“อนุทิน”โต้ “อันวาร์”ไม่มีหยุดยิง 4 ทุ่มคืนนี้ ซัด”เขมร”ยืมมือผู้นำชาติอื่นพูดแทน

นายกรัฐมนตรียืนยันไม่หยุดยิง 4 ทุ่มคืนนี้ ตามที่นายกฯ มาเลเซียอ้าง เชื่อเป็นการเข้าใจผิด ขอให้ฟังการแถลงของกองทัพ ย้ำไทยถูกรุกราน ถ้ากัมพูชาอยากหยุดยิง ต้องเสนอแผนมาที่ไทยโดยตรง อย่าให้ผู้นำประเทศอื่นพูดแทน ชี้เรื่องระดับประเทศไม่ควรสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2568หลังจากเป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ จ่าสิบเอกศตวรรษ สุจริต หรือ “จ่าเพียว” ทหารกล้าที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ณ วัดพรหมพิทักษ์วนาราม หมู่ที่ 9 ตำบลรอบเมือง อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โพสต์ข้อความระบุว่าในเวลา 22.00 น.ของวันนี้ ประเทศไทยและกัมพูชาจะเริ่มกระบวนหยุดยิง ว่า ยังไม่ทราบ คาดว่าน่าจะเป็นความเข้าใจผิด ซึ่งขณะนี้มีการสื่อสารเยอะไปหมด จึงขอให้ฟังการแถลงของกองทัพใน 2 ช่วงเวลาจะดีที่สุด และขณะนี้ยังไม่มีการเจรจาหยุดยิง และยังไม่ถึงเวลานั้น

“ย้ำอีกครั้งนะครับว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่ถูกรุกราน คุกคามอธิปไตย และที่เราตอบโต้ไปก็เพื่อป้องกันอธิปไตย ป้องกันพี่น้องประชาชน ทำให้เขาเห็นว่าอย่าได้เข้ามาทำร้ายประเทศไทย ในขณะที่เรากำลังแสดงท่าทีว่าเรากำลังปกป้องอธิปไตยของเรา คงไม่มีใครสามารถมาบอกเราได้ว่า 4 ทุ่มต่างคนต่างถอยไปแล้วก็หยุดยิงกัน ถ้าคิดด้วยสามัญสำนึกที่ปกติ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยอีกว่า ถ้าจะหยุดจริงจริงกัมพูชาต้องเสนอข้อดำเนินการมาที่ประเทศไทย ไม่ใช่ให้ผู้นำประเทศอื่นมาพูด เพราะเรามีเรื่องกันอยู่ ถ้าจะดำเนินการใดที่อยากหยุดข้อพิพาทกัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเสนอมา อย่างเช่นเมื่อวานนี้ (12 ธันวาคม 2568) ที่บอกว่าหยุดยิงแล้ว แต่ตอนเช้าก็ยังมีเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหาร และมาโดนประชาชนของไทย ทำให้เกิดความเสียหาย ดังนั้น การกระทำมันชัดเจนอยู่แล้ว การจะพูดอะไรก็พูดได้แต่ต้องทำด้วย ถ้าหยุดจริงก็ต้องหยุดยิงให้เห็น และต้องถอนความพร้อมในเรื่องการยิง ไม่ใช่ปืนยังเล็งมาที่ประเทศไทย และพร้อมยิงอยู่ ถ้าอยากหยุดจริงก็ต้องหยุดทั้งหมด หยุดความพร้อมทุกอย่างและถอยกลับไป ซึ่งคนที่จะประเมินคือประเทศไทย ว่าแบบนี้เริ่มคุยกันได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้การพูดคุยผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะนี่เป็นเรื่องของประเทศ

เดือดส่งท้ายปี! “ตะวันฉาย” ดวลแข้ง “หลิว เมิงหยาง”-“กุหลาบดำ”ฟาดปาก “ปตท” ศึก ONE ลุมพินี 137

เดือดส่งท้ายปี! เปิดโปรแกรมเต็ม ONE ลุมพินี 137 “ตะวันฉาย” ชน “หลิว เมิงหยาง” นำทัพ

กางโปรแกรมเต็มศึกใหญ่ส่งท้ายปี ONE ลุมพินี 137 ที่ขนกองทัพนักสู้ชั้นแนวหน้าของวงการ 12 คู่ ร่วมโชว์ฝีมือเต็มอัตรา ถ่ายทอดสดไปยัง 195 ประเทศทั่วโลก จากสนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) ในวันศุกร์ที่ 19 ธ.ค.นี้ เริ่มคู่แรกเวลา 19.30 น. 

คู่เอกของรายการ “ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย” แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) วัย 26 ปี จากชลบุรี สลัดอาการบาดเจ็บ เดินหน้าล่าฝันขึ้นแท่นเป็นแชมป์โลก 2 กติกา ปะทะ “หลิว เมิงหยาง” นักสู้จอมแสบ วัย 22 ปี จากจีน ในกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต

ด้านคู่รองได้สองนักชกบ้าดีเดือดมาดวลกันระหว่าง “กุหลาบดำ สจ.เปี๊ยกอุทัย” ยอดมวยเจ้าของฉายา “ซ้ายอุกกาบาต” วัย 27 ปี จากสุรินทร์ ลุ้นเก็บชัย 5 ไฟต์ติด พบกับ “ปตท. อภิชาติฟาร์ม” นักชกจอมอึด วัย 28 ปี กำปั้นแถวหน้าจากค่ายดังเมืองพัทยา ในกติกามวยไทย รุ่นแบนตัมเวต (135-145 ป.) 



ส่วนคู่เอกภาคอินเตอร์ “จาง เป่ยเหมียน” นักสู้จอมพลิ้ว วัย 22 ปีจากจีน ดีกรีอดีตผู้ท้าชิงแชมป์โลก รับน้อง “ทองพูน พีเค.แสนชัย” ขาลุยสู้ไม่ถอย วัย 28 ปี จากมหาสารคาม ที่ขอเปิดประสบการณ์ใหม่ ข้ามสายมาชกกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต (115-125 ป.) เป็นครั้งแรกในชีวิต

เท่านั้นไม่พอ

ศึกนี้ยังอัดแน่นด้วยดาวเด่นอีกเพียบ อาทิ “สามเอ ไก่ย่างห้าดาว” ชนสด “จ้าวเสือใหญ่ ม.กรุงเทพธนบุรี”, “ยอดไอคิว อ.พิมลศรี” ท้าชิงสัญญา ONE “เอลบรุส ออสมานอฟ” จากรัสเซีย, “เสือแบล็ค ท.พราน49” วัดเก๋า “ปกรณ์ พีเค.แสนชัย” ร่วมด้วยการโชว์ฝีมือของเหล่านักสู้ชื่อดังอย่าง “โจ ณัฐวุฒิ”, “กิ่งซางเล็ก ว.คำชำนาญ”, “สุริยันต์เล็ก พ.เย็นยิ่ง”, “เด็ดดวงเล็ก ทีเด็ด99” และ “ดวงดาวน้อย ลูกทรายกองดิน”

ศึก ONE ลุมพินี 137 บัตรจำหน่ายหมดแล้ว โดยแฟนกีฬาชาวไทยสามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง Watch.ONEFC.com (บางประเทศ), Facebook & YouTube ONE (บางประเทศ) เริ่มคู่แรกเวลา 19.30 น. ส่วนทางช่อง 7HD กด 35 (ภาษาไทย) เริ่ม 20.30 น.



โปรแกรมการแข่งขันทุกคู่ศึก ONE ลุมพินี 137
•คู่เอก ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย vs หลิว เมิงหยาง (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต 145-155 ป.)
•คู่รอง กุหลาบดำ สจ.เปี๊ยกอุทัย vs ปตท. อภิชาติฟาร์ม (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต 135-145 ป.)
•สามเอ ไก่ย่างห้าดาว vs จ้าวเสือใหญ่ ม.กรุงเทพธนบุรี (มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต 115-125 ป.)
•ยอดไอคิว อ.พิมลศรี vs เอลบรุส ออสมานอฟ (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต 135-145 ป.)
•เสือแบล็ค ท.พราน49 vs ปกรณ์ พีเค.แสนชัย (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต 135-145 ป.)
•โจ ณัฐวุฒิ vs โมฮัมหมัด เซียซารานี (มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต 145-155 ป.)

•จาง เป่ยเหมียน vs ทองพูน พีเค.แสนชัย (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต 115-125 ป.)
•กิ่งซางเล็ก ว.คำชำนาญ vs สุริยันต์เล็ก พ.เย็นยิ่ง (มวยไทย รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)
•เด็ดดวงเล็ก ทีเด็ด99 vs ชิมอน (มวยไทย รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)
•ดวงดาวน้อย ลูกทรายกองดิน vs เรแกน กาวอิง (มวยไทย รุ่นอะตอมเวต 105-115 ป.)  
•เพชร สวนหลวงรถยก vs ริวยะ โอคุวากิ (มวยไทย รุ่นอะตอมเวต 105-115 ป.)  
•เด่นเกรียงไกร สิงห์มาวิน vs อาซาฮี ชินากาวา (มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต 115-125 ป.)

นทท.แห่ชมทะเลหมอกยอดภูเรือ ท่ามกลางไม้ดอกเมืองหนาว อุณหภูมิ 14 องศา

บรรยากาศวันหยุดคึกคัก นักท่องเที่ยวทะลักชมทะเลหมอกยอดภูเรือยามเช้า ท่ามกลางไม้ดอกเมืองหนาว อุณหภูมิ 14 องศา

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม2568 จากการรายงานของอุตุนิยมวิทยา จังหวัดเลยมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า ส่วนบริเวณยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิอุทยานแห่งชาติภูกระดึง 15.0 องศาเซลเซียส อุทยานแห่งชาติภูเรือ 14.0 องศาเซลเซียส เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง (อ.ภูเรือ) 12.0 องศาเซลเซียส ถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อยกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จังหวัดเลย แหล่งท่องเที่ยวยังคงคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อสัมผัสอากาศหนาว

น.ส.เนตรนภา งามเนตร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเรือ เปิดเผยว่า ช่วงนี้สภาพอากาศส่วนใหญ่ปลอดโปร่ง เหมาะแก่การชมทะเลหมอกในช่วงเช้ามืด และตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นสบายและเอื้อต่อการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และเชิญชวนนักท่องเที่ยววางแผนมาเยือนภูเรือในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่ทะเลหมอกสวยงามที่สุด พร้อมแนะนำให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเส้นทางขึ้นภูมีโค้งและทางชันหลายช่วง โดยเฉพาะเมื่อทัศนวิสัยลดลง เพื่อให้ทุกคนได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติอย่างปลอดภัยและอุ่นใจตลอดการเดินทาง

ส่วนในวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ อุทยานแห่งชาติภูเรือยังมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาสัมผัสอากาศหนาว โดยเช้าวันนี้ปรากฏภาพทะเลหมอกสีขาวนุ่มละมุน ปกคลุมทั่วบริเวณตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิต่ำสุดวัดได้เพียง 14 องศาเซลเซียส พร้อมลมหนาวพัดอ่อนๆ สร้างบรรยากาศเงียบสงบ และงดงามราวภาพวาด นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทาง ขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดภูเรือ เพื่อสัมผัสความสวยงามของทะเลหมอกที่ลอยตัวเหนือผืนป่า

และแนวเทือกเขาที่เรียงซ้อนกันสุดสายตา แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านม่านหมอกบางๆ เพิ่มความโรแมนติก จนหลายคนต่างหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพความประทับใจไว้เป็นที่ระลึก

.

ชู “Nan Creative Journey 2025”กระตุ้นท่องเที่ยวชุมชน เสริมเศรษฐกิจฐานรากน่าน

นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานเปิดงาน “Nan Creative Journey 2025” งานแสดงหมู่บ้านท่องเที่ยวสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวชุมชน และเศรษฐกิจฐานราก ณ บริเวณข่วงน้อย ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเทศบาลเมืองน่าน

การจัดงานมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดน่าน ตามแนวทางการพัฒนาจังหวัด “Nan : City of Happiness and Creativities” ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ควบคู่การอนุรักษ์วัฒนธรรม วิถีชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ภายในงานมีการจำลองบรรยากาศหมู่บ้านท่องเที่ยวจาก 10 ชุมชนท่องเที่ยวคุณภาพของจังหวัดน่าน เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ผ่านการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ชุมชน งานหัตถกรรมพื้นบ้าน อาหารพื้นถิ่น การสาธิตภูมิปัญญา และการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมทำหน้าที่เป็นเวทีประชาสัมพันธ์และเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีหมู่บ้านท่องเที่ยวที่เข้าร่วมจัดแสดง ประกอบด้วย

บ้านหลวง หมู่ 1 ตำบลสวด อำเภอบ้านหลวง, บ้านสันเจริญ หมู่ 6 ตำบลผาทอง อำเภอท่าวังผา, บ้านใหม่พัฒนา หมู่ 4 ตำบลน้ำเกี๋ยน อำเภอภูเพียง, บ้านกลาง หมู่ 4 ตำบลพระธาตุ อำเภอเชียงกลาง, บ้านน้ำมวบ หมู่ 1 ตำบลน้ำมวบ อำเภอเวียงสา, บ้านผาหลัก หมู่ 3 ตำบลยอด อำเภอสองแคว, บ้านบ่อหลวง หมู่ 1 ตำบลบ่อเกลือใต้ อำเภอบ่อเกลือ, บ้านวังผา หมู่ 7 ตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง, บ้านห้วยยื่น หมู่ 2 ตำบลบ่อ อำเภอเมืองน่าน และบ้านดอนไชย หมู่ 3 ตำบลศิลาแลง อำเภอปัว

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการแสดงบนเวทีในแต่ละวัน เพื่อสร้างสีสันและดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้แก่ วันที่ 12 ธันวาคม 2568 การแสดงจาก เตวิชญ์ ชัยธัช, วันที่ 13 ธันวาคม 2568 การแสดงจาก ไข่มุก รุ่งรัตน์ และวันที่ 14 ธันวาคม 2568 ปิดท้ายความประทับใจด้วยคอนเสิร์ตจากวง The Pher (เดอะเพอะ)

งาน “Nan Creative Journey 2025” จัดขึ้นภายใต้โครงการ สืบสาน รักษา ศิลปวัฒนธรรมวิถีน่าน และต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 12–14 ธันวาคม 2568 ณ ข่วงเมืองน่าน (ข่วงน้อย) อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดน่านขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมสัมผัสเสน่ห์วิถีชุมชน เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของเมืองน่าน ผ่านพลังของชุมชนท่องเที่ยวทั้ง 10 แห่ง

ระรินธร เพ็ชรเจริญ รายงาน

ทบ. ประณามกัมพูชา ยิงจรวด BM-21 ตกพื้นที่พลเรือน อ.กันทรลักษ์ บาดเจ็บสาหัส 4 ราย

ทบ. ประณามกัมพูชา ยิงจรวด BM-21 ตกพื้นที่พลเรือน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 4 ราย

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.68 กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือน บริเวณด้านหน้าบังเกอร์หลบภัย หมู่ที่ 1 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนซึ่งได้ยินเสียงแจ้งเตือนและกำลังวิ่งเข้าหลบภัยในบังเกอร์หลบภัย ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีอาการสาหัส 2 ราย ได้แก่ 
   
1. นายแก้ว กินนรา แขนขวาหัก
   
2. นายรำไพ สุวรรณศิลป์ ได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะและมีเลือดออกในสมอง

ซึ่งกองทัพบกได้บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุขในพื้นที่ เร่งนำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 

ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นาย คมสัน ศรีอ้วน โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณหลังคอ และ นายเสรี ปัถอินทรี มีอาการบวมที่ศรีษะเนื่องจากโดนสะเก็ดระเบิด ได้เร่งนำส่ง รพ.ศรีรัตนะ

กองทัพบกขอประณามการกระทำของกำลังทหารกัมพูชาอย่างรุนแรง ต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์

ตม.บุกรวบเซียนพระจีน คาแผงพระดังย่านงามวงศ์วาน ทำงานไม่ได้รับอนุญาต

พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ขานรับนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ซึ่งได้กำชับให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย

พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ รอง ผบก.ตม.3 จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุริยะ พ่วงสมบัติ ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.ท.ปิติพัฒน์ ศรีธนาอภินันท์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สืบสวน นำโดย พ.ต.ท.จตุรโชค เพชรคง สว.กก.สส.บก.ตม.3 ลงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าดังย่านงามวงศ์วาน หลังได้รับเบาะแสว่า ภายในห้างดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมืองนนทบุรี จว.นนทบุรี มีชายชาวจีนลักลอบเปิดแผงขายพระเครื่อง โดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 ได้วางแผนกระจายกำลังเข้าตรวจสอบภายในพื้นที่เป้าหมาย และตรวจสอบแผงจำหน่ายพระเครื่องจำนวน 2 แผง โดยมีชาย ลักษณะคล้ายคนต่างด้าว รวม 3 คนประจำอยู่ที่แผงพระทั้งสองแผง มีการพูดคุยซื้อขายพระเครื่องอ้างตนเป็นเซียนพระ  รับซื้อ–ขายพระเครื่อง รวมถึงกรอบพระเนื้อทองคำและเงิน อย่างเปิดเผย เจ้าที่จึงขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวพบว่าเป็นคนสัญชาติจีน 2 ราย คือนายหมิง และ นายจาง (นามสมมติ) อายุ 35 และ 40 ปีตามลำดับได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชจักรชั่วคราว (ประเภทพำนักชั่วคราว 60 วัน ซึ่งออกให้เพื่อการท่องเที่ยวหรือการติดต่อธุรกิจเฉพาะกรณี)

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบแผงจำหน่ายพระเครื่องอีกแผงนึง พบคนขายเป็นคนจีนชื่อนายหวัง ซึ่งได้รับการตรวจลงตรา ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อศึกษาในสถานศึกษา ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และยังพบลูกจ้างคนเมียนมาร์ อีก 1 ราย ตรวจสอบหนังสือเดินทางทราบชื่อนายมินอู (นามสมมติ) อายุ 29 ปี อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ไม่มีเอกสารอนุญาตทำงาน เช่นเดียวกัน

ในชั้นจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาคนจีนทั้ง 3 รายฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่จะทำได้” 

และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาชาวเมียนมาร์  “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน, เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”

โดยนอกจากนี้ในส่วนของนายหวัง เจ้าหน้าที่ยังได้แจ้งข้อกล่าวหา “เป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน“ อีกฐานความผิดหนึ่งด้วย

ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่ง พนักงานสอบสวน สน.รัตนาธิเบศร์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.สุริยะฯ ฝากผู้สื่อข่าวย้ำเตือน ไปยังประชาชนและผู้ที่จะกระทำความผิดว่า การกระทำลักษณะข้างต้น เป็นความผิดฐานทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2561 มีอัตราโทษปรับตั้งแต่ 5000 บาทถึง 50,000 บาท และหากเป็นนายจ้างจะต้องรับโทษฐานรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่รับอนุญาตซึ่งจะมีมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง 100,000 บาท และหลังจากถูกดำเนินคดีแล้วสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะใช้อำนาจในการพิจารณาลงบันทึกรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้าม ตามกฏหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไป 

กมธ.ศาสนาฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน)เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง

กมธ.ศาสนาฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2568 คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา นำโดยนางเอมอร  ศรีกงพาน ประธานคณะกรรมาธิการ และคณะกรรมาธิการ พร้อมคณะฝ่ายเลขานุการ เข้าร่วมบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) เพื่อแสดงความอาลัยและถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

คณะกรรมาธิการได้เข้าร่วมพิธีซึ่งเริ่มขึ้นเวลา 07.00 นาฬิกา ณ ห้องรับรองสมาชิกวุฒิสภา ชั้น 2 อาคารรัฐสภา โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พร้อมถวายภัตตาหารเช้า (ปิ่นโต) และจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป ต่อมาเวลา 08.00 นาฬิกา ได้มีพิธีสวดพระพุทธมนต์ ณ บริเวณริมสระมรกต ชั้น 1 และภายหลังจากนั้น เวลา 08.30 นาฬิกา คณะกรรมาธิการได้ร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 10 รูป บริเวณริมสระมรกต สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยได้ร่วมถวายข้าวสารอาหารแห้งเพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง

การเข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลของคณะกรรมาธิการครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการถวายความอาลัยอย่างสมพระเกียรติ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ในการธำรงรักษาและส่งเสริมคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และคุณธรรมอันดีงามของสังคมไทยให้คงอยู่สืบไป

.

เขมรระดมยิง BM21 โจมตีบ้านเรือนในกันทรลักษณ์แขนขาด2บาดเจ็บเพียบ

ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษกำชับ ห้ามประชาชนกลับบ้านเด็ดขาด หลัง BM-21ของฝ่ายกัมพูชา ตกใส่ชุมชนฝั่งไทยชาวบ้านแขนขาด 2 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนหลายราย บ้านไฟไหม้วอด 2 หลัง

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2568 เพจ Army Military Force โพสต์ภาพและข้อความว่า “ด่วน!! เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ทหารกัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 โจมตีบ้านเรือนชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เบื้องต้นมีรายงานว่า ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางจำนวนหลายราย และบาดเจ็บสาหัส แขนขาดอีก 2 ราย”

รายงานล่าสุด ผู้ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อคือ นายสุดใจ สีแดงดี อาชีพนักการภารโรงโรงเรียนบ้านเสาธงชัย ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด และ นายแก้ว กุณรา ชาวบ้านหมู่ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณแขน โดยอาการหวิดแขนขาด แต่แพทย์สามารถควบคุมอาการไว้ได้ ทั้ง 2 รายไม่พบว่ามีคำสั่งแต่งตั้งเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)

นอกจากนี้ แรงระเบิดจากลูก BM-21 ยังทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น จำนวน 2 หลัง บริเวณทางขึ้นวัดภูสามสวรรค์ ตำบลเสาธงชัย ได้แก่ บ้านของนายจันดา สุทธิสน และบ้านของ นายจรัส ชินโสภา ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

ขณะที่ นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยเด็ดขาด เนื่องจากสถานการณ์เหตุปะทะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด โดยศูนย์พักพิงแต่ละแห่งได้จัดกิจกรรมเพื่อลดความเครียดให้กับผู้อพยพ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ ทางจังหวัดจะลงพื้นที่ดูแลและให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ต่อไป

หอการค้าไทย-จีน เผย เศรษฐกิจไทย ปี’69 ยังต้องเผชิญ 2 ความเสี่ยง การเมืองไม่มั่นคง-ศก.โลกผันผวน

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น “หอการค้าไทย-จีน” ประจำไตรมาส  1/2569 ผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 56 เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจไทย ปี 2569 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงสองประการความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และ ความผันผวนของเศรษฐกิจไลก

นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน  เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ประจำไตรมาส 1/2569 ซึ่งได้มีการสำรวจระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน ถึง 9 ธันวาคม 2568  โดยผู้ให้ข้อมูลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีนประกอบด้วย (1) ประธานคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการหอการค้าไทยจีน (2) ประธานและกรรมการสมาชิกสมาคมต่างๆของสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และ (3) กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน รวมทั้งสิ้น จำนวน 453 คน

ในการสำรวจครั้งนี้มีประเด็นครอบคลุมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงสิ้นปี 2568 และการคาดการณ์ปี 2569   

สถานการณ์ที่สำคัญในปี 2568 คือการที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับนานาประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า และมีเป้าหมายหลักคือการลดการนำเข้าสินค้าจีน ทำให้สินค้าจีนได้ถูกระบายออกขายในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น จากการสำรวจของหอการค้าไทยจีน พบว่าร้อยละ 51.7 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้รับรู้หรือรู้สึกได้ว่าสินค้าจีนได้ส่งออกมายังประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามการค้ากับประเทศจีน แต่ร้อยละ 21.6 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความเห็นว่าปริมาณสินค้าจากจีนนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

การเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าดำเนินมาหลายรอบ ในปลายเดือนตุลาคม ไทยได้มีการลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ช่วงประชุมสุดยอดอาเซียน 2025 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ร้อยละ 31.3 ของผู้ตอบการสำรวจ มีความเห็นว่า ข้อตกลงทางการค้าดังกล่าวทำให้ไทยเสียเปรียบต่อการค้าและเศรษฐกิจ ขณะที่ร้อยละ 27.3 มีความเห็นว่าข้อตกลงดีไปตามที่คาด ส่วนร้อยละ 27 มีความเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจของไทย ผลของการสำรวจจึงอาจจะยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้  ในการประชุมครั้งนี้ ไทยยังได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจในเรื่องแร่หายากกับสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 42 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็น ที่กังวลในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพราะขาดความชัดเจนใน ขณะที่ร้อยละ 42.6 ให้ความเห็นว่าด้วยเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจสามารถจะยกเลิกได้จึงไม่กังวลในการลงนามดังกล่าว ดังนั้นในภาพรวมกล่าวได้ว่าการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกานั้น คงยังต้องรอการประเมินผลกระทบหลังจากที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น 

ในเวลาต่อมา ที่เวที APEC 2025 ที่เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกาและจีนมีข้อตกลงสงบศึกการค้าชั่วคราวเป็นระยะเวลาหนึ่งปี และมีข้อตกลงอื่นอาทิ จีนจะระงับการควบคุมการส่งออกแร่หายาก สหรัฐอเมริกาจะลดภาษีนำเข้าจากจีนเหลือร้อยละ 47 จากเดิมที่จะเก็บร้อยละ 57 และระงับการเพิ่มข้อจำกัดต่อบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ การสำรวจความคิดเห็นของหอการค้าไทยจีนต่อผลของข้อตกลงดังกล่าวพบว่า ร้อยละ 50.4 ของผู้ตอบแบบสำรวจ คิดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งยังไม่น่าไว้วางใจและจะมีความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆในช่วงหนึ่งปีหน้า เรื่องของการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนเป็นสินค้าของประเทศที่สามและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา (transshipment) ร้อยละ 53.2 ของผู้ตอบแบบสำรวจยังคงความกังวลแม้ว่าจะมีข้อตกลงสงบศึกการค้าชั่วคราว ในขณะที่ร้อยละ 25.5 กลับมีความกังวลมากกว่าเดิม โดยสรุปแล้วกล่าวว่าได้ว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนนั้นสามารถจะเกิดขึ้นได้ และมีประเด็นที่สำคัญคือนิยามเรื่องการสวมสิทธิ์

ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้จัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ใช้เงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ 20 ล้านคน การสำรวจของหอการค้าไทยจีนพบว่า ร้อยละ 56 เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้เป็นอย่างมาก และร้อยละ 14.7 เห็นว่าโครงการดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายได้ดีเป็นอย่างมากที่สุด กล่าวโดยสรุปได้ว่าหอการค้าไทยจีนสนับสนุนโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นอย่างเต็มที่ 

นอกจากนโยบายระยะสั้นในโครงการคนละครึ่งพลัสแล้ว ยังมีมาตรการในโครงการ Quick Big Win อีกหลายมาตรการ ผู้ตอบแบบสำรวจหอการค้าไทยจีนลงความเห็นว่า หากต้องเลือกโครงการที่สำคัญและผลักดันให้ประสบความสำเร็จ และจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมากที่สุด   มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมาตรการเร่งเจรจาเปิดเสรีทางการค้า ตามลำดับ ซึ่งเป็นสามมาตรการหลักที่ควรเร่งผลักดันให้บรรลุผล

การคาดการณ์ในปี 2569 ในการสำรวจครั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจยังให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยว่าไตรมาสที่สี่ของปีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนและพลิกฟื้นให้เสร็จเติบโตต่อเนื่องในปี 2569  ร้อยละ 40.7  คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องไปได้ในระยะสั้นเป็นเวลาช่วงไม่เกินหกเดือน  แต่ร้อยละ 33.4 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตต่อเนื่องได้มากกว่าหกเดือน ผู้ตอบแบบสำรวจลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยง สองประการหลัก ในปี 2569 คือความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาพลิกฟื้นได้ในปี 2569 หากภาคธุรกิจมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และหากภาวะทางการเมืองลงตัวก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในระยะยาว 

นอกจากนี้ นายณรงค์ศักดิ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า การค้าระหว่างประเทศไทยและจีน ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม 2568) ขยายตัว 28% มีมูลค่าการค้ารวม 121,550 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกของไทยไปจีน มีมูลค่ารวม 33,781 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.47% เป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน ส่วนการนำเข้าของไทยจากจีน มีมูลค่า 87,768 ล้านเหรียญสหรัฐ  ขยายตัว 33.59%  การนำเข้าของไทยจากจีนขยายตัวสอดคล้องกับการขยายการลงทุนของจีนในประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา

.

F-16 ถล่ม”สะพานจัยจุมเนี๊ยะ”ปิดเส้นเลือดกองทัพเขมรส่งกำลังบำรุงโจมตีไทย

กองทัพอากาศส่ง F-16 ทิ้งไข่ถล่ม “สะพานจัยจุมเนี๊ยะ” ชำรุดเสียหาย ตัดเส้นทางกัมพูชา เสริมกำลังและอาวุธหนักเข้ามายังพื้นที่ประชิดชายแดนด้าน จ.ตราด

เมื่อเวลา 06.12 น. วันที่ 13 ธันวาคม 2568 สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน หลังมีรายงานว่าเครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพอากาศไทย (RTAF) ได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ทำลายสะพานยุทธศาสตร์ภายในดินแดนกัมพูชา เพื่อสกัดเส้นทางส่งกำลังบำรุงของฝ่ายผู้รุกราน

เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force รายงานด่วนพร้อมเผยแพร่ภาพ ระบุว่า เครื่องบินรบ F-16 ของไทยได้ทิ้งระเบิดโจมตี สะพานจัยจุมเนี้ยะ ตำบลทมอดา อำเภอเวียลเวง จังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชาประมาณ 4–5 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้าม

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นปฏิบัติการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ หลังตรวจพบการเคลื่อนไหวเสริมกำลังอย่างต่อเนื่องของทหารกัมพูชาในพื้นที่แนวหน้า และการใช้สะพานแห่งนี้เป็นเส้นเลือดหลักในการส่งกำลังบำรุงเข้าสู่แนวรบ

ต่อมาในเวลา 07.40 น. เพจ Army Military Force รายงานเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ในพื้นที่แนวรบจังหวัดสระแก้วยังคงดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ทหารไทยปะทะกับฝ่ายผู้รุกราน มีการใช้อาวุธหนักทั้งปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดโจมตีใส่ฐานที่มั่นทางทหารของกัมพูชา เสียงระเบิดดังสนั่นได้ยินไกลหลายกิโลเมตร

ด้าน น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เปิดเผยว่า ฝ่ายทหารไทยได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาในพื้นที่มานานหลายวัน พบการเสริมกำลังอย่างผิดปกติ และมีการใช้สะพานจัยจุมเนี้ยะเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงกำลังบำรุง