เกษตรกรตรังรวมกลุ่มปลูกโกโก้ในสวนยาง-ปาล์มพร้อมแปรรูปส่งขายรายได้พุ่ง

สวนยางพาราในพื้นที่อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรังของ “นางพะยอม วารินสะอาด” กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตโกโก้ในรอบ 15 วัน เพื่อนำไปผ่าเอาแต่เมล็ดนำไปตากแห้ง แล้วส่งขายให้กับบริษัท โดยพบว่าเป็นการจับมือรวมกลุ่มกันของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม และชาวสวนยางในพื้นที่อำเภอห้วยยอด จากหลายตำบล เพื่อรวบรวมผลผลิตในนามกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพะยอมทอง

นอกจากทางกลุ่มจะใช้วิธีการนำโกโก้ไปตากแดดธรรมชาติแล้ว ยังมีการประยุกต์ทำห้องอบเอง โดยการใช้ไม้ทำเป็นโรงเรือนขนาดเล็ก แล้วภายในทำเป็นชั้นๆ สำหรับตากเมล็ด ก่อนหุ้มล้อมรอบโรงเรือนด้วยพลาสติกอย่างหนา ทำให้ได้โรงอบเมล็ดโกโก้อย่างง่ายด้วยภูมิปัญหาของสมาชิกในกลุ่ม แถมยังช่วยลดรายจ่ายได้ด้วย

นางพะยอม ในฐานะประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพะยอมทอง บอกว่า เดิมทีตนเองมีพื้นที่นาอยู่ประมาณ 8 ไร่ แต่ต่อมาถูกน้ำท่วมขังทุกปี ทำให้ทำนาไม่ได้ จึงได้เปลี่ยนมาปลูกยางแทน แต่ก็ต้องประสบกับปัญหาสภาพดินแข็ง และแม้จะปลูกหญ้าแล้ว ก็ยังไม่ค่อยได้ผล จึงอยากหาพืชชนิดอื่นมาปลูกเพื่อช่วยปรับปรุงดิน จึงลองนำโกโก้พันธุ์ชุมพร 1 มาปลูกแซม ปรากฏว่า ใบดก ทรงพุ่มหนาดี และให้ผลผลิตดี

 จากนั้นจึงได้ปลูกโกโก้จนเต็มพื้นที่ ในบริเวณระหว่างร่องยาง ตั้งแต่ปี 2562 แต่ต่อมาประสบปัญหาด้านราคา และไม่มีตลาดรองรับ ทำให้โกโก้ปลูกปล่อยทิ้ง ไม่ได้ดูแลเท่าที่ควร แต่ตอนนี้กลับมาบำรุงเต็มที่ ทำให้สามารถเก็บผลผลิตได้ทุกๆ 15 วัน รอบละประมาณ 300 กว่ากิโลกรัม สร้างรายได้เสริมให้เดือนละประมาณ 6,000-7,000 บาท ซึ่งถือว่าน่าพอใจ เพราะจากที่มีรายได้ทางเดียวจากยาง แต่ก็มามีรายได้เสริมจากโกโก้ด้วย

โดยในหน้าฝนโกโก้จะให้ผลผลิตออกมามาก แต่ในช่วงหน้าแล้งอาจมีผลผลิตน้อยลง แต่หากได้ปรับปรุงระบบน้ำให้ดี ก็จะออกผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ขณะเดียวกันใบโกโก้ที่ร่วงหล่นคลุมดิน ยังย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ย ช่วยเพิ่มความชื้นให้กับดิน และทำให้ดินดีขึ้น จนส่งผลดีต่อต้นยางที่ปลูกร่วม ทำให้ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น หลังจากตนเองได้ปลูกโกโก้แซมลงไป 400 กว่าต้น ซึ่งครึ่งหนึ่งเก็บผลผลิตได้แล้ว โดยมีเปลือกบาง เนื้อเยอะ เมล็ดโต

ต่อมาจึงได้มีการชักชวนเพื่อนสมาชิกให้มาปลูกโกโก้แซมในสวนยาง และสวนปาล์ม แล้วร่วมกันจัดตั้งกลุ่มอย่างเป็นทางการ ล่าสุดมีสมาชิกทั้งหมด 22 คน เพื่อผลผลิตของตนเอง และรวบรวมผลผลิตจากสมาชิก ที่รับซื้อผลสดมาในราคา กก.ละ 9 บาท แล้วจะแกะเอาเมล็ดออก ก่อนนำไปหมัก และนำไปตากแห้ง เพื่อแปรรูปส่งขายให้แก่บริษัทที่มารับถึงที่ในราคาเมล็ดตากแห้ง กก.ละ 160 บาท รวมประมาณรอบละเกือบ 2,000 กก. (รอบละ 15 วัน)

ปัจจุบันเริ่มมีเกษตรกรสนใจมาปลูกโกโก้กันมากขึ้น เพราะต่างมั่นใจในตลาด และผู้ว่าฯ ตรัง เองก็ออกมาส่งเสริมให้มีการปลูก โดยให้นโยบายไว้ว่าในปี 2570 จะขยายพื้นที่ปลูกให้ถึง 1,800,000 ต้นเลยทีเดียว อีกทั้งโกโก้ก็ปลูกไม่ยาก แค่ 3 ปี ก็เก็บผลผลิตได้แล้ว

โดย….คนิตา สีตอง

.

ตลาดพิษณุโลกแหล่งรวมปลาลุ่มน้ำยมที่ครองใจคนเมืองสองแคว

หากพูดถึงตลาดเช้าที่คึกคักที่สุดของเมืองพิษณุโลก ต้องมีชื่อ “ตลาดใต้” หรือ “ตลาดเทศบาล 1” ติดอันดับต้นๆ และหนึ่งในร้านที่เรียกลูกค้าได้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ก็คือ“รวมปลาตลาดใต้ พิษณุโลก — 27 ปีแห่งรสชาติบ้านๆ จากลุ่มน้ำยม ที่ครองใจคนทั้งตลาด” ร้านเก่าแก่ที่เปิดขาย “ปลาธรรมชาติจากลุ่มน้ำยม” มานานกว่า 27 ปี

ทุกเช้าตั้งแต่เวลาประมาณ 01.00 น. นางสมคิด ราชาธร อายุ 50 ปี เจ้าของร้าน จะเริ่มเตรียมเตาถ่าน ย่างปลา ตำน้ำพริก และจัดปลาทอดร้อนๆ เพื่อต้อนรับลูกค้ารอบแรกช่วง 05.00–10.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดคึกคักที่สุด โดยเฉพาะวันเสาร์–อาทิตย์ที่ผู้คนแน่นจนแทบเดินเบียดกัน

สินค้าขายดีของร้านคือ ปลาดุกย่าง–ปลาดุกทอด ตัวละ 30–40 บาท แล้วแต่ขนาด พร้อมน้ำพริกหลากหลายอย่าง ตั้งแต่น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกปลาร้า ไปจนถึงน้ำพริกซีฟู้ด ซึ่งยังคงขายในราคาถุงละ 10 บาท แบบจับต้องได้

เสน่ห์สำคัญที่ทำให้ลูกค้าติดใจ คือ ปลาเกือบทั้งหมดเป็นปลาจากธรรมชาติในลุ่มน้ำยม โดยเฉพาะแถบจังหวัดสุโขทัยและอำเภอบางระกำ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของปลาน้ำจืดพื้นถิ่น ไม่ว่าจะเป็นปลาสร้อย ปลาไส้ตัน ปลาแปป ปลากระดี่ ปลารากกล้วย ปลาเนื้ออ่อน ปลาหมอ และปลาสังฆวาส ซึ่งจะมีมากเป็นพิเศษในช่วงปลายฝนต้นหนาวเมื่อพื้นที่มีน้ำท่วมทุ่ง

อีกเมนูที่ลูกค้าห้ามพลาดคือ มะเขือเผาเตาถ่านและพริกเผาหอมๆ ที่เผาใหม่ทุกวัน ใช้ทำเครื่องจิ้มสดๆ ไม่มีค้างคืน เป็นคู่หูที่เข้ากันดีกับปลาย่างและน้ำพริกของร้านจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ลูกค้าสามารถแวะมาซื้อได้ทุกวัน ร้านตั้งอยู่บริเวณด้านทิศใต้ของอาคารตลาดใต้ วันธรรมดาคนอาจจะไม่แน่นมาก แต่ปลานานาชนิดยังวางขายครบเหมือนเดิม ส่วนวันเสาร์–อาทิตย์ต้องเผื่อเวลา เพราะร้านนี้ขึ้นชื่อว่ามาคนเดียวกินไม่พอ ต้องหิ้วกลับบ้านทุกครั้ง

ข่าว/ภาพ : นายชินวัฒน์ สิงหะ ผู้สื่อข่าวจังหวัดพิษณุโลก

ตำรวจอุทัยธานีพร้อมใจปฏิญาณตน หน้าโรงพัก “พวกเราต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน”

อุทัยธานี – ตำรวจพร้อมใจปฏิญาณตน หน้าโรงพัก พวกเราต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนป้องกันปราบปรามอาชญากรรม

เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน  บรรยากาศหน้าโรงพัก สภ.ทัพทัน อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี หลังมีกระแส พายุโหมกระหน่ำ โจมตีเรื่องภาพลักษณ์ของตำรวจ ที่ถูกกล่าวหา จนเกิดปรากฏการณ์ ตำรวจทั่วประเทศขึงขัง พร้อมใจกันท่องคำปฏิญาณตน

นำโดย พ.ต.อ.ภูมิรพี ผลาภูมิ ผู้กำกับสภ.ทัพทัน นำข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.ทัพทัน ร่วมกิจกรรมเคารพธงชาติ-กล่าวคำปฏิญาณ ตำรวจต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน มีหน้าที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม

โดยระบุใจความ จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ จะยอมเสียสละให้แก่ประชาชน ตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และจะยึดมั่นรักษาระเบียบวินัย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด เน้นย้ำความรักความสามัคคีในหน่วยงาน

ทั้งนี้ได้มีการยืนถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ชาวปราจีนฯผวา!เจ้าสิบล้อช้างป่าอ่างฤาไนนำโขลง6ตัวยกพลข้ามถิ่นบุกยึดไร่อ้อย

ปราจีนบุ – ชาวบ้านหนองตลาด ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์ผวา “เจ้าสิบล้อ”ช้างป่าอ่างฤาไนบุกข้ามฝั่งจากแปดริ้วไกลถึงปราจีนฯนำโขลง6ตัวยกพลบุกลุยไร่อ้อย

เมื่อวันที่ 18 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรีได้รับการร้องทุกข์ชาวบ้านจากชาวบ้านหนองตลาดหมู่ที่ 7 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีต่างพากันหวาดผวาเจ้าสิบล้อช้างป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนจังหวัดฉะเชิงเทรา(ป่าลุ่มต่ำผืนสุดท้ายของไทยในเขตรอยต่อ 6 จังหวัดภาคตะวันออก จ.ฉะเชิงเทรา จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี)  พร้อมสมุน 6ตัว  ยกโขลงอพยพข้ามฝั่งจาก จ.ฉะเชิงเทรามาหากินไกลในช่วงต้นหนาวนี้ไกลถึงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี

โดยยกโขลงบุกยึดแหล่งอาหารชั้นเลิศไร่อ้อยของชาวบ้านเป็นที่หากินหลับนอนแล้วไม่ยอมกลับคืนถิ่น สร้างความหวาดผวาอย่างมากในอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน  ชุดจิตอาสาเฝ้าระวังช้างป่าได้ใช้โดรนบินสำรวจพบว่ามีช้างป่าตัวใหญ่รวม6ตัวเข้ามาหากินอยู่ในป่าอ้อยนานนับเดือน  

ล่าสุดเมื่อ 2วันที่แล้ว  เจ้าแข็งแกร่งช้างสีดอจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนยังหากินอยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะสลับกันไป-มา  หลังจากถูกเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ผลักดันกลับเข้าเขตพื้นที่อนุรักษ์ผืนป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา และ ลักลอบย้อนกลับมาหากินในพื้นที่ ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีที่มีแหลางอาหารสมบูรณ์ทั้งไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด โดยเฉพาะนาข้าวที่รอการเก็บเกี่ยว(ข้าวนาปี)

แม้ทางเจ้าหน้าที่และจิตอาสาชุดเฝ้าระวังช้างป่าตำบลวังท่าช้าง ตำบลเขาไม้แก้ว ตำบลย่านรี ตำบลลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีร่วมกับชุดของฝั่งสนามขัยเขต จ.ฉะเชิงเทราผลักดัน  ฝูงช้างป่าได้แตกฝูงออกจากผืนป่าเขาอ่าฤาไนข้ามฝั่งจังหวัดจากแปดริ้ว หรือ จ.ฉะเชิงเทรา ข้ามมาหาในกินพื้นที่ จ.ปราจีนบุรีต่อเนื่องแล้วมักอยู่ยาวไม่ยอมกลับคืนถิ่น เนื่องจากในพื้นมีการทำไร่อ้อย มันสําปะหลัง ข้าว ข้าวโพด นับหมื่นไร่ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศของช้างอย่างดี

นายชัช วิมุตติกร บ้านหนองตลาด กล่าวว่า   พบช้างป่ามีช้างป่าตัวใหญ่ 2 ตัวเข้ามาในบริเวณหน้าบ้านแล้วดึงลูกขนุนลงมาจากต้น เห็นขนุนยังดิบอยู่กินไม่ได้เหยียบทิ้ง เหยียบทิ้งไม่พอยังใช้งาแทงลูกขนุนอีก แล้วเดินไปยังบริเวณหน้าบ้านหักต้นหมากทิ้งขวางทางเข้าบ้านแล้วเดินจากไป ช่วงนั้นเป็นเวลาดึกประมาณ 23:00 น.

ด้านนายหล่อ บุญส่งกล่าวว่า รู้ว่าช้างป่ามาหากินข้างหมู่บ้านนานแล้ว  เมื่อปีที่แล้วช้างมากินข้าวในนาข้าวกินผลผลิตเสียหาย ปีนี้ช้างยังไม่มาต้องรีบเกี่ยวข้าวหนี

ขณะนางสำรวย วรศรี กล่าวว่าได้ยินผู้นำบอกว่าช้าง 6 ตัว มาหากินข้างหมู่บ้านกินข้าวของเพื่อนบ้าน หลังรู้ข่าวรู้สึกหวาดกลัวมาก  ช้างมาตั้ง 6 ตัว และช้างยังหากินอยู่ในป่าอ้อยข้างหมู่บ้านอีกด้วย คาดว่าเจ้าหน้าที่ฯจะทำการผลักดันออกจากพื้นที่เข้าเขตอนุรักษ์ในค่ำของคืนนี้ (18พ.ย.)

โดย… มานิตย์ สนับบุญ-ข่าว/ทองสุข สิงห์พิมพ์-ภาพ/ ปราจีนบุรี ###

.

ชาวบ้านผวา!าเจ้าสิบล้อช้างป่าอ่างฤาไนนำโขลง 6 บุกหากินไกลถึงปราจีนฯ

ปราจีนบุรี– ระวังภัย! ผวาเจ้าสิบล้อช้างป่าอ่างฤาไนบุกข้ามฝั่งจากแปดริ้วไกลถึงปราจีนฯนำโขลง6ตัวยกพลบุกลุยไร่อ้อย

เมื่อวันที่ 18 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรีได้รับการร้องทุกข์ชาวบ้านจากชาวบ้านหนองตลาดหมู่ที่ 7 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีต่างพากันหวาดผวาเจ้าสิบล้อช้างป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนจังหวัดฉะเชิงเทรา(ป่าลุ่มต่ำผืนสุดท้ายของไทยในเขตรอยต่อ 6 จังหวัดภาคตะวันออก จ.ฉะเชิงเทรา จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี) พร้อมสมุน 6ตัว ยกโขลงอพยพข้ามฝั่งจาก จ.ฉะเชิงเทรามาหากินไกลในช่วงต้นหนาวนี้ไกลถึงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี

โดยยกโขลงบุกยึดแหล่งอาหารชั้นเลิศไร่อ้อยของชาวบ้านเป็นที่หากินหลับนอนแล้วไม่ยอมกลับคืนถิ่น สร้างความหวาดผวาอย่างมากในอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ชุดจิตอาสาเฝ้าระวังช้างป่าได้ใช้โดรนบินสำรวจพบว่ามีช้างป่าตัวใหญ่รวม6ตัวเข้ามาหากินอยู่ในป่าอ้อยนานนับเดือน

ล่าสุดเมื่อ 2วันที่แล้ว เจ้าแข็งแกร่งช้างสีดอจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนยังหากินอยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะสลับกันไป-มา หลังจากถูกเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ผลักดันกลับเข้าเขตพื้นที่อนุรักษ์ผืนป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา และ ลักลอบย้อนกลับมาหากินในพื้นที่ ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีที่มีแหลางอาหารสมบูรณ์ทั้งไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด โดยเฉพาะนาข้าวที่รอการเก็บเกี่ยว(ข้าวนาปี)

แม้ทางเจ้าหน้าที่และจิตอาสาชุดเฝ้าระวังช้างป่าตำบลวังท่าช้าง ตำบลเขาไม้แก้ว ตำบลย่านรี ตำบลลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีร่วมกับชุดของฝั่งสนามขัยเขต จ.ฉะเชิงเทราผลักดัน ฝูงช้างป่าได้แตกฝูงออกจากผืนป่าเขาอ่าฤาไนข้ามฝั่งจังหวัดจากแปดริ้ว หรือ จ.ฉะเชิงเทรา ข้ามมาหาในกินพื้นที่ จ.ปราจีนบุรีต่อเนื่องแล้วมักอยู่ยาวไม่ยอมกลับคืนถิ่น เนื่องจากในพื้นมีการทำไร่อ้อย มันสําปะหลัง ข้าว ข้าวโพด นับหมื่นไร่ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศของช้างอย่างดี

นายชัช วิมุตติกร บ้านหนองตลาด กล่าวว่า พบช้างป่ามีช้างป่าตัวใหญ่ 2 ตัวเข้ามาในบริเวณหน้าบ้านแล้วดึงลูกขนุนลงมาจากต้น เห็นขนุนยังดิบอยู่กินไม่ได้เหยียบทิ้ง เหยียบทิ้งไม่พอยังใช้งาแทงลูกขนุนอีก แล้วเดินไปยังบริเวณหน้าบ้านหักต้นหมากทิ้งขวางทางเข้าบ้านแล้วเดินจากไป ช่วงนั้นเป็นเวลาดึกประมาณ 23:00 น.

ด้านนายหล่อ บุญส่งกล่าวว่า รู้ว่าช้างป่ามาหากินข้างหมู่บ้านนานแล้ว เมื่อปีที่แล้วช้างมากินข้าวในนาข้าวกินผลผลิตเสียหาย ปีนี้ช้างยังไม่มาต้องรีบเกี่ยวข้าวหนี

ขณะนางสำรวย วรศรี กล่าวว่าได้ยินผู้นำบอกว่าช้าง 6 ตัว มาหากินข้างหมู่บ้านกินข้าวของเพื่อนบ้าน หลังรู้ข่าวรู้สึกหวาดกลัวมาก ช้างมาตั้ง 6 ตัว และช้างยังหากินอยู่ในป่าอ้อยข้างหมู่บ้านอีกด้วย คาดว่าเจ้าหน้าที่ฯจะทำการผลักดันออกจากพื้นที่เข้าเขตอนุรักษ์ในค่ำของคืนนี้ (18พ.ย.)

โดย…มานิตย์ สนับบุญ-ข่าว/ทองสุข สิงห์พิมพ์-ภาพ/ ปราจีนบุรี ###

ศรีสะเกษจัดพิธีสู่ขวัญบ้านบายศรีเมืองรุ่งเรือง 243 ปี-สวดพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระพันปีหลวง

จังหวัดศรีสะเกษจัดพิธีสู่ขวัญบ้านบายศรีเมืองรุ่งเรือง 243 ปีและสวดพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระพันปีหลวง

วันนี้(18พ.ย.68) เพื่อความสิริมงคลและเบิกฤกษ์เบิกชัย“ สู่ขวัญบ้าน บายศรีเมือง รุ่งเรือง 243 ปีการสร้างเมืองศรีสะเกษ ” นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นางโสภา ธรรมประจำจิต นายกเหล่ากาชาดจังหวัดศรีสะเกษ ในฐานะพ่อเมืองแม่เมืองได้นำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าส่วนราชการ ภาคธุรกิจเอกชน ประกอบพิธีสู่ขวัญบ้าน บายศรีเมือง รุ่งเรือง 243 ปี เป็นพิธีพราหมณ์เพื่อขอพรเทพเทพวาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ปกปักษ์

ตลอดจนดวงวิญญาณบรรพบุรุษผู้สร้างบ้านแปลงเมือง ขอให้การจัดงานสำเร็จลุล่วงโดยดีอย่าได้มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ เป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษผู้สร้างบ้านแปลงเมือง อีกทั้งยังร่วมเจตนาในการสืบสานรักษาต่อยอดมรดกภูมิปัญญาอัตลักษณ์วัฒนธรรมคน 4 เผ่า

ต่อจากนั้น ได้ประกอบพิธีสวดพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมีพระวินัยเมธี เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ (ธรรมยุต)เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เป็นการรวมพลังแห่งความจงรักภักดี และ ต่างน้อมความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขและความผาสุกของปวงพสกนิกรชาวไทยตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีแห่งการทรงงาน

สำหรับงานเฉลิมฉลอง “ สู่ขวัญบ้าน บายศรีเมือง รุ่งเรือง 243 ปี ”กำหนดจัดระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤศจิกายน 2568 ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ โดยภาคค่ำวันที่ 18 พฤศจิกายน มีการประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญบ้าน บายศรีเมือง รุ่งเรือง 243 ปี และ การบินโดรนแปรอักษร จากนั้นรุ่งเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายน จะมีการทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณรเพื่อความสิริมงคลร่วมกัน

จากนั้นจะมีขบวนนางรำจาก 22 อำเภอมาร่วมฟ้อนรำเพื่อถวายอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ เป็นการร่วมเฉลิมฉลอง 243 ปีจังหวัดศรีสะเกษ ภายในงานยังมีการจำหน่ายสินค้าโอทอป โดยเฉพาะเสื้อผ้าพื้นถิ่นของแต่ละชนเผ่า หรือ ผ้าเบญจศรีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหรือภูมิปัญญาโบราณแท้ๆ ของชาวจังหวัดศรีสะเกษอีกด้วย

เสนาะ วรรักษ์/รายงาน

ผบ.ตร. โต้เดือดยันไม่ใช่ลิเก ปมขายตำแหน่ง ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำ

ผบ.ตร. เปิดใจหลัง สตช. ตกเป็นหลุมระเบิด ยันตนไม่ใช่ลิเก ปมขายตำแหน่งตัวผู้พูดเคยทำ ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำ ย้อนถามยืนปฎิญาณตนผิดอะไร ไม่เห็นด้วย กมธ.ถ่ายทอดสด

ตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดใจครั้งแรก หลังช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีภาคสังคม ภาคประชาชนหลายส่วนโจมตีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนเป็นเหมือนหลุมระเบิด ระบุว่า ต้องยอมรับว่าเราทำงานใกล้ชิดกับกฎหมาย เรามีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายแน่นอนว่าอาจจะไปกระทบกระทั่งกับคนที่ไม่เห็นด้วยหรือเห็นต่างหรือกระทำผิด 

อาจมีคนใช้โอกาสนี้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่ได้แจกแจงรายละเอียด ยิ่งโจมตีจนทำให้ประชาชนผู้ฟังเชื่อไปตามนั้นโดยที่ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และตัดสินไปแล้วว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ดี

ส่วนที่มีบุคคลมากล่าวหาว่าตนมีคำพูด การกระทำเหมือนพระเอกลิเกที่แสดงต่อประชาชน เรื่องนี้ตนเป็นตำรวจ พ่อเป็นตำรวจ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นตำรวจ ถ้าจำความได้ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเล่นลิเก เล่นไม่เป็น ลิเกมีบทละครให้ผู้แสดงและให้ความสุขกับพี่น้องประชาชนที่มานั่งดู การเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเราใช้สมองในการทำงาน สั่งกำชับให้หน่วยปฏิบัติภายใน ทำในสิ่งที่ดี ที่ชอบ ที่ควร ตามกฎหมายและต้องดูแลพี่น้องประชาชน ตนไม่ใช่ตัวละครลิเก ไม่ใช่ผู้กำกับหนัง

บางคนที่คิดว่าตนเองกำลังเล่นลิเก หรือเล่นหนังอยู่ ผบ.ตร. ย้อนถามว่า ตัวคนพูดเองเป็นลิเกอยู่หรือเปล่า ผมยืนยันว่าทุกวินาทีผมคิดแต่เรื่องที่จะทำให้องค์กรดีขึ้น หากเจอหลุมระเบิดก็จะต้องพยายามทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเราเป็นหน่วยงานที่ยืนยันอย่างมั่นคงและต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีให้ได้

ส่วนที่หลายคนออกมาวิจารณ์ภาพตำรวจยืนปฏิญาณอุดมคติตำรวจหน้าเสาธงว่าเป็นการแก้ภาพลักษณ์ตำรวจที่ไม่ถูกจุด ตนเคยให้นโยบายปรับทัศนคติไปแล้วให้ตำรวจตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน ฉะนั้นการที่พวกเขาออกมายืนพูดข้อปฏบัติมันผิดอย่างไรส่วนตนกลับสนับสนุน เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ใครสั่งการ แต่อยู่ที่การกระทำ ซึ่งตำรวจที่ออกมาทำพวกเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร

ทั้งนี้เรื่องที่มีบุคคลระบบว่าองค์กรตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรม ตนหวังว่าตำรวจที่ทำงานอยู่ก็คงจะรู้สึกไม่ดี หลายหน่วยจึงต้องออกมาปฏิญาณตนออกมายืนยันตนเอง แต่ข้าราชการตำรวจคนใดที่มีพฤติกรรมแอบแฝงอยู่ถ้าใครมีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานปรากฏตนก็จะต้องดำเนินการถึงที่สุด

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เรียกรับผลประโยชน์จากการแต่งตั้ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวยืนยันว่า เรื่องรับผลประโยชน์ ปูอย่ากินเลือดปูอย่าเอาผลประโยชน์ที่เราจับกุมมาใช้กับตนเอง ตำรวจคนไหนเรียกรับเงินจากการแต่งตั้งตนพูดได้เลยว่าเป็นเรื่องที่โง่สุดๆ เพราะตัวเองกำชับมาตลอดว่าห้ามปฏิบัติอย่างนั้นเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะมีการลงโทษหนัก

ตนได้สอบถามโดยตรงกับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และรองผู้บัญชาการฯ ทั้งหมดยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทั้งนี้การที่เรียกมาไม่ได้หมายความว่าทำผิดแต่เรียกมาสืบทราบความจริง ตนได้กำชับแล้วว่าทุกคนต้องให้สัจจะวาจาให้คำมั่น ว่าจะไม่ทำเรื่องเหล่านี้เพราะว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียชั่วร้าย

เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ตาม หรือแม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นตนเองจะไม่มีการไว้หน้ากัน ประเด็นนี้ตนอยากฝากบอกว่า ใครที่พูดอย่าคิดว่าตัวเองทำ คนอื่นก็จะต้องทำ อย่าไปจินตนาการแบบนั้น แน่นอนว่าถ้าตำรวจคนไหนเคยทำก็จะรู้ขั้นตอน ตนไม่รู้ขั้นตอนเพราะตนไม่เคยทำในลักษณะใดๆ และตนเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ถ้าผู้บัญชาการภูธรภาค 8 คนปัจจุบันทำ แน่นอนว่าก็คงจะต้องโง่สุดๆเพราะตนก็ต้องมีหูเมตตา 

ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาจะโกหกหรือไม่พูดความจริง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่าจะไม่มีการละเว้นให้ใคร แม้แต่คนที่เป็นเพื่อนตัวเอง การที่จะตนจะลงโทษ ข้าราชการตามโซเชียลเป็นไปไม่ได้ เราต้องหนักแน่นในหลักการ พร้อมยืนยันว่าผู้บัญชาการภาค 8 จะยังอยูที่เดิมไม่มีการโยกย้ายตามกระแสข่าว

ในประเด็นเรื่องการแต่งตั้งส่วนที่มีผู้กล่าวหาว่า พล.ต.อ. พล.ต.ท. และ ภรรยาน้อย ของ ก.ตร. บางท่าน เรียกรับผลประโยชน์ ในวาระที่จะถึงนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการกล่าวหา หากใครมีพยานหลักฐานให้นำมาแสดง หากเผยแพร่ไปลอยๆคนก็จะเชื่อโดยไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามขอให้ผู้ที่ให้ข้อมูลนำหลักฐานมาแสดง

เรื่องตำรวจกว่า 200 นายที่อาจจะข้องเกี่ยวกับเว็บพนันที่มีอดีต ผบ.ตร. อาจเข้าไปเกี่ยวข้อง เรื่องดังกล่าวอยู่ในคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) หน่วยงานที่เกิดขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติตำรว ไม่ได้เกี่ยวกับตำรวจ ฉะนั้นเรื่องต่างๆที่เข้าไปในก.ร.ตร. จะไม่เกี่ยวกับผบ.ตร. แต่หากผลสอบสวนแล้วเสร็จ ตร. จะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโทษทัณฑ์

ส่วนการที่ผบ.ตร.ออกมาแถลงข่าววันนี้หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดกระแสสังคมมากว่า 2 สัปดาห์ จะช้าไปหรือไม่จนทำให้สังคมสับสนและอาจยากต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้องค์กรแล้ว ผบ.ตร. ระบุว่า การชี้แจงไม่ได้เร็วหรือช้า รวมทั้งความเชื่อแต่ละคนไม่สามารถบังคับกันได้ การที่ออกมาชี้แจงวันนี้เป็นการคลายข้อสงสัยอย่างมุ่งมั่นของตนในฐานะหัวหน้าหน่วย

ส่วนที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร จะเชิญผบ.ตร. ให้ชี้แจงวันที่ 26 พ.ย. หากตนเองไม่ติดภารกิจจะไปด้วยตนเองแต่หากติดภารกิจจะมอบหมาย แต่อยากฝากถึงทั้งองค์ประชุมกรรมาธิการ และตำรวจที่ไปชี้แจง ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว แต่จุดประสงค์ที่เชิญคือการประชุมฉะนั้นเรื่องการเผยปพร่หรือถ่ายทอดสด ตนไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งที่พูดในที่ประชุมค่อนข้างเหม่ข้อกฎหมาย เนื่องจากบางเรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม

ส่วนเรื่องที่มีภาพ ผบ.ตร. ถ่ายรูปกับผู้ต้องหาคดีเว็บพนัน และอื่นๆ เรื่องนี้ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ตนมองว่าตำรวจเป็นคนสาธารณธไม่ทราบว่าใครร้าย หรือ ดี พร้อมย้อนถามว่าถ่ายภาพคู่กันเฉยๆ ผิดหรือไม่ หากจะผิดมองว่าต้องมีพฤติกรรมอะไรที่แสดงถึงการเกื้อหนุน มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีการกินเลี้ยง มีการต่อยอดใกล้ชิดกันบ่อย สิ่งนั้นถึงจะเรียกว่าผิด

“เทคบอล”มีลุ้นกวาด5เหรียญซีเกมส์ ได้กำลังใจ “ดร.ณัฎฐ์” มาเยี่ยม

“เทคบอล” ยันกวาด 5 เหรียญทอง “คิกบ็อกซิ่ง” ไม่น้อยหน้าจอง 5 ทอง หลังได้กำลังใจจาก ดร.ณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬาวุฒิสภา , ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการด้านการกีฬา วุฒิสภา และประธานมูลนิธิกองทุนพัฒนาการกีฬา ก่อนลุยศึกซีเกมส์ครั้งที่ 33

 เมื่อวันที่ 18 พ.ย.68 ที่ ชั้น 3 ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา ภายใน กกท. ดร.ณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬาวุฒิสภา , ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการด้านการกีฬา วุฒิสภา และประธานมูลนิธิกองทุนพัฒนาการกีฬา และกรรมการบริหารมูลนิธิเดินทางมาให้กำลังใจนักกีฬาวอลเทคบอลทีมชาติไทย ชุดสู้ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 33 โดยมีพลตรีหญิง ปรียาภัสสร์ จรัลพงศ์ เลขาธิการสมาคมกีฬาเทคบอลแห่งประเทศไทย นำคณะผู้ฝึกสอน และนักกีฬาเทคบอลทีมชาติไทยให้การต้อนรับ

โดย ดร.ณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ มอบกระเช้าผลไม้และเงินสนับสนุนการฝึกซ้อมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่นักกีฬาจำนวน 20,000 บาท พร้อมให้โอวาทแก่นักกีฬาเทคบอลทีมชาติไทย ให้ประสบความสำเร็จคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5 เหรียญทอง ที่สำคัญนักกีฬาทุกคนขอให้อยู่ในระเบียบวินัยเชื่อฟังผู้ฝึกสอนและดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์ที่สุดกับมหกรรมกีฬาซีเกมส์ที่เหลือเวลาอีกเพียง 20 วัน

จากนั้นคณะของ ดร.ณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ เดินทางไปเยี่ยมชมการฝึกซ้อมของนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยที่ เจริญทองยิมส์ของอดีตยอดมวยไทย เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง ที่ปัจจุบันรับหน้าที่ผู้ฝึกสอนให้กับนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยด้วยแต่เจ้าตัวติดภารกิจอยู่ประเทศจีน โดยมีนายธนดล ลิกค์ ลูกชายนายไผ่ ลิกค์ นายกสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย , เรืออากาศตรีหญิงทิรา บุญาณี กิตติกรณ์ เลขาธิการสมาคมฯ , ผู้ฝึกสอนและนักกีฬาให้การต้อนรับ จากนั้น ดร.ณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ มอบกระเช้าผลไม้พร้อมเงินสดสนับสนุนการฝึกซ้อมให้นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยจำนวน 20,000 บาท

 พร้อมกล่าวชื่นชมการทำงานอย่างหนักของผู้บริหารสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งฯ , ผู้ฝึกสอน และนักกีฬาทุกคนที่ต่างเสียสละเวลา และทุ่มเทในการทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทย ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ที่มีเวลาเหลือเพียง 20 วัน ซึ่งตนเองและกรรมการบริหารมูลนิธิกองทุนพัฒนาการกีฬา พร้อมเป็นอีกหนึ่งพลังใจให้นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยทุกคนบรรลุเป้าหมาย 5 เหรียญทองที่ตั้งไว้ พร้อมกล่าวเชิญชวนแฟนกีฬาชาวไทยไปร่วมชมร่วมเชียร์นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทย หรือติดตามการถ่ายทอดสดผ่านทางทีวีก็จะช่วยเป็นกำลังใจที่ดีให้กับน้องๆนักกีฬาและสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทยเป็นอย่างดี ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9 – 20 ธ.ค.68

บช.น. ยกระดับเข้มวินัยจราจรรับเทศกาลปีใหม่ตั้งด่านแอลกอฮอล์–ควันดำ

บช.น. ลุยเข้มวินัยจราจรรับปีใหม่ 1 ธ.ค. ใช้ข้อมูลจุดเสี่ยง–ตั้งด่านแอลกอฮอล์–ควันดำ กรมขนส่งฯ ร่วมเอาผิดเข้ม เล็งคุมเข้มผู้ทำผิดซ้ำ

กองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินหน้า กวดขันวินัยจราจรรับเทศกาลปีใหม่ โดย พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รอง ผบช.น. เป็นประธานประชุมบริหารจราจร เพื่อขับเคลื่อนมาตรการเข้ม เริ่มตั้งแต่ 1 ธันวาคมนี้ ตามนโยบาย ผบ.ตร. มุ่งลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยบนถนน

บช.น. เตรียมบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ใช้ข้อมูลจากระบบ PRS วิเคราะห์จุดเสี่ยง จุดเกิดอุบัติเหตุ และพฤติกรรมฝ่าฝืนใน 10 ข้อหาหลัก พร้อมเพิ่มการตรวจในพื้นที่ที่มีการกระทำผิด และเกิดอุบัติเหตุสูง 

ตำรวจนครบาลยังจัดกำลังในจุดสำคัญช่วงเร่งด่วน สำรวจพื้นที่น้ำท่วม–รถติด ปรับช่องทางเดินรถ และจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว ดูแลเหตุฉุกเฉิน พร้อมประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยงเมื่อมีงานเฉลิมฉลอง

ด้านมลพิษ บชน.จะร่วมกรมการขนส่งทางบก ตั้งจุดตรวจควันดำ–เสียงดัง หากพบผิดกฎหมายจะดำเนินคดีทันที และอาจสั่งระงับใช้รถชั่วคราว ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่

พล.ต.ต.ธวัช กล่าวถึง ด้านการจราจร และข้อหาที่พบมาก จะเน้นเป็นพิเศษ ได้แก่ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง, ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่หยุดรถให้คนข้าม รวมถึงผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาต นอกจากนี้ ตำรวจจะเพิ่มจุดตรวจแอลกอฮอล์ในพื้นที่สถานบันเทิง และจุดจัดเทศกาล พร้อมขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยร่วมกัน บนท้องถนน

.

“อัจฉริยะ” ยื่นหลักฐานเด็ด! แฉตำรวจ 3 หน่วยงานเอี่ยวเว็บพนัน-ซื้อขายตำแหน่ง

“อัจฉริยะ” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม บุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยื่นหลักฐานสอบตำรวจ 3 หน่วยงาน พัวพันเส้นเงินเว็บพนันและเรียกรับผลประโยชน์ มั่นใจหลักฐาน “น็อค สตช.” เตรียมแฉขบวนการซื้อขายตำแหน่งเต็มรูปแบบต่อหน้ากรรมาธิการตำรวจ 26 พ.ย. นี้ โดยพาดพิงถึง “พลตำรวจเอก-คุณหญิง-ภรรยาน้อย ก.ตร.” เกี่ยวข้อง เชื่อมั่นทำให้การแต่งตั้งระดับรองผู้การฯ-สารวัตร 28 พ.ย. ต้องสะเทือนหรือถูกระงับ ยืนยันทำโดยไร้ใบสั่ง พร้อมรับผิดชอบทุกอย่างเอง

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อยื่นหนังสือและหลักฐานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอให้ตรวจสอบตำรวจ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันและการเรียกรับผลประโยชน์

นายอัจฉริยะ ระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) โดยพาดพิงถึงนายตำรวจ 3 ราย คือ:

 – รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 มีชื่อรับเงินจากเว็บพนันออนไลน์เป็นจำนวน 2 ล้านบาท

 – พันตำรวจเอก (พ.ต.อ.) อดีตผู้กำกับการกลุ่มงานสอบสวนภาค 2 ในสมัยปฏิบัติการชุดของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ มีการทำเอกสารราชการปลอมเพื่ออายัดบัญชีเว็บพนัน ก่อนจะเรียก “ตบทรัพย์” 50% ของเงินในบัญชี

 – รองสารวัตร กองกำกับการ 1 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.): อายัดบัญชีเว็บพนันออนไลน์ และเรียกรับผลประโยชน์เป็นเงิน รายละ 100,000 บาท มากกว่า 300 เคส

นายอัจฉริยะเรียกร้องให้ ผบ.ตร. ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและวินัยร้ายแรง พร้อมสั่งย้ายนายตำรวจที่ถูกกล่าวหาทั้งหมดมาประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลโยกย้ายตำแหน่ง

เมื่อถูกถามถึงการพัวพันของผู้บังคับบัญชาในคดีของรองสารวัตร สอท. นายอัจฉริยะยังไม่ขอเปิดเผย แต่ระบุว่าเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกเรียกรับ ไม่น่าเชื่อว่ารองสารวัตรเพียงคนเดียวจะสามารถทำได้

นายอัจฉริยะยังกล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกประชุมด่วนที่ สตช. เมื่อวานนี้ (วันที่ 17 พฤศจิกายน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) เรียกรับผลประโยชน์จากการแต่งตั้งโยกย้าย โดยยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง อ้างว่ารู้จักกับ พล.ต.ท. รายดังกล่าวเป็นอย่างดี และทราบว่ามีการ ขอ “ขึ้นราคาเก็บส่วย” เพิ่มขึ้น 20-30% จนทำให้ตำรวจในพื้นที่อึดอัด ก่อนจะมีข่าวเรียกรับเงินในการแต่งตั้งเป็นเงินสูงถึง 8 ล้านบาท

ประธานชมรมฯ ย้ำว่า ตนเองมีข้อมูลและหลักฐานที่จะ “น็อคสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ได้อย่างแน่นอน โดยในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ จะนำหลักฐานทั้งหมดไปเปิดเผยต่อที่ประชุมกรรมาธิการตำรวจ เพื่อเปิดโปงขบวนการซื้อขายตำแหน่งให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับรู้

หลักฐานดังกล่าวจะชี้ชัดถึงผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ ระดับพลตำรวจเอก, พลตำรวจโท, คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และ “คุณหญิง” โดยเฉพาะเส้นทางการเงินที่ระบุว่า การขึ้นตำแหน่งจากรองผู้กำกับการไปเป็นผู้กำกับการ ต้องเสียเงิน 5-7 ล้านบาท และสามารถเลือกพื้นที่ “ทำเลทอง” ได้ ซึ่งขบวนการนี้มีมาตั้งแต่ปี 2567 จนถึงปัจจุบัน

นายอัจฉริยะ เชื่อมั่นว่า การเปิดเผยหลักฐานในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบให้การแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บังคับการถึงสารวัตรในวาระประจำปี 2568 ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ อาจถูกระงับ หรือ “ล้มกระดาน” อย่างแน่นอน

นายอัจฉริยะยืนยันว่า การออกมาเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ ไม่มี “ใบสั่ง” จากฝ่ายใด และพร้อมรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น พร้อมระบุถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายตำแหน่งเพิ่มเติมว่า ประกอบด้วย

 – พลตำรวจเอก ในราชการ

 – พลตำรวจโท (อดีตตำรวจ) ปัจจุบันเป็นประธานการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนทั่วประเทศ

 – ภรรยาน้อยของ ก.ตร. ที่ไม่ใช่ อดีตตำรวจ แต่มีพฤติกรรมแอบอ้างชื่อสามีในการซื้อขายตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม นายอัจฉริยะปฏิเสธว่าไม่เคยรับเงินจากนายตำรวจระดับผู้บัญชาการ เพื่อแลกกับการงดเว้นการเปิดเผยข้อมูลการทุจริตการแต่งตั้งโยกย้ายแต่อย่างใด