ผู้ว่าฯฉะเชิงเทรา-รองผู้ว่าฯเชิดชู“ลุงสมคิด”โชว์เฟอร์ขับตุ๊กตุ๊ก คนดีศรีเมืองแปดริ้ว

หลังจากการจัดกิจกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา วิ่งไปเที่ยวไปกับแม่บ้านมหาดไทย นายสันติ รังษิรุจิ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา รู้สึกประทับใจกับลุงผู้ขับรถตุ๊กๆพานั่งเที่ยวชมเมืองแปดริ้วจึงพร้อมด้วยนางสาวฉัตรประอร นิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา มอบลงนามในภาพถ่ายที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกมอบให้กับ นายสมคิด ทิพย์พิทักษ์ หรือ “ลุงสมคิด” เจ้าของรถตุ๊กตุ๊กเพื่อแสดงความขอบคุณในความร่วมมือและน้ำใจไมตรี ที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม “วิ่งไป เที่ยวไป กับแม่บ้านมหาดไทย จังหวัดฉะเชิงเทรา”

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ซึ่งลุงสมคิด” เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศแห่งรอยยิ้มและความประทับใจให้กับผู้ร่วมกิจกรรม ผ่านการให้บริการรถตุ๊กตุ๊กนำชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเขตอำเภอเมือง

ขณะที่ลุงสมคิด กล่าวว่า “รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับมอบภาพถ่ายรถตุ๊กๆพร้อมลายเซ็นต์จากทั้งสองท่านในครั้งนี้   ขับรถตุ๊ก ตุ๊กมา 40 กว่าปี ยังไม่เคยมี“ผู้ว่าราชการจังหวัดนั่งรถคันนี้เลย”  ตนตั้งใจให้บริการนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดฉะเชิงเทราต่อไปอีกด้วย

**ชวลิต  ด้วงเงิน/ทีมข่าวฉะเชิงเทรา**

วช. ผนึก ม.นเรศวร ลุยขับเคลื่อน “พืชสวนไทยก้าวไกลด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและ AI” สู่อนาคตเกษตรอัจฉริยะ

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร และสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย จัด การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติ ครั้งที่ 22 (The 22nd National Horticultural Congress 2025)  ระหว่างวันที่​  6​ – 7​ พฤศจิกายน​ 2568

ภายใต้แนวคิด “พืชสวนไทยก้าวไกลด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและ AI” เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพืชสวนไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานชีวภาพ (BCG Model)  และเกษตรอัจฉริยะในยุคดิจิทัล  โดยการสนับสนุน​ของ​ศูนย์รวม​  5​  ศูนย์​  ประกอบด้วย​ 1.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตไม้ดอกไม้ประดับ

2.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลไม้

3.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเมล็ดพันธุ์ผักของประเทศไทย

4.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพจุลินทรีย์เพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร​ และ

5. ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร

ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี

ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรหญิง กรกนก อิงคนินันท์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร, คุณกนกรัตน์ สิทธิพจน์ รักษาการนายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย และ รองศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลไม้ เข้าร่วมในพิธี

ขับเคลื่อนงานวิจัยพืชสวนไทยด้วยเทคโนโลยีแม่นยำและปัญญาประดิษฐ์

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่า การประชุมในปีนี้ วช. มุ่งส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรมด้านพืชสวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลงานวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ทั้งในมิติวิชาการ เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และการใช้ AI เกษตร (Agricultural AI) ที่ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ผอ.วช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ยังเป็นเวทีสำคัญสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ เกษตรกร และผู้ประกอบการได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และต่อยอดนวัตกรรม เพื่อยกระดับ อุตสาหกรรมพืชสวนไทย ให้มีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ

เวทีวิชาการแห่งชาติรวมผลงานวิจัยกว่า 130 ชิ้น

ศาสตราจารย์ ดร.กรกนก อิงคนินันท์ กล่าวถึงรายละเอียดของงานว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6–7 พฤศจิกายน 2568 โดยมีผลงานวิจัยที่นำเสนอรวมกว่า 134 ชิ้น ครอบคลุม 6 สาขาหลัก ได้แก่ ไม้ผล, ไม้ดอกไม้ประดับ, พืชผัก, เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว, เทคโนโลยีชีวภาพ และเกษตรอัจฉริยะ

นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษจาก ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ที่มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ การใช้ระบบเซนเซอร์ เกษตรข้อมูล (Data-driven Farming) และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคพืชสวน

สมาคมพืชสวนฯ หนุนไทยเป็นศูนย์กลางความรู้พืชสวนอาเซียน

ขณะที่  คุณกนกรัตน์ สิทธิพจน์ รักษาการนายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านพืชสวนของไทย โดยสมาคมมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านพืชสวนในภูมิภาคอาเซียน” ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีและ AI เข้ากับการผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทย

พืชสวนไทยยุคใหม่ ใช้นวัตกรรมลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างความยั่งยืน
    
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี 2544 และได้รับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมงานวิจัยด้านพืชสวนให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุคใหม่

ปีนี้ภายใต้หัวข้อ “พืชสวนก้าวไกลด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและ AI” มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเกษตร (Smart Sensor), ระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือน และหุ่นยนต์เก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดโลก

สร้างเครือข่ายนักวิจัย-เกษตรกร-ภาคเอกชน เพื่ออนาคตพืชสวนยั่งยืน
     
การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติ ครั้งที่ 22 จึงไม่เพียงเป็นเวทีทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัย เกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน “พืชสวนไทยสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและ AI” สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (SDGs) และยุทธศาสตร์ BCG Economy Model

ดีอีเอส-ตำรวจบุกทลายเครือข่ายค้าข้อมูลปชช.พบรั่วไหลกว่า 9 ล้านรายชื่อ

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับ ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แถลงผลการปฏิบัติการครั้งสำคัญในชื่อ “Cut Down Scam – สยบเครือข่ายค้าข้อมูลส่วนบุคคล” โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย และตรวจพบข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่รั่วไหลและถูกนำไปซื้อขายในตลาดมืดรวมกว่า 9 ล้านรายชื่อ ซึ่งเชื่อมโยงกับคดีฉ้อโกงออนไลน์หลายพันคดี

ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ย.68 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้าตรวจค้นเป้าหมายรวม 8 จุด ใน 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย, อุดรธานี, สระบุรี, ปทุมธานี, สมุทรสาคร, ประจวบคีรีขันธ์, ชลบุรี และภูเก็ต

ผลการตรวจค้นนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาได้รวม 6 คน ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นผู้เก็บรวบรวม ครอบครอง หรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล…เพื่อนำไปใช้หรือให้บุคคลอื่นใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด กระทำโดยการซื้อ เสนอซื้อ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยน เสนอแลกเปลี่ยน หรือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย” ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มาตรา 11/2 ของกลางที่ตรวจยึดได้ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง , อุปกรณ์สำรองข้อมูล 9 เครื่อง , สมุดบัญชีธนาคาร 7 บัญชี และสิ่งของอื่น ๆ

การสืบสวนขยายผลจากปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์, พนันออนไลน์, หลอกลงทุน) ซึ่งคนร้ายมักทราบข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายอย่างละเอียด ทำให้เชื่อว่ามีการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้น

กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) สืบทราบพบว่ามีการประกาศขายข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “การตลาดสายเทา” ในราคาประมาณ 3,000-5,000 บาท ต่อ 100,000 รายชื่อ โดยข้อมูลประกอบด้วย ชื่อ-สกุล, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, บัญชีไลน์, บัญชีธนาคาร ฯลฯ

เจ้าหน้าที่ได้ทำการล่อซื้อข้อมูลจากสมาชิกเพจ 7 ราย พบว่าเป็นข้อมูลจริงรวมกว่า 2.3 ล้านรายชื่อ เมื่อตรวจสอบรายชื่อที่ได้จากการล่อซื้อ พบว่าเป็นผู้เสียหายที่เคยแจ้งความคดีหลอกลวงออนไลน์ผ่านระบบ Thai police online แล้วถึง 4,630 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 298 ล้านบาท

จากการสอบถาม ผู้ต้องหาสารภาพว่าข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากกลุ่มที่ลักลอบทำ เว็บพนันออนไลน์ และ แอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์ ผิดกฎหมาย ก่อนนำมาขายต่อในตลาดมืดออนไลน์ และจากการตรวจสอบของกลางเพิ่มเติม พบข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บไว้อีกกว่า 6 ล้านรายชื่อ รวมข้อมูลที่รั่วไหลทั้งหมดที่พบในปฏิบัติการนี้คือ ประมาณ 9 ล้านรายชื่อ

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนภัยให้ประชาชน เพิ่มความระมัดระวัง ในการให้ข้อมูลส่วนบุคคลผ่านช่องทางออนไลน์ และขอให้ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ของผู้ขอข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือบริษัทเอกชน เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ในลักษณะที่ผิดกฎหมาย บุคคลที่ใช้ เก็บรวบรวม ซื้อ หรือจำหน่าย ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามกฎหมาย

สำหรับประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป. โทร 093-318-9090 หรือ พ.ต.ท.กิตติพงศ์ ศิลาพันธุ์ รอง ผกก.4 บก.ป. โทร 063-391-9153

ตร. 191 ทลายแก๊ง “บัญชีม้า” กลางห้างดังชลบุรี! รวบ 5 ผู้ต้องหา ยึดเงินสดกว่า 1.2 ล้านบาท

ตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) ขยายผลการสืบสวนคดีอาชญากรรมออนไลน์ บุกจับเครือข่ายรับจ้างเปิดบัญชีม้าและรับจ้างถอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงออนไลน์ได้ 5 ราย ขณะนัดหมายถอนเงินกลางห้างสรรพสินค้าดังใน จ.ชลบุรี ยึดเงินสดได้กว่า 1.2 ล้านบาท คาดเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงิน

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนของ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (บก.สปพ.) หรือ ตำรวจ 191 ดำเนินการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ชุดสืบสวนได้รับเบาะแสจากสายลับว่ามีกลุ่มบุคคลลักลอบ ซื้อ-ขายบัญชีธนาคาร หรือ บัญชีม้า ผ่านทางเฟซบุ๊ก เพื่อใช้รับ-โอนเงินที่ได้จากการกระทำผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่จึงวางแผนให้สายลับแฝงตัวเข้าไปติดต่อกับกลุ่มผู้ว่าจ้าง และขยายผลติดตามจนทราบว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัยได้ นัดหมายถอนเงิน ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 17.30 น.

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 ราย เป็นหญิง 1 ราย คือ
– น.ส.จิราพน อายุ 37 ปี และชาย 4 ราย คือ – นายอินทร (25 ปี)
– นายพัชรฐกร (62 ปี)
– นายศุภชัย (42 ปี) – นายชล (38 ปี)

พร้อมกันนี้ ได้ทำการตรวจยึดของกลางจำนวนมาก ประกอบด้วย
– เงินสดกว่า 1,200,000 บาท
– สมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็มหลายรายการ
– โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร

เบื้องต้นตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดเป็น เครือข่ายซื้อ–ขายบัญชีม้าออนไลน์ ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มฟอกเงินและหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต

เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เสม็ด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และอยู่ระหว่างการขยายผลสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการรายอื่นต่อไป

เดือดร้อนหนัก!“ชุมชนหน้าวัดบางหลวง”ต้องใช้แพโฟมเข้าออกบ้านหลังจมบาดาล3เดือน

“ชุมชนหน้าวัดบางหลวง”อำเภอเมืองปทุมธานีจมบาดาลนาน3เดือน ชาวบ้านขอบคุณนายกแจ๊สแจกแพโฟม ใช้เดินทางเข้าออกบ้าน

เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดปทุมธานี ยังต้องติตตามสถานการณ์  หลังเขื่อนเจ้าพระยา ยังคงการะบายน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่  2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ติดต่อกัน ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา และคลองสาขาต่างๆ มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น โดยพบว่าชุมชนหน้าวัดบางหลวง ม.4 ต.บ้านฉาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี น้ำท่วมสูง ได้รับความเดือดร้อน เพราะเป็นชุมชนติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ด้าน นางสาวอุบล ผลละออ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลบ้านฉาง เปิดเผยว่า ชุมชนหน้าวัดบางหลวง มีชาวบ้านกว่า 150 หลังคาเรือนอาศัย ประชาชนทีมีบ้านอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาและบ้านริมคลองบางหลวง ต้องใช้แพโฟมและเรือมาใช้ในการสัญจรเข้าออกบ้านแล้วหลังปริมาณน้ำสูงขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งบ้านของตนเอง น้ำได้ท่วมเข้าไปในบ้านหมดแล้ว ท่วมเกือบถึงที่นอน คาดว่าถ้าเขื่อนปล่อยน้ำมามากกว่านี้คงต้องถึงที่นอนแน่ แต่ก็ต้องทำใจ เพราะท่วมแบบนี้มาทุกปี แต่ปีนี้น้ำท่วมมากและนานกว่าทุกปี

นางเล็ก แผนรัก อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/6 หมู่4 ตำบลบ้านฉาง บอกว่าที่บ้านถูกน้ำท่วมมาตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม ระดับน้ำเหลืออีกประมาณ 10 ซม. น้ำจะท่วมถึงพื้นบ้านชั้น 2 ต้องเตรียมที่จะขนของหนีน้ำ เตรียมหาซื้ออุปกรณ์ยกพื้นบ้าน ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่าย ต้องขอขอบคุณรัฐบาล ที่ให้เงินเยี่ยวยาน้ำท่วมมาแล้ว9,000บาทพอที่จะใช้จ่ายซ่อมแซมบ้านได้ ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องพายแพโฟมเข้าออกบ้าน ไม่อย่างนั้น ก็ต้องเดินสะพานไม้ที่เทศบาลตำบลบางหลวงทำไว้ให้  สุขภาพของตนไม่ค่อยดี มีโรคประจำตัวหลายโรค เดินสะพานไม้ก็กลัวจะวูบ

ทุกวันนี้ต้องคอยดูระดับน้ำที่ขึ้นทุกวัน อยากให้น้ำลดลงเร็วๆ จะได้บรรเทาความเดือดร้อนไปบ้าง เพราะบริเวณนี้น้ำท่วมก่อนและท่วมนานกว่าน้ำจะลง แต่ยังดีที่  พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกอบจ.ปทุมธานี นำแผ่นโฟมอันใหญ่มาแจก สามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย ขนของก็ได้ ใช้สัญจรไปมาก็ได้ และยังเป็นที่นอนได้ถ้าน้ำท่วมขึ้นมามากจนไม่สามรถนอนได้ก็ใช้แผ่นโฟมนี่แหละเป็นที่นอน ต้องขอบคุณนายกแจ๊สมากๆที่ดูแลชาวบ้านเป็นอย่างดี นางเล็กกล่าว

ตำรวจสอบสวนกลางสกัดจับรถขน 15 ชาวจีนคาดเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ตำรวจสอบสวนกลางสกัดรถดัดแปลงขน 15 ต่างด้าวกลางถนนสายเอเชีย แอบซุกชาวจีน คาดเอี่ยวแก๊งคอลเซนเตอร์ ตรวจสอบคนขับพบยาเสพติดฯ อีกจำนวนหนึ่ง

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ Anti Cyber Scam Center เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.1 บก.ทล. ร่วมกันจับกุม
1.นายบุญช่วยฯ สัญชาติไทย ภูมิลำเนา จ.ตาก ในข้อหารู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ  เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้น จากการจับกุม และมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน(ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต
2. ผู้ถูกจับที่ 2-16 (หลบหนีเข้าเมืองสัญชาติ เมียนมาร์ รวม 14 ราย ชาย 5 หญิง 9 คน สัญชาติ จีน 1 ราย  ชาย 1 คน) ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
 
สถานที่จับกุม บริเวณถนนสายเอเชีย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พฤติการณ์ ตามนโยบายการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ของ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ Anti Cyber Scam Center โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช เป็นหัวหน้าศูนย์ ได้มีนโยบายให้ ตำรวจทางหลวง ทำการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่อาจใช้เส้นทางบนถนนหลวง เป็นเส้นทางในการหลบหนี หรือเป็นทางผ่านในการเคลื่อนย้ายฐานที่ตั้ง หลังมีการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างจริงจัง

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สืบทราบว่าจะมีขบวนการขนแรงงานต่างด้าวหลบหนี เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายผ่านเข้ามาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงเฝ้าติดตามพฤติกรรมของรถยนต์กระบะต้องสงสัย เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนสกัดรถยนต์คันดังกล่าว

จนกระทั่งมีรถยนต์ต้องสงสัย มีลักษณะกระจกทึบ มีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าปกติ จึงได้สกัดกั้นเละเข้าตรวจสอบ พบนายบุญช่วยฯ แสดงตัวเป็นผู้ขับขี่ และมีคนต่างด้าว นั่งโดยสารอัดมาเต็มในคันรถ จำนวน 10 ราย และท้ายที่กระบะ มีการดัดแปลงนำแผ่นไม้อัดมาวางพาดเพื่อวางสัมภาระที่ด้านบน เพื่อให้ด้านล่างมีช่องสำหรับซุกซ่อนคนต่างด้าวอีก จำนวน 5 ราย

จากการตรวจสอบพบเป็นคนต่างด้าว สัญชาติเมียนมาร์ 14 ราย และสัญชาติจีน 1 ราย ที่ปลอมตัวแต่งกาย แฝงตัวมากับชาวเมียนมาร์ ทั้งหมดไม่มีเอกสารประจำตัวมาแสดง จึงคาดว่าเป็นแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย และยังได้ตรวจสอบภายในรถยนต์ พบมียาบ้า 34 เม็ด และยาไอช์ 0.3 กรัม ซึ่งนายนายบุญช่วยฯ ผู้ขับขี่ รับว่าเป็นของตนจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง จึงได้ทำการตรวจยึดรถยนต์ และยาเสพติดไว้เป็นของกลาง ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบถามปากคำนายบุญช่วยฯ ผู้ขับขี่เบื้องต้นให้การว่า ตนเคยถูกจับในคดีลักษณะเดียวกันนี้ถึง 3 ครั้งในรอบปี และพึ่งได้รับการประกันตัวในชั้นศาล เป็นเงิน 50,000 บาท ประกอบกับว่างงานจึงได้ติดต่อนายจ๋อฯ นายหน้า เพื่อขอรับงานวิ่งคนต่างด้าวได้ค่าจ้างจำนวน 500 บาท ต่อ 1 คน ส่วนผู้ต้องหาชาวเมียนมาร์ และชาวจีน ให้การยอมรับว่า ได้ลักลอบนั่งเรือจากฝั่งเมียนมา อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อจะเข้ามาหางานทำงานในประเทศไทย

โดยชาวเมียนมาเสียค่าใช้จ่ายให้กับนายหน้าจำนวนเงิน 20,000 บาทต่อคน และชาวจีนเสียค่าใช้จ่ายให้กับนายหน้าจำนวนเงิน 130,000 บาท โดยผู้ต้องหาชาวจีนมีหลักฐานน่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือสแกมเมอร์ ที่ถูกทางการเมียนมาร์กวาดล้าง จึงจำเป็นต้องหลบหนีเข้ามาโดยผิดกฎหมาย

รอบสองหนักกว่า น้ำท่วมเชียงรากใหญ่-ชาวบ้านต้องใช้เรือสัญจร

วิกฤตเชียงรากใหญ่! น้ำท่วมรอบสองหนักกว่าเดิมสูงกว่า 1.5 เมตร ชาวบ้านต้องใช้เรือสัญจร ขณะที่เทศบาลเตรียมพร้อมรับมือน้ำล้นถนน ชาวบ้านครวญแช่น้ำมา 3 เดือนแล้ว

เมื่อเวลา 09.30น.วันที่ 7 พ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับปัญหาอุทกภัยหลังเขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำเพิ่มอยู่ที่2700ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่นอกแนวกั้นน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า

ที่บริเวณหมู่ที่7 ต.เชียงรากใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี พบบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ริมน้ำเจ้าพระยาถูกน้ำในน้ำไหลเข้าท่วมสูงกว่า1.50เมตร โดยที่ชุมชนบ้านท้องคุ้ง ชาวบ้านต้องใช้เรือพายสัญจรเข้าออกบ้าน เพื่อมาขึ้นรถในสถานที่ๆปลอดภัย  ท่ามกลางกระแสน้ำเจ้าพระยาที่ไหลเชี่ยวกราด

ด้านนางไพร จากอุไร อายุ59ปี ชาวบ้านหมู่ที่7 ต.เชียงรากใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า  บ้านตนเองได้รับความเดือดร้อนจากน้ำในแม่น้ำล้นตลิ่งตั้งแต่เดือนกันยายน ที่ผ่านมาและนี่เป็นรอบ2 ที่ไหลเข้าท่วมบ้าน ปีนี้น้ำมากกว่าปีที่แล้วทำให้ต้องใช้เรือในการสัญจรเข้าออกบ้านไปที่ที่สูงกว่า โดยลูกอีกคนต้องไปพักสถานที่แห่งอื่นเพราะพายเรือไม่เป็นและจะลำบากในการสัญจร

ทางด้านนายเสวก ประเสริฐสุข  นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเชียงรากใหญ่ เปิดเผยว่า ในเขตพื้นที่รับผิดชอบมีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเดือดร้อน205หลังคาเรือน โดยครั้งนี้เป็นระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นครั้งที่2ของปี โดยครั้งแรกน้ำลดลงแล้วชาวบ้านเริ่มทำความสะอาดบ้านแล้วนึกว่าน้ำจะลดแต่ก็ไม่ลดกลับมีน้ำเพิ่มขึ้นมาอีก

หากเขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำเพิ่มอีกต้องเตรียมตั้งแนวกระสอบทรายกั้นน้ำอย่างแน่นอนเพราะน้ำอาจจะท่วมถนนที่ใช้เป็นแนวกั้นน้ำเข้าพื้นที่ชั้นใน ในส่วนของเทศบาลตำบลเชียงรากใหญ่ ได้มีการเตรียมพร้อมด้านกระสอบบรรจุทราย ทราย บุคลากร รถบรรทุกในการพร้อมช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้ทันที

ท่องเที่ยว-ททท.อัดแคมเปญ Amazing Thailand Passport Privileges รับไฮซีซั่น

การเดินทางทุกครั้งเริ่มต้นด้วย “ความรู้สึก” และสิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวได้รับเมื่อมาถึงประเทศไทย คือ “รอยยิ้ม” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยมิตรไมตรี ความอบอุ่น และความประทับใจ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยที่ยากจะลืม

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำโดยนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการ “Amazing Thailand Passport Privileges” ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี นางประหนึ่งนุช บำเพ็ญสมัย ที่ปรึกษา 10 ฝ่ายบริการลูกค้า สายปฏิบัติการ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และพลตำรวจตรี คธาธร คำเที่ยง ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ร่วมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ พร้อมมอบ “AMAZING BAG” ของขวัญแห่งความทรงจำที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทย

“Amazing Thailand Passport Privileges” จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “Privilege Beyond Expectation” ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดเชิงรุกของ ททท. ที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางเหนือความคาดหมาย
และกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงไฮซีซั่น แนวทางนี้สะท้อนถึงทิศทางใหม่ของ ททท. ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “Value over Volume” โดยมุ่งเน้นการสร้าง “คุณภาพและคุณค่า” มากกว่าจำนวนผู้เดินทางเพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และคงความเป็น “Quality Destination” ของเอเชีย

ภายใต้กิจกรรมนี้ นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสเสน่ห์ของไทยผ่าน “Amazing Bag” ซึ่งบรรจุของที่ระลึกจากชุมชนทั่วประเทศ ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากแนวคิด “5 Must Do in Thailand”
• Must Taste: มะม่วงอบแห้งรสหวานละมุนจากผลไม้ไทย
•Must Try: พวงกุญแจนักมวยไทย สัญลักษณ์ของศิลปะการต่อสู้และพลังใจ
•Must Buy: กระเป๋าย่ามและผ้าพันคอจากผ้าไทยทอมือจังหวัดสกลนครและแพร่
•Must Seek: พวงกุญแจตุ๊กตาไดโนเสาร์จากผ้าขาวม้า จังหวัดกาฬสินธุ์ และพวงกุญแจลายชาติพันธุ์ จังหวัดเชียงราย
•Must See: ของที่ระลึกจากศิลปะการแสดงไทย เช่น ตัวละครโขนและผีตาโขน จังหวัดเลย

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถรับสิทธิพิเศษส่วนลดจากพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ และร่วมลุ้นรางวัลพิเศษมูลค่ารวมกว่า 1,000,000 บาท ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของโครงการฯ ตั้งแต่เปิดโครงการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมแล้วกว่า 2,500 คน โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ต่างชื่นชม “Amazing Bag” ว่าเป็นของที่ระลึกที่สะท้อนเสน่ห์ไทยได้อย่างลงตัว พร้อมประทับใจกับรอยยิ้มและความอบอุ่นจากเจ้าหน้าที่ ณ จุดต้อนรับ

เสียงสะท้อนเหล่านี้ตอกย้ำถึงพลังของ “รอยยิ้มไทย” (Thailand Smiles with You) ซึ่งไม่เพียงสร้างความสุขให้แก่นักเดินทาง แต่ยังส่งต่อภาพลักษณ์ประเทศในฐานะ “ดินแดนแห่งความสุขและมิตรไมตรี” ที่พร้อมต้อนรับผู้คนจากทั่วโลกด้วยหัวใจ

ททท. เชื่อว่า “จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ดี” คือโอกาสในการสร้างความทรงจำที่ยั่งยืน และทุกครั้งที่นักท่องเที่ยวได้รับ “ของขวัญจากไทย” คือการได้รับ “เรื่องราวจากหัวใจของคนไทย” ที่ส่งต่อจากชุมชนท้องถิ่นสู่ระดับโลก

“Amazing Thailand Passport Privileges” จึงไม่ใช่เพียงการมอบของที่ระลึก แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่มีความหมาย ทั้งในมุมของการตลาด การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และการยกระดับแบรนด์ “Amazing Thailand” ให้โดดเด่นในเวทีโลก

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ เพียงแสดงหนังสือเดินทางเพื่อรับ “Amazing Bag” ได้ทันทีที่บูทกิจกรรม ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ / ดอนเมือง / ภูเก็ต
🗓 วันที่ 1 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568
🌐 รายละเอียดเพิ่มเติม: www.tourismthailand.org/amazingthailandpassportprivileges

#AmazingThailandPassportPrivileges #Amazingthailand #5MustDoInThailand 
 #ValueOverVolume #PrivilegeBeyondExpectation

 ม้ามืด”หมอนทอง”ทะลุชิง” รร.อบจ.ชัยนาท”ฟุตบอลนร. 7 คน”แชมป์กีฬา 7HD

“ฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7HD แชมเปียน คัพ 2025” โค้งสุดท้ายสุดเซอร์ไพรส์ “รร.อบจ.ชัยนาท” สยบม้ามืด
“รร.หัวหินวิทยาคม” (5-3) อีกคู่ “รร.หมอนทองวิทยา” แรงต่อเนื่องบด “รร.อัสสัมชัญศรีราชา” (6-3) แฟนกีฬาห้ามพลาด แมตช์ชิงชนะเลิศ “ช่อง 7HD” ถ่ายทอดสด วันเสาร์ที่8 พฤศจิกายนนี้ ตั้งแต่เวลา 16.15 น. และทางออนไลน์ Facebook : Ch7HD, Ch7HD Sports, TikTok : Ch7HD Sports และ YouTube : Ch7HD 

เชียร์กระหึ่มสะใจแฟนกีฬา สมกับเป็นที่สุดของศึกลูกหนังขาสั้น ฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7HD แชมเปียน คัพ 2025 โดยรอบรองชนะเลิศ จัดขึ้น ณ สนามศุภชลาศัยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2568 นัดนี้มีแฟนกีฬาแห่เข้าชมกันล้นสนามขณะที่ยอดผู้ชมสดทางออนไลน์ถล่มทลายและเกิดกระแสไวรัลสนั่นโซเชียลมีเดีย

ลูกกลม ๆ เดาไม่ได้ มันสุดทุกคู่ โดยเฉพาะการแข่งขันในรอบที่ผ่านมา เรียกว่าหักทุกปากกาเซียน กับฟอร์มสุดร้อนแรงของเหล่านักเตะ ล่าสุด 4 ทีมฝีเท้าจัดจ้านลงสนามชิงตั๋วมุ่งสู่รอบชิงชนะเลิศ ผลการแข่งขันคู่แรก นกใหญ่พิฆาตจูเนียร์ ดีกรีรองแชมป์ปี 2023 รร.องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ภายใต้การคุมทีมของ โคชอนุสรณ์ ปานสันเทียะปะทะกับ แข้งฟอร์มดุ รร.หัวหินวิทยาคม นำโดย โคชอับดุล คูลิบารี คู่นี้เปิดเกมรุกใส่กันไม่ยั้ง ทำให้ต้นเกมกดไปคนละ 1 ลูก แต่ครึ่งแรกเป็น รร.อบจ.ชัยนาท 
ที่เหนือกว่าออกนำไปก่อน 3-1 ครึ่งหลังวัยรุ่นหัวหินเปิดเกมรุกหนัก ตามตีเสมอสำเร็จ 3-3 แต่สุดท้ายต้านฟอร์มนกใหญ่พิฆาตจูเนียร์
ไม่ไหว พ่ายไปด้วยสกอร์ 5-3 เข้าไปรอชิงแชมป์เป็นทีมแรก 

อีกหนึ่งทีมที่ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จคือ ยอดทีมฮอตจากวังน้ำเปรี้ยว รร.หมอนทองวิทยา ที่คุมบังเหียนโดย
อ.สกล เกลี้ยงประเสริฐ พบกับ ฉลามหนุ่มจากชลบุรี รร.อัสสัมชัญศรีราชา โดยมี โคชนเรศ สมงาม ควบคุมทีม คู่นี้ทำเอาสนามแตก แฟนบอลแห่เชียร์ล้นอัฒจันทร์ ร่วมลุ้นไปกับเกมการแข่งขันสุดดุเดือดของทั้งสองทีม หมดเวลาครึ่งแรก รร.หมอนทองวิทยา ออกนำห่าง 2 ประตู ขณะที่ครึ่งหลังไม่ถึง 5 นาที รร.อัสสัมชัญศรีราชา ตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2แต่ไม่เพียงพอให้คว้าตั๋วใบสุดท้ายพ่ายไปสุดมัน 3-6 ส่งให้ รร.หมอนทองวิทยา เข้าไปชิงดำกับ รร.องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท

นอกจากนี้ได้มีการมอบรางวัล MVP ผู้เล่นทรงคุณค่า ได้แก่ หมายเลข 5 ธีรเทพ ทองคำ จาก รร.องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ได้รับเสื้อ Jacket MVP จาก Volt มอบโดย คุณสุณี ปริปุณณะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการช่อง 7HD และ หมายเลข 6
วรากร ช่างเขียนดี จาก รร.หมอนทองวิทยา มอบโดย คุณเกริกพันธุ์ สุวรรณนพ รองผู้จัดการฝ่าย และปฏิบัติหน้าที่แทนผู้จัดการฝ่ายโปรดักชันรายการและอีเวนต์ ช่อง 7HDส่วนหมายเลข 8 ณัฐชนนท์ จันทร์ดี จาก รร.อัสสัมชัญศรีราชา ได้รางวัลแฮตทริก 
รับลูกฟุตบอลจาก Volt มอบโดย คุณมงคล วิมลรัตน์ อธิบดีกรมพลศึกษา 

กองเชียร์ห้ามพลาด ! มาร่วมเชียร์ร่วมลุ้นแชมป์หน้าใหม่ไปกับ 2 หนุ่มฮอตจากช่อง 7HD เบน-สันติราษฎร์ กุลนพเกียรติ และโหน-ธนากร ศรีบรรจง แฟนกีฬาสามารถไปเชียร์แบบติดขอบสนามได้ที่สนามศุภชลาศัย ในวันเสาร์ที่ 8พฤศจิกายนนี้ เปิดสนามด้วยคู่ชิงอันดับที่ 3 รร.อัสสัมชัญศรีราชา พบกับ รร.หัวหินวิทยาคม โดยถ่ายทอดสดทางออนไลน์ เวลา 14.30 น. จากนั้น เวลา 16.15 น. เป็นการฟาดแข้งของคู่ชิงชนะเลิศระหว่าง รร.องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท พบกับ รร.หมอนทองวิทยา ถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอ ช่อง 7HD กด 35 หรือเชียร์สดทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน BUGABOO.TV โซเชียลมีเดีย YouTube Ch7HD, TikTok Ch7HD Sports, Facebook Ch7HD และ Ch7HD Sports ไลฟ์สดทุกคู่การแข่งขัน ติดตามรายละเอียดการแข่งขัน และตารางการถ่ายทอดสดได้ทาง www.ch7.com/champ7hd/football2025

สำหรับผลการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ ระหว่าง “ทีมกสศ.” (ทีมกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) ซึ่งเป็นทีมจากผู้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มีใจรักกีฬาฟุตบอลจาก จ.ลำปาง ที่ร่วมลงสนามทำการแข่งขันกับ “ทีมรวมตัวตึงกระแสดังแชมป์กีฬา 7HD” ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยนักเรียนนักกีฬาโดยเฉพาะ ทีม กสศ.ก็มุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่และสามารถเอาชนะใจตัวเองในการมาร่วมฟาดแข้งอย่างเต็มกำลังได้ในที่สุด

เกษตรกรเมืองพิจิตรชอกช้ำ!เก็บเกี่ยวข้าวหอมมะลิ105หาคนรับซื้อไม่ได้

ชาวนาพิจิตรร้องทุกข์ชีวิตสุดลำเค็ญปลูกข้าวหอมมะลิ105รัฐประกาศ13,000บ./ตันถึงเวลาเก็บเกี่ยวหาผู้รับซื้อไม่ได้

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นายสุทธิฉัตร บุญมี “ลุงสนั่น” อายุ 61 ปี อาชีพทำนาอยู่บ้านเลขที่ 13 หมู่ 9 ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี ซึ่งปลูกข้าวหอมมะลิจำนวน 40 ไร่ รวมถึงเลี้ยงควายอีก42 ตัว เป็นอาชีพเสริม พร้อมด้วยเพื่อนบ้านที่เป็นชาวนาด้วยกันร่วมกันเล่าเรื่องชีวิตที่สุดแสนจะลำเค็ญของชาวนาเมืองชาละวันว่าทุกวันนี้ราคาผลผลิตตกต่ำ ชาวนากลุ่มนี้ปลูกข้าวหอมมะลิ 105  พื้นที่รวมๆแล้วเกือบ 1 พันไร่

ขณะนี้ข้าวพร้อมจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว ซึ่งคาดว่าประมาณวันที่ 15 พ.ย. 68 นี้ ก็จะเก็บเกี่ยวขายได้ไปตระเวนถามโรงสี-ท่าข้าว-สหกรณ์ ก็ปรากฏว่ายังไม่มีที่ใดเปิดราคาและเปิดรับซื้อจึงทำให้มีความทุกข์อย่างมากว่าเกี่ยวข้าวแล้วจะเอาข้าวหอมมะลิไปขายที่ไหน และจะได้ราคาตามข่าวบนโลกโซเชียล อย่างที่รัฐบาลประกาศกำหนดราคาข้าวหอมมะลิว่าจะได้ตันละ 13,000บาท จริงหรือไม่ ? เพราะในชีวิตจริงราคาข้าวหอมมะลิ 105 ที่ว่าจะรับซื้อตันละ 13,000 บาท ไม่มีอยู่จริง เป็นเหมือนแค่วาทะกรรมที่ประกาศออกมาเท่านั้น

นายสุทธิฉัตร “ลุงสนั่น” กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าราคาข้าวปีนี้ต่ำสุดๆเกี่ยวข้าวขายก็ขาดทุนใจจริงถ้าไม่เป็นหนี้ ธกส. ก็ว่าจะไม่เกี่ยวข้าวขาย คิดเอาไว้ว่าเอาข้าวในท้องนาให้ควายกินน่าจะดีกว่า และหวังจะขายควาย แต่ปรากฏว่าราคาขายควายตอนนี้ก็ราคาถูกติดดินรัฐบาลบอกว่าราคาโค-กระบือ ประกาศว่าอยู่ที่ กก.ละ 80 บาท พอจะจับควายขายราคาดังกล่าวก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นจึงขอส่งเสียงร้องทุกข์ขอให้รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์รวมถึงพาณิชย์จังหวัดพิจิตร ช่วยหาความจริงและความชัดเจนของตลาดซื้อ-ขาย ข้าวเปลือก ว่าชาวนาควรจะไปในทิศทางใด เพราะทุกวันนี้ชาวนาเหมือนคนตาบอดไม่มีทิศทางที่จะไปทางใดแล้ว

ในส่วนของ นายสมเกียรติ โสภณพงศ์พิพัฒน์  ผู้จัดการใหญ่ สหกรณ์ชาวนาวชิรบารมี จ.พิจิตร ก็เปิดใจให้สัมภาษณ์ว่า ราคาข้าวปีนี้ต่ำที่สุดเท่าที่ตนเองเคยประสบพบมา โดยที่ สหกรณ์ชาวนาวชิรบารมี ขณะนี้เปิดรับซื้อข้าวขาวทั่วไปตันละ 5,000 บาท  แต่ที่มีข้าวเข้ามาขายคือข้าว กข.43 ที่ บริษัท ซีพี มีพันธะสัญญาคำสั่งซื้อล่วงหน้าให้ราคาพิเศษบวกเพิ่มอีกตันละ 3,000 บาท  ซึ่งรับซื้อจากสมาชิกที่ลงทะเบียนปลูกข้าว กข.43 ในโครงการประมาณ 1,500 ไร่ ส่วนข้าวหอมมะลิ 105 ช่วงนี้ไม่ได้เปิดรับซื้อเนื่องจากพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ในแถบนี้มีไม่มากพอที่จะรับซื้อในเชิงธุรกิจ

นอกจากนี้ นายสมเกียรติ ผู้จัดการใหญ่ สหกรณ์ชาวนาวชิรบารมี จ.พิจิตร ยังกล่าวแนะนำว่าช่วงฤดูกาลนาปรังที่จะถึงนี้ชาวนาควรงดการปลูกข้าวเพื่อลดปริมาณข้าวและเป็นการสร้างกลไกการตลาดเพื่อให้ราคาข้าวในฤดูกาลต่อไปที่จะขยับตัวสูงขึ้น อีกทั้งก่อนที่จะทำนาควรสอบถามผู้ซื้อว่าต้องการซื้อข้าวชนิดใด โดยใช้การตลาดนำการผลิต อย่าปลูกข้าวตามกระแสแห่ปลูกตามกัน เพราะถึงเวลาขายก็จะไม่ได้ราคา เพราะว่าไม่ได้ถูกใจคนซื้อนั่นเอง

โดย…สิทธิพจน์ เกบุ้ย /พิจิตร/