อุณหภูมิดิ่ง!หิมะแรกแห่งปีปกคลุมกรุงปักกิ่ง-หลายมณฑลขาวโพรน

ประชาชนชาวกรุงปักกิ่งของจีน ต้อนรับหิมะตกครั้งแรกของปี คลื่นความหนาวระลอกใหม่พัดเข้าหลายมณฑล หลายเขตเสี่ยงพายุหิมะถล่ม

สำนักข่าวซินหัว ของทางการจีน รายงานว่า กรุงปักกิ่งเผชิญหิมะแรกของฤดูกาล หลังคลื่นอากาศเย็นจัดแผ่ปกคลุมพื้นที่อย่างรวดเร็ว โดยหิมะที่เริ่มตกตั้งแต่ช่วงเช้าจะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเช้ามืดวันเสาร์


สำนักงานอุตุนิยมวิทยาปักกิ่ง คาดว่าหลายพื้นที่ทั่วเมืองจะมี หิมะตกหนักปานกลาง ขณะที่บางเขตอย่าง ฝางซาน

เหมินโถวโกว ชางผิง เยียนชิง ไหว่โหลว และ มี่อวิ่น อาจเผชิญ หิมะหนัก และบางจุดอาจรุนแรงถึงระดับ พายุหิมะ

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ในหลายเขตเร่งรับมือ ทั้งการโรยเกลือบนถนน ทางด่วน และเตรียมความพร้อมด้านการจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุจากสภาพถนนลื่นที่อาจเกิดขึ้น

NIA หนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาคเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการภาคกลางโตแข็งแกร่ง

กรุงเทพฯ – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดกิจกรรม “Roadshow การสนับสนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาค (ภาคกลาง)” ครั้งที่ 1 ปีงบประมาณ 2569 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรม แลงคาสเตอร์ กรุงเทพฯ

รองศาสตราจารย์ ดร.พีรพัฒน์ ทองนึก รองผู้อำนวยการศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) กล่าวเปิดกิจกรรมว่า “ในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ NIA ในการขับเคลื่อน โครงการนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (Regional Innovation Business Platform) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ครอบคลุมทั้ง 25 จังหวัด ให้มีโอกาสได้รับการพัฒนาศักยภาพ และเข้าถึงการสนับสนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาคของ NIA โดยการจัดกิจกรรม Roadshow ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญ ที่จะทำให้หน่วยงาน องค์กร และผู้ประกอบการที่มีศักยภาพได้ทำความรู้จักและสร้างเครือข่ายระหว่างกัน รวมถึงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการสนับสนุนทุนของ NIA ที่จะสร้างโอกาสการเติบโตให้แก่ธุรกิจ นำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศชาติต่อไป”

คุณเฉลิมพงษ์ กล้าขยัน ผู้จัดการพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมรายพื้นที่ NIA กล่าวว่า “ในปีนี้ NIA ได้มีความร่วมมือกับจุฬาฯ ในการดำเนินงานเป็น Node PMU-NIA ภาคกลาง เพื่อสนับสนุนกิจกรรมในการแสวงหา คัดกรอง และบ่มเพาะผู้ประกอบการ เพื่อยื่นขอรับทุนสนับสนุนจาก NIA ภายใต้ Regional Innovation Business Platform ในสองกลไกการสนับสนุนทุนหลัก ได้แก่ 1. กลไกการสนับสนุนทุนโครงการนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมที่ต้องการพัฒนาและนำผลิตภัณฑ์ต้นแบบเชิงพาณิชย์ มาทดสอบการใช้งานกับกลุ่มลูกค้าจริง ทดสอบกระบวนการผลิตเชิงอุตสาหกรรม และทดสอบตลาดโดยการจำหน่ายจริง นำไปสู่การสร้างให้เกิดรายได้เมื่อสิ้นสุดโครงการ และ 2. กลไกการขยายผลนวัตกรรมในระดับภูมิภาคสู่ตลาด (Regional Market Validation) สำหรับส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมที่มีสินค้าหรือบริการนวัตกรรมจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว แต่ต้องการเปิดตลาดใหม่หรือเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และต่างประเทศ เพื่อการขยายผลเชิงพาณิชย์”

คุณเอกธัช ภัทระโภคพัฐ ผู้จัดการ Node PMU-NIA ภาคกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมจุฬาฯ และ NIA รวมถึงหน่วยงานเครือข่ายต่าง ๆ จะทำให้การพัฒนาโครงการเพื่อจัดสรรเงินสนับสนุนทุนให้แก่ผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมในพื้นที่ สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้ Node PMU-NIA ภาคกลาง ได้มีการจัดกิจกรรม Roadshow การสนับสนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาค (ภาคกลาง) ครั้งที่ 1/2569 ที่กรุงเทพมหานคร และวางแผนที่จะจัดกิจกรรมฯ ครั้งที่ 2/2569 ที่จังหวัดชลบุรี ในเดือนมกราคม 2569 ที่จะถึงนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์กลไกการสนับสนุนทุนของ NIA และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยและผู้ที่สนใจได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nia.or.th และ Facebook: NIA – National Innovation Agency Thailand หรือ Facebook: Node NIA ภาคกลาง”

.

คปภ.ถกบริษัทประกันภัยสงขลาลุยจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากอุทกภัยพื้นที่ภาคใต้

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน สำนักงาน คปภ. ได้ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อเข้าร่วมการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทประกันภัย เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เป็นการเร่งด่วน ณ ศาลากลางจังหวัดสงขลา

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า จากข้อมูลความเสียหายด้านการประกันภัยล่าสุด ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2568 พบว่าประชาชนในหลายจังหวัดของภาคใต้ได้แจ้งความเสียหายจากเหตุอุทกภัยเป็นจำนวนมาก โดยเบื้องต้นมีการแจ้งความเสียหายรถยนต์   แล้วประมาณ 30,000 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 7,500 ล้านบาท ขณะที่ความเสียหายด้านทรัพย์สิน บ้านเรือน และอาคารพาณิชย์ มีการแจ้งความเสียหายแล้วประมาณ 26,000 ราย รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,800 ล้านบาท     ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลเบื้องต้นซึ่งอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายพื้นที่ยังอยู่ระหว่างการเข้าสำรวจและประชาชนบางส่วนยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ โดยสำนักงาน คปภ. จะติดตามและรวบรวมข้อมูลร่วมกับบริษัทประกันภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อสะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงในพื้นที่

ในการประชุมครั้งนี้เลขาธิการ คปภ. ได้สอบถามเกี่ยวกับการตรวจสอบความเสียหายและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เป็นรายบริษัท โดยเน้นย้ำให้ทุกบริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม โดยเคลม Total Loss จ่ายภายใน 3-7 วัน และประกันภัยทรัพย์สินให้จ่ายภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้บริษัทประกันภัยเร่งทบทวนและสื่อสารสร้างความเข้าใจกับพนักงานเกี่ยวกับเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะประเด็นวงเงินคุ้มครองย่อย (Sublimit)

ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของเรื่องร้องเรียนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การให้ข้อมูลแก่ผู้เอาประกันภัยไม่ครบถ้วนหรือเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงได้สั่งการให้ทุกบริษัทประกันภัยจัดให้มีการสื่อสารอย่างถูกต้อง ชัดเจน และเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถใช้สิทธิประกันภัยได้อย่างเป็นธรรม พร้อมกำชับให้บริษัทประกันภัยประสานงานกับอู่ซ่อมรถในเครืออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การซ่อมแซมรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

ซึ่งทุกบริษัทประกันภัยได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันอย่างชัดเจน โดยยืนยันความพร้อมที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณี Total Loss ให้แล้วเสร็จภายใน 3–7 วัน และประกันภัยทรัพย์สินให้จ่ายภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของภาคธุรกิจประกันภัยในการยืนเคียงข้างประชาชนในช่วงเวลาวิกฤต ไม่เพียงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วน แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมประกันภัยในฐานะกลไกสนับสนุนการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ขณะเดียวกัน สำนักงาน คปภ. ได้ขอให้ทุกบริษัทตรวจสอบและใช้ข้อมูลอ้างอิงในมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้กระบวนการพิจารณาและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ และสอดคล้องกันในทุกแห่ง

สำนักงาน คปภ. ยังได้ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ และเน้นย้ำให้ภาคธุรกิจประกันภัยดำเนินงานเชิงรุก เพื่อดูแลประชาชนในทุกขั้นตอนของการให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะการเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมจัดส่งทีมคุ้มครองสิทธิประโยชน์จากส่วนกลางลงพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการทำงานของสำนักงาน คปภ. ภาค 9 (สงขลา) และบูรณาการร่วมกับบริษัทประกันภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่โดยเร็วที่สุด และขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้

พร้อมขอย้ำว่ามาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้รับการฟื้นฟูและเยียวยาอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม พร้อมทั้งกำกับติดตามการปฏิบัติงานของบริษัทประกันภัยทุกแห่งอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มาตรการทุกด้านเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างแท้จริงสะท้อนความมุ่งมั่นของสำนักงาน คปภ. ในการยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัย    หรือพบปัญหาเกี่ยวกับการประกันภัย สามารถติดต่อ สายด่วน คปภ. 1186 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“ฮุน มาเนต” เผยคุย “อันวาร์–ทรัมป์” หาทางยุติสู้รบไทย มุ่งสู่ปฎิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์

“ฮุน มาเนต” เผยหารือ “อันวาร์–ทรัมป์” หาทางหยุดยิงไทย-กัมพูชา เสนอใช้ภาพดาวเทียมสหรัฐ–มาเลเซีย ตรวจสอบเหตุปะทะ 7 ธ.ค. ชี้เป็นวิธีโปร่งใสพิสูจน์ใครยิงก่อน

นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊ก ระบุว่า ได้หารือทางโทรศัพท์กับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม และกับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อคืนวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อหาทางนำไปสู่การหยุดยิงระหว่างไทยแลักัมพูชา และผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์

นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่า ได้ขอบคุณผู้นำทั้งสองประเทศที่พยายามอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนสันติภาพระยะยาวระหว่างกัมพูชาและไทย พร้อมย้ำว่า กัมพูชายึดมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีมาโดยตลอด ตามเจตนารมณ์ของปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์

สำหรับเหตุยิงปะทะที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งนำไปสู่การปะทะรอบใหม่ระหว่างทั้งสองประเทศ นายฮุน มาเนต ระบุว่า ได้เสนอให้สหรัฐฯ และมาเลเซีย ใช้ศักยภาพด้านข่าวกรองของกองทัพหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ และภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากนั้น เพื่อตรวจสอบอย่างชัดเจนว่าฝ่ายใดเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน

ฮุน มาเนต กล่าวว่า เขามองว่าวิธีนี้เป็นแนวทางที่ง่ายที่สุดและโปร่งใสมากที่สุดในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง พร้อมย้ำว่า กัมพูชาพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบในลักษณะนี้

รถไฟ “เส้นทางสายใต้”เปิดเดินรถตามปกติแล้ว หลังน้ำท่วมคลี่คลาย

การรถไฟฯ เปิดให้บริการเดินรถ “เส้นทางสายใต้” เต็มรูปแบบแล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 68 เป็นต้นไป หลังสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้คลี่คลาย และระดับน้ำลดเข้าสู่ภาวะปกติ

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประกาศแจ้งเปิดเดินรถสายใต้ ภายหลังจากซ่อมแซมทางและระบบอาณัติสัญญาณเสร็จเรียบร้อย หลังสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้คลี่คลายและระดับน้ำลดเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้สามารถเปิดเดินขบวนรถทางไกลจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ถึงสุไหงโกลกและยะลาได้ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟฯ รักษาการผู้ว่าการรถไฟฯ เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์น้ำท่วมช่วงหาดใหญ่ไปถึงสุไหงโกลกและยะลาได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ รฟท. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จากฝ่ายการช่างโยธา ฝ่ายการอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายทันที โดยมุ่งเน้นการประเมินความมั่นคงของคันทางตามจุดเสี่ยง การตรวจสอบระบบสัญญาณไฟฟ้า และระบบสื่อสาร ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในหลายช่วงทาง

ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเสริมความแข็งแรงของคันทาง ปรับปรุงชั้นหินโรยทาง ตรวจเช็กและเปลี่ยนอุปกรณ์ระบบอาณัติสัญญาณที่จำเป็น พร้อมทดสอบการทำงานของระบบทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าเส้นทางสามารถรองรับการเดินรถได้อย่างปลอดภัยสูงสุด จนสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ รองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านการโดยสาร และการขนส่งสินค้า ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดสำคัญทางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยคาดว่าจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงที่ต้องหยุดเดินรถชั่วคราวจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา

ท้ายนี้ รฟท. ขอขอบคุณผู้โดยสารและประชาชนที่เลือกใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทาง พร้อมยืนยันว่าจะยังคงดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเดินรถทุกขบวนมีความปลอดภัยและมีมาตรฐานสูงสุดตามหลักสากล สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการต่อไป

“อนุทิน”ตอบกลับ “ทรัมป์”อยากให้หยุดยิงให้ไปถาม “กัมพูชา”ยันไทยไม่เคยละเมิด

นายกรัฐมนตรี เผยคุย ‘ทรัมป์’ผู้นำสหรัฐฯ อยากให้ไทย-เขมรหยุดยิง และทำตามปฏิญญาที่มาเลเซีย แต่ได้ตอบกลับไปว่าต้องไปบอกกัมพูชา เพราะเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงจนฝ่ายไทยเกิดความสูญเสียและต้องตอบโต้รุนแรง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังได้หารือทางโทรศัพท์กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เวลา 21.26 น.ของวันที่ 12 ธ.ค.2568 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล  ซึ่งใช้เวลาพูดคุยกันเป็นเวลาเกือบ 20 นาที ว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ร่วมด้วย

การพูดคุยเป็นไปด้วยบรรยากาศที่ดี ประธานาธิบดีสหรัฐ มีความเป็นห่วงในสถานการณ์อยากจะให้ทุกอย่างกลับไปยังจุดที่เคยเป็น คือ Joint Declaration (ปฏิญญาร่วม) ที่เคยเซ็นที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งตนยืนยันกับประธานาธิบดีสหรัฐว่าประเทศไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขมาตลอด ไม่เคยออกนอกเงื่อนไขเลยแม้แต่น้อย แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิด ถ้าเป็นการละเมิดด้วยการปฎิบัติ เช่น การไม่ถอยกำลังออกไป ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต เราก็จะต้องมาพูดคุยกันให้เขาปฏิบัติ แต่ถ้าเกิดการละเมิดโดยที่ทำให้ฝ่ายไทยมีการสูญเสียอวัยวะ ชีวิต และทรัพย์สิน ประเทศไทยก็มีความจำเป็นที่จะต้องตอบโต้เพื่อป้องกันอธิปไตย ทรัพย์สิน และสุดท้ายที่เราต้องดำเนินการสูงสุดคือการป้องกันชีวิตประชาชนของเรา นี่คือเหตุที่ต้องอธิบายประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่เช่นนั้นท่านจะเข้าใจว่าเราเป็นฝ่ายจู่โจมรุกรานกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่เราตอบโต้ซึ่งบางครั้งต้องทำให้เขาได้ยินว่าอย่ามาทำแบบนี้กับเรา เราไม่ใช่ประเทศที่คุณอยากจะทำอะไรคุณก็มาทำได้

หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐได้ฟังแล้วมีคำพูดอะไรกลับมาบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ท่านบอกว่าท่านเข้าใจ ถ้ามีเรื่องแบบนี้ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อสายตรงถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ตลอดเวลา และท่านก็บอกว่าถ้ามีอะไรให้ตนโทรหาท่านได้ตลอดเวลาเช่นกัน เพียงแต่ท่านยังไม่บอกเบอร์ตน ซึ่งตนก็เรียนกับท่านว่าคงยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะคิดว่าประเทศไทยรับมือต่อสถานการณ์ได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็มีการพูดคุยกับทางสหรัฐหลายระดับเป็นประจำอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า วันนี้สหรัฐยังไม่ได้กดดันให้เราหยุดยิงใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐก็อยากให้หยุดยิง ซึ่งตนได้บอกไปว่าขอให้ไปบอกเพื่อนเราดีกว่า ว่าอย่าบอกว่าหยุดยิงเฉยๆ แต่ต้องบอกให้โลกรู้ว่ากัมพูชาจะหยุดยิง จะถอนกำลังออกไป จะเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางเอาไว้ออกไปให้หมด และจะทำให้เห็น ถ้าเป็นแบบนั้น ประเทศไทยอยู่เฉยๆ ไม่เคยอยากจะเข้าไปได้อะไรของเขาอยู่แล้ว แต่เขาต้องหยุดทุกอย่างก่อน นี่เป็นสิ่งที่กองทัพได้รายงานกับตนมาตลอด ว่ามันจะถึงจุดนี้เมื่อวันที่เราเก็บกู้ระเบิดภายใต้ Joint Declaration ไปถึงจุดที่เราจะเจอเยอะมากแล้วเขาจะไม่ยอมให้เราเข้าไป เราได้เก็บมา 2-3 สัปดาห์

โดยมี ASEAN Observer Team (AOT) เป็นสักขีพยานของนานาชาติจากอาเซียนมาร่วมกับเรา และวัตถุระเบิดที่เราไปเก็บกู้มาหรือระเบิดที่ทำให้ทหารเราบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นระเบิดใหม่เพิ่งวาง ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดสัญญา ดังนั้น คนที่ละเมิดสัญญาต้องแก้ไข ไม่ใช่คนที่ถูกกระทำมาแก้ไข เป็นหลักสากลที่ทุกคนต้องเข้าใจ

‘ทรัมป์’ โพสต์ อ้าง ‘ไทย-กัมพูชา’ ตกลงจะหยุดยิง-ยุติสู้รบ ชี้ทุ่นระเบิดทำทหารไทยเจ็บแค่อุบัติเหตุ

‘ทรัมป์’ โพสต์ อ้าง ‘ไทย-กัมพูชา’ ตกลงจะหยุดยิง-ยุติการสู้รบทั้งหมด กลับคืนสู่ ‘ปฏิญญาร่วมฯ’ ชี้ ทุ่นระเบิดทำทหารไทยบาดเจ็บ-เสียชีวิต เป็นอุบัติเหตุ แต่ไทยตอบโต้แรง มั่นใจสองประเทศพร้อมสร้างสันติภาพและดำเนินการค้าร่วมกับสหรัฐฯ ต่อไป 

หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้โทรศัพทย์หูหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อคืน12 ธ.ค.68 ที่ผ่านมา ทรัมป์ก็โพสต์ Truth Social ถึงการหารือดังกล่าว โดยระบุว่า 
ข้าพเจ้าได้สนทนาอย่างราบรื่นและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงเช้าวันนี้ กับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา นายฮุน มาเนต เกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งยืดเยื้อที่น่าเศร้า ซึ่งมีแนวโน้มปะทุขึ้นอีกครั้ง

“พวกเขาตกลงที่จะยุติการยิงทั้งหมด ตั้งแต่เย็นวันนี้เป็นต้นไป และจะกลับไปยึดถือข้อตกลงสันติภาพเดิมที่ได้ทำร่วมกับข้าพเจ้า และได้รับความช่วยเหลือจากท่านนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม”

ส่วนทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายนั้น เป็นอุบัติเหตุ  แต่ฝ่ายไทยก็ได้ตอบโต้กลับอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองประเทศพร้อมสำหรับที่จะเข้าสู่สันติภาพ และดำเนินการค้าร่วมกับสหรัฐอเมริกาต่อไป 

นอกจากนี้‘ทรัมป์’ ยังระบุอีกว่า นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้ทำงานร่วมกับนายอนุทิน และ นายฮุน มาเนต ในการแก้ไขสถานการณ์ที่อาจลุกลามกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ระหว่างสองประเทศที่งดงามและมั่งคั่งนี้ พร้อมกับขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม สำหรับความช่วยเหลือในเรื่องสำคัญยิ่งครั้งนี้ด้วย

กองทัพบกยันทหารยึดช่องอานม้า เนิน 677 ปักธงไทย ร้องเพลงชาติกระหึ่ม

ทหารไทย ประกาศศักดา ยึดช่องอานม้า เนิน 677 ปักธงไทย ร้องเพลงชาติกระหึ่ม !! ท่ามกลางเสียงกระสุนระเบิด เขมร ยังคงยิงตอบโต้

พันเอกริชฌา สุขสุวานนท์    รองโฆษกกองทัพบกเปิดเผยว่า  เวลา 1730 น. 12 ธันวาคม 2558 ทหารไทยเข้าดำเนินกลยุทธ์ เข้าเคลียร์พื้นที่ และ สถาปนาพื้นทีี  และ ปักธงชาติไทย ยึดที่หมายยอดเนิน 677 ได้ 100%

ขณะที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความอัปเดตเมื่อเวลา 16.17 น. ของวันนี้ โดยระบุสั้นๆ ว่า “ช่องอานม้า 100%” และมีอิโมติคอนรูปธงชาติไทยต่อท้ายด้วย โดยพบว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามาแสดงความคิดเห็นและส่งกำลังใจให้กับทหารไทยอย่างมากมาย

ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ตั้งแต่เวลา 06.29 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีมายังฝ่ายไทยทำให้เราจำเป็นต้องตอบโต้การรุกราน ซึ่งสถานการณ์ตลอดแนวชายแดน 7 จังหวัดก็ยังมีการปะทะอย่างต่อเนื่อง โดย เวลา 12.00 น. ฝ่ายกัมพูชาระดมยิงอาวุธหนักเข้ามาบริเวณช่องอานม้าทำให้ทหารไทย จากกรมรบพิเศษที่ 1 เสียชีวิต 1 นาย

โดยทางกองทัพบกได้ตอบโต้ จนสามารถยึดเนิน 677 ที่ช่องอานม้าได้อย่าง 100% แม้มีกำลังพลเสียชีวิต ถือว่าเป็นวีรชนผู้เสียสละเพื่อชาติ ขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิต

“สันธนะ” พาผู้เสียหายร้องตำรวจสอบสวนกลางถูกยิงในผับดังย่านมหาดไทย

“สันธนะ ประยูรรัตน์” พาผู้เสียหายร้อง สอบสวนกลาง ถูกยิงในผับดังย่านมหาดไทยแต่รอดหวุดหวิด เชื่อถูกลอบสังหารหลังล่วงรู้ธุรกิจสีเทา หวั่นไม่ปลอดภัย

วันนี้ (12 ธ. ค 68) ที่ศูนย์ รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง  นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล พาผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับ พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง  หลังถูกกลุ่มคนร้ายใช้ปืนยิงภายในสถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่งย่านซอยมหาดไทย แต่ผู้เสียหายหลบกระสุนได้ทัน แล้วแย่งปืนกัน หลังก่อเหตุกลุ่มคนร้ายได้นั่งรถตู้อัลพาร์ดหลบหนี ทำให้ผู้เสียหายเกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวนนานกว่า 3 ชั่วโมง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน

นายสันธนะ ประยูรรัตน์  เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าว เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 05:00 น ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านซอยมหาดไทย วันนั้นมีกลุ่มคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้เสียหาย และทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายเล่าให้ตนฟังว่า ผู้เสียหายได้ไปล่วงรู้ความลับการทำธุรกิจสีเทาของหัวหน้ากลุ่มคนร้าย จึงตามมาทำร้ายตน ด้วยการยิงปืนใส่  เป็นการตั้งใจฆ่า ถึงขั้นเอาชีวิต แต่ผู้เสียหายหลบทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโดนยิง 

ต่อมาพิสูจน์หลักฐานและตำรวจนครบาลไปตรวจสอบร้านสถานบันเทิงที่เกิดเหตุแต่บอกว่า ไม่มีการใช้อาวุธปืน มีแต่การชกต่อยคนเดียวเท่านั้นซึ่งค้านกับผู้คำให้การของผู้เสียหาย และตนทราบมาว่า ลักษณะของคนร้ายที่เข้ามาทำร้ายตนนั้นลักษณะเป็นกลุ่มไม่ใช่เป็นการชกต่อยเพียงคนเดียว และ  อาวุธปืนแม่บ้าน ได้เก็บไปให้กับผู้จัดการร้านแล้ว และผู้เสียหายอ้างว่า ไม่มีความไว้ใจกับทางด้านของสถานีตำรวจ ในพื้นที่เกิดเหตุ เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรมเพราะว่าทางด้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสนิทสนมกับหัวหน้าแก๊งกลุ่มคนร้ายดังกล่าวที่ได้มีการทำร้ายผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้บอกกับพนักงานสอบสวนว่าไม่อยากให้ตำรวจนครบาลเข้ามาช่วยทำคดี เพราะเกรงว่าคดีจะไม่คืบหน้า

ผู้เสียหายได้นำหลักฐานเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ในวันเกิดเหตุมาให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบ เพราะคิดว่าอาจจะมีเขม่าดินปืน ติดอยู่ จะเป็นหลักฐานว่าตนโดนยิงจริง และจะได้มีการตรวจบาดแผลที่โดนทำร้ายร่างกายด้วย

พนักงานสอบสวน กก1 บก.ป สอบปากคำผู้เสียหาย ผู้บังคับบัญชาพิจารณา ว่าจะรับเป็นคดีต่อไปหรือไม่

ตำรวจรวบ 2 หนุ่มแจกเสื้อ-หมวก แฝงชวนเล่นพนัน อ้างเชียร์บอลซีเกมส์

ตำรวจ กก.2 บก.สอท.1 บช.สอท. ร่วมกับฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก ได้ร่วมจับกุมผู้ต้องหาชายชาวเวียดนาม อายุ 51 ปี และ นายนิติคุณ อายุ 42 ปี ชาว จ. จ.ตาก ซึ่งแฝงตัวมาในรูปแบบกองเชียร์ เข้าไปเชียร์กีฬาฟุตบอลซีเกมส์ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน แต่ชักชวน และโฆษณาเว็บพนัน โดยของกลางเป็นเสื้อยืด ที่มีโลโก “OKVIP” จำนวน 1 ตัว และ หมวกแก๊ป ที่มีโลโก “OKVIP” จำนวน 1 ใบ

สืบเนื่องจากในช่วงการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ พบว่าได้มีการลักลอบเข้ามาชักชวน โฆษณาเว็บพนันในรูปแบบต่าง ๆ ภายในสนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งปรากฏเป็นข่าวปรากฏในสื่อโซเชียลมีเดีย ถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของการแข่งขันกีฬา และสร้างความเสียหายต่อประชาชน จากนั้นทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ ร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) บูรณาการกำลังเข้าสืบสวนและปราบปราม

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ผู้ประกาศ โฆษณา ชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนัน ทั้งเซเลบ นายแบบ นางแบบ พริตตี ยูทูบเบอร์ จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน มาตรา 12ฯ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หากการกระทำความผิดเป็นไปในลักษณะมีการชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด ผู้ปกครองหรือผู้กระทำผิดก็อาจถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ในมาตรา 26(3) ประกอบ มาตรา 78 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับอีกด้วย จากนั้นจึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป