‘นานา ไรบีนา’รับแล้วคือดารา ‘น’ โยงข่าวลือเบี้ยวหนี้ 400 ล้าน

กลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่ร้อนระอุต่อเนื่อง สำหรับมรสุมข่าวลือ ดาราชื่อดังอักษรย่อ “น.”เบี้ยวหนี้ 400 ล้านบาท ที่ทำให้ความสัมพันธ์ใน “แก๊งนางฟ้า” และเพื่อนสนิทรอบตัว “นานา ไรบีนา” สั่นคลอนอย่างหนักจนถึงขั้นวิกฤต เมื่อมีเพื่อนทยอยกดอันฟอลโลว์อินสตาแกรมของ นานา ไปอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดนานา ไรบีนา ได้ออกมาไลฟ์สดผ่านสตอรี่ อินสตาแกรม โดยระบุว่า….

สวัสดีค่ะจากข่าว และก็กระแสต่างๆที่ออกมาตอนนี้  ใช่ค่ะ น.หนูคือนานาเอง ส่วนตัวอักษรย่อ ต.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆแต่ในส่วนที่ตัวนานาเอง ไม่พัวพันหรือพัวพันขนาดไหน ขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย นานาไม่สามารถพูดอะไรไปได้มากกว่านี้ ณ.ขณะนี้นานาขอโอกาสในการทำงาน และทำหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ ต่อไปขอบคุณนะคะ

คืนฟอร์มดุ! “ยอดเหล็กเพชร” เรียก 2 นับชนะแต้มสวย “อานาร์” ในศึก ONE ลุมพินี 134

ศึก ONE ลุมพินี 134 สร้างความประทับใจเต็มอิ่ม ถ่ายทอดสดสู่สายตาแฟนกีฬาต่อสู้ใน 195 ประเทศทั่วโลก โดยจอมบู๊ทั้ง 24 คน พร้อมใจกันแสดงผลงานที่ดีที่สุดออกมาโชว์ เมื่อวันศุกร์ที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา ณ สนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา)

คู่เอกของรายการ “ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ” มวยพลังอึด วัย 30 ปี จากร้อยเอ็ด เปิดหน้าแลกเดือดกับ “อานาร์ มัมมาดอฟ” คู่ชกฝีมืออันตราย วัย 29 ปี จากอาเซอร์ไบจาน ในกติกามวยไทย รุ่นฟลายเวต (125-135 ป.)

ยกแรก ทั้งคู่เปิดเกมดุดันเดินหน้าแลกหมัดใส่กันแบบไม่มีใครยอมใคร เข้าสู่ยกสอง “อานาร์” เดินบุกเข้าทำต่อเนื่อง แต่พลาดโดน “ยอดเหล็กเพชร” ที่จังหวะเฉียบคมกว่ากดจนโดนนับถึงสองครั้ง ยกตัดสิน “อานาร์” ไม่มีอะไรจะเสีย เดินแลกเต็มกำลัง ขณะที่ “ยอดเหล็กเพชร” คุมเกมเน้นรัดกุมและหาจังหวะสวนกลับเป็นระยะ ครบสามยก กรรมการชูมือให้ “ยอดเหล็กเพชร” ชนะคะแนนเอกฉันท์ คืนฟอร์มเก่งได้อย่างสวยงาม

ส่วนคู่เอกภาคอินเตอร์ “เอเลียส อับเดลาลี” นักสู้หมัดดุ วัย 22 ปี จากฝรั่งเศส ปะทะ “อลาเวอร์ดี รามาซานอฟ” อดีตแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นแบนตัมเวต (135-145 ป.) วัย 30 ปี จากรัสเซีย ในกติกามวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.)

ปรากฏว่าไฟต์นี้จบลงด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อ “อลาเวอร์ดี” เตะใส่ “เอเลียส” แต่ขณะถอยเพื่อตั้งรับเกิดเสียจังหวะพลาดขาพลิกจนได้รับบาดเจ็บรุนแรงแข่งต่อไม่ไหว ส่งผลให้ “เอเลียส” ชนะทีเคโอด้วยเวลาเพียง 27 วินาทีของยกแรก คว้าชัยเป็นไฟต์ที่ 2 ติดต่อกัน

ขณะที่ “อิสไลย์ เอริกา โบโมกาว” นักสู้สาววัย 25 ปี จากฟิลิปปินส์ เปิดศึกกับ “พลอยชมพู พียู.ผ้าใบ” ดาวรุ่งวัย 16 ปี ดีกรีแชมป์ประเทศไทยรุ่น 105 ป. จากสุราษฎร์ธานี โดย “อิสไลย์” เดินบุกดุดันใส่ไม่ยั้ง กดเรียกหนึ่งนับได้ตั้งแต่ยกแรก ก่อนเช็กบิลด้วยหมัดตัดลำตัว ชนะน็อกเอาต์ “พลอยชมพู” อย่างเด็ดขาดในช่วงต้นยก 2 ส่งให้เธอคว้าชัย 4 ไฟต์รวดบนเวทีนี้ พร้อมรับโบนัส 350,000 บาท กลับบ้านเป็นก้อนที่สอง

ตลอดการแข่งขันอันดุเดือดในค่ำคืนนี้ ปรากฏว่ามีนักสู้ 2 ราย ได้แก่ “ฮิวกะ” และ “อิสไลย์ เอริกา โบโมกาว” ทำผลงานปิดเกมสวยจน บิ๊กบอส “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” ตัดสินใจมอบเงินโบนัสพิเศษให้เป็นรางวัลตอบแทนคนละ 350,000 บาท ไม่รวมค่าตัว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 700,000 บาท (เจ็ดแสนบาท)

สรุปผลการแข่งขันทุกคู่ ONE ลุมพินี 134
คู่เอก ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ ชนะคะแนนเอกฉันท์ อานาร์ มัมมาดอฟ (อาเซอร์ไบจาน) (มวยไทย รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)
คู่รอง เด็ดดวงเล็ก ทีเด็ด99 ชนะคะแนนเอกฉันท์ วุฒิไกร ว.จักรวุฒิ (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต 135-145 ป.)
เลนนี บลาซี (อิตาลี) ชนะคะแนนเอกฉันท์ อิลยาส มูซาเอฟ (รัสเซีย) (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต 135-145 ป.)
เจค็อบ ทอมป์สัน ชนะคะแนนเอกฉันท์ ยอดเสกสรร รถสวยจ่าเจต (สหราชอาณาจักร) (มวยไทย รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)
เพชรน้ำตาล วีวินยิมส์ ชนะคะแนนเอกฉันท์ ออมสิน พ.พัชรวาท (มวยไทย รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)
มนัส ต.แย้มสวน ชนะคะแนนไม่เอกฉันท์ บัลลังก์เงิน อ.ยุทธชัย (มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต 115-125 ป.)
เอเลียส อับเดลาลี (ฝรั่งเศส) ชนะทีเคโอ อลาเวอร์ดี รามาซานอฟ (รัสเซีย) นาทีที่ 0:27 ของยกแรก (มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต 145-155 ป.)

อิสไลย์ เอริกา โบโมกาว (ฟิลิปปินส์) ชนะน็อก พลอยชมพู พียู.ผ้าใบ นาทีที่ 0:47 ของยก 2 (มวยไทย รุ่นอะตอมเวต 105-115 ป.)   
ทาเกียร์ คาลิลอฟ (รัสเซีย-อาเซอร์ไบจาน) และ ชิมอน (ญี่ปุ่น) ไม่มีผลการแข่งขัน (มวยไทย รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)
ฮิวกะ (ญี่ปุ่น) ชนะน็อก หวัง ยู่หาน (จีน) นาทีที่ 1:20 ของยกแรก (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)
รอรีย์ เทอร์เนอร์ (ออสเตรเลีย) ชนะทีเคโอ โนอาห์ กาเบรรอส (ฟิลิปปินส์) นาทีที่ 4:52 ของยก 3 (MMA รุ่นสตรอว์เวต 115-125 ป.)  
คิม ทราน (ออสเตรเลีย) ชนะน็อก อัลมากูล โจโรเบโกวา (คีร์กีซสถาน) นาทีที่ 2:31 ของยก 2 (MMA รุ่นอะตอมเวต 105-115 ป.) 

รวบแอดมินกลุ่มลับขายคลิปอนาจารเด็ก ตรวจมือถือเจอหลักฐานกว่า 2,000 ไฟล์

เมื่อวันที่ 21 พ.ย.68 ที่ บก.สอท.2 นำโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก.สอท.4 และ พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผบก.ตอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. หรือ TICAC ได้สืบสวนพบว่า มีการลักลอบเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็กในกลุ่มไลน์ โดยมีการใส่ภาพลายน้ำระบุเป็นไอดีไลน์ เมื่อเพิ่มเพื่อนพบว่าเป็นบัญชีชื่อ “กลุ่มลับคลิปเด็ด VIP” ซึ่งกลุ่มดังกล่าวได้เปิดให้คนที่สนใจสมัครสมาชิก ด้วยการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารจำนวน 300 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าไปตรวจสอบในกลุ่มไลน์ดังกล่าว ปรากฏว่าพบการเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็กจำนวนมาก

พล.ต.ต.ทรงกลด  เกริกกฤตยา ผบก.ตอท. จึงได้สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.อ.ธีรนนท์ แมนมงคล ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. เร่งสืบสวนกรณีดังกล่าว จนกระทั่งรู้ตัวผู้ดูแลกลุ่มลับดังกล่าว คือ นายพงศกร อายุ 33 ปี ทำหน้าที่โฆษณาชักชวนสมาชิก และรับผลประโยชน์จากการเก็บเงินค่าสมาชิก   จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นจากศาลเพื่อเข้าตรวจค้นเป้าหมายได้สำเร็จ

ต่อมา พ.ต.ท.พิชิต เอียงสา รอง ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. ได้นำกำลังพร้อมหมายค้นศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 659/2568 ลงวันที่ 18 พ.ย.68 เข้าตรวจค้นบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พบนายนายพงศกร ยืนอยู่บริเวณหน้าห้องพักดังกล่าว จึงได้เข้าตรวจค้น

ผลการตรวจค้นพบของกลางเป็นโทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง ตรวจสอบข้อมูลภายในโทรศัพท์พบสื่อลามกอนาจารเด็กในเครื่องทั้งรูปแบบภาพถ่ายและวิดีโอคลิปกว่า 2,000 ไฟล์ อีกทั้งพบกลุ่มลับที่นายพงศกรเป็นเจ้าของ จำนวน 14 กลุ่ม มีสมาชิกรวม จำนวน 6,288 บัญชี และยังพบกลุ่มลับที่ใช้เผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็กรวม      จำนวน 197 กลุ่ม มีสมาชิกรวมกันกว่า 60,000 บัญชี

จากการสอบถาม นายพงศกรยอมรับว่า ตนเองทำกลุ่มลับมานานกว่า 2 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการร่วมโปรโมทกลุ่มของผู้อื่น ก่อนจะเริ่มมาทำเองจนมีทั้งหมด 14 กลุ่ม สามารถทำรายได้เฉลี่ยประมาณ 40,000-60,000 บาท
ต่อเดือน

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามก”, “ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กและส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก” และ “เพื่อประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน” นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งสืบสวนขยายผลไปยังบุคคลอื่นที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตร.ไซเบอร์รวบม้าตระเวนกดเงินเหยื่อหลอกลงทุน ส่งบอสสแกมเมอร์ชาวจีน

สืบเนื่องจาก เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม 2568 ได้มีผู้เสียหายเป็นหญิงสูงวัยรายหนึ่ง ได้ใช้งานแอปพลิเคชัน TikTok แล้วพบโฆษณาชักชวนให้ลงทุนหุ้น ผู้เสียหายเห็นโฆษณาว่าลงทุนน้อยแต่ได้กำไรดีจึงตัดสินใจติดต่อไป และได้เข้าร่วมกลุ่มไลน์เทรดหุ้น โดยช่วงแรกของการลงทุนสามารถทำกำไรได้ดีจริงตามที่โฆษณากล่าวอ้าง จึงเริ่มโอนเงินลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายโดนหลอกลวงไปเป็นจำนวนเงินกว่า 2 แสนบาท และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ต่อมา กก.2 บก.สอท.4 ได้สืบสวนกรณีดังกล่าว พบว่าเส้นทางการเงินหลังจากที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้าแถว 1 แล้ว ได้ถูกโอนต่ออย่างรวดเร็วไปยังบัญชีม้าแถว 2 ทันที และเมื่อไหร่ที่มียอดเงินจากการหลอกลวงเหยื่อเข้าบัญชีม้าแถว 2 แล้ว ภายใน 3 นาทีหลังจากนั้น เงินจะถูกกดออกจากตู้ ATM ทั้งหมดทันที และจะเป็นแผนประทุษกรรมแบบนี้เสมอ จากการตรวจสอบบัญชีม้าดังกล่าว พบว่ามีความเกี่ยวพันกับคดีอื่นๆ อีกกว่า 10 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้สำเร็จ

ต่อมา พ.ต.อ.อนุชา ศรีสำโรง ผกก.2 บกสอท.4 ได้นำกำลังลงพื้นที่ประชาอุทิศ เขตห้วยขวาง กทม. เพื่อเฝ้าติดตามและสังเกตการณ์ กระทั่งสามารถจับกุมตัว นายธวัชวงค์ หรือ หย่าง อายุ 19 ปี ชาวเชียงใหม่ คนไทยสัญชาติจีน ผู้ทำหน้าที่กดเงินสด และ นายวรากรณ์ อายุ 18 ปี ชาวเชียงใหม่ คนไทยสัญชาติจีนฮ่ออิสระ เจ้าของบัญชีม้า แถว 2 ตามหมายจับศาลอาญาในข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือเปิดหรือยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยเจตนามิได้ใช้เพื่อตนเองหรือกิจการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดอาญาอื่นใด”

จากการสอบถาม นายธวัชวงค์ฯ รับสารภาพว่า ตนเองทำหน้าที่กดเงินสดตามที่บอสชาวจีนเป็นผู้สั่งการผ่านแอปพลิเคชัน wechat โดยบอสชาวจีนเป็นผู้กำหนดจุดในการนัดรับบัญชีม้าที่บอสจีนเป็นผู้หามาให้ ซึ่งใน 1 ชุดมีบัตร ATM พร้อมรหัสผ่าน, หมายเลขบัญชีธนาคาร และโทรศัพท์มือถือ เมื่อตนรับมาแล้วต้องทดสอบว่าใช้งานได้หรือไม่แล้วแจ้งบอสกลับไปด้วยรหัสลับที่รู้กัน 2 คน

จากนั้น นายหย่าง ต้องสแตนบายรอตามตู้ ATM จุดต่างๆ เพื่อรอเหยื่อโอนเงินเข้าบัญชี เมื่อหลอกเหยื่อสำเร็จนายหย่างต้องรีบวิ่งไปกดเงินจากตู้ ATM ให้ไวที่สุดเพื่อป้องกันการอายัดบัญชี เมื่อได้เงินสดออกมาแล้ว ต้องรอจนกว่าบอสชาวจีนจะส่งคนมารับเงินจากมือ เป็นอันเสร็จภารกิจ

นายหย่างรับว่าตนเองทำแบบนี้ทุกวัน โดยเคยกดเงินได้สูงสุดถึง 400,000 บาทต่อวัน และตนเองได้ค่าตอบแทนประมาณ 4,000 บาท หรือคิดเป็น 1% ของเงินที่กด ส่วนสถานที่กดเงินนั้น บอสชาวจีนจะสั่งให้เปลี่ยนตู้ ATM ทุกวันเพื่อเลี่ยงการติดตามของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ บอสชาวจีนยังจัดหาที่พักรายวันอย่างดีให้โดยเปลี่ยนที่พักทุกคืน และยังเช่ารถจักรยานยนต์ให้และเปลี่ยนรถทุกวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามของเจ้าหน้าที่เช่นกัน

ส่วนนายวรากรณ์ รับสารภาพว่าตนเองเป็นเจ้าของบัญชีม้าแถว 2 ในคดีนี้ ตนไม่มีอาชีพหลักแหล่ง อาศัยบ้านเพื่อนเพื่อเสพกัญชาและน้ำกระท่อมไปวันๆ กระทั่งช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้พบกับนายหย่าง ซึ่งเป็นเพื่อนกับลูกพี่ของ นายหย่างเองชอบดื่มน้ำกระท่อมเป็นประจำเหมือนกัน จึงได้รู้จักกัน ภายหลังนายหย่างขอเช่าบัญชีธนาคารไปใช้ ซึ่งตนรู้ว่าดีว่าเอาไปใช้เป็นบัญชีม้า แต่นายหย่างให้ค่าตอบแทนดีถึง 5,000 บาทต่อวัน ตนเองจึงยินยอม กระทั่งมาถูกจับกุมในที่สุด

“ผัวเมียไทยจอร์แดน“ร้องถูกหนุ่มอิรัก ใช้เอกสารปลอม หลอกเช่าบ้าน-ลงทุนกิจการที่พัทยาสูญกว่า 1.8 ล้านบาท

สอง“ผัวเมียไทยจอร์แดน“ร้องกองปราบฯ ช่วย ถูกหนุ่มอิรัก ใช้เอกสารปลอม หลอกเช่าบ้าน-ลงทุนกิจการที่พัทยา เสียหายกว่า 1.8 ล้านบาท

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 21 พ.ย. 68 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ. พา “น.ส.บี” อายุ 39 ปี สาวไทยผู้เสียหายพร้อมสามีชาวจอร์แดน ได้เดินทางเข้าร้องขอให้ช่วยเป็นสื่อกลางและให้คำปรึกษาทางกฎหมาย หลังถูกชาวต่างชาติสัญชาติอิรัก ถือพาสปอร์ตออสเตรเลีย ซึ่งมีแฟนเป็นผู้หญิงชาวไทย ปลอมแปลงเอกสารและลายเซ็น หลอกให้เช่าบ้านพักทำออฟฟิศ และร่วมลงทุนทำกิจการในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก

น.ส.บี เปิดเผยว่า ตนเองได้เปิดร้านกาแฟอยู่ที่พัทยา และถูกชาวต่างชาติรายนี้ซึ่งมีแฟนเป็นคนไทย หลอกลวงให้ร่วมลงทุนและเช่ากิจการ โดยมีการปลอมแปลงเอกสารและลายเซ็นในการดำเนินการต่างๆ จนทำให้ตนเองได้รับความเสียหายรวมมูลค่ากว่า 1,800,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนบาทถ้วน) นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังระบุว่า บางครั้งยังถูกข่มขู่ ทำให้รู้สึกหวาดระแวงและไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน

เริ่มต้นจากตนได้ไปติดต่อขอเช่าพื้นที่เล็กๆ ทำร้านกาแฟในบ้านไม้สองชั้น กลางซอยเคพีเอ็น ก่อนเมื่อ ปี 2565 จากสองสามีชาวอิรัก ภรรยาคนไทย ที่พักอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ เขาบอกว่าเช่าเจ้าของคนไทยมาตั้งแต่ปี 2563 ตนทำร้านกาแฟเรื่อยมามีลูกค้ามาอุดหนุนจนกิจการดี สองผัวเมียอิรัก เห็นว่าตนค้าขายดีกิจการรุ่งเรือง เสนอให้เช่าทั้งหลัง จึงตัดสินใจตกแต่งปรับปรุงหมดค่าใช้จ่ายไป 3 ล้านบาท มีการขายช่วงเช่าต่อ และเรียกเก็บค่าเช่าเดือนละ 5 หมื่นกว่า ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกต่างหาก

ต่อมาสองผัวเมียอิรัก มาแจ้งว่าเจ้าของบ้านต้องการขายบ้านราคา 10 ล้าน ก่อนจะมีนำเอกสารปลอมลายเซ็นเจ้าของบ้านตัวจริงมาหลอกตน เจ้าของบ้านตัวจริงมารู้เรื่องภายหลัง บอกให้เช่าเดือนละ 2.5 หมื่นบาท ไม่คิดจะขายบ้านเลย

“หนูโดนปลอมแปลงเอกสารและลายเซ็นมาหลอกให้เช่าและลงทุนทำกิจการ นอกจากนี้บางครั้งก็โดนข่มขู่จนหนูรู้สึกหวาดระแวงและไม่ปลอดภัย” น.ส.บี กล่าวด้วยความทุกข์ใจ

เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่บ้านเลขที่ 31 ม.10 เมืองพัทยา หนองปรือ บางละมุง ชลบุรี โดยหลังจากทราบเรื่องและพบความผิดปกติ น.ส.บีได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา (สภ.เมืองพัทยา) แล้ว เมื่อ 5 พ.ย. ก่อนพนักงานสอบสวนเรียกตนและคู่กรณีไปพบเพื่อเจรจาเมื่อวานนี้(20 พ.ย.) ตนต้องการค่าเสียหายทั้งหมดที่โอนผ่านบัญชีของสามีชาวอิรัก จำนวนรวม 1.8 ล้านบาท ก่อนเจรจาลดลงมาที่ 6.6 แสนบาท กับทรัพย์สินอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้าน แต่สองสามีชาวอิรักยอมจ่ายแค่ 1 แสนบาท เท่านั้น ถ้าต้องการมากกว่านี้ให้ไปฟ้องร้องเอาเอง

ตนได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่สามารถประกอบธุรกิจร้านกาแฟได้ เพราะคู่กรณีเปิดร้านอยู่ติดกันพยายามมาก่อกวน ทั้งข่มขู่คุกคาม อ้างรู้จักหลักผู้ใหญ่เยอะ

เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนและมีปัญหาหลายอย่างที่ต้องการความช่วยเหลือในการติดตามคดีและปรึกษาแนวทางกฎหมายเพิ่มเติม น.ส.บี จึงได้มาร้องทุกข์ต่อจ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พาเข้าปรึกษาข้อกฎหมายกับกองบังคับการปราบปราม (กองปราบปราม) เพื่อให้ความเป็นธรรม

เอ็มดี “รัชต์ชวพร สุทธิพัฒน์โสภณ” ประกาศเดินหน้าบทบาทใหม่ ตอกย้ำมาตรฐานการเรียนบัญชี–ภาษีแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจSME

“อาจารย์รัชต์ชวพร สุทธิพัฒน์โสภณ” หรือ ครูออยลี่ (Orly YOU) ประกาศเดินหน้า ” โรงเรียนเออาร์พีการบัญชี”  ในฐานะผู้บริหารโรงเรียนเออาร์พีการบัญชี ภายใต้สโลแกน“โรงเรียนสอนการจัดทำบัญชีภาคปฏิบัติแบบมืออาชีพและมีความรับผิดชอบต่อสังคม” อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำมาตรฐานการเรียนบัญชี–ภาษีแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจSME

โรงเรียนเออาร์พีการบัญชี ถือกำเนิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของ อาจารย์รัชต์ชวพร สุทธิพัฒน์โสภณ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารซึ่งต้องการนำเสนอ “ระบบการเรียนบัญชี–ภาษีจากเอกสารจริง ที่เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง และมีจรรยาบรรณ” ด้วยจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญกว่า 20 ปีในการสอนบัญชีภาคปฏิบัติ การเขียนหนังสือ การให้คำปรึกษาทางด้านบัญชีและภาษี และการสร้างองค์ความรู้สำหรับผู้ประกอบ การไทย เป้าหมายของโรงเรียนเออาร์พีการบัญชี  คือ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ตลาดผู้ประกอบการ และเสริมฐานรากเศรษฐกิจไทยให้แข็งแรงบนมาตรฐานบัญชีและภาษีสำหรับกลุ่มนักธุรกิจ SME ที่ถูกต้อง

⭐ผู้นำผู้คร่ำหวอดในวงการบัญชี–ภาษีกว่า 20 ปี

อาจารย์รัชต์ชวพร สุทธิพัฒน์โสภณ มีประสบการณ์จริงทั้งภาคปฏิบัติและภาคการศึกษา ผ่านบทบาท
•ผู้สอนบัญชีภาคปฏิบัติ
•วิทยากรผู้พัฒนา SME
•ที่ปรึกษาด้านบัญชี–ภาษี
•นักเขียนหนังสือด้านบัญชี–ภาษี และแรงบันดาลใจ
•ผู้บริหารสถานศึกษานอกระบบ

ตลอดเส้นทาง เธอร่วมงานกับพันธมิตรชั้นนำทั่วประเทศ พร้อมการันตีด้วยรางวัลสำคัญ เช่น
•โล่รางวัลผู้ส่งเสริมเยาวชนยอดเยี่ยมด้านบัญชี (THAILAND KIDS AWARDS 2024) จากชมรมพัฒนาธุรกิจและทรัพยากรมนุษย์
•โล่และใบประกาศครูผู้สอนดีเด่น (2565–2568) จาก จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกระทรวงศึกษาธิการ
•โล่และใบประกาศผู้บริหารสถานศึกษาดีเด่น (2566–2568) จาก จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกระทรวงศึกษาธิการ
•รางวัล “ตราชั่งทองคุณธรรม” 2568 จาก สมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สว.นท)
•รางวัล “คนดีของแผ่นดิน” 2568 จากโครงการจรรโลงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม
•รางวัล “เกียรติคุณผู้นำการจัดการเรียนการสอนโรงเรียนเอกชนนอกระบบด้วยคุณธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ” 2568 จากสมาคมผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนนอกระบบ APANE

⭐แรงบันดาลใจสำคัญในการก่อตั้ง “โรงเรียนเออาร์พีการบัญชี”

เกิดจากประสบการณ์จริงที่พบว่า ผู้ประกอบการจำนวนมากขาดความรู้พื้นฐานด้านบัญชี–ภาษี นำไปสู่ความเสี่ยงทางธุรกิจโดยไม่รู้ตัว

⭐คำประกาศจากหัวเรือใหญ่ของบริษัทฯ

อาจารย์รัชต์ชวพร สุทธิพัฒน์โสภณ กล่าวว่า “จากประสบการณ์สอนผู้ประกอบการหลายพันธุรกิจ ได้สัมผัสปัญหาจริงของคนทำธุรกิจที่ไม่รู้บัญชี–ภาษี  คำถามคือ ‘เราจะช่วยให้ SME เข้าใจบัญชีได้ง่ายที่สุด แต่ถูกต้องที่สุดได้อย่างไร?’ หากเราช่วยยกระดับและเผยแพร่ความรู้นี้อย่างถูกต้อง ธุรกิจไทยจะเข้มแข็งอย่างมหาศาล” 

เมื่อเล็งเห็นช่องว่างทางการตลาดด้านความรู้บัญชีที่เข้าถึงง่าย เธอจึงตัดสินใจพัฒนาระบบการเรียนบัญชี–ภาษีแบบใหม่ ที่ผสานทั้งประสบการณ์ภาคปฏิบัติ เนื้อหาทันสมัย และจริยธรรมวิชาชีพอย่างครบถ้วน

⭐ การพัฒนาความรู้สู่มาตรฐานสากล

โรงเรียนเออาร์พีฯ ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงศักยภาพของการสร้างองค์ความรู้ที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน “บัญชีภาคปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ SME” ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ “สอนง่าย เข้าใจเร็ว ใช้ได้จริง และถูกต้องตามกฎหมาย”
องค์ความรู้นี้ถูกนำมาพัฒนาผ่านกระบวนการออกแบบหลักสูตรที่พิถีพิถัน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญมาตรฐาน พร้อมเปิดบริการครบวงจร เช่น

•หลักสูตรการจัดทำบัญชีธุรกิจ 60 ชั่วโมง  และอีก  8 หลักสูตรที่ได้รับรองหลักสูตรจากสำนักงาน
 คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกระทรวงศึกษาธิการ
•บริการที่ปรึกษาธุรกิจ
•ระบบวางระบบเอกสาร
•อบรมบุคลากรบัญชีในองค์กร

นอกจากนี้ยังเปิดตัวหนังสือ (2568) จำนวน 2 เล่มด้วยกัน เช่น
“แก้วนี้…มีฝัน” (เหมาะกับหนังสือบัญชีและภาษีสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ)
“แชท GPT เพื่อนคู่คิดในทุกวัน” (เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มใช้แชทGPT แบบคำสั่งพื้นฐาน)

⭐ “ความต่างคือพลัง” – กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ

แม้การพัฒนาระบบการเรียนรู้ใหม่จะเผชิญคำถามจากหลายฝ่าย แต่ อาจารย์รัชต์ชวพร สุทธิพัฒน์โสภณ  ยังคงยึดมั่นในแนวคิด “ความต่างคือพลัง”เพราะเชื่อว่าการกล้าสร้างสิ่งใหม่คือกุญแจสำคัญของตลาดอนาคต

ปัจจุบัน โรงเรียนเออาร์พีการบัญชี เริ่มได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว และกำลังขยายบริการไปสู่ SME,ภาคการศึกษา และองค์กรทุกระดับ รวมถึงการจัดทำหนังสือที่จะเผยแพร่เร็ว ๆ นี้

⭐ ธรรมาภิบาลระบบควบคุมภายในเทียบเท่า 5 ดาว 

โรงเรียนเออาร์พีการบัญชี  ผ่านการประเมินการกำกับดูแลกิจการของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกระทรวงศึกษาธิการ ระดับ ดีมาก ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน และสะท้อนคุณภาพความโปร่งใส และจริยธรรมทางธุรกิจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน โรงเรียนกำหนดนโยบายด้านความโปร่งใสชัดเจนสำหรับ ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน พร้อมมุ่งมั่นสร้างฐานธุรกิจการศึกษาที่
มั่นคงและเป็นมิตรต่อสังคม

⭐ คำกล่าวปิดท้ายของรัชต์ชวพร

“สำหรับโรงเรียนเออาร์พีการบัญชี ไม่ใช่แค่แบรนด์บัญชี แต่เป็นสัญลักษณ์ของการยกระดับความรู้บัญชี–ภาษีของคนไทยที่เริ่มทำธุรกิจ เราเชื่อว่า ความรู้ที่ถูกต้อง สามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนธุรกิจ และเปลี่ยนประเทศได้จริง”
ติดตามความเคลื่อนไหว
Facebook / Instagram / arpaccountingschool
TikTok: @arpaccounting
LINE: @arpaccounting
Website: www.arpaccounting.com และ WWW.arpaccountingschool.ac.th

“บิ๊กพวง”มอบ 4 นโยบายหลักลุยขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน “อำเภอพึ่งได้”

“บิ๊กพวง” อธิบดีกรมการปกครอง  มอบนโยบายขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน ภายใต้แนวคิด “อำเภอพึ่งได้” (DOPA 2026: Better Together) ย้ำ! ขับเคลื่อนงานรวดเร็ว ถูกต้อง เป็นธรรม ยึดประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน เป็นสำคัญ

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568.นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ “บิ๊กพวง” อธิบดีกรมการปกครอง เป็นประธานการประชุมกรมการปกครอง ครั้งที่ 11/2568 เพื่อมอบแนวทางการปฏิบัติราชการแก่ผู้บริหารส่วนกลาง ปลัดจังหวัด และนายอำเภอทั่วประเทศ  ณ ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย  กรุงเทพฯ

อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า สำหรับการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนกรมการปกครอง คือการให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานของสถาบันสำคัญของชาติซึ่งมีสถาบันชาติ สถาบัน ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้ การนำนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนโยบายสำคัญเร่งด่วนของกระทรวงมหาดไทย “มหาดไทย ทำ ทัน ที Action 5” 

กรมการปกครองจึงได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้แนวคิด “อำเภอพึ่งได้ (DOPA 2026: Better Together)”เพื่อผลักดันให้เกิดผลลัพธ์เชิงรูปธรรมตาม 4 นโยบายสำคัญ ได้แก่

1) รักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศ บูรณาการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชรบ. สมาชิก อส. และหน่วยงานความมั่นคง ดูแลความปลอดภัยในทุกมิติ เข้มงวดจัดระเบียบสังคม ปราบปรามอาชญากรรม แก้ไขปัญหายาเสพติดแบบ Re X-ray ตลอดจนเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัย

2) พัฒนางานบริการประชาชนให้ทันสมัยและเป็นเลิศ ผลักดันบริการภาครัฐสู่ Digital Service ยกระดับงานทะเบียน งานอนุมัติ–อนุญาต และศูนย์ดำรงธรรม ให้สะดวก ทันสมัย และเข้าถึงง่าย พร้อมเดินหน้ามาตรฐาน GECC และแนวคิด “อำเภอยิ้ม” เพื่อมอบประสบการณ์บริการที่ดีที่สุดแก่ประชาชน

3) ส่งเสริมงานอำนวยความเป็นธรรมและคุณภาพชีวิตประชาชน เสริมบทบาทศูนย์ดำรงธรรมอำเภอในการแก้ไขปัญหาร้องทุกข์ สนับสนุนคณะกรรมการหมู่บ้าน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เร่งแก้ปัญหาสัญชาติ–สถานะบุคคล เพิ่มมาตรการความปลอดภัยด้านท่องเที่ยว และดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างทั่วถึง

4) ยกระดับบุคลากร ระบบการทำงาน และองค์กรให้ทันสมัย พัฒนาบุคลากรฝ่ายปกครองสู่ผู้นำพื้นที่ในบทบาท Area Manager 1+19 ปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย พัฒนาระบบข้อมูล และผลักดันองค์กรสู่การทำงานแบบดิจิทัล เพื่อให้ทันต่อภารกิจในปัจจุบันและอนาคต

โดยแนวคิด “อำเภอพึ่งได้” คือเป้าหมายสำคัญของกรมการปกครอง โดยมีนายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และฝ่ายปกครองในพื้นที่เป็นกำลังหลักในการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน สูตรการทำงานให้สำเร็จ คือรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม ภายใต้แนวคิด 3 p ดังนี้

Place: สถานที่ เราจะมุ่งพัฒนาเชิงกายภาพของสถานที่ให้บริการประชาชน ให้มีมาตรฐานสากล สวยงาม สะอาด สะดวก สบาย

Personnel: บุคลากร เราจะมุ่งพัฒนาบุคลากรฝ่ายปกครองทุกระดับให้สมาร์ท น่าเคารพเชื่อถือ เป็นที่พึ่งของประชาชน เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพและสวัสดิการ ต้องชัดเจน ปรับปรุงรูปแบบและหลักสูตรการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรในด้านต่าง ๆ เพื่อให้มี การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทันต่อการเปลี่ยนแปลง

Process: กระบวนการทำงาน เราจะมุ่งปรับปรุงระบบการทำงาน แก้ไขกฎหมาย
ระเบียบที่มีความล้าสมัย ให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน พัฒนาระบบฐานข้อมูลในการทำงาน ยกระดับสู่ Digital Service

อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวเพิ่มเติม  “หัวใจของกรมการปกครองอยู่ที่พื้นที่ ผมให้ความสำคัญกับภูมิภาค กับผลงานในพื้นที่ ดังนั้น ส่วนกลางต้องทำงานเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้กับคนภูมิภาค สำคัญ เราต้องทำงานกับ ทุกกรม ทุกกระทรวง แสวงหาความร่วมมือ เพื่อทำงานให้ได้  โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้วยหลัก รวดเร็ว  ถูกต้อง เป็นธรรม  ร่วมมือกันทำงานให้เกิดผลงานอย่างเป็นรูปธรรม ผมจะสนับสนุนพวกเราอย่างเต็มที่

“บิ๊กพวง”มอบ 4 นโยบายหลักลุยขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน “อำเภอพึ่งได้”

“บิ๊กพวง” อธิบดีกรมการปกครอง  มอบนโยบายขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน ภายใต้แนวคิด “อำเภอพึ่งได้” (DOPA 2026: Better Together) ย้ำ! ขับเคลื่อนงานรวดเร็ว ถูกต้อง เป็นธรรม ยึดประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน เป็นสำคัญ

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568.นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ “บิ๊กพวง” อธิบดีกรมการปกครอง เป็นประธานการประชุมกรมการปกครอง ครั้งที่ 11/2568 เพื่อมอบแนวทางการปฏิบัติราชการแก่ผู้บริหารส่วนกลาง ปลัดจังหวัด และนายอำเภอทั่วประเทศ  ณ ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย  กรุงเทพฯ

อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า สำหรับการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนกรมการปกครอง คือการให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานของสถาบันสำคัญของชาติซึ่งมีสถาบันชาติ สถาบัน ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้ การนำนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนโยบายสำคัญเร่งด่วนของกระทรวงมหาดไทย “มหาดไทย ทำ ทัน ที Action 5” 

กรมการปกครองจึงได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้แนวคิด “อำเภอพึ่งได้ (DOPA 2026: Better Together)”เพื่อผลักดันให้เกิดผลลัพธ์เชิงรูปธรรมตาม 4 นโยบายสำคัญ ได้แก่

1) รักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศ บูรณาการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชรบ. สมาชิก อส. และหน่วยงานความมั่นคง ดูแลความปลอดภัยในทุกมิติ เข้มงวดจัดระเบียบสังคม ปราบปรามอาชญากรรม แก้ไขปัญหายาเสพติดแบบ Re X-ray ตลอดจนเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัย

2) พัฒนางานบริการประชาชนให้ทันสมัยและเป็นเลิศ ผลักดันบริการภาครัฐสู่ Digital Service ยกระดับงานทะเบียน งานอนุมัติ–อนุญาต และศูนย์ดำรงธรรม ให้สะดวก ทันสมัย และเข้าถึงง่าย พร้อมเดินหน้ามาตรฐาน GECC และแนวคิด “อำเภอยิ้ม” เพื่อมอบประสบการณ์บริการที่ดีที่สุดแก่ประชาชน

3) ส่งเสริมงานอำนวยความเป็นธรรมและคุณภาพชีวิตประชาชน เสริมบทบาทศูนย์ดำรงธรรมอำเภอในการแก้ไขปัญหาร้องทุกข์ สนับสนุนคณะกรรมการหมู่บ้าน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เร่งแก้ปัญหาสัญชาติ–สถานะบุคคล เพิ่มมาตรการความปลอดภัยด้านท่องเที่ยว และดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างทั่วถึง

4) ยกระดับบุคลากร ระบบการทำงาน และองค์กรให้ทันสมัย พัฒนาบุคลากรฝ่ายปกครองสู่ผู้นำพื้นที่ในบทบาท Area Manager 1+19 ปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย พัฒนาระบบข้อมูล และผลักดันองค์กรสู่การทำงานแบบดิจิทัล เพื่อให้ทันต่อภารกิจในปัจจุบันและอนาคต

โดยแนวคิด “อำเภอพึ่งได้” คือเป้าหมายสำคัญของกรมการปกครอง โดยมีนายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และฝ่ายปกครองในพื้นที่เป็นกำลังหลักในการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน สูตรการทำงานให้สำเร็จ คือรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม ภายใต้แนวคิด 3 p ดังนี้

Place: สถานที่ เราจะมุ่งพัฒนาเชิงกายภาพของสถานที่ให้บริการประชาชน ให้มีมาตรฐานสากล สวยงาม สะอาด สะดวก สบาย

Personnel: บุคลากร เราจะมุ่งพัฒนาบุคลากรฝ่ายปกครองทุกระดับให้สมาร์ท น่าเคารพเชื่อถือ เป็นที่พึ่งของประชาชน เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพและสวัสดิการ ต้องชัดเจน ปรับปรุงรูปแบบและหลักสูตรการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรในด้านต่าง ๆ เพื่อให้มี การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทันต่อการเปลี่ยนแปลง

Process: กระบวนการทำงาน เราจะมุ่งปรับปรุงระบบการทำงาน แก้ไขกฎหมาย
ระเบียบที่มีความล้าสมัย ให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน พัฒนาระบบฐานข้อมูลในการทำงาน ยกระดับสู่ Digital Service

อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวเพิ่มเติม  “หัวใจของกรมการปกครองอยู่ที่พื้นที่ ผมให้ความสำคัญกับภูมิภาค กับผลงานในพื้นที่ ดังนั้น ส่วนกลางต้องทำงานเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้กับคนภูมิภาค สำคัญ เราต้องทำงานกับ ทุกกรม ทุกกระทรวง แสวงหาความร่วมมือ เพื่อทำงานให้ได้  โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้วยหลัก รวดเร็ว  ถูกต้อง เป็นธรรม  ร่วมมือกันทำงานให้เกิดผลงานอย่างเป็นรูปธรรม ผมจะสนับสนุนพวกเราอย่างเต็มที่

น้ำท่วมใต้พ่นพิษผักเบตงพาเหรดขยับเท่าตัว ผักชีพุ่งทะยานกก.ละ 300 บาท

น้ำท่วมภาคใต้เป็นเหตุ ส่งผลให้ราคาผักในตลาดสดเทศบาลเมืองเบตงหลายชนิดมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ผักชีพุ่งทะยานกิโลกรัมละ 300 บาท

เมือวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจราคาผักที่ ตลาดสดเทศบาลเมืองเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา พบว่าราคาผักหลายชนิดมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยปรับขึ้นกิโลกรัมละ 10-20 บาท

ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าผักหลายชนิดมีราคาสูงขึ้น เช่น ผักบุ้ง จากเดิมกิโลกรัมละ 30-40 บาท ปรับราคาขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 60 บาท และผักชี เป็นสินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้นมากเป็นพิเศษ โดยจากเดิมกิโลกรัมละ 80 บาท ปรับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 300 บาท (ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของผัก)

จากการสอบถามพ่อค้าที่จำหน่ายผักสดในตลาด ได้ให้ข้อมูลว่า สาเหตุที่ราคาผักปรับเพิ่มสูงขึ้นมาจากการประสบปัญหาภัยพิบัติ 2 ส่วนหลักๆ คือ 1.หลายพื้นที่ที่เป็นแหล่งปลูกผักได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ทำให้ผักที่ปลูกไว้ได้รับความเสียหาย และ 2.การที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรไม่สามารถทำร่องแปลงผักได้ตามปกติ จึงทำให้ผักหลายชนิดไม่มีผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างเพียงพอ

อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณผักในตลาดลดลงอย่างมาก ทำให้ราคาผักมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามกลไกตลาดและส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนในพื้นที่เบตง

บุกค้นบริษัทย่านนนทบุรีบี้แช่แข็งเถื่อนขยายผลตีนไก่เถื่อนกว่า 200 ตัน

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้น กก.2 บก.ปอศ. สถานที่ตรวจค้น

1.)อาคารสำนักงาน ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 6 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ตามหมายค้น ศาลจังหวัดนนทบุรีที่ ค1006/2568 ลงวันที่ 19 พ.ย.68
2.สถานที่เก็บสินค้า (ห้องแช่เย็น) ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 ถ.บ้านกล้วย-ไทรน้อย ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี (เขตปลอดอากร) ตามหมายค้นศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ ค1005/2568 ลงวันที่ 19 พ.ย.68

ตรวจยึดพยานหลักฐาน เอกสารสำคัญในการเชื่อมโยงทางคดีหลายรายการ กว่า 100 ฉบับซึ่งคาดว่าจะมีการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

– สำแดงเท็จหลีกเลี่ยงข้อจำกัด ตามมาตรา 202 มาตรา 244 ประกอบมาตรา 242 และ มาตรา 243 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 
– นำเข้าตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 โดยฝ่าฝืน มาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 และความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

พฤติการณ์ ด้วยเมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ.2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. ร่วมกับ กรมปศุสัตว์และกรมศุลกากร ได้ทำการตรวจยึดและทำการเปิดตู้สินค้าที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ พบขาไก่ดิบแช่แข็ง จำนวน 230,000 กิโลกรัม ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมนำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ต่อมาได้มีการดำเนินคดีกับบริษัทรุ่งเรือง โฟรเซ่น จำกัด พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้อง และเมื่อทำการขยายผลพบว่า นายธีรพนธ์ฯ กรรมการบริษัทรุ่งเรือง โฟรเซ่น จำกัด

ผู้ต้องหาในคดีนี้นั้น มีความเชื่อมโยงกับนิติบุคคลอีก จำนวน 4 แห่ง และพบว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลหนึ่ง ซึ่งถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินคดีในความผิดเดียวกันไว้แล้ว เมื่อปี พ.ศ.2567 พบหลักฐานยังเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง โดยมีรูปแบบแผนประทุษกรรมที่คล้ายคลึงกันกับกลุ่มขบวนการของนายทุนที่ลักลอบนำเข้าตีนไก่,หมูเถื่อน จากต่างประเทศ ก่อนหน้านี้

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 2 กก.2 บก.ปอศ. ได้สืบสวนขยายผลและขออนุมัติหมายค้นศาลจังหวัดนนทบุรี จำนวน 2 หมาย เข้าตรวจค้นสถานที่เก็บสินค้าและอาคารสำนักงาน ในย่าน จ.นนทบุรี เพื่อขยายผลและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

พ.ต.อ.นฤพนธ์ กรุณา ผกก.2 บก.ปอศ. ระบุว่า  “ในการเข้าตรวจค้นทั้ง 4 บริษัทในครั้งนี้ ก็เกิดจาก เมื่อต้นเดือนกันยายน 2568 มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างกรมปศุสัตว์และกรมศุลกากร ในการตรวจยึด ขาไก่ดิบแช่แข็ง จำนวน 230,000 กิโลกรัม ที่ผิดกฎหมายไว้ ที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ และต่อมาพบว่าได้มีการรวมดำเนินคดีไปแล้วกว่า 8 คดี ที่ บก.ปอศ. และยังพบข้อพิรุธสงสัยมากมาย จึงได้ตั้งทีมสืบสวนขึ้นมา เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลจนพบว่ามีผู้ต้องหาที่คอยบงการ มีความเชื่อมโยงกับ คดีหมูเถื่อน – สวมสิทธิขาไก่เพื่อส่งออก

ทั้งนี้พบว่าเคยถูกดำเนินคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) มาด้วยแล้ว และจากการตรวจค้นในครั้งนี้แม้ว่าจะไม่พบของผิดกฎหมาย แต่ได้มีการตรวจยึดเอกสารสำคัญต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินคดีกับผู้บงการและผู้ร่วมกระทำความผิดได้ทั้งหมด”