ดนัย ทวีโภค (หมึก มายา) คอลัมนิสต์ อาวุโส อดีต ศิลปินวงเพื่อน

มีโอกาสได้เข้าพบ นาย ศุภชัย โพธิ์สุ”

รองประธานสภาผู้แทนราชฎร คนที่2 และ
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์-สมาชิกสภาผู้แทนราชฎรจังหวัด
นครพนม พรรคภูมิใจไทย !!

ขอบุคุณกาแฟดำที่ทำให้ท่านกรุณาแบ่ง

เวลานั่งเสวนาเรื่องกัญชา!!กัญชงแบบตรง
ประเดน เล่นเอาผมเป็นปลื้มจนลืมเหนื่อยที่
ท่านได้มอบPocket bookจะเรียกได้ว่าเป็น
ชีวประวัติจาก

เด็กกำพร้าลูกชาวนาสู่ชายคาเสนาบดี

ประเทศไทย”ศุภชัย โพธิ์สุ” #ครูแก้ว เพชร
เม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำสงคราม จ.นครพนม ที่ยัง
คงเป็นตัวแทน่หรือผู้แทนราชฎรตลอดไป
เพราะ #ศุภชัย #หัวใจคือประชาชน

JAPANESE FRUIT. THE ULTIMATE GIFT.เชิญสัมผัสกับเคล็ดลับความอร่อยและคุณภาพสูงของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่น

Japan Fruit and Vegetables Export Promotion Council (JFEC) จัดงาน JAPANESE FRUIT. THE ULTIMATE GIFT. เพื่อถ่ายทอดความอร่อยและมีคุณภาพสูงของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงเหมาะสำหรับเป็นสิ่งบริโภคในชีวิตประจำวัน แต่ยังเหมาะสำหรับใช้เป็นของขวัญและของฝากสำหรับคนพิเศษอีกด้วย

งาน “JAPANESE FRUIT. THE ULTIMATE GIFT.” พบกับผลไม้ต่าง ๆ ที่ดูน่าอร่อยห่อหุ้มด้วยแพ็คเกจที่มีดีไซน์หรูหรา ใช้การออกแบบลวดลายแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม โดยมีแรงบันดาลใจจากผลไม้ของประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก เป็นภาพที่สื่อถึงรสชาติที่อร่อยและคุณภาพสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเหมาะสำหรับเป็นของฝากและของขวัญสำหรับคนที่คุณรัก รวมถึงในงานยังได้เตรียมผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านได้ชิมเพื่อลิ้มลองความอร่อยและสัมผัสถึงคุณภาพของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่น โดยมุ่งหวังว่าทุกท่านจะได้สัมผัสถึงความประณีตในการผลิตอันเกิดจากฝีมือของผู้เพาะปลูกชาวญี่ปุ่น อีกทั้งยังหวังว่าทุกท่านจะเล็งเห็นถึงความเหมาะสมของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นในการใช้เป็นของขวัญและของฝาก

ปัจจุบัน ผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย และความต้องการผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นได้ขยายเพิ่มขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สำหรับงานในครั้งนี้จัดขึ้นโดยคาดหวังว่าจะทำให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ทราบถึงความอร่อยและมีคุณภาพสูงซึ่งเป็นเสน่ห์ของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่น โดยส่งผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Craftsmanship” หรือฝีมือของผู้เพาะปลูกชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมุ่งหวังให้ผู้บริโภคเล็งเห็นถึงความเหมาะสมของการนำผลไม้ที่มีคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่นมาใช้เป็นของขวัญและของฝากในชีวิตประจำวัน โดยผลไม้ที่จะทำการโปรโมทในครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ผลไม้ 6 ชนิด อันได้แก่ แอปเปิ้ล องุ่น ลูกพีช ส้ม สตรอเบอร์รี่ ลูกพลับ รวมถึงผลิตภัณฑ์ลูกพลับแปรรูป ซึ่งทั้งหมดต่างเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยทั้งสิ้น โดยจะเริ่มทำการโปรโมทตั้งแต่ช่วงวันสาร์ทจีนปีนี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากดาราสาวมากความสามารถ “คุณป๊อก” ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ มาร่วมพูดคุยถึงเสน่ห์ของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นภายในงาน เพื่อให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะสามารถสัมผัสถึงเสน่ห์ของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่น รวมถึงผู้เข้าร่วมงานทุกท่านยังได้ลิ้มลองความอร่อยและสัมผัสถึงคุณภาพของผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

สอบถามข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์และภาพประกอบเพิ่มเติมได้ที่ คุณเดือน 061 617 8942

เกี่ยวกับ Japan Fruit and Vegetables Export Promotion Council (J-FEC) (ผู้จัดงาน)

ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 ดำเนินธุรกิจที่จำเป็นสำหรับการส่งเสริมการส่งออกผักและผลไม้ที่ปลูกภายในประเทศรวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ (ซึ่งต่อไปในเอกสารนี้จะเรียกว่า “ผักและผลไม้ที่ปลูกภายในประเทศ) นอกจากนี้ยังรวบรวมและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกผักและผลไม้ที่ปลูกภายในประเทศ โดยมีขอบข่ายการทำงานดังนี้

  1. ประชาสัมพันธ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับผักและผลไม้ที่ปลูกภายในประเทศ
  2. ดำเนินการจัดนิทรรศการ สัมมนา ฯลฯ
  3. วิจัยการตลาดต่างประเทศ
  4. จัดประชุมศึกษาความร่วมมือระหว่างพื้นที่การผลิตรวมถึงการปรับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งออก
  5. สนับสนุนการส่งออกของผู้ส่งออกผักและผลไม้ที่ปลูกภายในประเทศ
  6. ดำเนินงานอื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน
    ปัจจุบันในเดือนสิงหาคม 2565 มีองค์กรที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในหน่วยงานด้วยกันถึง 70 องค์กร โดยสมาชิกของหน่วยงานจะดำเนินกิจการดังกล่าวข้างต้นพร้อมกับสรรหาสมาชิกเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
    เว็บไซต์ : https://jpfruit-export.jp/english.html

เกี่ยวกับ The Japan Food Product Overseas Promotion Center “ผู้ร่วมจัดงาน”

“The Japan Food Product Overseas Promotion Center (ศูนย์ส่งเสริมผลิตภัณฑ์อาหารญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศ หรือ JFOODO)” ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 โดย Japan External Trade Organization (องค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JETRO) เพื่อดำเนินการส่งเสริมประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรป่าไม้และประมง / ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ในการที่จะขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรป่าไม้และประมง / ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นนั้น จำเป็นจะต้องสร้างและกระตุ้นความต้องการเพิ่มเติมในต่างประเทศ JFOODO จะทำการกระตุ้นให้เกิดความต้องการเพื่อสนับสนุนการขยายสินค้าของผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรป่าไม้และประมง / ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นผ่านการส่งเสริมการส่งเสริมการขายสำหรับผู้บริโภคในต่างประเทศ
เว็บไซต์ : https://www.jetro.go.jp/en/jfoodo/

“อลงกรณ์”ร่วมเสวนา”สภาผู้แทนฯ.”ชู5ยุทธศาสตร์”เฉลิมชัย”ปฏิรูปภาคเกษตรแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรเน้นแปรรูปสู่เกษตรมูลค่าสูง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้เกียรติร่วมเป็นวิทยากรการสัมมนาและบรรยายในหัวข้อเรื่อง”การแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรโดยการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิตการแปรรูป และการตลาด” ร่วมกับ นายวีระกร คำประกอบ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมมาธิการ นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน และมีนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ เป็นผู้ดำเนินรายการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การแปรรูป และการตลาด ของผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ จำนวน 200 คน ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ29ส.ค. ณ ห้องประชุมสัมมนา B 1-1 ชั้น B 1 อาคารรัฐสภา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะ และระดมข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตร และยกระดับรายได้เกษตรกรให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ13ของโลกทำให้สินค้าเกษตรของไทยต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก เช่นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ( Climate Change )การแพร่ระบาดของโควิด -19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลให้ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพงทำให้ต้นทุนกาคผลิตภาคการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น
การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรจึงต้องขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนที่เรียกว่า”คานงัด”เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนของโลก
กระทรวงเกษตรฯ.จึงสร้างคานงัดเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนแบบองค์รวมเป็นกลไกแก้ไขปัญหาและพัฒนาศักยภาพภาคเกษตรของไทยจากต้นน้ำถึงปลายน้ำภายใตั 5 ยุทธศาสตร์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้แก่ 1) ตลาดนำการผลิต 2) เทคโนโลยี่เกษตร 4.0 3) ”3 S”เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน 4) เกษตรกรรมยั่งยืน และ 5) บูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนโดยมีตัวอย่าง คานงัด ที่ดำเนินการเช่น

  1. การสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเกษตร อาทิ การเจรจาความร่วมมือกับประเทศเวียดนามเพื่อยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก ถือเป็นความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือของ2ประเทศในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวอันดับที่ 2 และ 3 ของโลก โดยตั้งกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อร่วมกันสร้างอำนาจการต่อรองราคาข้าวในตลาดโลก หรือการยกระดับความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบีย และดูไบในการขยายตลาดสินค้าเกษตรในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรป
  2. ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”ในรูปแบบ online-offline ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ.กับกระทรวงพาณิชย์โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ รวมทั้งความร่วมมือกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
  3. สร้างโอกาสตลาดใหม่และลดต้นทุนโลจิสติกส์ด้วยแนวทาง”เชื่อมไทย เชื่อมโลก”เช่น กรณีรถไฟจีน-ลาวขนส่งสินค้าเกษตรไปจีนและร่วมมือกับคาซัคสถาน และดูไบในโครงการท่าบกคอคอสเป็นชุมทางรถไฟบริเวณพรมแดนจีน-คาซัคสถานเพื่อขนส่งจากอีสานเกตเวย์ไปเอเซียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรป
  4. เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ด้วยนโยบายเทคโนโลยีเกษตรและนโยบายคุณภาพและมาตรฐาน เช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC)ทุกจังหวัดโดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทยยกระดับการผลิตอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน
  5. การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสร้างแบรนด์สู่เกษตรมูลค่าสูง เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่ง/(กรกอ.)ร่วมเดินหน้าโครงการ
    ”1 กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร” เพื่อกระจายฐานตลาดและฐานการแปรรูปสินค้าเกษตรใน18กลุ่มจังหวัดครอบคลุมทั่วประเทศและโครงการ”เกษตรแม่นยำ 2 ล้านไร่”และขยายเป็น 5 ล้านไร่เพื่อให้สินค้าเกษตรมีตลาดอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและมีผลิตภัณฑ์เกษตรมากขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น
  6. ริเริ่มเพิ่มสินค้าเกษตรทางเลือกใหม่แทนสินค้าเกษตรเชิงเดี่ยวที่มีปัญหาด้านราคาด้วยนโยบายอาหารแห่งอนาคต(Future Food)เช่น แมลง โปรตีนพืช สาหร่าย ผำ ฮาลาล
  7. สร้างกลไกขับเคลื่อนแบบบูรณาการทำงานเชิงรุกทุกภาคีภาคส่วนบนหลักการหุ้นส่วน(Partnership)ระหว่างภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการและภาคเกษตรกรไม่ใข่ต่างคนต่างทำ โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายทุกชุดของกระทรวงเกษตรฯ.ใช้โมเดลทำงานและองค์ประกอบ4ฝ่าย
  8. บริหารด้านอุปสงค์และอุปทาน( Supply Side & Demand Side management)เพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตรเช่น กรณียางพารามีการลดพื้นที่ปลูก1แสนไร่ทุกปีพร้อมกับขยายตลาดใหม่ๆ เข่นเดียวกับข้าวที่ปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสมให้ผลผลิตต่ำแต่ลงทุนสูงขาดทุนต่อเนื่องโดยปรับเปลี่ยนไปสู่พืชทางเลือกที่มีตลาดเช่นถั่วเขียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฯลฯทั้งยางพาราและข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่ไทยส่งออกเป็นอันดับ1และ2ของโลกแต่ราคาไม่แน่นอนผันผวนตลอดมาจึงต้องบริหารทั้งปริมาณผลผลิตและตลาดไปพร้อมๆกัน
  9. การพัฒนาและบริหารปัจจัยการผลิตและเครื่องจักรกลการเกษตร เช่น เมล็ดพันธ์ุ ปุ๋ย และพลังงาน ยกตัวอย่างในภาวะปุ๋ยแพงได้ส่งเสริมปุ๋ยอินทรีย์และ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีโดยส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ มีการจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์ PGS แห่งประเทศไทยสำเร็จเป็นครั้งแรก หรือโครงการข้าวอินทรีย์1ล้านไร่ รวมทั้งการส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันเช่นไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอลล์ (เอทานอล)แปรรูปจากปาล์มน้ำมัน อ้อยและมันสำปะหลัง หรือการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีเกษตรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต
  10. การปฏิรูปการบริหารและบริการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านการบริหารราชการแผ่นดินและด้านการให้บริการประชาชนด้วยโครงการพัฒนา22หน่วยงานด้วยระบบดิจิตอล(Digital Transformation)และศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ(ระบบบิ๊กเดต้า)รวมทั้งระบบNSWและลายเซ็นดิจิตอล(Digital Signature) โดยตั้งเป้าหมายให้กระทรวงเกษตรฯ.ซึ่งรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาและพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยต้องเป็นกระทรวงที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพในการรับมือกับโจทย์ปัจจุบันและอนาคต
    ตัวอย่าง10คานงัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแบบองค์รวมเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรพร้อมกับสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงในตลาดโลกจะทำให้เกษตรกรและประเทศมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างยั่งยืน.

ดิเอมเมอรัลด์รับรางวัลโรงแรมดีเด่น

ธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบโล่รางวัล “โรงแรมดีเด่นในด้านการบริหารที่มีคุณภาพเป็นเลิศ” ให้กับโรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ โดย ขวัญเรือน เหลียวตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เป็นตัวแทนรับมอบ ภายในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ของสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย โดยมี อนันต์ นิลมานนท์ นายกสมาคมฯ ร่วมแสดงความยินดี ที่ห้องบอลรูม 1 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ เมื่อวานนี้

เปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์2ชาติผู้นำเกษตรอาเซียน

“ไทย-เวียดนาม”ยกระดับความร่วมมือด้านเกษตรสู่หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ มุ่งพัฒนาเทคโนโลยี
เพิ่มรายได้เกษตรกรตอบโจทย์ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ภายหลังได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ไปปฏิบัติราชการ ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามให้เข้าร่วมและกล่าวในพิธีเปิดงาน”เทคโนโลยีเกษตรแห่งเอเซีย 2022” (Agritechnica Asia 2022)ที่นครเกิ่นเทอ และการประชุมหารือกับนายเล มิน ฮวาน (Mr. Le Minh Hoan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนา ทำๆชนบท สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และนายเจิ่น แทงห์ นาม (Mr. Tran Thanh Nam) รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ดร.เจิ่น หงับ ถัดห์(Dr. Tran Ngoc Thach )ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยข้าวสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
(MDRRI :Mekong Delta Rice Research Institute) ถึงแนวทางกรอบความร่วมมือด้านการเกษตร ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามซึ่งมี นายจักรกริช เรืองขจร รองกงสุลใหญ่นครโฮจิมินห์ นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯฯ.และคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรเวียดนามเข้าร่วม
โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า ทั้ง2ฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะขยายความร่วมมือทางด้านการเกษตรอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเกษตร การผลิต การแปรรูปและการตลาดสินค้าเกษตรและอาหารโดยจะมีการจัดตั้งกลไกใหม่ๆในระดับนโยบายและหน่วยงานและระบบสื่อสารระหว่างกันทั้งการทำงานเชิงรุกและการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า เพื่อเริ่มเดินหน้าตามแนวทางความร่วมมือในมิติใหม่จะมีการแลกเปลี่ยนการเยือนและการพบปะหารือระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นภายใต้ระบบทวิภาคีโดยระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนปีนี้จะมีคณะผู้แทนระดับจังหวัด ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเวียดนามเดินทางเยือนประเทศไทยตามลำดับเช่นเดียวกับฝ่ายไทยโดยดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรจะเดินทางไปเยือนเวียดนามตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามเช่นกัน
“บรรยาการการพบปะหารือเป็นไปอย่างกระตือรือร้นแบบญาติมิตร ทั้ง2ประเทศเห็นตรงกันว่าประเทศไทยและเวียดนามในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลกจะต้องผนึกศักยภาพร่วมมือกันบนแนวทางหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์( Strategic Partnership)เพื่อร่วมกันพัฒนาการเกษตรทั้งพืชประมงและปศุสัตว์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและรายได้ของประเทศรวมทั้งตอบโจทย์ปัญหาความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ(Climate Change)ซึ่งจะรายงานผลการปฏิบัติงานให้ดร.เฉลิมชัยทราบถึงความคืบหน้าในการเจรจาความร่วมมือระหว่างไทยกับเวียดนามทันทีที่เดินทางกลับถึงประเทศไทย”

นอกจากนี้ในระหว่างพิธีเปิดงานเทคโนโลยีเกษตรแห่งเอเซีย 2022 ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯได้กล่าวOpening remarkถึงยุทธศาสตร์และนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0 ตลาดนำการผลิตและเกษตรกรรมยั่งยืนของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC:Agritech and Innovation Center) ศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ(National Big Data Center) การปฏิรูปการบริหารและบริการในโครงการDigital Transformation การยกระดับแปลงใหญ่ด้วยนโยบายเครื่องจักรกลและเทคโนโลยี(Mechanization & Agritech) การสนับสนุนการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเพิ่มผลิตภาพ(productivity) การส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่(YSF:Young Smart Farmer)ตลอดจนกล่าวถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับ13ของโลกและครัวของโลกรวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือและความสัมพันธ์ด้านการเกษตรระหว่างไทยกับเวียดนามในมิติใหม่และการกล่าวเชิญชวนเข้าร่วมงาน”เทคโนโลยีเกษตรแห่งเอเชีย 2024”ที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยใน2ปีข้างหน้าโดยกระทรวงเกษตรฯและDLGประเทศเยอรมัน.

นับถอยหลังสู่การจัดงานพลังงานที่ยิ่งใหญ่แห่งปี 2022 ในประเทศไทย

”SETA 2022, Solar+Storage Asia 2022 และ Enlit Asia 2022 ”

บริษัท แกท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท แคริออน อีเวนท์ จำกัด ประเทศสิงคโปร์ แถลงข่าวประกาศความพร้อมในการจัดงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีทางด้านพลังงานและงานประชุมระดับผู้นำแห่งเอเชีย“งานพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย” (Sustainable Energy Technology Asia- SETA 2022), งานเทคโนโลยีด้านพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บประจุของเอเชีย (Solar+Storage Asia-SSA 2022), และงาน Enlit Asia 2022 งานด้านผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าและระบบกริดระดับโลก โดยเป็นการจัดงานพลังงานร่วมกัน 3 งาน ในวันที่ 20-22 กันยายน 2565 ณ ศูนย์ฯไบเทค บางนา พร้อมกับจัดให้มีเวทีเสวนาพิเศษ “แผนพลังงานไทยเพื่อมุ่งสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์กับการขับเคลื่อนระบบการผลิตไฟฟ้าและการใช้กระแสไฟฟ้าของไทย” โดยผู้บริหารจากกระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สมาคมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (อาร์อี 100) สมาคมอุตสาหกรรมพลังแสงอาทิตย์ไทย (TPVA)

การจัดงาน ”SETA 2022, Solar+Storage Asia 2022 และ Enlit Asia 2022 ” ในครั้งนี้ จัดภายใต้หัวข้อหลัก “Accelerating ASEAN’s Energy Transition to Achieve Carbon Neutrality” เพื่อให้สอดคล้องและสนับสนุนนโยบายพลังงานและเศรษฐกิจของรัฐบาลตามการประกาศเจตนารมณ์ในเวทีการประชุม COP26 ผู้นำโลกร่วมเจรจาเพื่อเร่งดำเนินงานแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมุ่งมั่นการปล่อยคาร์บอนของประเทศตนเอง กระแสความร่วมมือระหว่างประเทศทั่วโลก พร้อมที่จะร่วมมือกันทุกภาคส่วนในการที่จะสนับสนุนการใช้พลังงานที่ยั่งยืนอย่างจริงจัง ประเทศไทยเองได้เตรียมพร้อมตอบรับในการจัดทำแผนพลังงานฉบับใหม่ มุ่งสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ให้มีการเร่งการเปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานจากแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยทั้ง 3 งาน มุ่งสร้างสร้างเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในนวัตกรรมพลังงาน และสร้างความแข็งแกร่งและการขยายฐานตลาดในกลุ่มพลังงาน โดยปีนี้จะมุ่งเน้นเรื่องการเปลี่ยนผ่านการไปสู่การใช้เทคโนโลยีสะอาด

ทั้งนี้ในปี 2565 นี้ ได้รับเกียรติพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งสาส์นแสดงความยินดี และดร.ประจิน จั่นตอง ให้เกียรติเป็นประธานการจัดงาน SETA ยังคงได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากกระทรวงพลังงาน สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และวิจัย กระทรวงดิจิทัล กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในการตอบโจทย์ต่อเป้าหมายในการยกระดับประเทศไทยสู่เวทีโลก และการสร้างมาตรฐานที่ดีและการมีส่วนร่วมให้กับผู้ที่มีส่วนได้เสียในด้านพลังงานและสังคมโดยรวม พร้อมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลและภารกิจที่สำคัญของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานต่างๆได้เข้าร่วมรับฟังหัวข้อต่างๆ ด้านนวัตกรรมพลังงาน รวมถึงมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ ในด้านนวัตกรรมพลังงานในระดับโลก และถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกและประเด็นสำคัญของแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ หรือ PDP ฉบับล่าสุด เป็นครั้งแรกก่อนใคร

จากผู้แทนระทรวงพลังงานที่จะนำแผน PDP มาอภิปรายถึงยุทธศาสตร์ของภาครัฐ ทั้งในด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทยและความคาดหวังที่จะบรรลุเป้าหมายในด้านการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ เช่น พลังงานไฮโดรเจน
สำหรับหัวข้อต่าง ๆ ที่จะมีการอภิปรายบนเวที SETA 2022, Enlit Asia 2022 และ Solar+Storage Asia 2022 ตลอดระยะเวลาการจัดงานทั้ง 3 วัน จะเป็นประเด็นสอดคล้องกับแผน PDP ฉบับใหม่ ทั้งสิ้น โดยมีเนื้อหาสำคัญ 6 ประเด็น ประกอบด้วย (1) การผลิตไฟฟ้าแบบปลอดคาร์บอน (Decarbonised Power Generation) (2) การเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโครงข่ายระบบไฟฟ้าในอนาคต (Fortifying and Creating a Next-Gen Power Grid) (3) การพัฒนาระบบไฟฟ้าในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (The Electrification of The ASEAN Economy) (4) ความผันผวนของราคาไฟฟ้าจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (Electricity Prices Surging due to unexpected Circumstances) (5) การผลักดันพลังงานหมุนเวียนให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Enabling Renewable Energy to meet RE Targets) และ (6) แผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (The Roadmap to Net-Zero)
งานประชุมและนิทรรศการทั้ง 3 งานนี้ นับเป็นเวทีด้านพลังงานที่สำคัญที่ผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาคจะได้มาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้โซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมด้านพลังงานที่แท้จริง รวมถึงยังเป็นเวทีที่เปิดกว้างให้มีการอภิปรายและถกกันในประเด็นต่างๆ ที่มีความสำคัญตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์ของธุรกิจไฟฟ้าและพลังงาน อีกทั้งจะมีการนำเสนอข้อมูล และรายงานต่างๆ รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานต้องเผชิญ

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังมีโอกาสในการขยายเครือข่ายและการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานจากวิทยากรที่มาจากองค์กรอุตสาหกรรมพลังงานชั้นนำกว่า 200 แห่ง ที่จะหยิบยกประเด็นด้านพลังงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในยุคปัจจุบันที่อุตสาหกรรมพลังงานโลกกำลังวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดนิ่ง วิทยากรที่เข้าร่วมจะบรรยายและอภิปรายในประเด็นที่ท้าทายเหล่านี้ อาทิ ผู้บริหารจาก ปตท. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้ามาเลเซีย (TNB) การไฟฟ้าแห่งเวียดนาม (EVN) การฟ้าแห่งอินโดนีเซีย (PLN) และตัวแทนจากภาคเอกชน เช่น Indonesia Power, Trilliant, Wartsila, Shell, Mitsubishi,Siemens,ABB,JERA,Toyota และ Saudi Aramco และ อีกหลายองค์กร
ความแข็งแกร่งจาก 3 ผู้จัดงานประชุมและแสดงสินค้าชั้นนำอย่าง SETA, Enlist Asia และ Solar& Storage Asia ที่จับมือเป็นเจ้าภาพร่วมกัน คาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมงานได้มากกว่า 10,000 คน จากธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานทั่วภูมิภาคเอเซีย เอเซียแปซิฟิค และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก โดยมีบริษัทด้านพลังงานชั้นนำ รวมถึงอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง กว่า 350 บริษัท มาจัดแสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดและโซลูชั่นด้านพลังงาน รวมถึงพร้อมให้ความรู้ คำแนะนำ และข้อมูลเชิงลึก เพื่อรับมือกับความท้าทายในอุตสาหกรรมพลังงานในปัจจุบัน
ปัจจุบัน ถือได้ว่าประเทศไทยยืนอยู่แถวหน้าในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาค และมีนโยบายเชิงรุกรวมถึงการกำกับดูแลด้านพลังงานที่ส่งเสริมและก่อให้เกิดแรงดึงดูดการลงทุนมหาศาล นอกจากนั้น ประเทศไทยยังได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2065-70 ซึ่งเป็นคำมั่นที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายพลังงานสะอาดในอนาคต

เกี่ยวกับ Enlit Asia
Enlit Asia เป็นแบรนด์ที่เกิดจากการรวมตัวของงาน POWERGEN Asia และ Asian Utility Week เพื่อเป็นเวทีเผยแพร่องค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ แสดงโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรม และทัศนะเชิงวิเคราะห์และคาดการณ์จากผู้นำในอุตสาหกรรม สอดคล้องกับยุทธ์ศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียนที่มีเป้าหมายบรรลุการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานคาร์บอนต่ำ
เกี่ยวกับ SETA
SETA (Sustainable Energy Technology Asia) ได้รับการยอมรับและการสนับสนุนจากผู้กำหนดนโยบายด้านพลังงานในเอเชีย และกระทรวงพลังงานของประเทศไทย ให้เป็นเวทีรับฟังมุมมองและเสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วนพลังงานในระดับสากุลและภูมิภาค ในประเด็นที่หลากหลาย ตั้งแต่การกำหนดนโยบายพลังงานจนถึงการใช้พลังงาน เพื่อนำมุมมองเชิงลึกในประเด็นเหล่านั้นมานำเสนอและอภิปราย ถือเป็นงานด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและเป็นจุดเชื่อมต่อผู้คนในอุตสาหกรรมพลังงานที่กำลังบุกเบิกการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานสู่อนาคต
เกี่ยวกับ Storage Asia
Solar+Storage Asia หรือ SSA เป็นแพลตฟอร์มการจัดงานที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงความต้องการด้านพลังงาน โดยจะมีการเปิดแสดงนิทรรศการด้านเทคโนโลยีและโซลูชั่นต่างๆ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหม่และใหญ่ที่สุดในเอเซีย
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
Khrairunnisa Abd-IIah

เกษตรฯ สุดเจ๋ง โชว์นวัตกรรมยางพาราทางการแพทย์ “เฝือกประดิษฐ์ยางพาราชิ้นแรกของโลก”

“อลงกรณ์”ตั้งเป้าสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มมูลค่ายางพารา อัพเกรดภาคเกษตรกรรมของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูง พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีผ่านศูนย์ AIC ทั่วประเทศ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) เปิดเผยถึงความสำเร็จของการส่งเสริมนวัตกรรมยางพาราที่ใช้ในทางการแพทย์ ว่า ในวันนี้มีอีกหนึ่งความสำเร็จของการส่งเสริมนวัตกรรมยางพาราที่ใช้ในทางการแพทย์ คือ เฝือกประดิษฐ์ยางพาราชิ้นแรกของโลก ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่สามารถนำมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้แล้ว ทั้งนี้ ประเทศไทยสามารถครองแชมป์ส่งออกยางพาราเป็นอันดับหนึ่งของโลก นำมาซึ่งรายได้ของเกษตรกรและประเทศชาติมากขึ้น โดยใช้นวัตกรรมพัฒนาสินค้า “ยางพารา” เพื่อยกระดับอัพเกรดภาคเกษตรกรรมของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูง ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยบูรณาการร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง โดยมีการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อพัฒนาการผลิตและการแปรรูปสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพาราภายใต้ความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์ AIC)สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงอว.และภาคเอกชนในงานด้านวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

ในส่วนของศูนย์ AIC การยางแห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) ได้มีการวิจัยและพัฒนาในเรื่องของยางพาราจำนวน 32 เรื่อง อาทิ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูป, เฝือกเท้าสำหรับลูกช้างจากยางธรรมชาติ NR, การพัฒนาแผ่นรองเท้าสำเร็จรูปจากยางธรรมชาติสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรครองช้ำ และโรคเท้าแบน, เทคโนโลยีการพัฒนาหุ่นจำลองส่วนหัวจากยางพาราเพื่อฝึกหัดทำหัตถการทางจักษุ, อุปกรณ์ถ้วยรองน้ำยางพาราที่สามารถจับตัวน้ำยางได้เองและกรรมวิธีการผลิตอุปกรณ์ถ้วยรองน้ำยางพาราที่สามารถจับตัวน้ำยางได้เอง, ที่ครอบสวิตช์ไฟเรืองแสงจากยางพารา ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้เกิดการแปรรูปยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น หมอน ที่นอนยางพารา ทั้งนี้ การผลิตนวัตกรรมยางพาราที่ใช้ในทางการแพทย์ จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาและร่วมสร้างผลงานนวัตกรรมจากยางพาราสู่การแพทย์ โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ และที่สำคัญคือเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ซึ่งส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวสวนยาง

ด้าน รองศาสตราจารย์ นายแพทย์นิยม ละออปักษิณ เลขาธิการมูลนิธิการแพทย์สยามบรมราชกุมารี นายกสมาคมพัฒนาแพทย์ทางเลือกไทย-จีน ในฐานะหัวหน้าโครงการ “การนำเฝือกประดิษฐ์ยางพาราไปประยุกต์ใช้รักษาทางการแพทย์” กล่าวว่า การรักษาผู้ป่วยทางออร์โธปิดิกส์ในเรื่องการบาดเจ็บที่เท้า สำหรับกรณีที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยแพทย์จะใช้วิธีการใส่เฝือกซึ่งถือเป็นมาตรฐาน แต่ยังพบว่ามีผลแทรกซ้อน เช่น เฝือกรัดแน่นเกินไป เฝือกหัก และการดูแลหลังใส่เฝือก ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีมีมากขึ้น เฝือกจึงมีหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม แต่ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาแพง ดังนั้น การพัฒนาวัตถุดิบที่มีอยู่ในประเทศ โดยเฉพาะยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับประเทศไทย และมีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถนำไปแปรรูปได้ตามความต้องการ จึงนับเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งสำหรับแพทย์ในการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าและพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ โดยวัตถุประสงค์ของโครงการฯ จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาปรับปรุงเฝือกยางพาราต้นแบบ (prototype) ให้เป็นเฝือกยางพาราเชิงพาณิชย์

สำหรับผลการวิจัยโครงการฯ ดังกล่าว สามารถพัฒนาเฝือกยางพาราในการออกแบบให้มีความสวยงามมีความทันสมัย และดำเนินการจดสิทธิบัตรการออกแบบจนผ่านการอนุมัติ จำนวน 4 ฉบับ และร่วมจัดทำร่างข้อกำหนดจากกรมวิทยาศาสตร์บริการเป็นการกำหนดตัวเลขจากงานวิจัย เพื่อให้เป็นต้นแบบในการอ้างอิงสำหรับประเทศไทยในการประดิษฐ์เฝือกยางพารา และได้ประกาศผ่านการร่างข้อกำหนด นอกจากนี้ ในประเด็นการประยุกต์ใช้ทางคลินิกซึ่งได้ทำการศึกษาทางโรงพยาบาลจำนวน 7 แห่ง รวม 69 ราย หลังจากอธิบายให้แพทย์ผู้ใช้เข้าใจและมีการติดตามผ่านแบบสอบถามความพึงพอใจหลังใส่เฝือกและกิจวัตรหลังใส่เฝือกที่ 1 4 และ 8 สัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกับเฝือกปูนในงานวิจัยที่มีมาก่อน พบว่ามีค่าที่สูงขึ้นโดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

นางสาวนภาวรรณ เลขะวิพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมยาง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า กยท. มีงานวิจัยเกี่ยวกับอุปกรณ์ช่วยเหลือทางด้านการแพทย์หลายงานด้วยกัน ซึ่งอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผลิตจากยางพารา สามารถช่วยให้การรักษาดีขึ้น เกิดความสะดวกขึ้น เนื่องจากยางพาราเป็นวัสดุมีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก และระบายความร้อนได้ดี นอกจากนี้ การนำยางพารามาผลิตเป็นอุปกรณ์เพื่อช่วยในการรักษาผู้ป่วย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก นอกเหนือจากการนำอุปกรณ์จากต่างประเทศที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ พลาสติก และวัสดุอื่น ๆ ที่มีราคาแพง สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มปริมาณของอุปกรณ์ให้มีเพียงพอในการใช้งาน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่วิกฤตเร่งด่วน เพื่อให้ทางการแพทย์สามารถช่วยเหลือคนได้เพิ่มและทันเวลายิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา กยท.ได้วิจัยและผลิตอุปกรณ์รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยางเพื่อใช้ทางการแพทย์หลายชิ้น อาทิ อุปกรณ์สำหรับฝึกหมอ พยาบาล เช่น แผ่นฝึกเย็บสื่อการสอน หุ่นฝึกช่วยชีวิต (CPR) ตลอดจนแผ่นยางรองรองเท้าสำหรับคนที่มีปัญหาจากอาการรองช้ำ และเท้าเทียมจากยางธรรมชาติ เป็นต้น

ทั้งนี้ จากรายงานสถานการณ์ตลาดและการส่งออกยางพาราครึ่งปี 2565 ของการยางแห่งประเทศไทย ไทยยังครองตำแหน่งประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกด้วยปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ยาง 2,190,065 ตัน โดยเฉพาะจีนนำเข้ายางไทยเป็นอันดับหนึ่งครองมาร์เก็ตแชร์ถึง 49% รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย 10% สหรัฐอเมริกา 7% ญี่ปุ่น 6% เกาหลีใต้ 4%

นางสาวขวัญนลิน นพเก้า นักวิเคราะห์อาวุโส 1 สำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) กล่าวว่า สวก. มีภารกิจหลักในการสนับสนุนทุนวิจัย เพื่อส่งเสริมพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านเกษตร ตลอดจนสนับสนุนทุนวิจัยแก่ภาคเอกชนของไทย เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาโครงการวิจัยเชิงนวัตกรรมที่สามารถผลักดันสู่การลงทุนทางธุรกิจ และเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยเร่งสนองนโยบายรัฐบาลเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศต่อเนื่อง ผ่านการดำเนินงานวิจัยกลุ่มเรื่องยางพารา จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ปี 2562 การวิจัย การออกแบบและนวัตกรรม สำหรับวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ เครื่องมือทดสอบคุณภาพ และกระบวนการผลิต ยางโฟมขั้นสูง เพื่อควบคุมคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ การยศาสตร์ และมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับการผลิตเป็นหมอนหรือที่นอน ยางพาราเกรดพิเศษ 2. ปี 2563 การวิจัยและนวัตกรรมสำหรับผลิตภัณฑ์ เครื่องมือทดสอบคุณภาพ และห้องปฏิบัติการมาตรฐาน ISO/IEC 17025 เพื่อควบคุมคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และมีความเป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม สำหรับการผลิตเป็นหมอนหรือที่นอนยางพาราเกรดพิเศษ (ปีที่ 2) และ 3. ปี 2563 การจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมถุงมือยางธรรมชาติของโลก

ทั้งนี้ ภายในงานแถลงข่าววันนี้ นอกจากจะมีการนำผลงานนวัตกรรมยางพาราทางการแพทย์ อาทิ เฝือกประดิษฐ์ยางพารา แผ่นฝึกเย็บสื่อการสอน หุ่นฝึกช่วยชีวิต (CPR) แผ่นยางรองรองเท้าสำหรับผู้ที่มีอาการรองช้ำ มาจัดแสดงให้กับผู้เข้าร่วมแถลงข่าวได้รับชมแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ชุดรองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียมจากยางพารา และถุงมือยางธรรมชาติ/ถุงมือไนไตรเคลือบน้ำยานาโนอิมัลชันป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส Covid-19 เพื่อใช้ในพื้นที่เสี่ยง จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วรวิทย์ วิณิชย์สุวรรณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคณะ มาจัดแสดงให้กับผู้เข้าร่วมงาน และสื่อมวลชนได้รับชมอีกด้วย .

ZABB STAR IN CONCERT

นับตั้งแต่ คอนเสิร์ต เวทีไท กลายเป็นอดีตขีดเส้นใต้จบลงอย่างถาวร มาถึงวันนี้ ZABB STAR IN CONCERT คงเป็นฟรีคอนเสิร์ต-คอนเสิร์ตเดียวที่ทำการถ่ายทอดสดทาง ช่อง71,114 และ156 C-BAND PSI จานดำ ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสดแต่ก็ยังได้ “สารปรับปรุงดินอีเน่า”เป็นผู้สนับสนุน เพื่อทำให้ เวที ZABB STAR IN CONCERT เป็นเวทีที่ให้ความสุขความสนุกสนานกับคอลูกทุ่งอย่างแท้จริง

ข่าวดีสำหรับคนไทยหัวใจลูกทุ่งซึ่งอยากก้าวเข้ามาสู้วงการบันเทิงและ คงเป็นโอกาสทองของน้องๆที่ต้องการจะเป็นนักร้องอาชีพ ทาง บอส ชัยนรินท์ ผอ.ZABB CHANNEL ได้กดปุ่มเปิดโครงการประกวดร้องเพลงบนเวที ZABB STAR IN CONCERT โดยเปิดรับตั้งแต่ อายุ 14-35 ปี ร้องได้เสียบวกหรือลบจบหรือไปต่อ ผู้ชนะเลิศได้รับรางวัลเงินสด10,000บาทพร้อมยังผลิตซิงเกิ้ลเพลงใหม่ให้อีกด้วยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นสมัครได้แล้ววันนี้ที่ พิธีกรสาวสวย ทอฝัน ดาวพันแสง 061-595-3566 ส่วนเสาร์นี้เสาร์ที่27 สิงหา มาพบกับ ปีเตอร์ โฟดิฟาย – แนนซี่ ท็อปไลน์- มด รังสิมันต์ พร้อมทั้ง แดนซ์เซอร์สาวสวยมากมาย สามารถรับชมการถ่ายทอดสดทาง ช่อง71,114 และ156 C-BAND PSI จานดำ ตั้งแต่ บ่าย2โมงถึง บ่าย 4โมงตรงเป็นต้นไปสวัสดี

รฟฟท. เผยผลสำรวจความพึงพอใจผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงครึ่งปีหลัง

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเผยผลสำรวจความพึงพอใจผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ประจำปี 2565 ครั้งที่ 2

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเปิดเผยว่า เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูล และเข้าถึงความต้องการของผู้โดยสารสำหรับนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทจึงได้ดำเนินการจ้างบริษัทที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัย เป็นผู้ออกแบบและลงพื้นที่สำรวจความพึงพอใจผู้โดยสารในครั้งนี้ โดยผลปรากฎว่าจากคะแนนเต็ม 5 ผู้โดยสารมีความพึงพอใจด้านการให้บริการ 4.45 , ด้านความปลอดภัย 4.46 , ด้านความน่าเชื่อถือต่อความตรงต่อเวลา ความถี่ และคุณภาพในการเดินรถไฟฟ้า 4.31 , ด้านการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูล 4.36 , ด้านคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกบนสถานีและในขบวนรถ 4.44 , ด้านเหรียญโดยสาร/บัตรโดยสาร และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด 4.24

การที่ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้โดยสารที่มีต่อรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอยู่ในระดับพึงพอใจมากในด้านต่างๆแสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในปัจจุบันยังมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทได้ดำเนินนโยบาย มาตรการต่างๆที่เป็นการยกระดับการให้บริการ รวมถึงการการรักษาความปลอดภัยมาโดยตลอด โดยเฉพาะมาตรฐานการให้บริการที่บริษัทยึดถือปฏิบัติมาตลอด โดยล่าสุดบริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 ขอบเขตการปฏิบัติการเดินรถไฟฟ้า ความปลอดภัย และวิศวกรรมซ่อมบำรุง จากหน่วยรับรอง Bureau Veritas (BV)

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกบัตรโดยสารแบบเติมเงิน ประเภทบุคคลทั่วไป “The Limited Edition RED Line Stored Value Card” บัตรรถไฟฟ้าลายพิเศษโดยจะมีการเปิดจำหน่ายครั้งแรก(Pre-sale) ในวันที่ 1 กันยายน 2565 ที่สถานีตลิ่งชัน ตั้งแต่เวลา 05.30 – 24.00 น. ซึ่งผู้โดยสารที่ซื้อบัตรในวันดังกล่าวสามารถนำบัตรโดยสารมาแลกบัตรของขวัญมูลค่า 100 บาท และซองใส่บัตรโดยสารที่ออกแบบมาเป็นพิเศษฟรี 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์ ต่อของขวัญ 2 ชิ้น ที่บูธกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ณ สถานีตลิ่งชันเท่านั้น ตั้งแต่เวลา 8.30 – 16.00 น. หรือจนกว่าของจะหมด และจะมีการเปิดจำหน่ายบัตรโดยสารอย่างเป็นทางการพร้อมกันทุกสถานีอีกครั้ง ในวันที่ 9 เดือน 9 (9 กันยายน 2565)

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง

ประกาศทันที Indo Thai Excellence Awards 2022 มอบแก่ผู้ชนะ 12 ท่าน Kumar Vishwas สร้างความประทับใจให้ผู้ชมที่ Kavya Kumbh 2.0

ประกาศทันที Indo Thai Excellence Awards 2022 มอบแก่ผู้ชนะ 12 ท่าน Kumar Vishwas สร้างความประทับใจให้ผู้ชมที่ Kavya Kumbh 2.0

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2022 ณ กรุงเทพมหานคร : รางวัล Indo Thai Excellence Awards 2022 ครั้งแรก ในด้านสังคม สุขภาพ การศึกษา และธุรกิจ ได้มอบให้กับผู้ประสบความสำเร็จยอดเยี่ยม 12 ท่านในพิธีอันทรงเกียรติที่จัดโดย Indo Thai News ณ ที่นี้ ผู้ได้รับรางวัลได้รับมอบจาก ประธานแขกผู้มีเกียรติ Dr.Kumar Vishwas กวีชื่อดังจากอินเดีย ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค

ต่อมาในช่วงค่ำ Kavya Kumbh 2022 เทศกาลเฉลิมฉลองกวีนิพนธ์ภาษาฮินดีจัดขึ้นในที่ ที่ Dr.Kumar Vishwas พร้อมด้วยกวีชื่อดังคนอื่นๆ ได้สะกดผู้ชมด้วยบทกวีของพวกเขา

Dr.Kumar Vishwas กล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีมอบรางวัลว่า “เมื่อใดก็ตามที่เราออกจากอินเดียไปยังประเทศอื่นใด ผมมักพูดเสมอว่า ถึงแม้เราจะมีเอกอัครราชทูตอย่างเป็นทางการ แต่เราทุกคนต่างก็เป็นทูตทางวัฒนธรรมเช่นกัน” Dr.Vishwas ได้แสดงความยินดีกับ Indo Thai News สำหรับการสร้างสะพานวัฒนธรรมระหว่างอินเดียและไทย

Pawan Mishra ผู้บริหารสูงสุดของ Indo Thai News กล่าวต้อนรับว่า “เนื่องในวันแม่ของประเทศไทยอันเป็นมงคลนี้ เราขอยกย่องผู้ที่ทำผลงานอันยอดเยี่ยมในสังคมในสาขาวิชาของตน พิธีมอบรางวัลนี้เป็นวิธีการแสดงความเคารพของเราต่อพวกเขา”

รางวัลดังกล่าวแบ่งออกเป็น 4 สาขา ได้แก่ สังคม,สุขภาพ,การศึกษา และธุรกิจ Mr.Deepak Sajnani,Mrs.Somsong Sachaphimukh และ Mr.Mahesh Singh ได้รับรางวัลจากการทำงานสาขาสังคม Dr.Davin Narula, Dr.Kanwar Singh และ Mr.Saurabh Garg ได้รับรางวัลสำหรับการทำงานในสาขาสุขภาพ ในส่วนของสาขาศึกษานั้น ได้มอบรางวัลให้กับ Dr.Chirapat Prapandvidya,Dr.Nitin Kumar Tripathi และ Mr.Rajesh Singh สำหรับสาขาธุรกิจ ผู้รับมอบรางวัลได้แก่ Mr.Aswin Phlaphongphanich (Dee Money),Mr.Amit Lal Singh (Adi Resourcing) และ Mr.Samir Tripathi

เพื่อนำความรุ่งเรืองของภาษาฮินดีมาสู่คนรุ่นใหม่และช่วยให้ชาวอินเดียในประเทศไทยได้เชื่อมต่อกับรากเหง้าของพวกเขา เทศกาล Kavya Kumbh 2022 ร่วมด้วยกวีทั้งหลาย ได้แก่ Kavita Tiwari,Surendra Yadavendra,Ramesh Muskan,Hemant Pandey และ Swayam Srivastava ให้เพลิดเพลินแก่ผู้ชมจำนวนมากด้วยการบรรยายบทกวีในบรรยากาศวรรณกรรมที่มีชีวิตชีวา งานนี้จัดขึ้นเพื่อให้ตรงกับเทศกาล Rakshabandhan (12 สิงหาคม) ของอินเดีย และวันประกาศอิสรภาพของอินเดีย (15 สิงหาคม)

เกี่ยวกับ Indo Thai News
จัดตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจ คือ อินเดีย และประเทศไทย ซึ่ง Indo Thai News เป็นบริษัทข่าวที่เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอัพเดทสถานการณ์ทั่วโลก ครอบคลุมงานกิจกรรมการกุศล และเทศกาลต่างๆ

นอกจากนี้ Indo Thai News ยังได้เปิดตัวนิตยสาร ‘Indo Thai Lifestyle’ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Indo Thai News โทรศัพท์ +66 90-975-2204 อีเมล์ : info@indothainews.com,editor@indothainews.com

สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน