ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา เปิดงานสัมมนาเรื่อง “การรับงานไปทำที่บ้านในยุคชีวิตวิถีใหม่”

คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา
พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเรื่อง “การรับงานไปทำที่บ้านในยุคชีวิตวิถีใหม่” โดยมี ณรงค์ รัตนานุกูล เลขานุการคณะกรรมาธิการฯ พล.ต.อ. อำนาจ อันอาตม์งาม อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย สุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณรงค์ฤทธิ์ วรรณโส ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มาร่วมในงานด้วย ที่ห้องบอลรูม 2 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ เมื่อวันก่อน

รฟฟท.จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ณ ชุมชนตลาดล่าง เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์วิกฤติอุทกภัยในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในหลายพื้นที่ทั้งในต่างจังหวัดและในพื้นที่เขตปริมณฑล บริษัทฯมีความตระหนักและห่วงใยในความเป็นอยู่รวมถึงสุขอนามัยของประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งวิกฤติอุทกภัยที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เกิดจากปริมาณน้ำสะสมที่ไหลเข้าท่วมอาคารบ้านเรือน ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงชุมชนตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงด้วย

บริษัทฯ จึงได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วเห็นว่า ชุมชนตลาดล่าง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีหลักหก ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนหลายครัวเรือน จึงดำเนินการจัดทำถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และสิ่งของอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นการเร่งด่วน โดยนำไปมอบให้แก่ชุมชนตลาดล่าง ตำบลบางพูน จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ซึ่งโครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมถึงได้น้อมนำพระราชปณิธานการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ และการทำความดีด้วยหัวใจของในหลวงรัชกาลที่ 10 ในการร่วมกันทำประโยชน์และพัฒนาสังคมเพื่อประเทศชาติ อีกทั้งโครงการดังกล่าวนั้น ยังถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม(CSR) อีกด้วย

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนชานเมือง Call Center 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง

“เฉลิมชัย”คิกออฟโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน 7,255 ตำบลทั่วประเทศ

“อลงกรณ์”ออกสตาร์ท”เพชรบุรี”เป็นจังหวัดแรก
จับมือผู้ว่าฯ.ผนึกศูนย์AIC รวมพลังทุกภาคส่วนเดินหน้าเต็มสูบสร้างศักยภาพใหม่ของตำบลหมู่บ้านแบบยั่งยืน

ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน เปิดเผยวันนี้(20 ก.ย)ว่า
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล 7,255 ตำบลใน76จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานอพก.จังหวัดได้ดำเนินการร่วมกับเกษตรและสหกรณ์จังหวัดออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลแล้วนอกจากนี้ยังได้รับรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการนี้จากนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนว่าได้เริ่มการประชุมชี้แจงแนวทางการบริหารและการขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีที่ศูนย์AIC มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีเป็นจังหวัดแรก ถือเป็นการคิกออฟโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลซึ่งเป็นกลไกการปฏิรูปภาคเกษตรครั้งสำคัญของประเทศ

ทางด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเพื่อสร้างการรับรู้ และมอบนโยบาย แนวทางการขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลของจังหวัดเพชรบุรี ณ ห้องประชุมคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี และรูปแบบออนไลน์ผ่าน Zoom Cloud Meeting โดยมี นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ดร.วนิดา มากศิริ คณบดี คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ผู้อำนวยการศูนย์AICจังหวัดเพชรบุรี เกษตรจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด สภาเกษตรกรแห่งชาติ นายอำเภอ เกษตรอำเภอ นายกและสมาชิกอบต. กำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครเกษตร ศพก. เกษตรกรรุ่นใหม่ (young smart farmer )เกษตรปราดเปรื่องวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ เกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มแม่บ้านเกษตร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอี. ทีมงานเพชรบุรีโมเดล หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคเกษตรกร เข้าร่วมประชุม โดยมีนางสาวศิริวรรณ เครือเล็ก เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเพชรบุรี เป็นฝ่ายเลขานุการ
นายอลงกรณ์ กล่าวว่าวันนี้เป็นวันแรกของการขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลครอบคลุม7,255ตำบลใน878อำเภอและ76จังหวัดเป็นครั้งแรกของประเทศควบคู่กับโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองเพื่อสร้างฐานใหม่ที่เข้มแข็งในการยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับท็อปเทนของโลกในฐานะมหาอำนาจทางอาหารและครัวของโลกตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ. จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ13ของโลกโดยจัดประชุมสร้างการรับรู้แนวทางการบริหารจัดการคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนที่เพชรบุรีเป็นจังหวัดแรก ภายใต้แนวคิด “บริหารโดยชุมชน เป็นของชุมชน และเพื่อชุมชน” ซึ่งเป็นกลไกปฏิรูปภาคการเกษตรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ในระดับฐานรากเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและชุมชนตำบลหมู่บ้านและแก้ปัญหาหนี้สิน ความยากจนและลดความเลื่อมล้ำอย่างยั่งยืนภายใต้เกษตรกรรมยั่งยืน 5 สาขา คือ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรทฤษฎีใหม่ และเกษตรผสมผสาน มีภารกิจ2ประการคือเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)และพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครด้วยการยกระดับภาคเกษตรกรรมสู่เกษตรมูลค่าสูง

นายอลงกรณ์กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลประกอบด้วย ปลัดอำเภอ เกษตรตำบล อบต. ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนประชาสังคมและอาสาสมัครเกษตร (อกษ.) เป็นแกนหลักร่วมกับตัวแทนภาคเอกชน ภาคเอกชน และภาควิชาการ ในหมู่บ้านตำบลเชื่อมโยงกับคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรระดับอำเภอ (SCD)และคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรระดับจังหวัด (SCP)และศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ในแต่ละจังหวัด
โดยคณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลมีหน้าที่จัดทำและขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจเกษตรแบบยั่งยืนระดับตำบลภายใต้แพลตฟอร์มการพัฒนาหลากหลายรูปแบบ เช่น 1ตำบล 1โครงการชลประทานชุมชน 1ตำบล1โครงการเกษตรอินทรีย์ 1ตำบล1ศูนย์บริการจัดการดิน-ปุ๋ยชุมชน 1ตำบล 1 ร้านค้าเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัย(Green Shop) 1 ตำบล 1 ตลาดออนไลน์ 1 ตำบล 1 สตาร์ทอัพเกษตร 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์แชมเปี้ยน(product champion) 1 ตำบล 1 ธนาคารต้นไม้ (ผลิตและจำหน่ายต้นกล้า) 1 ตำบล 1 เกษตรแปลงใหญ่ 1 ตำบล 1 ฟาร์มเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) 1 ตำบล1 แบรนด์ผลิตภัณฑ์ 1 ตำบล 1 เครือข่ายศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.)1 ตำบล 1 เครือข่ายศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC) 1 ตำบล 1 องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น(ประมงทะเลหรือประมงน้ำจืด) 1 ตำบล 1 กลุ่มประมง 1 กลุ่มปศุสัตว์ 1 กลุ่มเกษตรพลังงาน 1 เกษตรสุขภาพ 1 เกษตรท่องเที่ยว 1โครงการอาหารแห่งอนาคต (แมลง ผำ สาหร่าย แหนแดง) 1 โรงเรียนสีเขียว( Green School ) 1 วัดสีเขียว(Green Temple) และศูนย์ความรู้เกษตร(Agriculture Knowledge Center) เป็นต้น เพื่อปักหลักวางหมุดหมายการพัฒนาแบบยั่งยืนลงไปถึงระดับชุมชนหมู่บ้าน ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ของ รมว.เกษตรฯ ได้แก่ ตลาดนำการผลิต-เทคโนโลยีเกษตร4.0-เกษตรปลอดภัย-เกษตรยั่งยืน-เกษตรมั่นคง การบูรณาการทำงานเชิงรุกทุกภาคส่วนและเกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่
นายอลงกรณ์ได้มอบแนวทางในการบริหารโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล จังหวัดเพชรบุรีในระยะตั้งต้นไว้ 6 ประเด็น ดังนี้

  1. จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล โดยอบต. จัดสถานที่มีเจ้าหน้าที่ของอบต. ที่ทำหน้าที่กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ เป็นผู้ดูแลและมีอาสาสมัครที่สรรหาในตำบลช่วยปฏิบัติงาน
  2. จัดให้มีสภากาแฟเกษตรกรรมยั่งยืนประชุมเดือนละครั้งเป็นเวทีปรึกษาหารือไม่เป็นทางการ
  3. คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลควรประชุมเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วง 6 เดือนแรก จากนั้นประชุมทุก 2 เดือน
  4. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนก่อนหมดหน้าที่
  5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน
  6. การจัดทำระบบฐานข้อมูล
    ซึ่งหวังว่า กลไกนี้จะเป็นแนวทางการขับเคลื่อนที่สามารถยกระดับอัพเกรดให้แก่ภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืน.

ทางด้าน นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีได้กล่าวเสริมว่าจังหวัดเพชรบุรี พร้อมสานต่อนโยบายขับเคลื่อนเมืองเสบียงแห่งอาหาร สู่โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ระดับตำบล เน้นประโยชน์ของพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งแต่ละตำบลดูจุดแข็งของตำบลทั้งด้าน ปศุสัตว์ ประมง พืช สมุนไพร ผลไม้ รวมทั้งให้ความสำคัญด้านชลประทาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะดำเนินการทั้งในระดับจังหวัด หรือเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัด ที่ต้องทำงานร่วมกันเพิ่มศักยภาพพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง ที่จะขับเคลื่อนร่วมกันโดยสามารถเสนอโครงการและแผนงานจากงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดได้

หม่อมหลวง ชาญโชติ ชมพูนุช ได้เป็นประธานพิธีมอบรางวัลญาณสังวร “คนดีศรีแผ่นดิน”

เมื่อวันอาทิตย์ ที่18 กันยายน 2565 หม่อมหลวง ชาญโชติ ชมพูนุช ได้เป็นประธานพิธีมอบรางวัลญาณสังวร “คนดีศรีแผ่นดิน” และงานประกาศรางวัลเกียรติคุณ คนดีของแผ่นดินตามรอยพระยุคลบาท ครั้งที่ 11 ประจำปี พ.ศ. 2565 แสดงความยินดีกับนางสิริยา สัจจเดชะ ผู้ได้รับรางวัลญาณสังวร “คนดีศรีแผ่นดิน” พร้อมบุตรสาว นางสาวสิริภา
สัจจเดชะ
 มหาบัณฑิต สาขา บริหารธุรกิจ จากประเทศอังกฤษ (Master of Business Administration) ผู้รับรางวัล “แก้วมณีเมขลา” เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ผู้สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมมาโดยตลอด ณ โรงแรม อมารี ดอนเมืองแอร์พอร์ต ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

“อลงกรณ์”รวมพลคนประมงพื้นบ้านกว่า100,000คนจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น 2,776 องค์กรใน50จังหวัดตั้งงบสนับสนุนปีละ200องค์กร

พร้อมเปิดตัวหมู่บ้านประมงท่องเที่ยวอีก 53 แห่ง เร่งพัฒนาอาชีพแปรรูปผลิตภัณฑ์ออกมาตรฐานประมงพื้นบ้านยั่งยืนสร้างแบรนด์ขยายตลาด Fisheries Shopเพิ่มรายได้ชาวประมงภายใต้นโยบายส่งเสริมพัฒนาประมงพื้นบ้านของรัฐมนตรีเกษตรฯ.”เฉลิมชัย ศรีอ่อน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงชชเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยเปิดเผยวันนี้(18 ก.ย.)ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยครั้งที่4 ว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการ โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพื้นบ้าน รายงานผลการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นแล้วจำนวนทั้งสิ้น 2,776 องค์กร สมาชิกจำนวน 104,891 ราย และความคืบหน้าโครงการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนประมง องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ องค์กรชุมชนประมงด้านชายฝั่ง 80 ชุมชน ด้านน้ำจืด 84 ชุมชน ด้านแปรรูป 36 ชุมชน และได้อนุมัติโครงการและกิจกรรมตามความต้องการของชุมชน เพื่อพัฒนาอาชีพประมง จำนวน 200 องค์กรเรียบร้อยแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 20 ล้านบาทและจะสนับสนุนงบประมาณทุกปีๆละอย่างน้อย200 องค์กรๆละ100,000บาท

“ภายใต้นโยบายสร้างความเข้มแข็งชุมชนและองค์กรเกษตรกรโดยเฉพาะประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นชาวประมงรายย่อยของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย กรมประมงโดยนายเฉลิมชัย สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมประมงได้บูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนร่วมมือกันเร่งดำเนินการพัฒนาชุมชนและหมู่บ้านประมงพื้นบ้านเพื่อเพิ่มรายได้ด้วยโครงการใหม่ๆโดยจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นทั้งประมงน้ำจืดและน้ำเค็มให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนและต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยว”

นายอลงกรณ์ยังเปิดเผยต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาผลิตผลผลิตภัณฑ์ประมงและการพาณิชย์ ที่ได้ถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านสุขลักษณะที่ดีในการแปรรูปสัตว์น้ำ มีการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์และน้ำอุปโภคบริโภคมาตรวจคุณภาพ รวมทั้งถ่ายทอดเทคนิคการแปรรูปผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำและบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม ในองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น จำนวน 25 แห่ง จาก 18 จังหวัด ซึ่งอยู่ในภาคต่าง ๆ ได้แก่ภาคใต้ จำนวน 6 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 8 แห่ง ภาคเหนือ จำนวน 3 แห่ง ภาคตะวันออกจำนวน 2 แห่ง และภาคกลาง จำนวน 6 แห่ง และการออกหนังสือรับรองมาตรฐานการทำการประมงพื้นบ้านอย่างยั่งยืนและการแปรรูปสินค้าประมงพื้นบ้าน พร้อมกับการพัฒนาแบรนด์โดยให้การรับรองมาตรฐานการทำการประมงพื้นบ้านอย่างยั่งยืนให้แก่ชาวประมงพื้นบ้าน จำนวน 128 ราย และการรับรองสินค้าประมงที่จำหน่ายบนเว็ปไซต์ Fisheries Shop ของกรมประมง
สำหรับการพัฒนาหมู่บ้านประมงเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายใต้โครงการฟิชเชอร์แมนวิลเลจรีสอร์ต ( Fisherman’s Village Resort )มีความคืบหน้าโดยกรมประมงได้ส่งเสริมชุมชนประมงชายฝั่งที่มีศักยภาพ 22 จังหวัด สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ 53 แห่ง โดยมอบหมายให้กรมประมงขยายความร่วมมือกับทุกภาคีภาคส่วนพัฒนาอาชีพและส่งเสริมความเข้มแข็งชุมชนประมงด้วย โดยนำแนวทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(wellness tourism)มาประยุกต์ใช้ และให้ส่งเสริมการตลาดแบบออนไลน์(Online Market)เพื่อช่วยสนับสนุนการขายและการประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับหมู่บ้านประมงทางด้านการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย
ในการประชุมคณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 4/2565 ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ zoom cloud meeting มี นายอรุณชัย พุทธเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกรมเจ้าท่า ผู้แทนองค์การสะพานปลา ผู้แทนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้แทนภาคเอกชน สมาคมการประมง และผู้แทนเครือข่ายเกษตรกรชาวประมง เข้าร่วมประชุม และ นายพัฒนพงศ์ ชูแสง ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการทรัพยากรและกำหนดมาตรา กรมประมง เป็นฝ่ายเลขานุการการประชุม

“คาราบาวเเดง” ระเบิดศึกทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล 7 คน ครั้งประวัติศาสตร์ของไทย พา”เเชมป์ไปดูแชมป์” บินลัดฟ้าชมศึก “คาราบาวคัพ” ถึงอังกฤษแบบยกทีม!!

“คาราบาวแดง” สินค้าระดับโลก แบรนด์ระดับโลก ผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลระดับโลก Carabao Cup ที่ประเทศอังกฤษ อย่างเป็นทางการ จับมือกับ “Siamsport” จัดทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup ครั้งประวัติศาสตร์ ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย มอบประสบการณ์ ล้ำค่าพา “ทีมแชมป์” รับรางวัลใหญ่ บินลัดฟ้าสู่เมืองหลวงแห่งลูกหนัง ประเทศอังกฤษ ชมศึก Carabao Cup ฤดูกาล 22/23 รอบชิงชนะเลิศ ติดขอบสนามเวมบลีย์ แบบยกทีม!! พร้อมถ้วยรางวัลอันทรงเกียรติ และรางวัลอื่นๆ รวมรางวัลมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ประเดิมการแข่งขันสนามแรก โซนกรุงเทพฯ ก่อนออกเดินทางคัดเลือกทั่วประเทศ

กระแสตอบรับอย่างล้นหลาม!! สำหรับการแข่งขันฟุตบอล 7 คนครั้งประวัติศาสตร์ “Carabao 7-a-Side Cup” แชมป์ไปดูแชมป์ โดยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 เวลา 10.30 น. ที่สนามฟุตบอล Grand Soccer Pro (เกษตร-นวมินทร์) ได้มีงานแถลงข่าวเปิดทัวร์นาเมนต์อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในงานแถลงข่าว พร้อมตัวแทนทีมร่วมการแข่งขัน ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยานเป็นจำนวนมาก

นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาราบาวแดง มุ่งพัฒนาส่งเสริมศักยภาพนักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลซึ่งมีการเดินหน้าจัดกิจกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้สานต่อเจตนารมณ์จากวิสัยทัศน์ของบริษัท “เครื่องดื่มคาราบาวแดง สินค้าระดับโลก แบรนด์ระดับโลก” ผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล Carabao Cup ที่ประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นการต่อยอดกระแสฟุตบอล Carabao Cup บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ สยามกีฬา ผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาในเมืองไทย จัดการแข่งขันฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup แชมป์ไปดูแชมป์ ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง มีหัวใจรักการออกกำลังกาย และมีทักษะทางด้านกีฬา ได้มีเวทีในการแสดงความสามารถผ่านการแข่งขันฟุตบอล ประเภท 7 คน ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ ขอเพียงอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยการแข่งขันในครั้งนี้ จัดการแข่งขันเป็น 2 รอบ

รอบคัดเลือก จัดแข่งทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2565 – 6 พฤศจิกายน 2565 ทั้งหมด 16 ครั้ง( 15 จังหวัด) ที่สนามฟุตบอลชั้นนำ โดยมีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 512 ทีม ใช้การจับฉลากประกบคู่แข่งขันแบบแบ่งสาย ระบบการแข่งขันแบบแพ้คัดออก ในแต่ละสนามจะเตะคัดเลือกเพื่อหาตัวแทน 2 ทีม ที่จะได้เข้าสู่รอบชิงแชมป์ 32 ทีมสุดท้ายต่อไป

สำหรับรอบชิงแชมป์ จะจัดขึ้นวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 นี้ ที่สนาม Grand Soccer Pro กรุงเทพฯ (เกษตร-นวมินทร์) เพื่อหาแชมป์ Carabao 7-a-Side Cup ประจำปี 2022 โดยมีรางวัลมากมายที่จะได้รับในการแข่งขันครั้งนี้ รวมมูลค่ารางวัลกว่า 3 ล้านบาท

• ทีมชนะเลิศ อันดับ 1 ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ และเหรียญรางวัล และเดินทางไปดูการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ Carabao Cup 2023 ที่สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ ทั้งทีม หรือ 16 คน
• ทีมรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท และเหรียญรางวัล
• ทีมรองชนะเลิศ อันดับ 3 (ร่วม) ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาทต่อทีม และเหรียญรางวัล
• ทีมอันดับที่ 5 – 32 จะได้รับเงินรางวัลทีมละ 10,000 บาท
• ดาวซัลโว จะได้รับถ้วยเกียรติยศ และเงินรางวัล 10,000 บาท

นายกมลดิษฐ กล่าวว่า นอกจากของรางวัล บริษัทยังได้สนับสนุนเครื่องดื่มให้ทุกทีมที่เข้าแข่งขัน โดยขอเป็นกำลังใจให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนแสดงฝีเท้าอย่างเต็มที่ และสนุกไปกับกิจกรรมด้วยสปิริตของนักสู้ และน้ำใจนักกีฬา และขอให้ทุกทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน โดยผู้สนใจสามารถติดตามทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup รวมถึงกิจกรรมดีๆ จากคาราบาวกรุ๊ป และสามารถติดตามกิจกรรม จาก Facebook : Carabao Sport หรือ www.carabao.co.th

“เราจะพาแชมป์ ไปดูแชมป์ ด้วยกัน ณ สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ แบบยกทีม เตรียมทีมให้พร้อม ซ้อมทีมให้ดี แล้วออกมาสนุกด้วยกัน” นายกมลดิษฐ กล่าวทิ้งท้าย

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครได้ทาง https://bit.ly/3RbYysb Line ID : @carabao-7-a-side หรือคลิก https://lin.ee/2CZfnlA รวมทั้งติดตามผลการแข่งขันฟุตบอล 7 คน Carabao 7-a-Side Cup แชมป์ไปดูแชมป์ ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ FB: Carabao Sport หรือ โทร. 0995480884 (วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 10.00 – 19.00 น.)

“อลงกรณ์”ชูนครปฐมเมืองอุตสาหกรรมเกษตร

ไฟเขียวแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครปฐม 5 ปี(2566-2570) ย้ำเร่งเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลและชุมชนเมือง
       นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครปฐม โดยมี นายรัฐศาสตร์ ชิดชู รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นายพูลลาภ อุไรงาม เกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครปฐม นายศิริชัย เลี้ยงอำนวย เกษตรจังหวัดนครปฐม นายสมคิด เปี่ยมค้า นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายจิตติศักดิ์ ศรีปัญญา ผู้อำนวยการกองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสามัคคีมุขมาตย์ ชั้น 4 (ส่วนต่อขยาย) ศาลากลางจังหวัดนครปฐม
       นายอลงกรณ์ กล่าวว่า นครปฐมเป็นเมืองอุตสาหกรรมเกษตรที่สำคัญของประเทศและเป็นเมืองหลักของจังหวัดปริมณฑล สำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานภาคการเกษตรในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ตามนโยบาย 5 ยุทธศาสตร์ 15 นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีโครงการสำคัญที่ดำเนินการใน 5 เรื่อง ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง 2) การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง 3) การพัฒนาการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล 4) การขับเคลื่อน BCG ด้านการเกษตร และ 5) การขับเคลื่อนการดำเนินงานศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และการบริหารจัดการเชิงพื้นที่จังหวัดนครปฐม มีสินค้าสำคัญ ทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ได้แก่ ข้าว กล้วยไม้ มะพร้าวน้ำหอม กุ้งขาว กุ้งก้ามกราม ปลานิล สุกร โคนม และไก่ไข่
ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครปฐม ฉบับ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ฉบับทบทวน รอบปี พ.ศ. 2567 ที่จะเป็นกรอบในการขับเคลื่อนงานภาคการเกษตรในพื้นที่ต่อไปแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครปฐม 5 ปี(2566-2570)

“กระทรวงเกษตรฯ มุ่งขับเคลื่อนภาคการเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง (Next Normal) โดยมี 12 คานงัดสำคัญ ได้แก่ 1) ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) 2) ศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ 3) ดิจิตอล ทรานสฟอร์เมชั่น (Digital Transformation) 4) เกษตรอัจฉริยะและตลาดออนไลน์ 5) เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง-ชนบท 6) เกษตรแห่งอนาคต อาหารแห่งอนาคต7) โลจิสติกส์เกษตรเชื่อมไทย-เชื่อมโลก 8) เกษตรแปลงใหญ่ สตาร์ทอัพเกษตร 9) ยกระดับเกษตรกรก้าวใหม่ 10) เกษตรสร้างสรรค์ สู่เกษตรมูลค่าสูง (The Brand Project) เน้นแปรรูปสร้างมูลค่าและพัฒนาแบรนด์11) การพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area base) ไม่มีเหลื่อมล้ำ 12) เปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน (Partnership platform) ในประเทศและต่างประเทศ”

นายอลงกรณ์ได้ย้ำให้เดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลและชุมชนเมืองเป็นโครงการใหม่เสมือนคานงัดการปฏิรูปภาคเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ ภายใต้แนวคิด “บริหารโดยชุมชน เป็นของชุมชน และเพื่อชุมชน” โดยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนทุกตำบลของนครปฐมและทุกจังหวัดแล้ว ซึ่งจะเป็นกลไกพัฒนาหมู่บ้านตำบลแบบบูรณาการทุกภาคส่วน ควบคู่กับการเดินหน้าโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนครอบคลุม 76จังหวัดและกรุงเทพมหานคร
       จากนั้นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานแปลงใหญ่ข้าวและการบริหารจัดการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) โดยมี ว่าที่ร้อยโทอรรถชล ทรัพย์ทวี นายอำเภอกำแพงแสน เจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและนายสมคิด เปี่ยมคล้า ทีมงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรรวมถึงเกษตรกร ให้การต้อนรับ ณ หมู่1 ตำบลทุ่งขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งแปลงใหญ่ดังกล่าว สามารถลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต จากเดิม 800 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มเป็น 1,000 กิโลกรัม/ไร่ มีการพัฒนาคุณภาพ โดยสมาชิกผู้ปลูกข้าวแปลงใหญ่ทั้งหมด อยู่ระหว่างการขอการรับรองมาตรฐานการผลิตข้าว GAP แบบกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อขอการรับรอง เป้าหมายเกษตรกรแปลงใหญ่ได้รับใบรับรอง GAP ทั้งหมด 32 ราย หรือ 100% รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายด้านการตลาด และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น facebook ฯลฯ

ปัจจุบันกลุ่มแปลงใหญ่ฯ ผลิตข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 มีสมาชิก จำนวน 32 ราย และมีพื้นที่ จำนวน 425 ไร่ เดิมสมาชิกต่างคนต่างขายโดยตรงให้กับโรงสี เมื่อรวมกลุ่มแปลงใหญ่ได้มีการพัฒนาแปรรูปผลผลิตเป็นข้าวสาร โดยกลุ่มมีโรงสีขนาดเล็กสำหรับแปรรูปผลผลิตของสมาชิก ผลิตภัณฑ์ที่ได้เป็นข้าวสารแบ่งบรรจุขนาด 1 กิโลกรัม และ 5 กิโลกรัม จำหน่ายตลาดในชุมชน ออกบูทตามงานต่าง ๆ ตลาดนัดศิลปากร ตลาดเกษตรกร และช่องทางออนไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ กลุ่มแปลงใหญ่ฯ ได้ร่วมกันจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ตำบลทุ่งขวาง และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย.

ROOT TANK ร่วมออกบูธในงานมหกรรมอุตสาหกรรมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และงาน Thai Water Expo 2022 14 – 16 กันยายน 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

14 กันยายน 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 1 – 2 กระทรวงพลังงาน – สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย – อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week (ASEW) และ Electric Vehicle Asia 2022 (EVA) มหกรรมอุตสาหกรรมด้านพลังงานสิ่งแวดล้อม การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และงาน Thai Water Expo 2022 งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านเทคโนโลยีการจัดการน้ำและน้ำเสียงานเดียวในประเทศไทย ขานรับการเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและวางเป้าหมายขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

ภายในงาน ได้มีการออกบูธของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ด้านพลังงาน และอุปกรณ์เพื่อส่งเสริมงานด้านการเกษตรภายใต้แบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ และผู้ผลิตด้วยวัสดุที่ผลิตเองภายในประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ครอบคลุมพลังงานทางเลือกในรูปแบบต่าง ๆ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมาก

นายมารุต ศรีวรรณบุตร (Managing Director) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีเมฆ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตถังกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ แบรนด์ “ROOT TANK” หนึ่งในผู้ประกอบการที่ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงาน กล่าวว่า
“บริษัทฯ เราทำธุรกิจจัดจำหน่ายถังประกอบขนาดใหญ่ เป็นการเอาชิ้นส่วนถังกึ่งสำเร็จรูปมาประกอบที่หน้างาน ตามที่วัตถุประสงค์ของผู้ใช้ อย่างเช่น กลุ่มราชการจะใช้สำหรับสูบน้ำเพื่อกระจายน้ำด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์ส่งตรงถึงชาวบ้านในพื้นที่ หรือ หน่วยงานอบต.จะใช้สำหรับกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร สำหรับด้านอุตสาหกรรมจะกักเก็บน้ำไว้เพื่อกระบวนการด้านอาหารสัตว์ต่าง ๆ และในปัจจุบัน ถังที่กำลังได้รับความนิยมนี้ จะเป็นลักษณะเพื่อใช้ในการบรรเทาสาธารณะภัยเรียกว่าถังดับเพลิง เป็นต้น
สำหรับถังประกอบของเรา รุ่นที่เป็นเรือธง จะเป็นรุ่นที่เรียกว่า ไชโย (Chai Yo) โดยหลักแล้ววัสดุอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของถังประกอบนี้ จะผลิตในประเทศไทยจึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อแบบไทย ๆ นอกจากนั้นยังมีรุ่น สยาม เป็นถังสแตนเลส, รุ่นนาวา จะเป็นถังเคลือบเซรามิค หรือเคลือบแก้ว ส่วนรุ่นไตรรงค์ จะเป็นถังที่เคลือบด้วยสารอีพ็อกซี่ (Epoxy) หรือเคลือบสี สำหรับ รุ่นไชโย (Chai Yo) ลักษณะโครงสร้างจะเป็นเหมือนไซโล ภายในจะปูด้วยผ้าใบเพื่อรองรับน้ำได้อย่างดี ตัวถังเป็นเหล็กเคลือบด้วยแม็กนีเซียม (Magnesium) ซึ่งเป็นเหล็กที่ได้รับลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่น และเป็นเจ้าเดียวที่ใช้ในการผลิตถัง ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบัน SGS ว่าบรรจุน้ำที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้ จึงเป็นรุ่นที่มีคุณสมบัติเฉพาะตามความต้องการของหน่วยงานราชการหลาย ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล , อบต. จังหวัดทางภาคอีสาน อย่าง ขอนแก่น กาฬสินธุ์ รวมถึงหน่วยงานของกรมทรัพยากรน้ำ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในตอนนี้ ถือเป็นภาชนะขนาดใหญ่ที่ช่วยเหลือชาวเกษตรกรได้เป็นอย่างดี เพราะมีความจุได้ถึง 1 – 2 ล้านลิตร

การติดตั้งถังประกอบดังกล่าวนี้ ติดตั้งได้ไว สะดวก รวดเร็ว โดยใช้แรงงานน้อย ยังสามารถใช้ชาวบ้านในพื้นที่มาช่วยประกอบ จึงช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนได้อีกด้วย และสามารรถถอดเคลื่อนย้ายได้ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกด้วยเช่นกัน ผลิตภัณฑ์ที่เรานำส่งหน่วยงานราชการ เรารับรองการรับประกันถึง 10 ปี สำหรับการใช้งานโดยปรกติ อย่างใช้บรรจุน้ำ ไม่มีการทำลายโดยเนื้อวัสดุ
บริษัท ศรีเมฆ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตถังประกอบนี้ ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ซึ่งเปิดมาแล้วกว่า 8 ปี จึงการันตีความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ได้ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และองค์กรที่มีทีมงานผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ด้านการบริหารการจัดการ จากอดีตเป็นผู้นำเข้าวัสดุจากต่างประเทศ มาถึงปัจจุบันที่เป็นผู้ผลิตเองโดยคนไทยจนเป็นที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ด้วยดีเสมอมา โดยมียอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 200 ล้านต่อปี ด้วยสภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้นจึงมีความจำเป็นในการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อการกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ และภายในปี 2565 นี้ ได้ตั้งเป้ายอดขายไว้เกินกว่า 200 ล้าน ซึ่งคาดว่าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ด้านการช่วยเหลือสังคมจากธุรกิจ หรือ CSR ทางบริษัทศรีเมฆฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยการบริจาคถังให้กับเทศบาลขอนแก่น อบจ.ขอนแก่น เพื่อใช้ประโยชน์ในน้ำดื่มชุมชน ซึ่งได้ทำมาอย่างต่อเนื่องถึง 2 ปีแล้ว
เป้าหมายต่อไปของบริษัท ศรีเมฆ ซึ่งเป็นผู้ผลิตถังประกอบ มองไว้ว่า ใน 3 ปีข้างหน้านี้ จะนำผลิตภัณฑ์ส่งออกสู่ต่างประเทศ โดยในปีแรกจะมุ่งไปที่ตลาดในอาเซี่ยน อย่างพม่า สปป.ลาว กัมพูชา ส่วนอีก 2 ปีต่อไปเราจะบุกตลาดไปทางโซนตะวันออกกลาง อเมริกา และยุโรป

ท้ายที่สุดทางคุณมารุต ได้ฝากถึงลูกค้า ผู้บริโภค หน่วยงานต่าง ๆ และผู้ที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ถังเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม องค์กรของท่านไว้ว่า ถังประกอบภายใต้แบรนด์ ROOT TANK ซึ่งเป็นสินค้าของคนไทย เรายินดีที่จะให้ข้อมูลและร่วมให้ข้อเสนอแนะในการออกแบบ ดีไซน์ ให้ตรงตามวัตถุประสงค์หรืองบประมาณของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร รวมถึงทุกภาคส่วน ขอให้พิจารณา ROOT TANK ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของคนไทยในการเลือกซื้อเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมของท่านในโอกาสต่อไป”

ท่านที่สนใจชมผลิตภัณฑ์ ถังน้ำประกอบภายใต้แบรนด์ ROOT TANK ได้ภายในงาน ASEW&EVA 2022 มหกรรมอุตสาหกรรมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และงาน Thai Water Expo 2022 งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านเทคโนโลยีการจัดการน้ำและน้ำเสียงานเดียวในประเทศไทย เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 14 – 16 กันยายน 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หลังจากนั้นสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ได้ที่เบอร์ 083-659-9154 คุณมารุต ศรีวรรณบุตร

สาธิตม.ศิลปากร เป็นเจ้าภาพจัดงาน” สาธิตวิชาการ ครั้งที่ 8 “

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 10 ก.ย.65 ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อ.เมือง จ.นครปฐม ศาสตราจารย์ ดร. คณิต เขียววิชัย
รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ให้เกียรติมาประธานในพิธีเปิดการประชุมเตรียมงานและแถลงข่าวการจัดงานสาธิตวิชาการ ครั้งที่ 8 “จินตนาการประสานภูมิปัญญา พัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ ก้าวทันโลกดิจิทัล” (Satit Innovation and Creativity for Education 4.0) โดยในพิธีเปิดงานสาธิตวิชาการ ครั้งที่ 8 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 ธ.ค.2565 ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร จ.นครปฐม ในครั้งนี้ได้จัดเป็น
รูปแบบออนไลน์

โดยมี ผศ.ดร.มาเรียม นิลพันธุ์คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ กล่าวต้อนรับผู้บริหารโรงเรียนสาธิตทั้ง 22 สถาบัน อาทิ
ผศ.สานิตย์ รัศมี ผู้อำนวยการ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, ดร. ผกามาศ นันทจีวรวัฒน์

ผู้อำนวยการ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา,
รศ.พัชรี วรจรัสรังสี ผู้อำนวยการ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถมศึกษา, ผศ.ดร. นพดล กองศิลป์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม), อ.ณัฐดนัย บุตรพลับ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร
(มัธยมศึกษา) และ ผศ.ดร.วิสูตร โพธิ์เงิน ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (ปฐมวัยและประถมศึกษา) ฯลฯ
พร้อมกับการแสดงพิธีเปิด ชื่อชุด “เริงอรุณถิ่นทวาสาธิตนิมิตรพรคเณศ” จากนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษาและประถมศึกษา)

ทั้งนี้งานสาธิตวิชาการ นั้นเปรียบเสมือนเวทีการนำเสนอความก้าวหน้าและเผยแพร่ผลงานวิชาการของกลุ่มโรงเรียนสาธิตด้านหลักสูตร การเรียนการสอน การวิจัย ฯลฯ ยังเป็นความร่วมมือกันในงานด้านวิชาการจาก 22 สาธิต เพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าด้านการศึกษาของประเทศไทยในอนาคต

นอกจากนี้ทางผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากรได้พา ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยทั้ง 22 สถาบันเข้าเยี่ยมชมพระราชวังสนามจันทร์ สักการะองค์พระพิฆเนศ เพื่อความเป็นสิริมงคล

แถลงข่าวยิ่งใหญ่! ONE LUMPINEE เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กับดีลประวัติศาสตร์ที่จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่สู่วงการมวยไทยทั้งระบบ

“วัน แชมเปียนชิพ (ONE)” องค์กรสื่อกีฬาระดับโลก ผนึกกำลัง “สนามมวยเวทีลุมพินี” เปิดประวัติศาสต์หน้าใหม่ให้กับวงการมวยไทย เตรียมระเบิดศึก ONE LUMPINEE ด้วยมาตรฐานโปรดักชันระดับโลก สร้างคอนเทนต์กีฬาในรูปแบบเวิลด์คลาส ยกระดับวงการมวยไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยบิ๊กบอสใหญ่ “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” แย้มจัดศึกปฐมฤกษ์มกราคมปีหน้า ในรูปแบบอินเตอร์เนชันแนลไฟต์ ที่รวบรวมศิลปะการต่อสู้อันหลากหลายทั้ง มวยไทย มิกซ์มาเชียลอาร์ต (MMA) คิกบ็อกซิง ฯลฯ ยิงสดมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ผู้ชมมากกว่า 60 ล้านคนในทุกแพลตฟอร์ม

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2565 “นายชาตรี ศิษย์ยอดธง” ผู้ก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอ ONE พร้อมด้วย “พลเอกสุชาติ แดงประไพ” ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก (มวยไทยลุมพินี) แถลงข่าวประกาศความร่วมมือ เตรียมจัดการแข่งขันมวยไทยโปรดักชันระดับโลกในชื่อศึก “ONE LUMPINEE” ณ สนามมวยเวทีลุมพินี รามอินทรา กรุงเทพ โดยมีเหล่าโปรโมเตอร์ หัวหน้าคณะ ค่ายมวย นักมวยไทย บุคลากรในวงการกีฬาทั้งภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชน ตลอดจนแฟนคลับ เดินทางมาร่วมงานกว่า 1,000 คน

นายชาตรี ศิษย์ยอดธง เปิดเผยว่า “สนามมวยเวทีลุมพินี ถือเป็นสนามมวยอันทรงเกียรติยศสูงสุดแห่งวงการมวยไทยมาอย่างยาวนาน เป็นสถานที่ให้กำเนิดแชมป์มวยไทย และนักชกระดับตำนานมาแล้วหลายยุคหลายสมัย และนักชกซึ่งเป็นแชมป์โลกของ ONE หลายคนก็มีความหลังกับสนามมวยแห่งนี้ โดยสนามมวยเวทีลุมพินีมีวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้กีฬามวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้จริงๆ โดยปลอดการพนัน มีมาตรฐานที่จะก้าวไปสู่ระดับโลกได้ จึงเป็นที่มาของการตอบรับคำเชิญจากกองทัพบกในการรับตำแหน่งโปรโมเตอร์ประจำสนามมวยเวทีลุมพินีในครั้งนี้”

“ลุมพินีได้รับการยกย่องว่าเป็นเมกกะมวยไทยแห่งหนึ่งของโลก ความร่วมมือกับ ONE ซึ่งเป็นโปรโมเตอร์ศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมมั่นใจว่าจะสามารถสร้างปรากฎการณ์ใหม่ และช่วยยกระดับมวยไทยไปสู่ระดับโลกได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเราจะนำระบบการจัดการแข่งขันมาตรฐานเวิลด์คลาสของ ONE ที่เป็นสปอร์ต เอนเตอร์เทนเมนต์ มีความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ และมีเกณฑ์การตัดสินที่เที่ยงธรรมได้มาตรฐานสากล มาจัดให้แฟน ๆ ได้รับชมกันอย่างจุใจในชื่อศึก ONE LUMPINEE และยังต่อยอดสู่การเป็นคอนเทนต์ระดับโลกที่ช่วยโปรโมตประเทศไทยไปในตัว ถ่ายทอดสดไปมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ผู้ชมมากกว่า 60 ล้านคนในทุกแพลตฟอร์ม”

“สำคัญที่สุด เราพร้อมจะให้ค่าตอบแทนที่สูงที่สุดในประเทศไทยแก่นักมวยที่เข้าแข่งขันใน ONE LUMPINEE เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของนักกีฬา พร้อมเปิดกว้างให้ค่ายมวยทุกแห่งทั่วประเทศส่งนักมวยเข้าแข่งขัน หากใครทำผลงานได้ดีก็จะมีโอกาสก้าวเข้ามาเป็นนักกีฬาในสังกัดของ ONE หรือลงแข่งขันชิงแชมป์ในทัวร์นาเมนท์อื่น ๆ ของ ONE ได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังจะมีการจัดอินเตอร์เนชันแนลไฟต์ ที่รวบรวมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ทั้ง มวยไทย มิกซ์มาเชียลอาร์ต (MMA) คิกบ็อกซิง ฯลฯ ทำให้การรับชมกีฬาการต่อสู้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น”

ด้าน พล.อ.สุชาติ แดงประไพ กล่าวว่า “ทางกองทัพบกมีความตั้งใจอย่างมากที่จะยกระดับมวยไทยให้เป็นกีฬาอย่างแท้จริง เราหวังที่จะเห็นมวยไทยซึ่งไม่มีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อที่จะผลักดันมวยไทยให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์สู่ระดับโลก เราจึงมองหาโปรโมเตอร์ที่จะช่วยสร้างความสำเร็จนี้ให้เกิดขึ้นได้จริง จึงได้เชิญ ONE ซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกมาเป็นโปรโมเตอร์จัดศึก ONE LUMPINEE ในครั้งนี้”

“แฟนๆ จะได้เห็นโปรดักชันดีไซน์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในวงการมวยไทย โดยจะมีการจัดแข่งขันเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักกีฬาได้ลงแข่งขันอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมมวยไทยแล้ว ยังเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมวงการมวยไทยไปสู่ระดับโลกด้วย”

“ทีมงานของสนามมวยเวทีลุมพินี และ ONE จะทำงานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนกรรมการ และทีมงาน ซึ่งจะทำให้ช่วยเพิ่มองค์ความรู้ และประสบการณ์ให้กับบุคลากรในวงการมวยไทยบ้านเราได้เป็นอย่างดี ซึ่งเรามีผู้ตัดสินชาวไทยหลายคนที่มีความสามารถและฝีมือดี แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำงานในองค์กรใหญ่ระดับนานาชาติ การเข้ามาของ ONE จึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถสู่สายตาชาวโลกได้มากขึ้น และหากทำได้ดีก็มีโอกาสที่จะต่อยอดไปเป็นกรรมการในศึก ONE ได้ต่อไปในอนาคต”

ทั้งนี้ ONE LUMPINEE จะระเบิดศึกนัดแรกรับศักราชใหม่ในเดือนมกราคม 2566 โดยจะจัดการแข่งขันทุกสัปดาห์ อย่างน้อย 52 ครั้งตลอดปี ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ สนามมวยเวทีลุมพินี เป็นศูนย์กลางของเมกกะมวยไทย ก้าวสู่การเป็นศูนย์รวมของศิลปะการต่อสู้อันหลากหลายในรูปแบบสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนต์และการท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่สำคัญของไทย

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand และแฟนเพจ Lumpinee Boxing Stadium