำโพง) ปรับเปลี่ยนเป็น กรุงเทพ(หัวลำโพง) – พัทลุง – กรุงเทพ(หัวลำโพง)

– ขบวนรถที่งดเดิน จำนวน 6 ขบวน ประกอบด้วย

1. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451 นครศรีธรรมราช – สุไหงโกลก
2. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 454 สุไหงโกลก – ยะลา
3. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455/456 นครศรีธรรมราช – ยะลา – นครศรีธรรมราช
4. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 463/464 พัทลุง – สุไหงโกลก – พัทลุง

อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ได้เร่งดูแลอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารให้เดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย รวมถึงได้ให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำและปริมาณฝนตกอย่างใกล้ชิด โดยให้ฝ่ายการช่างโยธา และนายสถานีในพื้นที่ได้เฝ้าระวังประเมินและแก้ไขสถานการณ์อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์

ตลอดจนให้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ มาตรการด้านความปลอดภัย และให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยหากระดับน้ำลดลงแล้วให้เร่งดำเนินการซ่อมปรับปรุงสภาพทางเพื่อเปิดการเดินรถได้ตามปกติโดยเร็ว อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้โดยสารให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

การรถไฟฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วล่วงหน้าในเส้นทางที่ได้รับผลกระทบและไม่ประสงค์เดินทาง สามารถติดต่อ ขอคืนเงินค่าตั๋วได้ที่สถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ.

ตรังสาหัส!ท่วมลาม 7 อำเภอ บ้านเรือนเสียหายหนัก-พื้นที่การเกษตรพังยับ

ฝนตกหนักติดต่อเนื่อง 2-3 วัน ทำให้หลายพื้นที่ จ.ตรัง เกิดน้ำท่วมลุกลามแล้ว 7 อำเภอ ส่งผลให้ถนนระหว่างอำเภอหลายสายเริ่มสัญจรไปมาลำบาก รวมทั้งมีบ้านเรือน และพื้นที่เกษตร ได้รับผลกระทบไม่น้อย

ขณะที่เจ้าหน้าที่เปิดประตูระบบระบายน้ำแม่น้ำตรัง ในพื้นที่ ต.หนองตรุด หลังล่าสุดมีปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นและไหลมาเร็วมาก ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่ตอนล่างใน อ.เมืองตรัง และ อ.กันตัง เกิดผลกระทบได้

รวมทั้งยังต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์มวลน้ำก้อนใหญ่ที่จะไหลทะลักจาก อ.ทุ่งสง มาสบทบเพิ่มอีกใน 1-2 วันนี้ด้วย

.

ตำรวจบุกทลายเครือข่ายทุนจีนเทาปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหดร้อยละ 3,000 ต่อปี

ทลายเครือข่ายแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน ก๊วนจีนเทา รวมกว่า 30 แอปฯ ดอกเบี้ยพุ่งร้อยละ 3,000 ต่อปี หากไม่จ่ายถูกประจานถ้วนหน้า พบเงินทุนหมุนเวียนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้น ตำรวจ กก.5 บก.ปอศ.เข้าตรวจค้น1. บ้านแห่งหนึ่ง ภายในเขตสายไหม กรุงเทพมหานครและ2. บ้านแห่งหนึ่ง ภายในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 13 หมายจับ ผู้ต้องหา 10 ราย พร้อมยึดของกลางอีกจำนวนมาก

ทั้งนี้ผู้ต้องหา 1-7จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและร่วมกันเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด”

ส่วนผู้ต้องหารายที่ 8-10 จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด, ร่วมกันทวงถามหนี้ในลักษณะการข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น ร่วมกันทวงถามหนี้โดยใช้วาจาหรือภาษาที่เป็นการดูหมิ่นลูกหนี้หรือผู้อื่น ร่วมกันทวงถามหนี้โดยแจ้งหรือเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้”

พฤติการณ์ ในช่วงปี 2568 ได้มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. กรณีกู้เงินมาจากแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบชื่อ vita shelf , ทรัพย์พลัส และสินเชื่อมือโปร รวมถึงแอปพลิเคชันอื่นที่เกี่ยวข้อง อีกกว่า 30 แอปพลิเคชัน โดยเรียกดอกเบี้ยโหดกว่าร้อยละ 3,000 ต่อปี นอกจากนั้นยังมีพฤติการณ์ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเสียหาย และมีการข่มขู่คุกคามผู้กู้ให้ได้รับความเดือดร้อน

ต่อมาจึงได้ทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมข้อมูล พบว่ากลุ่มปล่อยเงินกู้ดังกล่าวเป็นเครือข่ายลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านแอปพลิเคชันชื่อ vita shelf ,ทรัพย์พลัส และสินเชื่อมือโปร รวมถึงแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 30 แอปพลิเคชัน ซึ่งมีพฤติการณ์ในการปล่อยเงินกู้เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ทวงถามหนี้โดยส่งข้อความข่มขู่คุกคามผู้เสียหาย ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มทุนชาวจีนอยู่เบื้องหลัง โดยเจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชัน และสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องได้หลายราย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ฯ ได้ทำการเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 2 จุด ในพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และ อุดรธานี ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด 13 หมายจับ ผู้ต้องหา 10 ราย

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าแอปพลิเคชัน vita shelf ,ทรัพย์พลัส และสินเชื่อมือโปร มีลักษณะคล้ายกันโดยเมื่อดาวน์โหลดแอปพลิชันแล้ว จะพบว่าภายในแอปพลิชันดังกล่าวมีแอปพลิเคชันย่อยแอบแฝงอยู่กว่า 30 แอปพลิเคชัน ซึ่งลูกหนี้สามารถเลือกกู้เงินได้ โดยมีการคิดค่าบริการร้อยละ 40 ของยอดเงินกู้ ต่อ 7 วัน หรือคิดดอกเบี้ยกว่า ร้อยละ 3,000 ต่อปี เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา ก็จะโทรศัพท์และส่งข้อความมาทวงถาม ในลักษณะข่มขู่คุกคามว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้จากการสืบสวนเพิ่มเติม พบว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือนายทุนชาวจีนที่เป็นผู้รับผลประโยชน์และเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับแอปพลิเคชันดังกล่าว 

โดยในส่วนของแอปพลิเคชัน “vita shelf” “ทรัพย์พลัส” “สินเชื่อมือโปร” จากการตรวจสอบพบว่าไม่เคยได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับแต่อย่างใด โดยภายในระยะเวลา 1 ปี ทั้ง 3 แอปพลิเคชัน มีกลุ่มคนร้ายใช้บัญชีธนาคารกว่า 10 บัญชี ในการกระทำความผิด และมียอดเงินหมุนเวียนรวมทั้ง 3 แอปพลิเคชัน รวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 ล้านบาท เมื่อแอปพลิเคชันได้กำไรจากการปล่อยเงินกู้นอกระบบแล้ว

ทั้งสามแอปพลิเคชันมีการนำกำไรดังกล่าว โอนต่อไปยังผู้รับผลประโยชน์เป็นชาวต่างชาติ (คนจีน) และหมุนเวียนใช้จ่ายเป็นการซื้อเหรียญคริปโตเคอเรนซี, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, สินค้า  และบริการต่างๆ เพื่อให้ยากต่อการถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ 

ต้นแบบเกษตรกร “ทรงพล เผ่าแสง”พลิกผืนดินปลูกข่าแดงขายโกย3หมื่น/เดือน

ปราจีนบุรี – ทำมาหากินปลูกข่าแดงขายรายได้กระฉูดวันละ1,000 กว่าบาท ใช้แรงงานจ้างคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นเครือญาติไม่ให้เหงาและมีรายได้ นอกเหนือจากเบี้ยสูงอายุ วันละ100กว่าบาท เพื่อเป็นค่าหมากค่าพลู

เกษตรกรยุคใหม่ “ทรงพล เผ่าแสง” อายุ 46 ปี นับว่าเป็นเกษตรกรต้นแบบ ชาวตำบลวังดาล อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งอดีตหนุ่มโรงงานผันชีวิตออกมาเป็นเกษตรกรพึ่งพาตนเอง ไม่กลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือน บริหารจัดการเวลาชีวิตตนเองลึครอบครัวได้ดีโดยทำการปลูกข่าแดงขายหน่อบนเนื้อที่ 5ไร่เศษ แบ่งพื้นที่ทำกับพี่น้อง  ปลูกข่า10กว่าปี ส่งขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดอำเภอกบินทร์บุรี โดยตัดหน่อข่าขายทุกวัน

นายทรงพล กล่าวว่า วิธีการปลูกข่ามีเทคนิคใคร เทคนิคมัน ขยายพันธ์ง่ายๆการปลูกข่าแดงเริ่มต้นด้วยการเลือกเหง้าเลือกเหง้าข่าที่สมบูรณ์ มีตาหรือหน่อประมาณ 4-5 ตา นำมาปลูกในหลุมห่างกันประมาณ 1×1 เมตร หรือตามระยะที่ต้องการ วางท่อสปริงเกอร์ให้น้ำทุก 2 วัน รดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอแต่ไม่ชอบน้ำขัง ในช่วงหน้าแล้งหน้าฝนลดลดการให้น้ำช่วงแรก  ข่าจะเติบโตได้ดีในที่แดดรำไรและดินชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ

การปลูก วางเหง้าลงในหลุม โดยให้ยอดชี้ขึ้น บีบดินให้แน่นรอบเหง้า จะเน้นใส่ปุ๋ยขี้ไก่เป็นหลักการปลูกควรมีการรองปุ๋ยรองก้นหลุมและใส่ปุ๋ยทุกครั้งหลังเก็บเกี่ยวและใช้ใบที่เหลือจากตัดต้นขายเป็นปุ๋ยอินทรีภายในตัว หลังจากข่าอายุได้ 3 เดือนจะเริ่มขุดหน่อขายได้แล้วหากต้องการให้ข่าแตกหน่อเร็วและเยอะ ให้เลือกต้นที่ออกดอกแล้ว และหลังจากขุดข่าออกไปแล้ว ให้กลบหลุมด้วยแกลบดำให้พูนเป็นหลังเต่า จะช่วยให้ได้ข่าสีสวยและขุดง่ายในครั้งต่อไป

นายทรงพล กล่าวว่าปลูกข่าแบ่งพื้นที่การปลูกกับแม่และน้องชายเนื้อที่ 5 ไร่เศษ ข่าขายได้ 3 ส่วนได้แก่  หัวข่าอ่อนเมื่อขุดออกมาจากต้นแล้วตัดรากออก ให้เหลือลำต้นไว้ราว 5 ซม.

ส่วนที่สองข่าแก่จะตัดออกแยกไว้ขายให้กับแม่ค้าที่ทำพริกแกงในตลาดสด ส่วนที่สามลำต้น นำลำต้นที่ตัดไว้ประมาณ 35 ซม.นำมาปลอกเปลือกขายมัดเป็นกำเป็นต้นขาอ่อน การขายหน่อข่านั้นจะขายกก.ละ36-40บาท ข่าแก่ขายกก.ละ 20 บาท และต้นข่าอ่อนขายกก.ละ 50 บาท ทุกเช้าจะขุดหน่อข่าทุกวันวันละไม่ต่ำกว่า 30 กก.

การขุดหน่อข่า  จะแบ่งขุดออกให้เหลือไว้ด้านใดด้านหนึ่ง เลือกบริเวณด้านที่ข่าแตกหน่ออ่อนออกมาไว้ 4-5 ต้นแล้วตัดใบทิ้งใช้เปลือกมัดต้นไว้กันต้นหักล้มเพื่อเลี้ยงกอไว้รอตัดขายในอีก25วันข้างหน้าก็สามารถวนมาตัดขายได้อีก ทำแบบนี้จะสามารถหมุนเวียนตัดหน่อขาขายได้ตลอดปี มีรายได้ในการขายข่า ร่ายได้ดี วันละ1,000 กว่าบาท พึ่วพาตนเองเลี้ยงดูครอบครัวอยู่ได้ ส่วนใบข่าจะตัดแล้วเอาวางไว้บริเวณรอบๆกอเพื่อเป็นปุ๋ยอินทรีย์

หลังจากตัดหน่อข่าแล้วจะนำมาล้างทำความสะอาด โดยใช้ปั๊มน้ำแรงดันสูงฉีดล้างดินและเปลือกใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ล้างหน่อข่าแต่ละเหง้าแล้วนำไปตัดรากออกบรรจุใส่ถุง แล้วบรรจุใส่ถุงใสแบบ 5 กก.ขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นขาประจำได้เลย ซึ่งแรงงานจ้างคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นเครือญาติไม่ให้เหงาและมีรายได้นอกเหนือจากเบี้ยสูงอายุ วันละ100กว่าบาท เพื่อเป็นค่าหมากค่าพลู

โดย… มานิตย์ สนับบุญ-ข่าว/ทองสุข สิงห์พิมพ์-ภาพ/ ปราจีนบุรี ###

นายกฯ”อนุทิน”ลุยขับเคลื่อนนโยบายยุติความรุนแรงต่อสตรียกระดับความสุขยั่งยืนสู่สังคมไทย

นายกฯ”อนุทิน” เตรียม “Kick Off ขับเคลื่อนนโยบายยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่” มุ่งเสริมสร้างพลังความร่วมมือเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของสังคมไทย

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ “มหาดไทย ทำ ทัน ที Action 5” ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญอันยิ่งยวดของการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยในทุกมิติ

นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจที่สำคัญใน Action 5 คือ “การป้องกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกรูปแบบ” หรือ Action to Provide Public Security and Safety “ทุกชีวิตต้องปลอดภัย ศักดิ์ศรีไม่ถูกละเมิด” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่” ซึ่งนายอนุทิน ได้เน้นย้ำถึง การมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างสังคมที่ “ปราศจากความรุนแรงต่อสตรี” สอดคล้องกับการรณรงค์ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล และประเทศไทยกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนเป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว”

“ในวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะเดินทางไปเป็นประธานมอบนโยบายการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่ ณ ห้องรอยัล จูบิลลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยนางสาวธนนนท์ นิรามิษ ประธานคณะกรรมการคณะคู่สมรสคณะรัฐมนตรีและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องจากทั่วประเทศเข้าร่วมงาน และพร้อมกันนี้ จะมีการถ่ายทอดนโยบายและการ Kick Off กิจกรรมฯ ไปยังข้าราชการ ผู้นำท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ อีกกว่า 82,000 คน ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในทิศทางเดียวกันและนำไปสู่การปฏิบัติตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และชุมชน”

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนคนไทยในการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว กระทรวงมหาดไทยจึงขอเชิญชวนทุกท่านได้ร่วมรับชมและรับฟังการถ่ายทอดสดการมอบนโยบายและ Kick Off รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่พร้อมกัน ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ทาง Facebook – กระทรวงมหาดไทย PR, DOPA Channel, ท้องถิ่นไทย และกรมการพัฒนาชุมชน Fanpage มาร่วมสร้างสังคมแห่งความสุขที่ยั่งยืนของสังคมไทยไปพร้อมกัน

สมาคมส่งเสริมสุขภาพไทย-จีน จัดพิธีบำเพ็ญกุศลพระราชกุศลแด่ ”สมเด็จพระพันปีหลวง”

สมาคมส่งเสริมสุขภาพไทย-จีน จัดพิธีบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่  ”สมเด็จพระพันปีหลวง”เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  เพื่อแสดงความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 (เวลา 18.00 น) ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร สมาคมส่งเสริมสุขภาพไทย-จีน จัดพิธีบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยได้รับความเมตตาจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม  เป็นประธานประธานฝ่ายสงฆ์

โดยมีท่านสมหมาย เอี่ยมสอาด ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง(กิตติมศักดิ์) เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.ชูชีพ ตรีโภคา เลขานุการในองศ์ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล(ท่านใหม่) คณะผู้บริหารสมาคมฯ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร

บรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและความจงรักภักดีอย่างล้นพ้น

.

“สมเด็จธงชัย”ประธานพิธีเททองหล่อนรสิงห์ไตรมิตร-พุทธาภิเษกวัตถุมงคลเหรียญพุทธศิลป์

สมเด็จพระพุฒาจารย์ “สมเด็จธงชัย”  วัดไตรมิตรวิทยาราม  เมตตาเป็นประธานพิธีเททองหล่อนรสิงห์ไตรมิตร และพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเหรียญพุทธศิลป์ ในโอกาสครบ 70 ปี ของการค้นพบพระพุทธรูปทองคำ หลวงพ่อทองคำสุโขทัยไตรมิตร

เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๘ ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ได้มีพิธีเททองหล่อนรสิงห์ไตรมิตร  และพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเหรียญพุทธศิลป์ ในโอกาสครบ 70 ปี

โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม  เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ จุดเทียนชัย และมีท่านสมหมาย  เอี่ยมสอาด -ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง(กิตติมศักดิ์) – ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร – ในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมสุขภาพไทย-จีน เป็นประธานฝ่ายฆราวาส

โดยมี ดร.ชูชีพ ตรีโภคา เลขานุการในองศ์ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล(ท่านใหม่) พร้อมด้วย นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีอันเป็นมหามงคลในครั้งนี้ ฯ วัตถุประสงค์ของการจัดสร้าง ในโอกาสครบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน และในโอกาสครบ 70 ปี ของการค้นพบพระพุทธรูปทองคำหลวงพ่อทองคำสุโขทัยไตรมิตร

ฤกษ์จุดเทียนชัย โดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม กทม. พร้อมพระเกจิคณาจารย์ชื่อดัง นั่งปรกอธิษฐานจิตภาวนา

สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ “สมเด็จธงชัย” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นประธานในพิธีดับเทียนชัย และ หลังพิธีพุทธาภิเษก มีการมอบผ้ายันต์หลวงพ่อทองคำ เป็นที่ระลึกกับประชาชน ศิษยานุศิษย์ ที่ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

.

สุดฟิน 13 องศา! นักท่องเที่ยวแห่พิชิต ‘ผาสุดแผ่นดิน’ชมทะเลหมอก-ดูพระอาทิตย์ 3 แผ่นดิน

ชัยภูมิ – อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ รายงานบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาวที่กำลังคึกคัก โดยเฉพาะในเช้าวันนี้ (วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568) ที่อุณหภูมิบริเวณยอดเขาพังเหยลดต่ำลงเหลือเพียง 13 องศาเซลเซียส สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสัมผัสอากาศบริสุทธิ์และโอโซนยามเช้า

นายสมศักดิ์​ กาญจนคช​หัวหน้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม​ เปิดเผยว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่เป็นไปอย่างคึกคัก มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาพักค้างคืนที่ลานกางเต็นท์ผาสุดแผ่นดิน และเดินทางมาเฝ้ารอชมความงดงามของแสงแรกของวัน ณ บริเวณ “ระเบียงโอโซน”

ไฮไลต์สำคัญ คือการเดินเท้าไปยัง “ผาสุดแผ่นดิน” ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของอุทยานฯ ด้วยความสูงประมาณ 846 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์แบบพาโนรามาครอบคลุมรอยต่อของสามจังหวัด (ชัยภูมิ, ลพบุรี, และเพชรบูรณ์)

ในช่วงเช้าวันนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทิวเขาเขียวขจีของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกาได้อย่างชัดเจน และได้สัมผัสกับอากาศหนาวเย็นจัดตลอดการชมวิว

นอกจากนี้ จุดชมวิวและถ่ายภาพยอดนิยมอย่าง “บันไดสวรรค์” ก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการเก็บภาพความประทับใจของการชม “พระอาทิตย์ขึ้น” ที่สาดแสงทองอร่ามเหนือขอบฟ้า ซึ่งเป็นภาพที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติป่าหินงามในช่วงฤดูหนาว สำหรับระยะทางจากกรุงเทพมหานครมายังอุทยานแห่งชาติป่าหินงามของเรา ห่างเพียงประมาณ 265 กิโลเมตรเท่านั้น

ทางอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่สนใจสัมผัสอากาศหนาวเย็นและธรรมชาติอันงดงามของจังหวัดชัยภูมิ เดินทางมาท่องเที่ยวและพักผ่อน โดยขอให้เตรียมเครื่องกันหนาว ถุงนอน และอุปกรณ์ที่จำเป็นมาอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากอุณหภูมิในช่วงกลางคืนและยามเช้าจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับข้อมูลการเดินทางและการสำรองพื้นที่กางเต็นท์ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เบอร์โทร 044-056141, 082-1313371

โดย…มัฆวาน วรรณกุล  – อารดา ผู้สื่อข่าวภูมิภาคชัยภูมิ

.

ชะอวดระทึก!ชาวบ้านขนของหนีน้ำถูกไฟฟ้าช็อตเจ็บ 8 ราย

ชะอวด ระทึก น้ำท่วม ไฟฟ้ารั่ว ชอร์ตบาดเจ็บ 8 ราย เจ้าหน้าที่เร่งปั๊มหัวใจ ยื้อชีวิต เหตุเกิดที่ชุมชนฝั่งตก เทศบาลตำบลชะอวด

สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ล่าสุดมวลน้ำจากเทือกเขาหลวงได้ไหลเข้าท่วมเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช โดยมวลน้ำล้นฝายคลองท่าดี ต.กำแพงเซา อ.เมือง ไหลเข้าสู้ตัวเมืองนครศรีธรรมราชอย่างรวดเร็ว

โดยที่ถนนเทวบุรี เส้นทางจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชไปยัง ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง ระดับน้ำสูงประมาณ 30 ซม.รถเล็กไม่สามารถผ่านได้ ส่วนข้อมูลผลกระทบพื้นที่ที่มีน้ำท่วมระหว่างวันที่ 17-20 พ.ย.68 สำนักงานบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดได้รายงานว่า กระทบ 12 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมือง ชะอวด , ท่าศาลา , พรหมคีรี , ทุ่งสง , ร่อนพิบูลย์ , นาบอน , สิชล , ฉวาง , เฉลิมพระเกียรติ , หัวไทร และ ลานสกา

นอกจากนี้มีรายงานว่า เกิดเหตุกระแสไฟฟ้ารั่ว ที่ชุมชนฝั่งตก เทศบาลตำบลชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 ราย นำส่งรพ.ชะอวด ต่อมามีรายงานว่าเสียชีวิต 1 รายที่รพ. อยู่ระหว่างปั๊มหัวใจช่วยชีวิต 3 ราย อีก 4 ราย มีชีพจรแล้ว.