ตม.บุกรวบเซียนพระจีน คาแผงพระดังย่านงามวงศ์วาน ทำงานไม่ได้รับอนุญาต

พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ขานรับนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ซึ่งได้กำชับให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย

พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ รอง ผบก.ตม.3 จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุริยะ พ่วงสมบัติ ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.ท.ปิติพัฒน์ ศรีธนาอภินันท์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สืบสวน นำโดย พ.ต.ท.จตุรโชค เพชรคง สว.กก.สส.บก.ตม.3 ลงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าดังย่านงามวงศ์วาน หลังได้รับเบาะแสว่า ภายในห้างดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมืองนนทบุรี จว.นนทบุรี มีชายชาวจีนลักลอบเปิดแผงขายพระเครื่อง โดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 ได้วางแผนกระจายกำลังเข้าตรวจสอบภายในพื้นที่เป้าหมาย และตรวจสอบแผงจำหน่ายพระเครื่องจำนวน 2 แผง โดยมีชาย ลักษณะคล้ายคนต่างด้าว รวม 3 คนประจำอยู่ที่แผงพระทั้งสองแผง มีการพูดคุยซื้อขายพระเครื่องอ้างตนเป็นเซียนพระ  รับซื้อ–ขายพระเครื่อง รวมถึงกรอบพระเนื้อทองคำและเงิน อย่างเปิดเผย เจ้าที่จึงขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวพบว่าเป็นคนสัญชาติจีน 2 ราย คือนายหมิง และ นายจาง (นามสมมติ) อายุ 35 และ 40 ปีตามลำดับได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชจักรชั่วคราว (ประเภทพำนักชั่วคราว 60 วัน ซึ่งออกให้เพื่อการท่องเที่ยวหรือการติดต่อธุรกิจเฉพาะกรณี)

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบแผงจำหน่ายพระเครื่องอีกแผงนึง พบคนขายเป็นคนจีนชื่อนายหวัง ซึ่งได้รับการตรวจลงตรา ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อศึกษาในสถานศึกษา ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และยังพบลูกจ้างคนเมียนมาร์ อีก 1 ราย ตรวจสอบหนังสือเดินทางทราบชื่อนายมินอู (นามสมมติ) อายุ 29 ปี อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ไม่มีเอกสารอนุญาตทำงาน เช่นเดียวกัน

ในชั้นจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาคนจีนทั้ง 3 รายฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่จะทำได้” 

และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาชาวเมียนมาร์  “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน, เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”

โดยนอกจากนี้ในส่วนของนายหวัง เจ้าหน้าที่ยังได้แจ้งข้อกล่าวหา “เป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน“ อีกฐานความผิดหนึ่งด้วย

ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่ง พนักงานสอบสวน สน.รัตนาธิเบศร์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.สุริยะฯ ฝากผู้สื่อข่าวย้ำเตือน ไปยังประชาชนและผู้ที่จะกระทำความผิดว่า การกระทำลักษณะข้างต้น เป็นความผิดฐานทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2561 มีอัตราโทษปรับตั้งแต่ 5000 บาทถึง 50,000 บาท และหากเป็นนายจ้างจะต้องรับโทษฐานรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่รับอนุญาตซึ่งจะมีมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง 100,000 บาท และหลังจากถูกดำเนินคดีแล้วสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะใช้อำนาจในการพิจารณาลงบันทึกรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้าม ตามกฏหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไป 

กมธ.ศาสนาฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน)เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง

กมธ.ศาสนาฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2568 คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา นำโดยนางเอมอร  ศรีกงพาน ประธานคณะกรรมาธิการ และคณะกรรมาธิการ พร้อมคณะฝ่ายเลขานุการ เข้าร่วมบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) เพื่อแสดงความอาลัยและถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

คณะกรรมาธิการได้เข้าร่วมพิธีซึ่งเริ่มขึ้นเวลา 07.00 นาฬิกา ณ ห้องรับรองสมาชิกวุฒิสภา ชั้น 2 อาคารรัฐสภา โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พร้อมถวายภัตตาหารเช้า (ปิ่นโต) และจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป ต่อมาเวลา 08.00 นาฬิกา ได้มีพิธีสวดพระพุทธมนต์ ณ บริเวณริมสระมรกต ชั้น 1 และภายหลังจากนั้น เวลา 08.30 นาฬิกา คณะกรรมาธิการได้ร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 10 รูป บริเวณริมสระมรกต สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยได้ร่วมถวายข้าวสารอาหารแห้งเพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง

การเข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลของคณะกรรมาธิการครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการถวายความอาลัยอย่างสมพระเกียรติ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ในการธำรงรักษาและส่งเสริมคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และคุณธรรมอันดีงามของสังคมไทยให้คงอยู่สืบไป

.

เขมรระดมยิง BM21 โจมตีบ้านเรือนในกันทรลักษณ์แขนขาด2บาดเจ็บเพียบ

ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษกำชับ ห้ามประชาชนกลับบ้านเด็ดขาด หลัง BM-21ของฝ่ายกัมพูชา ตกใส่ชุมชนฝั่งไทยชาวบ้านแขนขาด 2 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนหลายราย บ้านไฟไหม้วอด 2 หลัง

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2568 เพจ Army Military Force โพสต์ภาพและข้อความว่า “ด่วน!! เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ทหารกัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 โจมตีบ้านเรือนชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เบื้องต้นมีรายงานว่า ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางจำนวนหลายราย และบาดเจ็บสาหัส แขนขาดอีก 2 ราย”

รายงานล่าสุด ผู้ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อคือ นายสุดใจ สีแดงดี อาชีพนักการภารโรงโรงเรียนบ้านเสาธงชัย ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด และ นายแก้ว กุณรา ชาวบ้านหมู่ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณแขน โดยอาการหวิดแขนขาด แต่แพทย์สามารถควบคุมอาการไว้ได้ ทั้ง 2 รายไม่พบว่ามีคำสั่งแต่งตั้งเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)

นอกจากนี้ แรงระเบิดจากลูก BM-21 ยังทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น จำนวน 2 หลัง บริเวณทางขึ้นวัดภูสามสวรรค์ ตำบลเสาธงชัย ได้แก่ บ้านของนายจันดา สุทธิสน และบ้านของ นายจรัส ชินโสภา ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

ขณะที่ นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยเด็ดขาด เนื่องจากสถานการณ์เหตุปะทะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด โดยศูนย์พักพิงแต่ละแห่งได้จัดกิจกรรมเพื่อลดความเครียดให้กับผู้อพยพ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ ทางจังหวัดจะลงพื้นที่ดูแลและให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ต่อไป

หอการค้าไทย-จีน เผย เศรษฐกิจไทย ปี’69 ยังต้องเผชิญ 2 ความเสี่ยง การเมืองไม่มั่นคง-ศก.โลกผันผวน

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น “หอการค้าไทย-จีน” ประจำไตรมาส  1/2569 ผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 56 เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจไทย ปี 2569 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงสองประการความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และ ความผันผวนของเศรษฐกิจไลก

นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน  เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ประจำไตรมาส 1/2569 ซึ่งได้มีการสำรวจระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน ถึง 9 ธันวาคม 2568  โดยผู้ให้ข้อมูลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีนประกอบด้วย (1) ประธานคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการหอการค้าไทยจีน (2) ประธานและกรรมการสมาชิกสมาคมต่างๆของสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และ (3) กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน รวมทั้งสิ้น จำนวน 453 คน

ในการสำรวจครั้งนี้มีประเด็นครอบคลุมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงสิ้นปี 2568 และการคาดการณ์ปี 2569   

สถานการณ์ที่สำคัญในปี 2568 คือการที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับนานาประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า และมีเป้าหมายหลักคือการลดการนำเข้าสินค้าจีน ทำให้สินค้าจีนได้ถูกระบายออกขายในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น จากการสำรวจของหอการค้าไทยจีน พบว่าร้อยละ 51.7 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้รับรู้หรือรู้สึกได้ว่าสินค้าจีนได้ส่งออกมายังประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามการค้ากับประเทศจีน แต่ร้อยละ 21.6 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความเห็นว่าปริมาณสินค้าจากจีนนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

การเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าดำเนินมาหลายรอบ ในปลายเดือนตุลาคม ไทยได้มีการลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ช่วงประชุมสุดยอดอาเซียน 2025 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ร้อยละ 31.3 ของผู้ตอบการสำรวจ มีความเห็นว่า ข้อตกลงทางการค้าดังกล่าวทำให้ไทยเสียเปรียบต่อการค้าและเศรษฐกิจ ขณะที่ร้อยละ 27.3 มีความเห็นว่าข้อตกลงดีไปตามที่คาด ส่วนร้อยละ 27 มีความเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจของไทย ผลของการสำรวจจึงอาจจะยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้  ในการประชุมครั้งนี้ ไทยยังได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจในเรื่องแร่หายากกับสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 42 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็น ที่กังวลในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพราะขาดความชัดเจนใน ขณะที่ร้อยละ 42.6 ให้ความเห็นว่าด้วยเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจสามารถจะยกเลิกได้จึงไม่กังวลในการลงนามดังกล่าว ดังนั้นในภาพรวมกล่าวได้ว่าการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกานั้น คงยังต้องรอการประเมินผลกระทบหลังจากที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น 

ในเวลาต่อมา ที่เวที APEC 2025 ที่เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกาและจีนมีข้อตกลงสงบศึกการค้าชั่วคราวเป็นระยะเวลาหนึ่งปี และมีข้อตกลงอื่นอาทิ จีนจะระงับการควบคุมการส่งออกแร่หายาก สหรัฐอเมริกาจะลดภาษีนำเข้าจากจีนเหลือร้อยละ 47 จากเดิมที่จะเก็บร้อยละ 57 และระงับการเพิ่มข้อจำกัดต่อบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ การสำรวจความคิดเห็นของหอการค้าไทยจีนต่อผลของข้อตกลงดังกล่าวพบว่า ร้อยละ 50.4 ของผู้ตอบแบบสำรวจ คิดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งยังไม่น่าไว้วางใจและจะมีความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆในช่วงหนึ่งปีหน้า เรื่องของการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนเป็นสินค้าของประเทศที่สามและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา (transshipment) ร้อยละ 53.2 ของผู้ตอบแบบสำรวจยังคงความกังวลแม้ว่าจะมีข้อตกลงสงบศึกการค้าชั่วคราว ในขณะที่ร้อยละ 25.5 กลับมีความกังวลมากกว่าเดิม โดยสรุปแล้วกล่าวว่าได้ว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนนั้นสามารถจะเกิดขึ้นได้ และมีประเด็นที่สำคัญคือนิยามเรื่องการสวมสิทธิ์

ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้จัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ใช้เงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ 20 ล้านคน การสำรวจของหอการค้าไทยจีนพบว่า ร้อยละ 56 เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้เป็นอย่างมาก และร้อยละ 14.7 เห็นว่าโครงการดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายได้ดีเป็นอย่างมากที่สุด กล่าวโดยสรุปได้ว่าหอการค้าไทยจีนสนับสนุนโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นอย่างเต็มที่ 

นอกจากนโยบายระยะสั้นในโครงการคนละครึ่งพลัสแล้ว ยังมีมาตรการในโครงการ Quick Big Win อีกหลายมาตรการ ผู้ตอบแบบสำรวจหอการค้าไทยจีนลงความเห็นว่า หากต้องเลือกโครงการที่สำคัญและผลักดันให้ประสบความสำเร็จ และจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมากที่สุด   มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมาตรการเร่งเจรจาเปิดเสรีทางการค้า ตามลำดับ ซึ่งเป็นสามมาตรการหลักที่ควรเร่งผลักดันให้บรรลุผล

การคาดการณ์ในปี 2569 ในการสำรวจครั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจยังให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยว่าไตรมาสที่สี่ของปีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนและพลิกฟื้นให้เสร็จเติบโตต่อเนื่องในปี 2569  ร้อยละ 40.7  คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องไปได้ในระยะสั้นเป็นเวลาช่วงไม่เกินหกเดือน  แต่ร้อยละ 33.4 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตต่อเนื่องได้มากกว่าหกเดือน ผู้ตอบแบบสำรวจลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยง สองประการหลัก ในปี 2569 คือความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาพลิกฟื้นได้ในปี 2569 หากภาคธุรกิจมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และหากภาวะทางการเมืองลงตัวก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในระยะยาว 

นอกจากนี้ นายณรงค์ศักดิ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า การค้าระหว่างประเทศไทยและจีน ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม 2568) ขยายตัว 28% มีมูลค่าการค้ารวม 121,550 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกของไทยไปจีน มีมูลค่ารวม 33,781 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.47% เป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน ส่วนการนำเข้าของไทยจากจีน มีมูลค่า 87,768 ล้านเหรียญสหรัฐ  ขยายตัว 33.59%  การนำเข้าของไทยจากจีนขยายตัวสอดคล้องกับการขยายการลงทุนของจีนในประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา

.

F-16 ถล่ม”สะพานจัยจุมเนี๊ยะ”ปิดเส้นเลือดกองทัพเขมรส่งกำลังบำรุงโจมตีไทย

กองทัพอากาศส่ง F-16 ทิ้งไข่ถล่ม “สะพานจัยจุมเนี๊ยะ” ชำรุดเสียหาย ตัดเส้นทางกัมพูชา เสริมกำลังและอาวุธหนักเข้ามายังพื้นที่ประชิดชายแดนด้าน จ.ตราด

เมื่อเวลา 06.12 น. วันที่ 13 ธันวาคม 2568 สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน หลังมีรายงานว่าเครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพอากาศไทย (RTAF) ได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ทำลายสะพานยุทธศาสตร์ภายในดินแดนกัมพูชา เพื่อสกัดเส้นทางส่งกำลังบำรุงของฝ่ายผู้รุกราน

เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force รายงานด่วนพร้อมเผยแพร่ภาพ ระบุว่า เครื่องบินรบ F-16 ของไทยได้ทิ้งระเบิดโจมตี สะพานจัยจุมเนี้ยะ ตำบลทมอดา อำเภอเวียลเวง จังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชาประมาณ 4–5 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้าม

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นปฏิบัติการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ หลังตรวจพบการเคลื่อนไหวเสริมกำลังอย่างต่อเนื่องของทหารกัมพูชาในพื้นที่แนวหน้า และการใช้สะพานแห่งนี้เป็นเส้นเลือดหลักในการส่งกำลังบำรุงเข้าสู่แนวรบ

ต่อมาในเวลา 07.40 น. เพจ Army Military Force รายงานเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ในพื้นที่แนวรบจังหวัดสระแก้วยังคงดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ทหารไทยปะทะกับฝ่ายผู้รุกราน มีการใช้อาวุธหนักทั้งปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดโจมตีใส่ฐานที่มั่นทางทหารของกัมพูชา เสียงระเบิดดังสนั่นได้ยินไกลหลายกิโลเมตร

ด้าน น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เปิดเผยว่า ฝ่ายทหารไทยได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาในพื้นที่มานานหลายวัน พบการเสริมกำลังอย่างผิดปกติ และมีการใช้สะพานจัยจุมเนี้ยะเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงกำลังบำรุง 

อุณหภูมิดิ่ง!หิมะแรกแห่งปีปกคลุมกรุงปักกิ่ง-หลายมณฑลขาวโพรน

ประชาชนชาวกรุงปักกิ่งของจีน ต้อนรับหิมะตกครั้งแรกของปี คลื่นความหนาวระลอกใหม่พัดเข้าหลายมณฑล หลายเขตเสี่ยงพายุหิมะถล่ม

สำนักข่าวซินหัว ของทางการจีน รายงานว่า กรุงปักกิ่งเผชิญหิมะแรกของฤดูกาล หลังคลื่นอากาศเย็นจัดแผ่ปกคลุมพื้นที่อย่างรวดเร็ว โดยหิมะที่เริ่มตกตั้งแต่ช่วงเช้าจะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเช้ามืดวันเสาร์


สำนักงานอุตุนิยมวิทยาปักกิ่ง คาดว่าหลายพื้นที่ทั่วเมืองจะมี หิมะตกหนักปานกลาง ขณะที่บางเขตอย่าง ฝางซาน

เหมินโถวโกว ชางผิง เยียนชิง ไหว่โหลว และ มี่อวิ่น อาจเผชิญ หิมะหนัก และบางจุดอาจรุนแรงถึงระดับ พายุหิมะ

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ในหลายเขตเร่งรับมือ ทั้งการโรยเกลือบนถนน ทางด่วน และเตรียมความพร้อมด้านการจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุจากสภาพถนนลื่นที่อาจเกิดขึ้น

NIA หนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาคเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการภาคกลางโตแข็งแกร่ง

กรุงเทพฯ – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดกิจกรรม “Roadshow การสนับสนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาค (ภาคกลาง)” ครั้งที่ 1 ปีงบประมาณ 2569 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรม แลงคาสเตอร์ กรุงเทพฯ

รองศาสตราจารย์ ดร.พีรพัฒน์ ทองนึก รองผู้อำนวยการศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) กล่าวเปิดกิจกรรมว่า “ในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ NIA ในการขับเคลื่อน โครงการนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (Regional Innovation Business Platform) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ครอบคลุมทั้ง 25 จังหวัด ให้มีโอกาสได้รับการพัฒนาศักยภาพ และเข้าถึงการสนับสนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาคของ NIA โดยการจัดกิจกรรม Roadshow ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญ ที่จะทำให้หน่วยงาน องค์กร และผู้ประกอบการที่มีศักยภาพได้ทำความรู้จักและสร้างเครือข่ายระหว่างกัน รวมถึงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการสนับสนุนทุนของ NIA ที่จะสร้างโอกาสการเติบโตให้แก่ธุรกิจ นำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศชาติต่อไป”

คุณเฉลิมพงษ์ กล้าขยัน ผู้จัดการพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมรายพื้นที่ NIA กล่าวว่า “ในปีนี้ NIA ได้มีความร่วมมือกับจุฬาฯ ในการดำเนินงานเป็น Node PMU-NIA ภาคกลาง เพื่อสนับสนุนกิจกรรมในการแสวงหา คัดกรอง และบ่มเพาะผู้ประกอบการ เพื่อยื่นขอรับทุนสนับสนุนจาก NIA ภายใต้ Regional Innovation Business Platform ในสองกลไกการสนับสนุนทุนหลัก ได้แก่ 1. กลไกการสนับสนุนทุนโครงการนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมที่ต้องการพัฒนาและนำผลิตภัณฑ์ต้นแบบเชิงพาณิชย์ มาทดสอบการใช้งานกับกลุ่มลูกค้าจริง ทดสอบกระบวนการผลิตเชิงอุตสาหกรรม และทดสอบตลาดโดยการจำหน่ายจริง นำไปสู่การสร้างให้เกิดรายได้เมื่อสิ้นสุดโครงการ และ 2. กลไกการขยายผลนวัตกรรมในระดับภูมิภาคสู่ตลาด (Regional Market Validation) สำหรับส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมที่มีสินค้าหรือบริการนวัตกรรมจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว แต่ต้องการเปิดตลาดใหม่หรือเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และต่างประเทศ เพื่อการขยายผลเชิงพาณิชย์”

คุณเอกธัช ภัทระโภคพัฐ ผู้จัดการ Node PMU-NIA ภาคกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมจุฬาฯ และ NIA รวมถึงหน่วยงานเครือข่ายต่าง ๆ จะทำให้การพัฒนาโครงการเพื่อจัดสรรเงินสนับสนุนทุนให้แก่ผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมในพื้นที่ สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้ Node PMU-NIA ภาคกลาง ได้มีการจัดกิจกรรม Roadshow การสนับสนุนทุนนวัตกรรมระดับภูมิภาค (ภาคกลาง) ครั้งที่ 1/2569 ที่กรุงเทพมหานคร และวางแผนที่จะจัดกิจกรรมฯ ครั้งที่ 2/2569 ที่จังหวัดชลบุรี ในเดือนมกราคม 2569 ที่จะถึงนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์กลไกการสนับสนุนทุนของ NIA และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยและผู้ที่สนใจได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nia.or.th และ Facebook: NIA – National Innovation Agency Thailand หรือ Facebook: Node NIA ภาคกลาง”

.

คปภ.ถกบริษัทประกันภัยสงขลาลุยจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากอุทกภัยพื้นที่ภาคใต้

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน สำนักงาน คปภ. ได้ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อเข้าร่วมการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทประกันภัย เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เป็นการเร่งด่วน ณ ศาลากลางจังหวัดสงขลา

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า จากข้อมูลความเสียหายด้านการประกันภัยล่าสุด ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2568 พบว่าประชาชนในหลายจังหวัดของภาคใต้ได้แจ้งความเสียหายจากเหตุอุทกภัยเป็นจำนวนมาก โดยเบื้องต้นมีการแจ้งความเสียหายรถยนต์   แล้วประมาณ 30,000 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 7,500 ล้านบาท ขณะที่ความเสียหายด้านทรัพย์สิน บ้านเรือน และอาคารพาณิชย์ มีการแจ้งความเสียหายแล้วประมาณ 26,000 ราย รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,800 ล้านบาท     ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลเบื้องต้นซึ่งอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายพื้นที่ยังอยู่ระหว่างการเข้าสำรวจและประชาชนบางส่วนยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ โดยสำนักงาน คปภ. จะติดตามและรวบรวมข้อมูลร่วมกับบริษัทประกันภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อสะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงในพื้นที่

ในการประชุมครั้งนี้เลขาธิการ คปภ. ได้สอบถามเกี่ยวกับการตรวจสอบความเสียหายและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เป็นรายบริษัท โดยเน้นย้ำให้ทุกบริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม โดยเคลม Total Loss จ่ายภายใน 3-7 วัน และประกันภัยทรัพย์สินให้จ่ายภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้บริษัทประกันภัยเร่งทบทวนและสื่อสารสร้างความเข้าใจกับพนักงานเกี่ยวกับเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะประเด็นวงเงินคุ้มครองย่อย (Sublimit)

ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของเรื่องร้องเรียนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การให้ข้อมูลแก่ผู้เอาประกันภัยไม่ครบถ้วนหรือเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงได้สั่งการให้ทุกบริษัทประกันภัยจัดให้มีการสื่อสารอย่างถูกต้อง ชัดเจน และเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถใช้สิทธิประกันภัยได้อย่างเป็นธรรม พร้อมกำชับให้บริษัทประกันภัยประสานงานกับอู่ซ่อมรถในเครืออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การซ่อมแซมรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

ซึ่งทุกบริษัทประกันภัยได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันอย่างชัดเจน โดยยืนยันความพร้อมที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณี Total Loss ให้แล้วเสร็จภายใน 3–7 วัน และประกันภัยทรัพย์สินให้จ่ายภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของภาคธุรกิจประกันภัยในการยืนเคียงข้างประชาชนในช่วงเวลาวิกฤต ไม่เพียงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วน แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมประกันภัยในฐานะกลไกสนับสนุนการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ขณะเดียวกัน สำนักงาน คปภ. ได้ขอให้ทุกบริษัทตรวจสอบและใช้ข้อมูลอ้างอิงในมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้กระบวนการพิจารณาและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ และสอดคล้องกันในทุกแห่ง

สำนักงาน คปภ. ยังได้ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ และเน้นย้ำให้ภาคธุรกิจประกันภัยดำเนินงานเชิงรุก เพื่อดูแลประชาชนในทุกขั้นตอนของการให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะการเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมจัดส่งทีมคุ้มครองสิทธิประโยชน์จากส่วนกลางลงพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการทำงานของสำนักงาน คปภ. ภาค 9 (สงขลา) และบูรณาการร่วมกับบริษัทประกันภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่โดยเร็วที่สุด และขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้

พร้อมขอย้ำว่ามาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้รับการฟื้นฟูและเยียวยาอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม พร้อมทั้งกำกับติดตามการปฏิบัติงานของบริษัทประกันภัยทุกแห่งอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มาตรการทุกด้านเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างแท้จริงสะท้อนความมุ่งมั่นของสำนักงาน คปภ. ในการยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัย    หรือพบปัญหาเกี่ยวกับการประกันภัย สามารถติดต่อ สายด่วน คปภ. 1186 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“ฮุน มาเนต” เผยคุย “อันวาร์–ทรัมป์” หาทางยุติสู้รบไทย มุ่งสู่ปฎิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์

“ฮุน มาเนต” เผยหารือ “อันวาร์–ทรัมป์” หาทางหยุดยิงไทย-กัมพูชา เสนอใช้ภาพดาวเทียมสหรัฐ–มาเลเซีย ตรวจสอบเหตุปะทะ 7 ธ.ค. ชี้เป็นวิธีโปร่งใสพิสูจน์ใครยิงก่อน

นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊ก ระบุว่า ได้หารือทางโทรศัพท์กับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม และกับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อคืนวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อหาทางนำไปสู่การหยุดยิงระหว่างไทยแลักัมพูชา และผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์

นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่า ได้ขอบคุณผู้นำทั้งสองประเทศที่พยายามอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนสันติภาพระยะยาวระหว่างกัมพูชาและไทย พร้อมย้ำว่า กัมพูชายึดมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีมาโดยตลอด ตามเจตนารมณ์ของปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์

สำหรับเหตุยิงปะทะที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งนำไปสู่การปะทะรอบใหม่ระหว่างทั้งสองประเทศ นายฮุน มาเนต ระบุว่า ได้เสนอให้สหรัฐฯ และมาเลเซีย ใช้ศักยภาพด้านข่าวกรองของกองทัพหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ และภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากนั้น เพื่อตรวจสอบอย่างชัดเจนว่าฝ่ายใดเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน

ฮุน มาเนต กล่าวว่า เขามองว่าวิธีนี้เป็นแนวทางที่ง่ายที่สุดและโปร่งใสมากที่สุดในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง พร้อมย้ำว่า กัมพูชาพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบในลักษณะนี้

รถไฟ “เส้นทางสายใต้”เปิดเดินรถตามปกติแล้ว หลังน้ำท่วมคลี่คลาย

การรถไฟฯ เปิดให้บริการเดินรถ “เส้นทางสายใต้” เต็มรูปแบบแล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 68 เป็นต้นไป หลังสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้คลี่คลาย และระดับน้ำลดเข้าสู่ภาวะปกติ

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประกาศแจ้งเปิดเดินรถสายใต้ ภายหลังจากซ่อมแซมทางและระบบอาณัติสัญญาณเสร็จเรียบร้อย หลังสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้คลี่คลายและระดับน้ำลดเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้สามารถเปิดเดินขบวนรถทางไกลจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ถึงสุไหงโกลกและยะลาได้ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟฯ รักษาการผู้ว่าการรถไฟฯ เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์น้ำท่วมช่วงหาดใหญ่ไปถึงสุไหงโกลกและยะลาได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ รฟท. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จากฝ่ายการช่างโยธา ฝ่ายการอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายทันที โดยมุ่งเน้นการประเมินความมั่นคงของคันทางตามจุดเสี่ยง การตรวจสอบระบบสัญญาณไฟฟ้า และระบบสื่อสาร ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในหลายช่วงทาง

ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเสริมความแข็งแรงของคันทาง ปรับปรุงชั้นหินโรยทาง ตรวจเช็กและเปลี่ยนอุปกรณ์ระบบอาณัติสัญญาณที่จำเป็น พร้อมทดสอบการทำงานของระบบทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าเส้นทางสามารถรองรับการเดินรถได้อย่างปลอดภัยสูงสุด จนสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ รองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านการโดยสาร และการขนส่งสินค้า ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดสำคัญทางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยคาดว่าจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงที่ต้องหยุดเดินรถชั่วคราวจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา

ท้ายนี้ รฟท. ขอขอบคุณผู้โดยสารและประชาชนที่เลือกใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทาง พร้อมยืนยันว่าจะยังคงดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเดินรถทุกขบวนมีความปลอดภัยและมีมาตรฐานสูงสุดตามหลักสากล สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการต่อไป