“ทีเส็บ” เชิญ 40 องค์กรหารือ ร่วมงานระดับโลก “เวิลด์เอ็กซ์โป”

ทีเส็บ จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นองค์กรภาครัฐ เอกชน และ สถาบันการศึกษากว่า 40 องค์กรทั่วประเทศ ร่วมหารือการเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารการเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ จัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ และเวิลด์เอ็กซ์โป

ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า จากผลการศึกษา “ถอดบทเรียนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand (White Paper) ของประเทศไทย” พบว่าหนึ่งในประเด็นสำคัญจากการศึกษาหน่วยงานในต่างประเทศ และข้อเสนอแนะจากการสัมภาษณ์หน่วยงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในประเทศ คือ การนำเสนอรูปแบบหน่วยงานกลางของประเทศไทย เพื่อรับผิดชอบการดำเนินการเข้าร่วมงานเอ็กซ์โปในนามประเทศ โดยให้ขยายบทบาท และความรับผิดชอบของทีเส็บเป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบการเข้าร่วมงานเอ็กซ์โปในการบริหารจัดการพาวิลเลียนประเทศไทย โดยดำเนินการร่วมกับเครือข่ายภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมงานระดับโลก และมีกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการจัดงานในแต่ละปี ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ เพื่อเตรียมเนื้อหาการจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยร่วมกัน 

“การเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารการเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ” เป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของทีเส็บในการปรับบทบาทให้เข้มข้นและขยายศักยภาพการทำงานในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์และงานเมกะอีเวนต์และเทศกาลระดับโลก ภายใต้นโยบายคณะอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์ขององค์กร ปีงบประมาณ 2568-2570 และได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโดยมอบหมายให้ศึกษาและนำเสนอทีเส็บเป็น “ผู้แทนประเทศไทยในการแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในต่างประเทศในงานเวิลด์เอ็กซ์โป และการจัดงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ”

จากผลการศึกษาแนวทาง และรูปแบบการบริหารการเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ (พาวิลเลียนประเทศไทย) โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปความสำคัญและวัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการพาวิลเลียนในประเทศต่าง ๆ บนเวทีโลกว่า การนำเสนอพาวิลเลียนแต่ละประเทศ เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์ของประเทศในระดับโลก (Global Vision) ผ่านภาพของทั้งประเทศ (National Branding) และมีวัตถุประสงค์ในเวทีระดับโลกเป็น 4 เป้าหมาย คือ 1. ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความร่วมมือระหว่างกัน (Diplomatic Platform) 2. แสดงภาพลักษณ์ วิสัยทัศน์ และความก้าวหน้าด้านการพัฒนาของประเทศ (National Branding Platform) 3. ถ่ายทอดแนวคิด ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีระหว่างอารยธรรมต่าง ๆ (Innovation & Cultural Exchange Platform) และ 4. การเชื่อมโยงและจับคู่ธุรกิจของเมืองและภาคเอกชนในประเทศกับประเทศต่าง ๆ (Business Trading Platform)

จากความท้าทายของการเข้าร่วมจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ และเวิลด์เอ็กซ์โป ในรูปแบบพิจารณาหน่วยงานบริหารจัดการจากการพิจารณาแนวคิดการจัดงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่วยงาน สามารถสรุปความท้าทายของการเข้าร่วมจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยที่ผ่านมาและข้อเสนอแนะใน 4 ประเด็น คือ 1. การมอบหมายหน่วยงานกลางที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงในการบริหารจัดการงานระดับโลก 2. การส่งต่อและการจัดการความรู้อย่างต่อเนื่อง 3. การสนับสนุนให้เกิดการสื่อสารภาพลักษณ์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง 4. การมีบุคลากรและหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพื่อให้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาจุดแข็งของทีเส็บในการเป็นหน่วยงานกลางรับผิดชอบการเข้าร่วมงานเอ็กซ์โปในการบริหารจัดการพาวิลเลียนประเทศไทยมี 7 ประเด็นได้แก่ 1. บทบาทเชิงนโยบาย (Mandate & Authority) เป็นองค์การมหาชนภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี มีภารกิจโดยตรงในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ และงานเมกะอีเวนต์และเทศกาลระดับโลก 2. ประสบการณ์ด้านการบริหารการจัดงานระดับโลก (Global Event Management) มีประสบการณ์ตรงในการสนับสนุนและร่วมบริหารการจัดงานระดับนานาชาติ 3. เครือข่ายระหว่างประเทศ (Global Partnerships and Networks) ในการเป็นสมาชิกองค์กรระดับโลกในอุตสาหกรรมการจัดงานนานาชาติ

4. ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้า ตลอดจนการประสานงานการออกแบบและบริหารจัดการพาวิลเลียน (Exhibition Management & Pavilion Design Coordination) 5. การบูรณาการกับยุทธศาสตร์ประเทศ (National Strategic Alignment) ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์และการจัดงานระดับโลก 6. ความพร้อมเชิงงบประมาณและระบบบริหาร (Financial & Operational Readiness) ในฐานะองค์การมหาชนที่มีความคล่องตัวและประสานงานได้กับทุกภาคส่วน 7. ประสบการณ์ร่วมมือกับหน่วยงานระดับกระทรวงและระดับกรม ทั้งการเป็นคณะทำงานพาวิลเลียนประเทศไทย และการดึงงานระดับโลกร่วมกัน

การประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ จัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ และเวิลด์เอ็กซ์โป มีองค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาเข้าร่วมกว่า 40 องค์กร อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ กรมการท่องเที่ยว กรมประชาสัมพันธ์ กรมศุลกากร 

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) สมาคมการแสดงสินค้าไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นต้น

ดร. ศุภวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า “หลังจากการประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศของทีเส็บในฐานะผู้แทนรัฐบาลจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษและเวิลด์เอ็กซ์โป จะนำส่งสรุปผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลพิจารณา และเสนอครม. ตามกระบวนการต่อไป”

เปิดรายชื่อ 50 นักฟุตบอลชายทีมชาติไทย ชุดเตรียมสู้ศึกมหกรรมซีเกมส์ ครั้งที่ 33

สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศรายชื่อ 50 นักกีฬาฟุตบอลชายทีมชาติไทย ที่อยู่ในการพิจารณา สำหรับทำการแข่งขันฟุตบอลชายในมหกรรมซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 3-20 ธันวาคม 2568 

สำหรับ นักกีฬาที่มีรายชื่อ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ลงทะเบียนกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย ในเบื้องต้น และจะมีการคัดเลือกนักกีฬา อีกครั้งให้เหลือ 23 คน ก่อนเข้าร่วมการแข่งขัน โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้

ผู้รักษาประตู
ณรงศักดิ์ เนื่องวงษา สโมสร อยุธยา ยูไนเต็ด
ชมพัฒน์ บุญเลิศ สโมสร พัทยา ยูไนเต็ด
สิรเศรษฐ เอกประทุมชัย สโมสร ชัยนาท ฮอร์นบิล
ศรวัสย์ โพธิ์สมัน สโมสร สงขลา เอฟซี
ศิรัสวุฒิ วงค์เรือนคำ สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

กองหลัง
วิชั่น อินอร่าม สโมสร ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
อรรถพล แสงทอง สโมสร นครปฐม ยูไนเต็ด
บุคฆอรี เหล็มดี สโมสร นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี
ธนชัย นาถธนกุล สโมสร นครศรี ยูไนเต็ด
โยนัส ยศรัญ ชวาเบ สโมสร บางกอก เอฟซี
ชนภัช บัวพันธ์ สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
วาริส ชูทอง สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
นาธาน เจมส์ สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ชานนท์ ทำมา สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
สิงหา มาระสะ สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
พิชิตชัย เศียรกระโทก สโมสร โปลิศ เทโร เอฟซี
สพล น้อยวงษ์ สโมสร โปลิศ เทโร เอฟซี
พลเอก มณีกร สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
ธีร์กวิน จันทร์ศรี สโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด
กิตติพัฒน์ กุลภา สโมสร ระยอง เอฟซี
ธวัชชัย อินทร์ประโคน สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
ภัทรพล ศึกษากิจ สโมสร สุโขทัย เอฟซี
ชัยพล อดทน สโมสร สุโขทัย เอฟซี

กองกลาง
ปฎิภาณชัย โพธิ์เทพ สโมสร ชัยนาท ฮอร์นบิล
สิทธา บุญหล้า สโมสร การท่าเรือ เอฟซี
ยศกร นาถสิทธิ์ สโมสร ขอนแก่น ยูไนเต็ด
วรฤทธิ์ มุงคุณ สโมสร ขอนแก่น ยูไนเต็ด
สิรภพ วันดี สโมสร ชลบุรี เอฟซี
ณัฐพง เชื้อกามุด สโมสร นครปฐม ยูไนเต็ด
รัฐศาสตร์ บังสูงเนิน สโมสร นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี
ธนกฤต โชติเมืองปัก สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 
สงครามสมุทร น้ำผึ้ง สโมสร โปลิศ เทโร เอฟซี
จิตติพัฒน์ วะสูงเนิน สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
คคนะ คำยก สโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด
เสกสรรค์ ราตรี สโมสร ระยอง เอฟซี
นันทิพัฒน์ ใจมั่น สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 

กองหน้า

ณัฐกิตติ์ โพธิ์ศรี สโมสร การท่าเรือ เอฟซี
ต้นตะวัน ปุนทมุณี สโมสร ชลบุรี เอฟซี
นพรัตน์ พรมเอี่ยม สโมสร ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
ภูวเนตร ทองคุ่ย สโมสร ทัพหลวง ยูไนเต็ด
ฐิติภัส เอกอรัญพงศ์ สโมสร นครปฐม ยูไนเต็ด
ธีรภัทร ปรือทอง สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 
ชวัลวิทย์ แซ่เล้า สโมสร พราม แบงค็อก
เจะฮานาฟี มามะ สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
อิคลาส สันหรน สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
พันธมิตร ประพันธ์ สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
ชินเงิน ภู่ตันหยง สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 
ชินวัตร ประจวบมอญ สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 
ธนาวุฒิ โพธิ์ชัย สโมสร หนองบัว พิชญ เอฟซี
ยศกร บูรพา สโมสร โฮวกัง ยูไนเต็ด

สำหรับ ฟุตบอลชายทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ อยู่ในกลุ่ม เอ ร่วมกับ กัมพูชา และ ติมอร์ เลสเต โดยมีโปรแกรมการแข่งขันดังนี้

#Matchday1 
📅 วันที่ 3 ธันวาคม 2568
🇹🇱 ติมอร์ เลสเต พบ ไทย 🇹🇭 
⏰ เวลา 19.00 น.
🏟️ ราชมังคลากีฬาสถาน
📺 TBC

#Matchday2
📅 วันที่ 10 ธันวาคม 2568
🇹🇭 ไทย พบ กัมพูชา 🇰🇭
⏰ เวลา 19.00 น.
🏟️ ราชมังคลากีฬาสถาน
📺 TBC

ส่วนการแข่งขัน รอบรองชนะเลิศ และ ชิงชนะเลิศ จะแข่งขันที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพมหานครฯ ในวันที่ 15 และ 18 ธันวาคม 2568 ตามลำดับ

#FAThailand #ฟุตบอลทีมชาติไทย #ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ #ซีเกมส์ #SEAGamesThailand2025

ผู้ว่าฯสมุทรปราการสนธิกำลังทุกฝ่ายลุยแก้ปัญหาน้ำท่วมขังหลังฝนตกหนักต่อเนื่อง

นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นายวัฒนา เจริญจิต นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ, นายพนม  เกตุนคร  ปลัดอาวุโสอำเภอบางพลี ,พ.ต.อ.อดิเรก ทองแกมแก้ว ผกก.สภ.บางแก้ว,นายกาญจนะ  พงศ์จริยา  ปลัดเทศบาล รักษาราชการแทนนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว และ นางสาวอังคนา  ฐานโอฬาร หัวหน้าสำนักปลัดเทศบาลเมืองบางแก้ว หัวหน้าสำนักงานป้องกันและสาธารณะภัยจังหวัดสมุทรปราการ

ตลอดทั้งปภ.จังหวัดสมุทรปราการ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองบางแก้ว(ถนนเทพรัตน์) หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลทำให้มีน้ำท่วมขังในหลายจุด โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน ในพื้นที่ บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์น้ำท่วมขัง อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกล รถสูบน้ำ และกำลังเจ้าหน้าที่ให้พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับฝนที่อาจตกเพิ่มในระยะต่อไป พร้อมกำชับให้มีการเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง และรายงานสถานการณ์ให้จังหวัดทราบทันทีหากมีเหตุฉุกเฉิน

กมธ.ศาสนาฯวุฒิสภาเดินหน้าแก้วิกฤติศรัทธาศาสนา เปิดเสวนาหน่วยงานรัฐออกก.ม.อุดช่องโหว่เอาผิดสื่อฯ ”ละเมิด”

ปัจจุบันนับได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเผยแพร่ภาพ เสียง และเนื้อหาผ่านสื่อออนไลน์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไร้ขอบเขตจำกัด ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ มิได้ส่งผลกระทบจำกัดอยู่แค่ในมิติทางเศรษฐกิจหรือความบันเทิงเท่านั้น หากแต่ลุกลามไปสู่มิติของความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมไทย ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือ การบิดเบือนและการล้อเลียนบุคคลสำคัญทางศาสนา รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สร้างสื่อที่ผิดเพี้ยน บิดเบือน หรือหมิ่นศาสดาของศาสนาต่าง ๆ สื่อเหล่านี้เผยแพร่ไปสู่สาธารณะได้อย่างรวดเร็วเกินกว่ากลไกการกำกับดูแลจะควบคุมได้ทันการณ์ 

ล่าสุด ที่อาคารรัฐสภา คณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ในคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้เล็งเห็นว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ขึ้นโดยไม่แก้ไขใดๆ จะส่งผลถึงความเปราะบางด้านศาสนา จึงจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนากฎหมายและมาตรการเชิงนโยบายให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี  จึงได้จัดงานเสวนาทางวิชาการขึ้น ในหัวข้อเรื่อง “ทัศนคติและบทบาทของหน่วยงานภาครัฐเชิงบูรณาการ : แนวทางปฏิบัติและการจัดการปัญหาละเมิดศาสนาในสื่อสมัยใหม่เพื่อธํารงศรัทธาในสังคมไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นเวทีในการรับฟังความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อจำกัดทางกฎหมาย

และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐในการกำหนดมาตรการเชิงบูรณาการ เพื่อคุ้มครองศรัทธาทางศาสนาร่วมกัน โดย นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ประธานในพิธีเปิดงานได้เน้นย้ำว่า แม้สื่อดิจิทัลจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ แต่ก็ปรากฏปัญหาที่กระทบต่อความเชื่อและความมั่นคงทางศาสนา ซึ่งเป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหาทางออกอย่างจริงจัง

ผู้นำ 5 ศาสนิกสะท้อนปัญหา “สื่อสมัยใหม่”


ไฮไลน์ของงานเสวนา ทีมงานได้ทำสัมภาษณ์ผู้แทนจากผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนา ผ่านคลิปวิดีโอ โดยสะท้อนปัญหาการละเมิดที่ส่งผลกระทบต่อความศรัทธาอย่างชัดเจน: อาทิ การล้อเลียนและลดทอนคุณค่าของศาสนา เช่น การแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุสงฆ์ในภาพยนตร์ หรือการนำดาราที่โด่งดังมาแต่งกายชุดเป็นพระภิกษุสงฆ์ไปขับขี่รถ จักรยานยนต์   การสร้างสื่อที่หมิ่นประมาทโดยการใช้เทคโนโลยี AI ในการผลิต ภาพพระเยซูกับพระพุทธเจ้าร่วมชนพิซซ่ากัน หรือการนำบทสวดสำคัญ เช่น คาถาชินบัญชร ไปใส่ทำนองเพลงที่ไม่เหมาะสม ตลอดถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ล้อเลียนบุคคลสำคัญทางศาสนา

นายสันติ เสือสมิง ผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ระบุว่า ศาสนาอิสลามก็เป็นเป้าหมายของการโจมตี ทั้งการใช้เท้าเหยียบพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน หรือการกล่าวหาว่าคัมภีร์ดังกล่าวมีคำสอนที่นำไปสู่ความรุนแรงและเป็นภัยต่อความมั่นคง นายสัตนามซิงห์ มัตตา ที่ปรึกษาสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา เน้นย้ำว่า การมีเจตนาหมิ่น หรือการทำเพื่อความสนุกสนานตลกโปกฮา ถือเป็นการหมิ่นซึ่งไม่เหมาะสม ด้านพระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา แสดงความเป็นห่วงว่า “หากเด็กและเยาวชนมีสติปัญญาไม่ถึง ก็จะหลงเชื่อตามกระแสสื่อออนไลน์ที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักธรรม ขณะที่พระพรหมวัชรสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม เรียกร้องให้คณะกรรมการชาวพุทธช่วยกันระมัดระวังและตำหนิสื่อที่ทำลายศาสนาพุทธ เพราะสื่อออนไลน์ในปัจจุบันทำลายมากที่สุด  

ส่วนพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ กล่าวเสริมว่า “ส่วนใหญ่เขาก็จะเอาภาพที่มีอยู่เดิม มาเป็นภาพเคลื่อนไหวแล้วนำมาตัดต่อเพื่อให้เกิดความรู้สึกสนุก ..ทั้งนี้ การให้ความรู้น่าจะเป็นทางออกที่ดี การให้ความรู้เรื่องการมห้เกียรติบุคคล  ให้เกียรติศาสนา ให้เกียรติตนเอง เพราะฉะนั้น การให้การศึกษาจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์เหล่านี้มันลดลงไป”   บาทหลวงอนุชา ไชยเดช เลขาธิการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย  กล่าวว่า มีการลบหลู่ที่พบเห็นได้ในทางสื่อสมัยใหม่ที่ผลิตและเข้าถึงสื่อได้ง่าย  ขณะเดียวกันการใช้สื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เรื่องคุณธรรม จริยธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด อ่อน  เรื่องกฎระเบียบการบังคับใช้ ควรมีความชัดเจน.

”งานเสวนาเชิงบูรณาการ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่องค์กรศาสนาต้องเผชิญในยุคที่โลกไร้พรมแดนแดน มุ่งตอบโจทย์ความท้าทายจากข่าวที่บิดเบือนข้อมูล ในสื่อดิจิทัลบนแพลตฟอร์มต่างๆ…โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการคมนาคมแห่งชาติ(กสทช), นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนัก งานอัยการสูงสุด, นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(DE)

นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ , พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 และนางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอ นิกส์ [ETDA]  พิธีกรผู้ดำเนินการรายการ:โดยนายธนพล พรมสุวงษ์ เลขานุการ กรมการศาสนา  นายศักดิ์เพชร ยานะแก้ว นักวิชาการศาสนาเชี่ยวชาญ (ด้านศาสนิกสัมพันธ์) กรมการศาสนา ซึ่งมีสาระสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อศาสนาและสังคม ดังนี้ 

@แนวทางแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางกฎหมายและข้อจำกัดในการบังคับใช้

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายได้แสดงความเห็นพ้องว่า กฎหมายที่มีอยู่มีข้อจำกัดอย่างยิ่งในการจัดการกับคดีทางศาสนา นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้รับคดีเกี่ยวกับศาสนาเลย เนื่องจากปัญหาอยู่ที่จุดเริ่มต้นของกระบวนการ ดังข้อจำกัดของประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ หลักกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองศาสนาในประมวลกฎหมายอาญามีอยู่เพียงสามมาตรา (มาตรา ๒๐๖ ถึง ๒๐๘) ซึ่งถูกบัญญัติขึ้นในยุคที่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้คิดว่าจะมีการกระทำความผิดในลักษณะหมิ่นศาสนาเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

โดยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๖: มุ่งคุ้มครอง วัตถุและสถานที่อันเป็นที่เคารพในศาสนา แต่ไม่ได้เขียนถึงการกระทำต่อพระภิกษุโดยตรง การบังคับใช้กฎหมายจะเกิดขึ้นต่อเมื่อการกระทำนั้นได้ความว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนาด้วยเจตนาที่มุ่งร้ายต่อศาสนาเท่านั้น  ต่อมาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๗: มุ่งคุ้มครอง พิธีกรรมในศาสนา โดยคุ้มครองความสงบเรียบร้อยในการรวมศูนย์ของประชาชนเพื่อทำกิจกรรมของแต่ละศาสนาส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘: มุ่งคุ้มครอง เครื่องแต่งกายของพระภิกษุ หากมีการแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุ แต่ผู้แสดงละครหรือภาพยนตร์อ้างว่า เป็นการแสดงเท่านั้น และไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าคนแสดงเป็นพระจริง ๆ ก็จะไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรานี้

“ในฐานะนักกฎหมายและผู้ปฏิบัติงาน ต้องหาช่องทางทางกฎหมายอื่นเท่าที่มีอยู่เพื่อนำมาปรับใช้คุ้มครองศาสนาและความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒: สามารถนำมาใช้ในการห้ามโฆษณาสินค้าที่ทำให้สังคมเสื่อมลง เช่น สินค้าที่ล้อเลียนพระพุทธรูป  พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔: กำหนดว่า ผู้ใดนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ความปลอดภัยของราชอาณาจักรของประเทศ ซึ่ง ความมั่นคงของราชอาณาจักรประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ … หากเนื้อหาที่เผยแพร่มีลักษณะที่ผิดแปลกไปจากหลักศาสนา เช่น การทำคลิปพระภิกษุไปปาร์ตี้ ทั้งที่พระต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อ  ย่อมถือเป็น ข้อความเท็จอยู่ในตัว และหากสามารถพิสูจน์เจตนาของผู้กระทำผิดที่กระทำซ้ำในลักษณะเดิม ก็สามารถดำเนินคดีได้” นายอังคารกล่าว 

ด้านพันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์  ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ยืนยันว่า กฎหมายมาตรา ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘ ไม่ครอบคลุมการกระทำในยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้การตีความและการเริ่มต้นดำเนินคดีเป็นข้อจำกัด  นอกจากข้อจำกัดของตัวบทกฎหมายแล้ว ในการดำเนินคดีคือ การรวบรวมพยานหลักฐานบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำได้ยาก เนื่องจากผู้ควบคุมข้อมูลคือเจ้าของแพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Google หรือ Facebook ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลไทย หากไม่รู้ตัวตนผู้กระทำความผิดอย่างชัดเจน ก็ไม่สามารถเอาผิดใครได้  พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ ชี้ว่า พยานหลักฐานทางดิจิทัลสามารถถูกป้อนเข้าสู่ระบบและ เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ทำให้การระบุตัวตนทำได้ยากและล่าช้า

บทบาทของ กสทช.และ ETDA ในการกำกับดูแลสื่อ

นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ กสทช. อธิบายว่า สำหรับสื่อยุคเก่า (โทรทัศน์ วิทยุ เคเบิล ดาวเทียม) กสทช. มีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลทั้งในรูปแบบของการป้องกันและการปราบปราม ซึ่งแนวทางที่ดีที่สุดคือการป้องกัน ในอดีต กสทช. เคยลงโทษปรับและสั่งให้ดึงเนื้อหาออก จากรายการโทรทัศน์ที่นำเพลงนะโมมาดัดแปลงเนื้อร้อง ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยแล้วว่าทำให้เกิดการดูหมิ่นศาสนา

อย่างไรก็ตาม สำหรับสื่อออนไลน์ในรูปแบบของ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม กสทช. ได้เริ่มก้าวเข้าไปใช้กลไกในการ ป้องปราม โดยการประสานงานและดำเนินการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กสทช. มีอำนาจในการกำกับดูแลสื่อ และจะเริ่มดำเนินการได้ต่อเมื่อ หน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องนี้จะต้องขยับตัวเสียก่อน และแจ้งให้ กสทช. ทราบว่ามีการเผยแพร่เนื้อหาที่ ไม่ถูกกฎหมาย บนสื่อนั้น

นางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ETDA อธิบายแนวคิดการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม โดยระบุว่า ปัจจุบันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มดิจิทัลกำหนดให้แพลตฟอร์มบางประเภทต้องมีบทบาทในการ ป้องปราม ซึ่งหมายความว่า แพลตฟอร์มต้องมีกระบวนการจัดการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องรอหมายศาล เนื่องจากหากรอหมายศาล เนื้อหาที่เป็นปัญหาก็จะแพร่กระจายจนควบคุมไม่ได้ นางสาวพลอย เจริญสม เน้นย้ำว่า การทำงานจะง่ายขึ้นหากมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า เนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาลักษณะใดถือเป็น เนื้อหาที่ผิดกฎหมาย ซึ่งแพลตฟอร์มก็จะมีหน้าที่ช่วยจัดการได้ทันที

บทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)

นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (DE) กล่าวว่า กระทรวง DE ดำเนินงานภายใต้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๖๐)  ในการดำเนินงาน: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเก็บพยานหลักฐานและชี้แจงต่อกระทรวงฯ ว่า เนื้อหานั้นมีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือครองอย่างไร จากนั้น DE จะยื่นคำร้องต่อศาลผ่านทางระบบ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่  กรณีจากศาลมีคำสั่งแล้ว จะต้องแจ้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้มีการระงับหรือนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้นออกไป 

“กระทรวง DE มีบุคลากรจำนวนไม่มาก การดำเนินงานจึงต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการจัดเก็บหลักฐานอย่างเป็นระบบ” นายศรัณย์ กล่าว 

บทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)

นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า พศ. มีภารกิจหลักในการสนองงานคณะสงฆ์ แม้จะยอมรับว่าปัญหาการหมิ่นศาสนาเป็นเรื่องยุ่งยากและหนักใจในการสกัดกั้นเนื้อหา โดยศาสนาพุทธถูกกระทำในเชิงของการทำลายหรือลบหลู่มากที่สุด ในสองลักษณะคือ 1) กระทำต่อตัวบุคคลหรือภาพลักษณ์ และ 2) ในเรื่องของหลักธรรมคำสอน

“พศ. มิได้นิ่งนอนใจและมีกองงานที่รับผิดชอบเรื่องการรับเรื่องร้องเรียนตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งบางเดือนมีหลายสิบ URL แต่ไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด เนื่องจากบางสื่อมาจากต่างประเทศ นายพศุตม์ ขอดเมชัย ระบุว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดมีบุคลากรเพียง 4–5 คน ที่ต้องดูแลพระภิกษุทั้งจังหวัด ทำให้การรับข้อมูลข่าวสารเข้าถึงยาก และขาดเครื่องมือที่ทันสมัยไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม พศ. จะดำเนินการตามศักยภาพ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง”

บทบาทของตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.)

พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ กล่าวในฐานะตัวแทนของตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) ว่า ภารกิจหลักคือการป้องกันและปราบปราม รวมถึงการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การทำงานแบ่งเป็น 2รูปแบบ:ได้แก่ 1.การทำงานเชิงรับ: หากคดีเข้าองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจนตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘ หรือ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ผู้เสียหายสามารถร้องทุกข์ต่อตำรวจไซเบอร์หรือพนักงานสอบสวนท้องที่ได้ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย  2.การทำงานเชิงรุก: มีการจัดตั้งทีมมอนิเตอร์เนื้อหาที่บิดเบือนหรือการใช้ AI สร้างภาพล้อเลียน และมีการสร้างช่องทางพิเศษในการประสานงานโดยตรงกับเจ้าของแพลตฟอร์ม (Facebook, TikTok, Line) เพื่อปิดกั้นและบล็อกการเข้าถึง

ชู 3 ข้อเสนอเชิงนโยบายและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อธำรงศรัทธา

ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ปฏิบัติงานเห็นพ้องว่า แนวทางที่ดีที่สุดในระยะยาวคือ การปฏิรูปกฎหมาย และมาตรการป้องกัน:

1)ด้านการปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนายอังคาร เพชรอาวุธ และ พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ เห็นว่า ถึงเวลาที่จะต้องมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในหมวดเกี่ยวกับศาสนา เพื่อให้ถ้อยคำในกฎหมายเก่าครอบคลุมการกระทำความผิดในปัจจุบัน

นายอังคาร เสนอให้พิจารณาแก้ไขถ้อยคำใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘ (กรณีแต่งกายเลียนแบบพระนักบวช) โดยเปลี่ยนถ้อยคำจาก “เพื่อให้เชื่อว่า เป็นความจริง” เป็นถ้อยคำที่ครอบคลุมลักษณะความเสียหายในยุคปัจจุบันมากขึ้น เช่น “เพื่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในทางศาสนา” เป็นต้น ทั้งนี้ การแก้ไขต้องมีการรับฟังประชาชนก่อน

2.การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางและการต่างประเทศ 

นายอังคาร เสนอว่า ควรมีการจัดตั้ง กองงานศาสนา หรือหน่วยสืบสวนสอบสวนด้านศาสนาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อจัดการกับปัญหาโดยตรง นอกจากนี้ ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารในการกระชับความสัมพันธ์กับเจ้าของแพลตฟอร์มต่างชาติ (Facebook และ Google) เพื่อให้การร้องขอพยานหลักฐานเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดทำได้ง่ายขึ้น

3.มาตรการป้องกันผ่านความรู้ดิจิทัล  

นางสาวมณีรัตน์ และ พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ  ต่างเน้นย้ำว่าแนว ทางที่ดีที่สุดคือ การป้องกัน 

พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ  เสนอว่า ต้องมีการสร้างและส่งเสริม ความรอบรู้ทางดิจิทัล (Digital Literacy) หรือที่เรียกว่า “วัคซีนไซเบอร์” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน นักเรียน และเยาวชน ว่าการกระทำลักษณะใดที่หมิ่นเหม่จะผิดกฎหมายและสร้างความเสื่อมเสียให้กับศาสนา 

พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ได้เสริมว่า การให้ความรู้โดยเน้นให้รู้จัก การให้เกียรติบุคคล ศาสนา และตนเอง จะเป็นเป้าหมายสำคัญที่ช่วยลดเหตุการณ์เหล่านี้

การเสวนาครั้งนี้โดยคณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนาฯ ถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความท้าทายในยุคสื่อดิจิทัลที่ส่งผลกระทบระทบต่อความศรัทธาของศาสนาอย่างยิ่งยวด โดยได้ชี้ให้เห็นทั้งข้อจำกัดของกฎหมายอาญาที่ต้องได้รับการปรับปรุง และความจำเป็นของการมีกลไกการกำกับดูแลที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผู้ช่วยศาสตราจารย์วราวุธ ตีระนันทน์ ได้กล่าวสรุปว่า คณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนาฯ จะนำข้อคิดและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการเสวนาไปจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสนอต่อกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านกฎหมายและมาตรการที่เหมาะสมต่อไป และยืนยันว่า พลังในความร่วมมือและความตั้งใจของทุกท่านที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันจะเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงรักษาและความศรัทธา เพื่อทำให้สังคมไทยเกิดความสงบ ความเข้าใจ และความสามัคคีอย่างแท้จริง

รายนามผู้มีส่วนร่วมในการเสวนาที่อ้างอิง:
1.นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง
2.ผู้ช่วยศาสตราจารย์วราวุธ ตีระนันทน์ สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม
3.นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
4.นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
5.นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)
6.นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
7.พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ในเอกสารต้นฉบับระบุ พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี)
8.นางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)

รำลึก “ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้วางรากฐานสังคมไทยปลอดบุหรี่

“หมอประกิต” สดุดีคุณูปการ “ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้วางรากฐานสังคมปลอดบุหรี่ไทย จี้รัฐบาลปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าจริงจังหลังพบสถิติเยาวชนเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าพุ่ง วอนรัฐบาลให้ความสำคัญบังคับใช้กฎหมายจัดการควบคุมยาสูบอย่างเด็ดขาด

ที่เรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน เขตดุสิต เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา จัดงาน ปาฐกถารำลึก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการควบคุมยาสูบในประเทศไทย” โดยมีทายาท ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร่วมงาน อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และบุคคลสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการความสำเร็จในการควบคุมยาสูบในประเทศไทย

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการควบคุมยาสูบในประเทศไทย” ว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อรำลึกถึงคุณูปการของศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน ผู้มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มและผลักดันการรณรงค์ลดการสูบบุหรี่ในประเทศไทยให้ประสบผลสำเร็จเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่คุณงามความดีของท่านให้สาธารณชนได้ตระหนักถึงจิตวิญญาณแห่งความเสียสละเพื่อส่วนรวม

ทั้งนี้ ราชบัณฑิตยสภาได้จัดงานปาฐกถารำลึกครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “กัลยาณมิตรในความทรงจำของข้าพเจ้า” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากวงวิชาการและประชาชนทั่วไป

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ และศึกษาต่อ ณ สหราชอาณาจักร สำเร็จแพทยศาสตร์บัณฑิตจากโรงเรียนแพทย์กายส์ มหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อปี พ.ศ. 2502 และได้รับประกาศนียบัตร M.R.C.P. จากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอนในปี พ.ศ. 2506 ก่อนจะได้รับเกียรติเป็นภาคี F.R.C.P. ในปี พ.ศ. 2519

“ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมองของประเทศไทย มีผลงานทางวิชาการระดับสากล และดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล, นายกราชบัณฑิตยสถาน, และ สมาชิกวุฒิสภา

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้ก่อตั้ง “โครงการผลิตแพทย์เพื่อชนบท” มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหนึ่งในผลงานที่ถือเป็นคุณูปการสำคัญของศาสตราจารย์อรรถสิทธิ์ฯ คือ การริเริ่มงานรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ในประเทศไทย โดยได้ชักชวน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ ซึ่งขณะนั้นเป็นอาจารย์หน่วยโรคปอด ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาร่วมดำเนินงานรณรงค์จนเกิด “มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่”

ภายหลัง เมื่อศาสตราจารย์อรรถสิทธิ์ฯ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ผลักดัน พระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 และ กฎหมายห้ามโฆษณาบุหรี่ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยที่ล้ำหน้าหลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือสหรัฐอเมริกา ผลจากมาตรการดังกล่าว ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงปี พ.ศ. 2534 – 2558 จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงจาก 12.26 ล้านคน เหลือ 10.9 ล้านคน ขณะที่อัตราการสูบบุหรี่ในเพศชายลดลงจากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 50 จนประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกว่าเป็นประเทศ “ต้นแบบ” ด้านการควบคุมยาสูบ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสดใส สูตะบุตร มีบุตร-ธิดา 3 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอลิสา สมรสกับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ นางสาวงามพรรณ เวชชาชีวะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย ท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดหลายชั้น อาทิ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก, มหาวชิรมงกุฎ, ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา รวมถึงรางวัลระดับนานาชาติ เช่น เหรียญทององค์การอนามัยโลก (Health Medal) พ.ศ. 2539 และ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์หลายสาขา จากมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยรังสิต

“ศาสตราจารย์เกียรติคุนายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2566 สิริอายุ 87 ปี ท่ามกลางความอาลัยและการรำลึกของศิษย์และผู้ร่วมงานทั่วประเทศ”

ศ.นพ.ประกิต กล่าวว่างานปาฐกถารำลึกในปีนี้นับเป็นอีกครั้งที่วงวิชาการและสาธารณชนได้ร่วมสดับและตระหนักในปณิธานของ “หมออรรถสิทธิ์” ผู้เชื่อมั่นว่า “สุขภาพของคนไทยคือรากฐานของประเทศ” เสียงปาฐกถาของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ ในวันนี้จึงไม่เพียงเป็นการกล่าวถึงอดีต แต่ยังเป็นการสืบสานเจตนารมณ์ของผู้ริเริ่ม เพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าสู่อนาคตที่ปราศจากควันบุหรี่และอวลด้วยสุขภาวะที่

ศ.นพ.ประกิต กล่าวถึงสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันว่า ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า จำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 11.4 เท่า จากปี 2564 โดยมีเยาวชนอายุ 15–24 ปี เป็นกลุ่มหลักกว่า 2.5 แสนคน อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เช่น “ทอยพอด” “พอดจมูก” และ “นิโคตินพาวช์” ที่ออกแบบให้มีรูปลักษณ์คล้ายของเล่นหรือยาดม ซึ่งเจาะตลาดวัยรุ่นผ่านสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 41.4 รองลงมาคือ Facebook และ Instagram น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินเข้มข้นสูง ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงเสียชีวิตเฉียบพลัน และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นมากขึ้น 2–3 เท่า

อีกทั้งยังเป็น “ประตูสู่สารเสพติดอื่น” ที่สร้างปัญหาสังคมในวงกว้าง จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการปราบปรามบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันเยาวชนหลงผิดเสพติดในอัตราเพิ่มขึ้นสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง และขอให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะอันตรายของบุหรี่เป็นเหตุให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งถึง 70 % จากผู้ป่วยโรค NCDs ไม่ว่าโรคหลอดเลือดหัวหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรงเบาหวาน ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญและสนับสนุนการควบคุมบุหรี่อย่างจริงจัง

“การรำลึกถึงคุณูปการของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิใช่เพียงเพื่อเชิดชูเกียรติของผู้ล่วงลับ หากแต่เป็นการสืบสานอุดมการณ์ “เพื่อสุขภาพของคนไทย” อันเป็นพลังสำคัญในการสร้างสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืนและปลอดควันบุหรี่” ศ.นพ.ประกิตกล่าวย้ำ

กรมศุลกากรจับกุมก๊าซไนตรัสออกไซด์-เฮโลอีนกว่า 159 ล้านบาท

กรมศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบสินค้านำเข้าผิดกฎหมายจับกุมก๊าซไนตรัสออกไซด์ สินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าและเฮโรอีน มูลค่ากว่า 159 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวผลการปราบปรามการนำเข้าสินค้าก๊าซไนตรัสออกไซด์ (ก๊าซหัวเราะ) สินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าและเฮโรอีน มูลค่ารวมกว่า 159 ล้านบาท โดยระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของกรมศุลกากรในการปกป้องสังคมจากสินค้าผิดกฎหมาย โดยมี นางสาวสุนทรียา ทวิชาประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร พร้อมด้วยนายอาวุธ วงศ์สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา นายแถมสิน ศรีบางพลีน้อย รองผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และนางสาวอรอนงค์ ตัณฑวิวัฒน์ เภสัชกรชำนาญการพิเศษ หัวหน้าด่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ท่าเรือกรุงเทพ เข้าร่วมแถลงข่าว ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ กรมศุลกากร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้ให้ความสำคัญในการปกป้องสังคม โดยได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบควบคุมสินค้าที่มีความเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายและก่อให้เกิดการค้าที่ไม่เป็นธรรม และปรับเปลี่ยนระบบการตรวจสอบสินค้าให้ทันสมัยเป็นสากล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมสินค้าผิดกฎหมาย โดยไม่สร้างภาระให้แก่ผู้ประกอบการสุจริต

ระหว่างเดือนกันยายน – ตุลาคม 2568 กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ตรวจสอบสินค้านำเข้า ต้นทางประเทศจีน สำแดงเป็นสินค้าเบ็ดเตล็ด จากการตรวจสอบพบว่า มีสินค้าบางส่วนไม่ได้สำแดงในใบขนสินค้า และยังพบว่าเป็นสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า เช่น รองเท้าแตะ แบตเตอรี่ กระเป๋า และแก้วเก็บอุณหภูมิ รวมทั้งสิ้น 70 หีบห่อ จำนวน 18,175 ชิ้น มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 55 ล้านบาท

กรณีดังกล่าวเป็นการนำสินค้าต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2565 และเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า อันเป็นความผิดตามมาตรา 202 244 252 166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบกับ พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้านำเข้าจากประเทศจีน พบก๊าซไนตรัสออกไซด์ (ก๊าซหัวเราะ) จำนวน 2,670 ชิ้น มูลค่ากว่า 44 ล้านบาท ไม่ได้สำแดงมาในใบขนสินค้า ก๊าซดังกล่าวเป็นยาที่ใช้ตามโรงพยาบาลสำหรับดมสลบก่อนผ่าตัดหรือถอนฟัน เพื่อลดอาการปวด ออกฤทธิ์ และหมดฤทธิ์เร็ว หากสูดดมเข้าไปมากจะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง และหมดสติ และหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม เหน็บชาบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้า และอาจถึงขั้นเสียชีวิต กรณีนี้เป็นความผิดฐานนำของต้องกำกัดเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามมาตรา 202 244 252 166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบกับ พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (2 พฤศจิกายน 2568) กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรหนองคาย ตรวจพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) จำนวน 20 กิโลกรัม ณ ด่านพรมแดนหนองคาย สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 1 ซุกซ่อนในกระเป๋าเดินทางของหญิงสัญชาติไทย จำนวน 2 ราย  มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท เป็นความผิดฐานนำเข้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นความผิดตาม มาตรา 242 และมาตรา 252 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบประมวลกฎหมายยาเสพติด

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถิติการจับกุมสินค้าผิดกฎหมายของกรมศุลกากร ในปีงบประมาณ 2568 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 30 กันยายน 2568) จับกุมทั้งหมด 48,711 ราย มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2568 จับกุมสินค้าผิดกฎหมายอื่นๆ 3,388 ราย มูลค่ากว่า 170 ล้านบาท โดยจับกุมสินค้านำเข้า เช่น เมทแอมเฟตามีน มูลค่า 21 ล้านบาท บุหรี่ มูลค่า 20 ล้านบาท โคคาอีน มูลค่า 16 ล้านบาท สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มูลค่า 12 ล้านบาท น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า มูลค่า 6 ล้านบาท

นอกจากนี้จับกุมสินค้าส่งออก เช่น กัญชา มูลค่า 21 ล้านบาท เฮโรอีน มูลค่า 4 ล้านบาท ทองคำ มูลค่า 2 ล้านบาท เมทแอมเฟตามีน มูลค่า 1 ล้านบาท และแอมเฟตามีน มูลค่า 150,000 บาท เป็นต้น ทั้งนี้กรมศุลกากรจะเพิ่มมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า – ส่งออก สินค้าผิดกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อปกป้องสังคมให้ปลอดภัย

ทั่วสารทิศ!!ร่วมบุญงานกฐินวัดหนองผักกาดยอดบุญกว่า 3 ล้าน

อุทัยธานี- ทั่วสารทิศ!!ร่วมบุญงานกฐิน แห่เจ้าอาวาสองค์เก่า วนรอบโบสถ์ ยอดบุญ 3 ล้านกว่า พร้อมยืนแสดงความอาลัยแด่พระพันปีหลวง สุดฮือฮา พบเต่าคลานเข้าโบสถ์ร่วมบุญงานกฐิน

ที่วัดหนองผักกาด หมู่ 7 ต.ประดู่ยืน อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ได้จัดงานบุญมหากฐิน อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีนายวีระจิตต์ เคลื่อนคล้อย และนายนิตินัย สุกกรี ชมรมฅนรักถิ่น กรุงเทพนนท์ 1 เมืองนนทบุรี เป็นประธานในงานกระฐิน นำยอดเงินบุญโดยรวมมาทั้งหมด สามล้านบาท พร้อมกับชาวบ้านทั่วสารทิศเดินทางมาร่วมงานบุญกันอย่างหนาแน่น โดยชาวบ้านที่มาร่วมงานได้แต่งกายสวมใส่ชุดไทยโซนภาคเหนือ

พร้อมกับติดริบบิ้นดำให้กับชาวบ้านที่มาร่วมงาน และยืนไว้อาลัยให้กับพระพันปีหลวง ด้วยความจงรักภักดี ภายในงาน ได้มีนางรำ มารำถวายให้กับพระพันปีหลวง พร้อมกับแห่หลวงพ่อองค์เสมือนจริง พระครูอุเทศธรรมกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองผักกาด ที่ได้มรณภาพลง โดยมีจนท.ตำรวจสภ.ลานสัก มาคอยดูแลสังเกตการณ์ภายในงาน เนื่องจากมียอดจำนวนเงินบุญที่สูง รวม3,099,973 บาท

ทั้งนี้ ได้มีชาวบ้านที่มาร่วมงานบุญ พากันฮือฮาได้พบเต่า 1 ตัว มุ่งหน้าคลานช้าๆเดินเข้าไปในโบสถ์ สร้างความฮือฮา และแปลกใจให้กับชาวบุญเป็นอย่างมากเนื่องจากชาวบ้านไม่เคยพบเห็นมาก่อน ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นวันดี ในบุญงานกฐิน ขนาดเต่ายังอยากมาร่วมบุญ

รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม 116ล.กระตุ้นศก.พิจิตรคึกคัก

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร มอบหมายให้ นายกิติพล เวชกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร , นางสาวสุกัญญา ต้นทุน หัวหน้า สนง. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิจิตร ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม8อำเภอ116 ล้านบาทเศษ ซึ่งวันนี้รัฐบาลได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้ประสบภัยของ จ.พิจิตร แล้ว ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน 12,912 ครัวเรือน รวมจำนวนเงิน 116,208,000 บาท

สำหรับบรรยากาศวันนี้ที่ธนาคารหลายแห่ง ต่างเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้านทที่แห่กันมาถอนเงินเพื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยและซ่อมแซมที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่เข้าโครงการคนละครึ่งและรับบัตรประชารัฐเพื่อใช้ในการซื้อสิ่งของอุปโภค-บริโภค ก็พลอยคึกคักไปด้วย ส่งผลให้พิจิตรวันนี้เศรษฐกิจการจับจ่ายใช้สอย มีเม็ดเงินหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายและความคาดหวังของรัฐบาล


ในส่วนของ น.ส.สาลี่ ดำมินเสก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 9 ต.ท่าหลวง อ.เมืองพิจิตร ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกของเมืองพิจิตร ที่แม่น้ำน่านล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือนราษฎร โดยผู้ใหญ่สาลี่ได้พาลูกบ้านที่ได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้มาที่ธนาคารได้กล่าวว่า ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ใส่ใจช่วยเหลือเยียวยาราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ ซึ่งเงินจำนวน 9,000 บาทนี้ มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่เดือดร้อนจากน้ำท่วมและพิษเศรษฐกิจที่ได้รับเงินเพื่อหล่อเลี้ยงชีพในช่วงดังกล่าวนี้อีกด้วย


นายกิติพล เวชกุล รองผู้ว่าฯ พิจิตร กล่าวว่า อยากให้เงินจำนวนนี้ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมให้ได้มากที่สุด ส่วนเรื่องการฟื้นฟูถนน หรือ สาธารณูปโภคต่างๆรวมถึง วัด โรงเรียน รพ.สต. ก็จะมีการเร่งพัฒนาเพื่อบริการประชาชนให้ได้เร็วที่สุดต่อไป


โดย…สิทธิพจน์ เกบุ้ย/พิจิตร/

“ณัฐนิชา”นำทัพไทยชิง4ทองศึกกำปั้นแทมเมอร์ฟินแลนด์

ณัฐนิชา จงโปร่งกลาง นักชกสาวไทยตัวความหวังเหรียญทองซีเกมส์ โชว์ฟอร์มเยี่ยม ต้อนชนะคะแนน อาย่า แฮมดี้ นักชกฝรั่งเศส 5-0 นำทัพกำปั้นทีมชาติไทย ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศรุ่น54กก.หญิง  เช่นเดียวกับรุ่น 60 กก. ศักดา รวมธรรม ชนะคะแนน ลีโอนาร์โด วู้ด(อังกฤษ) 4-1 รวมถึง รุ่น57กก.หญิง  ปุณรวีร์ รื่นรส และ รุ่น60กก.หญิง อภิษฎา ทันท่าหว้า ในศึกมวยสากลรายการ”แทมเมอร์ ทัวร์นาเมนต์  2025″ระหว่าง 29 ต.ค.-3พ.ย.นี้ ที่เมืองแทมเปเร่ ประเทศฟินแลนด์

สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของ นายพิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังในฐานะนายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ที่พยายามผลักดันและปูพื้นฐานมวยสากลในระดับยุวชนเยาวชนและประชาชน เพื่อต่อยอดสู่ความเป็นเลิศในระดับนานาชาติรวมถึงเป้าหมายเหรียญทองโอลิมปิคเกมส์ 2028

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1พ.ย.มีนักมวยสากลทีมชาติไทยลงแข่ง 4คู่รอบรองชนะเลิศ

รุ่น 54 กก.หญิง ณัฐนิชา จงโปร่งกลาง ชนะคะแนน  อาย่า แฮมดี้(ฝรั่งเศส)5-0ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ พบ ไอวี่ เจน สมิธ(อังกฤษ)

 รุ่น60กก.ศักดา รวมธรรม ชนะคะแนน ลีโอนาร์โด วู้ด(อังกฤษ)4-1ผ่านเข้าชิงฯพบ จู้ด กาเลเกอร์(ไอร์แลนด์)

รุ่น57กก.หญิง  ปุณรวีร์ รื่นรส ชนะคะแนน บิเบียนน่า โลวาโซว่า(สโลวาเกีย)5-0ทะลุชิง เข้าพบ วีเวียน พาร์สัน(อังกฤษ)

รุ่น60กก.หญิง อภิษฎา ทันท่าหว้า ชนะคะแนน เซียร่า สต็อช(ออสเตรเลีย)3-2ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ แอมเบอร์ ฟาร์ราเวย์(ออสเตรเลีย)

สรุปทีมมวยสากลชุดซีเกมส์ ผ่านเข้าชิงฯ4รุ่น โดยจะชกรอบชิงชนะเลิศ
ช่วงค่ำวันที่2พ.ย.

อย่างไรก็ตาม สต๊าฟโค้ชชุดนี้ ประกอบ ด้วยร.ต.สุบรรณ พันโนน ,ร.ท.หญิง สุดาพร สีสอนดี, จ.ส.อ.ฐวิกร สณฑ์สกุณา

“ปิติ-กันตศักดิ์” ยืนหนึ่งเรซ 2 บุรีรัมย์ ปิดท้าย TSS GT3 2025

สิงห์ มอเตอร์สปอร์ต ทีม ไทยแลนด์ สู้ยิบตาในรุ่นซูเปอร์คาร์ GT3 โดย ปิติ ภิรมย์ภักดี จับคู่ กันตศักดิ์ กุศิริ รวมพลังเข้าเส้นชัยอันดับที่ 1 ในเรซ 2 สนามสุดท้ายที่บุรีรัมย์ คว้ารองแชมป์ประเทศไทยไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ย. 68 ศึกรถยนต์ทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย TSS The Super Series By B-Quik 2025 สนามที่ 5 เป็นการแข่งขันเรซที่ 2 ของรุ่นซูเปอร์คาร์ GT3  ดวลความเร็วกันที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

ในเรซนี้ รถแข่ง Honda NSX GT3 หมายเลข 12 จากสิงห์ มอเตอร์สปอร์ต ทีม ไทยแลนด์ ได้ออกสตาร์ทจากกริดที่ 1 โดย กันตศักดิ์ กุศิริ ขับเป็นมือแรก ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เร่งสปีดเป็นผู้นำตลอดทาง ก่อนส่งไม้ต่อให้ ปิติ ภิรมย์ภักดี ทำหน้าที่ในช่วงครึ่งชั่วโมงหลัง

ในช่วงครึ่งทางหลัง ปิติ ภิรมย์ภักดี ยังคงขับตามแผนการที่วางเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แม้จะโดน วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ จาก AAS Motorsort ไล่จี้มาตลอด แต่ยังพยายามควบรถหมายเลข 12 นำห่างผู้ตามออกไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 ได้สำเร็จ คว้า 25 แต้มเต็ม

ส่วนรถแข่ง Ferrari 296 GT3 หมายเลข 89 จาก สิงห์ มอเตอร์สปอร์ต ทีม ไทยแลนด์ อีกหนึ่งคัน เรซนี้สตาร์ทจากกริดที่ 2 โดย คาร์โล แวน แดม ขับเป็นมือแรก ก่อนส่งไม้ต่อให้ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 4 เก็บเพิ่ม 12 คะแนน

จากการคว้าอันดับ 1 ในเรซนี้ แม้จะทำแต้มแซง AAS Motorsort ไม่ได้ แต่ก็ยังดีพอที่จะจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ประเทศไทย ในศึก TSS The Super Series By B-Quik 2025 สำเร็จ 

หลังจบเรซ ปิติ ภิรมย์ภักดี กล่าวว่า “เป็นไปตามแผน เรามียางใหม่ทั้ง 2 เซต ทั้งผม และแบงค์ ก็ทำได้ตามที่คุยกันไว้ทุกอย่าง ปีนี้เราพลาดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่บางแสน และมาเลเซีย ทำให้คะแนนไล่แชมป์ประเทศไทยไม่ทัน ก็ฝากติดตาม TSS ต่อไป ในปีหน้าก็ว่ากันใหม่ เราคงจะได้ลุ้นกันสนุกแน่