ชาวปราจีนฯฮิตทำกระทงวัสดุธรรมชาติเน้นรักษ์สิ่งแวดล้อมถวายความอาลัย

ปราจีนบุรี – ก่อนวันลอยลอยกระทงชาวบ้านทำกระทงคึกคักเน้นรักษ์สิ่งแวดล้อมพร้อมๆร่วมพิธีแสดงความอาลัยพร้อมใจกันยืนสงบนิ่ง เพื่อถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงท่ามกลางปรากฏการณ์ดวงจันทร์ใกล้โลกใหญ่ที่สุดในรอบปีพบป้าทำกระทงเตรียมขายโหมทั้งวันเพื่อหารายได้เสริมนำเงินไปรักษาแมวป่วยลูคีเมียและค่าอาหารแมวที่เลี้ยงอีก 20 ตัว

เมื่อเวลา 17.50 น.วันที่ 4 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรีบรรยากาศก่อนวันลอยกระทงพบหลายพื้นที่ร่วมกันทำกระทงและจัดทำสถานที่เตรียมลอยกระทงตามวัดต่างๆในวนเพ็ญขึ้น15 ค่ำเดือน 12 ที่ดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี

พบว่าส่วนใหญ่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยการทำกระทงจากการนำวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายง่าย และหันมานิยมทำกระทงอาหารปลาหลากหลายรูปแบบ อาทิ  ในพื้นที่ อ.ศรีมหาโพธิ ย่านที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรม 304 หรือย่านโรจนะ(ใหม่) ได้มีการนำอาหารปลามาประดิษฐ์เป็นรูปร่างกระทงทรงต่างๆ ทั้งรูปกระทง  ปลา เต่า จระเข้ ซึ่งนำขนมปังอาหารปลาที่วัตถุดิบทำมาจากข้าวโพดมาประดิษฐ์ทำเป็นรูปกระทง

โดยใช้เวลาทำกระทง3 นาที/ชิ้นก็จะได้ก็คงอาหารป่ารูปร่างต่างๆแล้ว การนำอาหารปลามาทำเป็นกระทงด้วยวิธีการง่ายๆ ซื้ออาหารปลามาจากร้านค้า 2-3 สีให้สีแตกต่างตัดกัน ถุงละราว 50-100 บาท จากนั้นนำมาใส่ภาชนะแล้วนำอาหารปลารูปทรงกลมชุบน้ำหมาดๆ และนำมาวางไว้ใส่ภาชนะวางเรียงเป็นชั้น 2 ถึง 3 ชั้น เพื่อเป็นแบบหรือขึ้นรูปทรงเป็นทรงกลม แล้วทำเป็นรูปร่างทรงกระบอกไว้สำหรับเสียบธูปเทียนแค่นี้ก็สำเร็จแล้ว จะขายกระทงอาหารปลาใบละต่ำสุดเพียง 20บาท และ40 บาท

ขณะที่วัดหาดสูง ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี   ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านในชุมชนร่วมกันออกมาทำกระทงไว้สำหรับสืบสานประเพณีวันลอยกระทงวันพรุ่งนี้(5พ.ย.) ซึ่งเน้นทำกระทงอาหารปลา และมะละกอ ซึ่งหาได้จากตามบ้านเรือน  โดยนำมะละกอกำลังจะแก่มาขวางเป็นชิ้นบางๆ จะมีสีเหลืองอ่อนแล้วนำมาประกอบเป็นกระทง

นายสุวิทย์ ลาเจริญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ต.หาดนางแก้ว กล่าวว่า ในวันนี้ชาวบ้านหมู่ที่ 3 ร่วมกันออกมาทำกระทงเพื่อที่จะลอยกระทงในวันพรุ่งนี้ในแม่น้ำปราจีนบุรี ทางวัดได้จัดเตรียมสถานที่ให้ประชาชนมาร่วมสืบสานลอยกระทงในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 พร้อมเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี 

ในวันพิธีลอยกระทง  จะมีพิธีแสดงความอาลัยพร้อมใจกันยืนสงบนิ่ง เพื่อถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ  แจกโบว์สีดำให้กับประชาชนที่มาร่วมลอยกระทงฟรีทุกคน จากนั้นเจ้าอาวาสจะเป็นประธานในพิธีผู้นำลอยกระทงที่ท่าน้ำวัดหาดสูงถวายเป็นพุทธบูชาและขออภัยต่อพระแม่คงคาตามประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล จึงขอเชิญทุกท่านมาร่วมงานลอยกระทงในวันพรุ่งนี้(5พ.ย.) พร้อมเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี นายสุวิทย์กล่าว

ขณะที่ นางณัฐนันท์ อายุ 69 ปี ชาวตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมืองปราจีนบุรี กล่าวว่า ทั้งคืน-วันนี้ตนเองได้ประดิษฐ์กระทงขนมปัง ซึ่งเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม นำไปลอยแล้วย่อยสลายง่ายเป็นอาหารสัตว์น้ำได้ เพื่อหารายได้เสริมในช่วงลอยกระทง โดยจะนำไปขายที่หนองปลาแขยง (อุทยานกบินทร์เฉลิมราชย์) เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ต.เมืองเก่า อ.กบินทร์บุรี 

ซึ่งเงินกำไรที่ได้จะนำมาเป็นทุนสำหรับค่ารักษาแมวที่เลี้ยงไว้เพศผู้ตัวหนึ่งชื่อ “เจ้าเสือดำ” เกิดล้มป่วยเป็นลูคีเมีย (Leukemia) หรือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว  และเป็นค่าอาหารแมวตัวอื่นที่เลี้ยงไว้ รวม 20 ตัว ในการร่วมอนุรักษ์และสืบสานประเพณีที่ดีด้วย นางณัฐนันท์กล่าว

โดย…มานิตย์ สนับบุญ-ข่าว/ทองสุข สิงห์พิมพ์-ภาพ / ปราจีนบุรี###

กอ.รมน. น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ “พระพันปีหลวง”

กอ.รมน. น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ “พระพันปีหลวง” พร้อมใจจัดพิธีลงนามถวายอาลัย พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย “พระราชินีในดวงใจของแผ่นดิน”

เมื่อวันวานที่ผ่านมาวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 09.09 น. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) โดย พลโท ธนาธิป สว่างแสง ผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กอ.รมน. (ผอ.สมท.กอ.รมน.) คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พร้อมใจจัดพิธีลงนามกราบถวายความอาลัยเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ สำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กอ.รมน. พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ

  เพื่อประชาชนชาวไทย เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะการอนุรักษ์ผ้าไหมไทย การแสดงโขน รวมถึงแนวพระราชดำริด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ศิลปาชีพสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งทุกโครงการยังประโยชน์สุขและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ราษฎรทั่วประเทศ

ขอน้อมกราบถวายพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)

 หมึก มายา ผู้ช่วย บก.บห.สำนักข่าว บางกอกทูเดย์ ออนไลน์
  ประธาน ชมรมเพื่อนสื่อมวลชนสร้างสรรค์ประเทศไทย

เปิดก๊อกน้ำทำนา!ป้อนน้ำช่วยชาวนาหนองพยอมตะพานหินเมืองพิจิตร

เปิดก๊อกน้ำทำนา!ชลประทานพิจิตรทุ่มงบ50ล้านสร้างสถานีสูบน้ำพร้อมระบบท่อส่งน้ำแล้วเสร็จพร้อมช่วยชาวนาหนองพยอมตะพานหิน

กรมชลประทานทุ่มงบ50ล้านบาทลงมือสร้างสถานีสูบน้ำพร้อมระบบท่อส่งน้ำแล้วเสร็จพร้อมใช้เป้าหมายช่วยชาวนาหนองพยอมตะพานหินให้สามารถเปิดก๊อกน้ำทำนาได้อย่างอุดมสมบูรณ์หลังจากสร้างเสร็จชาวนาจะได้ใช้ก็ต่อเมื่อมีกลุ่มผู้ใช้น้ำบริหารจัดการน้ำรวมถึงเทศบาลตำบลหนองพยอมต้องรับถ่ายโอนเพื่อดำเนินการอุดหนุนค่าไฟฟ้าที่ใช้สูบน้ำ

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 นายฉัตรชัย  ทองปอนด์  ชลประทานจังหวัดพิจิตร และ นายณัฐภูมิ อนันตภูมิ  นายช่างชลประทานอาวุโส ร่วมกันลงพื้นที่พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้างานก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านหนองพยอม ซึ่งกรมชลประทานอนุมัติงบ 50 ล้านบาท เพื่อดำเนินการโครงการดังกล่าวในปีงบประมาณ 2567  โดยดำเนินการติดตั้งแพสูบน้ำเพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำน่านที่ตำบลวังงิ้ว อ.ตะพานหิน ด้วยการเดินท่อส่งน้ำขนาดใหญ่เป็นระยะทาง 4,900 เมตร เพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำน่านไปตามท่อส่งน้ำ

และส่งน้ำไปยังพื้นที่เกษตรกรรม หมู่ 6 ต.หนองพยอม อ.ตะพานหิน โดยจะดำเนินการวางท่อลอดใต้ถนนและลอดใต้ทางรถไฟเพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่การเกษตรที่ตลอดระยะทางจะมีจุดเปิดน้ำ 20 จุด ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว100% โดยประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับไม่น้อยกว่า 1,500 ไร่ อีกทั้งกลุ่มเกษตรกรและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถทำคลองไส้ไก่เพิ่มเติมเพื่อการกระจายน้ำก็จะสามารถทำให้มีพื้นที่ได้รับประโยชน์มาก

นายฉัตรชัย  ทองปอนด์  ชลประทานจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการดำเนินการเองได้รับงบประมาณและเริ่มดำเนินการในช่วงเดือนพฤษภาคม 67 ล่าสุดยืนยันว่างานเสร็จเรียบร้อยแล้ว 100% ผ่านการทดสอบระบบ ซึ่งพร้อมจะส่งมอบให้กับเทศบาลตำบลหนองพยอม เพื่อดำเนินการต่อไป

ล่าสุด  เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 68  นายฉัตรชัย ชลประทานจังหวัดพิจิตร ได้ทำหนังสือถึง นายกเทศบาลตำบลหนองพยอมพร้อมส่งเอกสารการถถ่ายโอนกิจกรรมชลประทานให้แก่ ทต.หนองพยอม โดยรายงานผลการดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วและตามระเบียบกรมชลประทานว่าด้วยการถ่ายโอนภารกิจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องถ่ายโอนภารกจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของพื้นที่ภารกิจนั้นเพื่อนำไปบริหารจัดการน้ำและซ่อมแซมบำรุงรักษาตามระเบียบกรมชลประทานว่าด้วยการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป ดังนั้นจึงมั่นใจว่าฤดูแล้งปีนี้พื้นที่ดังกล่าวจะสามารถเปิดก๊อกน้ำทำนาได้ตามวัตถุประสงค์และตามความต้องการของพี่น้องเกษตรกรดังกล่าวนั่นเอง

 โดย…สิทธิพจน์ เกบุ้ย /พิจิตร/

คำแถลงการณ์ต่อสาธารณชนเกี่ยวกับจุดยืนและข้อเรียกร้องทางกฎหมายของเสอจื้อเจียง

ลงวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2568

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอันใกล้นี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพัวพันกับการเมืองระหว่างประเทศ อีกทั้งถูกใส่ความและทำร้ายจากสำนักข่าวที่ไม่ได้มีเจตนาดีบางสำนัก นายเสอจื้อเจียงและเอเชียแปซิฟิกกรุ๊ปได้ถูกลากเข้าสู่วังวนทางการเมืองอันซับซ้อน นายเสอจื้อเจียงได้ตกเป็นเป้าสายตาและการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนและเป็นผู้ได้รับผลร้ายจากการเมืองระหว่างประเทศ การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวนั้นไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ส่วนบุคคลของนายเสอจื้อเจียงเท่านั้น แต่ยังข้องเกี่ยวกับความปลอดภัยส่วนบุคคลของเขาอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นได้ส่งผลกระทบต่อเอเชียแปซิฟิกกรุ๊ป กระทั่งเศรษฐกิจและสภาพสังคมของพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ วันนี้พวกเราจึงออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะ เพื่อชี้แจงประวัติความเป็นมาของการพัฒนาตามเส้นเวลาของนายเสอจื้อเจียงและเอเชียแปซิฟิตกรุ๊ป และสำแดงความบริสุทธิ์ลบล้างข้อมูลอันเป็นเท็จ แสดงให้เห็นจุดยืนที่แท้จริงของนายเสอจื้อเจียงและเอเชียแปซิฟิคกรุ๊ป ในขณะเดียวกันก็ได้ยื่นข้อเรียกร้องทางกฎหมายต่อทางสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ อีกทั้งเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศให้ยึดมั่นในจุดยืนที่ยุติธรรม คืนความเป็นธรรมให้แก่นายเสอจื้อเจียง รับรองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และสิทธิอันชอบธรรมทางกฎหมายให้กับเขา

1.       ความตั้งใจแรกเริ่มและโชคชะตา

เดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 นายเสอจื้อเจียงได้เหยียบแผ่นดินเมืองชเวก๊กโก ประเทศเมียนมาร์ เป็นครั้งแรก เขายังมีภาพจำฉากนั้นอย่างชัดเจน คือเต็มไปด้วยกระท่อมมุงจากอันทรุดโทรม ไฟสงครามทำเอาใจไม่ดี ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งเท้าเปล่าอยู่บนซากปรักหักพัง ผู้สูงอายุทำได้เพียงนั่งนิ่งอยู่บนกองฟางเก่า ๆ อย่างช่วยไม่ได้

ณ วินาทีนั้น เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในใจ กระทั่งอดนึกถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็คือเรื่องที่มีแม่ชีรูปหนึ่งที่ใช้กำลังของตนทำให้สงครามระหว่างสองประเทศหยุดไปได้หลายวัน ทำให้เหล่าชาวบ้านต่างโล่งอกได้หายใจหายคอ

ในปีนั้น นายเสอจื้อเจียงอายุได้สามสิบกว่า ๆ เขาเป็นแค่เด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้เรียนจบแม้กระทั่งชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งด้วยซ้ำ บางทีในสายตาของคนอื่นนั้น เขาไม่อาจนับเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ในใจของเขามีแรงผลักดันอันแรงกล้า เขาต้องการจะอยู่ต่อ เขาอยากทดลองกระทำการบางอย่างเพื่อที่นี่ ให้คนที่หมดหนทางเหล่านี้ได้มีข้าวกิน มีเกราะกำบังลมฝนในพักพิง

นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของพรหมลิขิตระหว่างเขากับเมืองชเวก๊กโก

2.      แปดปีแห่งความมุ่งมั่นและทุ่มเท

ในปีพ.ศ. 2560 นายเสอจื้อเจียงได้เริ่มพัฒนาเมืองชเวก๊กโกด้วยน้ำมือของเขาอย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้เวลาถึงแปดปี การสร้างเมืองบนพื้นที่รกร้างนั้นยากเหลือคณานับ แต่สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ สิ่งที่เขาทุ่มเทลงไปไม่ได้มีเพียงเงินตราและแรงกายแรงใจ แต่ยังแบกรับความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวงเอาไว้ด้วย

ช่วงโรคระบาด

          ในขณะที่ทั่วโลกต่างล็อคดาวน์และตื่นตระหนกนั้น เมืองชเวก๊กโกยิ่งเผชิญกับภาวะขาดแคลนยาและเสบียงอาหาร ถ้าหากไม่ได้เงินทุนและทรัพยากรปริมาณมากที่นายเสอจื้อเจียงบริจาคให้เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยโรคระบาดแล้วนั้น ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากน้อยเพียงใด ในหลายปีนั้น หลายครอบครัวยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็ด้วยการป้องกันโรคระบาดและการช่วยเหลือที่นายเสอจื้อเจียงจัดแจงอย่างทันท่วงที

          เขาลงทุนสร้างพื้นที่กักกันโรค ติดต่อประสานงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ให้การสันบสนุนการป้องกันโรคระบาดและการรักษา ต่อให้สภาพจะทุรกันดาร แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดที่จะส่งกำลังคนและสิ่งของเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่นี้ให้ผ่านวิกฤตไปได้

(การก่อตั้งพื้นที่กักกัน สถานีป้องกันการแพร่ระบาก และสิ่งของช่วยเหลือในการต่อต้านโรคระบาดรวมมูลค่า 396 ล้านจ๊าดเมียนมาร์ในช่วงโรคระบาด) โครงสร้างพื้นฐาน

นายเสอจื้อเจียงพาคนมาซ่อมถนน สร้างบ้าน ก่อสร้างเมืองให้เป็นรูปเป็นร่าง ไม่ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ความเสี่ยงจะสูงเสียดฟ้า เขาก็ไม่เคยท้อถอย

 (YATAI Group พัฒนาการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง เช่น การก่อสร้างถนน การก่อสร้างโรงงาน การอนุรักษ์น้ำ ฯลฯ)

โอกาสในการประกอบอาชีพ

นายเสอจื้อเจียงได้สร้างอาชีพให้กับคนประมาณ 80,000 ตำแหน่งทางอ้อมผ่านการพัฒนาเมือง ในพื้นที่อย่างเมียนมาร์นี้นั้น การทำงานของคน ๆ เดียวสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ 5 คน นั่นแปลว่ามีคนที่มีกินมีใช้จากการที่เขาลงทุนไปทั้งหมดประมาณ 400,000 คน และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติมีมีศักดิ์ศรี

(พลเมืองย่าไท่เมืองชเวก๊กโกมีชีวิตชีวา มีอิสระในอาชีพการงาน มีความสุข)

นี่คือความมุ่งมั่นของนายเสอจื้อเจียงในช่วงหลายปีนี้ และเป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา น่าเสียดายที่การอุทิศเหล่านี้ไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจากโลกภายนอกเลย

3.       ข้อกล่าวหาอันต่อเนื่องไม่มีหยุด

อย่างไรก็ตาม ความทุ่มเทของนายเสอจื้อเจียงกลับถูกตอบแทนด้วยการโจมตีและใส่ร้ายป้ายสีครั้งแล้วครั้งเล่า

a.     ข้อกล่าวหาจากรัฐบาลจีน

พวกเขาบอกว่านายเสอจื้อเจียงประกอบกิจการพนันออนไลน์ในระหว่างปีพ.ศ. 2557 ถึงพ.ศ. 2560 และหลบหนีความผิด อีกทั้งยังได้รับหมายแดงจากนานาชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 ถึงพ.ศ. 2562 เขายังคงเข้าออกประเทศจีนได้อย่างอิสระอยู่หลายครั้ง บนหนังสือเดินทางของเขามีตราประทับการตรวจลงตราอย่างชัดเจน อนุญาตให้เขาพำนักได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากเขาหลบหนีความผิดจริง ทำไมในตอนนั้นประเทศจีนจึงไม่จับกุมตัวเขา

(รูปภาพแสดงหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชาที่ถูกต้องตามกฎหมายและวีซ่าประเทศจีน)

b.     ข้อกล่าวหาจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ได้คว่ำบาตรนายเสอจื้อเจียง

หากพูดอย่างมีความรับผิดชอบที่สุดแล้ว สิ่งที่นายเสอจื้อเจียงยอมรับว่าเคยกระทำ มีเพียงสองเรื่องดังต่อไปนี้

1) เขาพัวพันกับการพนันออนไลน์จริง แต่นั่นอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ และตอนนั้นก็มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย

(ใบอนุญาตเกี่ยวกับการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมายประเทศฟิลิปปินส์)

2) เขาได้พัฒนาเมืองขึ้นมาจริง อีกทั้งมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายที่ประเทศเมียนมาร์ มีเอกสารทางการรับรองจากทางรัฐบาลเป็นหลักฐาน

(ได้รับใบรับรองเอ็มไอซี ประเทศเมียนมาร์)

3) ได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลเมียนมาร์ ผลักดันเมืองย่าไท่และยกระดับคุณภาพชีวิตพลเมืองอย่างถูกกฎหมาย

                (ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 รัฐบายเมียนมาร์วางแผนที่จะยกระดับชเวก๊กโกในรัฐกะเหรี่ยงให้เป็นเมือง)

“การกล่าวหา” อื่น ๆ ดังกล่าวล้วนถูกยัดเยียดให้กับนายเสอจื้อเจียง

c.     การรายงานข่าวและใส่ร้ายป้ายสีจากสื่อ

สื่อหลักที่เป็นเป็นกระแส 10 อันดับต้นของโลก รวมถึงสื่อหลักของประเทศจีน ล้วนรายงานข่าวของนายเสอจื้อเจียงทั้งสิ้น

มีเพียงจำนวนน้อยที่เรียกนายเสอจื้อเจียงว่าเป็น “นักพัฒนาเมือง” และยอมรับการอุทิศตนของเขา แต่ที่เหลือส่วนใหญ่กลับตราหน้าในเชิงลบ พรรณนาว่าเขาเป็นคนไม่ดี

พวกเขาใช้ “หลักฐาน” ที่ว่า ซึ่งล้วนแต่เป็นข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้รับการตรวจสอบและข้อมูลเท็จ ดังเช่น “ฐานมิจฉาชีพหลอกลวง การบังคับทำงาน การใช้ความรุนแรง การพนัน การค้ายาเสพติด การค้าประเวณี” และอื่น ๆ ขอถามสำนักข่าวต่าง ๆ ว่าได้ใช้ผลการพิจารณาคดีของประเทศใดในการรายงานข่าวกันหรือ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตที่สร้างขึ้นด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างร้ายแรง

4.ความน้อยเนื้อต่ำใจและคับข้องใจของนายเสอจื้อเจียง

พวกเรายอมรับว่า ในกระบวนการพัฒนาเมืองนั้น อาจมีกิจการสีเทาบางส่วนปรากฏขึ้นมา แต่ขอให้ทุกคนลองคิดดู สถานการณ์เช่นนี้นั้นที่เมืองไหน ประเทศไหนจะไม่มีบ้าง ในประเทศจีน ต่อให้เป็นเมืองที่ใหญ่เพียงใด ก็ยังคงมีคนที่กระทำผิดกฎหมาย ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน

แต่ปัญหาก็คือ ในฐานะนักพัฒนาเมืองคนหนึ่ง นายเสอจื้อเจียงไม่ได้มีอำนาจการบังคับใช้กฎหมาย บทบาทของเขามีเพียงการปรับที่ดิน แล้วขายที่ดินให้แก่นักลงทุน จากนั้นพวกเขาจึงสร้างบ้าน ให้เช่า และค้าขาย ในส่วนที่ว่าให้ใครเช่า ภายในนั้นทำธุรกิจอะไร นั่นเป็นเรื่องที่หน่วยงานความมั่นคงท้องถิ่นต้องเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่หน้าที่ของนายเสอจื้อเจียงจะไปควบคุมดูแลได้

ถ้าเป็นเพราะเพียงในเมืองมีกิจการผิดกฎหมาย แล้วโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับนักพัฒนาเมืองอย่างนายเสอจื้อเจียงแล้วล่ะก็ เช่นนั้นแล้วนายกเทศมนตรีทั่วโลกก็คงจะมีความผิดกันหมดไม่ใช่หรือ นับประสาอะไรกับเขาผู้ซึ่งไม่ได้เป็นนายกเทศมนตรีด้วยซ้ำ

ในใจของนายเสอจื้อเจียงนั้นเจ็บปวดเหนือคำบรรยาย เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่เติบโตมาจากบ้านนอก จะสามารถ “เขย่าโลก” ได้อย่างไร แต่เขาในตอนนี้กลับเป็นเหยื่อที่ถูกใช้ในการประชันกันระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ

5.       การอุทิศตนและความเป็นจริง

ทุกท่านกรุณาอ่านข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้ชัดเจน

a.     เมืองที่นายเสอจื้อเจียงพัฒนาขึ้นได้สร้างอาชีพให้กับคน 80,000 คน เลี้ยงดูคนได้อย่างน้อย 400,000 ชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม

b.     นายเสอจื้อเจียงได้ช่วยให้คนที่นี่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด

c.     นายเสอจื้อเจียงมีประวัติเกี่ยวกับการพนันอยู่จริง แต่นั่นอยู่ในขอบเขตที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ว่าแอบกระทำผิดกฎหมาย

d.     เมืองที่นายเสอจื้อเจียงพัฬนานั้นมีการจดทะเบียนกับประเทศเมียนมาร์และมีเอกสารถูกต้อง ไม่ใช่ “เมืองมืด” ที่ว่า

e.     เอเชียแปซิฟิกกรุ๊ปของนายเสอจื้อเจียงดำเนินงานเพื่อสังคม มีการบริจาคเงินสดและสิ่งของรวมมูลค่ามากกว่า 635 ล้านบาท ช่วยเหลือสถานเด็กกำพร้า คนชรา พระสงฆ์ในระยะยาว และให้ทุนช่วยเหลือเด็กยากจนให้ได้รับการศึกษา

f.      เอเชียแปซิฟิกกรุ๊ปของนายเสอจื้อเจียงได้สร้างอาชีพให้กับประชากรชาวเมียนมาร์โดยตรงกว่า 100,000 ราย อุทิศให้มีการพัฒนาพื้นที่อย่างยิ่งใหญ่

ภาพซ้าย: ปีพ.ศ. 2560 บริจาคเงินช่วยเหลือประชาชนในเขตภัยพิบัติประเทศเมียนมาร์เป็นจำนวน 20,000,000 จ๊าดเมียนมาร์

ภาพขวา: ปีพ.ศ. 2560 ลงทุน 150 ล้านจ๊าดเมียนมาร์เพื่อช่วยเหลือในการสร้างโรงพยาบาล SMRU

ภาพซ้าย: ปีพ.ศ. 2566 บริจาคเงิน 1,600 ล้านจ๊าดเมียนมาร์ช่วยเหลือการสร้างบ้านให้กับผู้ประสบภัย

ภาพขวา: บริจาคสิ่งของให้กับผู้สูงอายุเมืองชเวก๊กโกในวันผู้สูงอายุของทุกปี

(ภาพแสดงใบรับรองการบริจาคการกุศลบางส่วน)

ภาพแรก: ปีพ.ศ. 2562 บริจาคเงิน 150 ล้านจ๊าดเมียนมาร์ให้แก่โรงพยาบาลชเวก๊กโก

ภาพที่สอง: ปีพ.ศ. 2563 บริจาคอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาดมูลค่า 396 ล้านจ๊าดเมียนมาร์

ภาพที่สาม: ปีพ.ศ. 2567 บริจาคเงิน 300 ล้านจ๊าดเมียนมาร์ให้แก่วัดพันอ้น

ภาพที่สี่: ปีพ.ศ. 2568 บริจาคเงิน 25 ล้านบาทให้แก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในมัณฑะเลย์

หากไม่ได้เป็นเพราะการริเริ่มพัฒนาเมืองนี้จากนายเสอจื้อเจียงแล้วล่ะก็ เกรงว่ารัฐกะเหรี่ยงจะยังคงตกอยู่ในสภาวะสงครามอย่างไม่หยุดหย่อนตราบจนปัจจุบัน ประเทศเมียนมาร์เองก็จะเผชิญกับปัญหาผู้ประสบอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้พลเมืองรัฐกะเหรี่ยงต่างรู้สึกขอบคุณการพัฒนานี้ เป็นเพราะสามารถยับยั้งการอพยพออกของผู้ประสบภัยได้พอดี เปิดทางสว่างในการดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัยให้แก่พวกเขา ในขณะเดียวกันการพัฒนานี้ไม่เพียงแต่ลดจำนวนผู้ประสบภัยในประเทศเมียนมาร์แล้วแต่ยังคงลดแรงกดดันต่อการรับผู้ลี้ภัยของอำเภอเม่สอด ประเทศไทย ได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาคในพื้นที่ดังกล่าว

6.       จุดยืนที่เกี่ยวข้องกับทางฝั่งสหรัฐอเมริกา

พวกเราขอประกาศอย่างหนักแน่นว่า

นายเสอจื้อเจียงยอมรับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการพิจารณาคดีตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งเชื่อมั่นในระบบตุลาการของสหรัฐอเมริกาว่าสามารถตัดสินเขาอย่างยุติธรรมได้ ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

ในเมื่อนายเสอจื้อเจียงถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรอย่างเปิดเผย รัฐบาลและระบบตุลาการของสหรัฐอเมริกาจึงไม่มีเหตุใดที่จะปฏิเสธผู้ที่ขอเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ความร่วมมือในการสอบสวน หากมารตรการการคว่ำบาตรนั้นเป็นเพียงแค่ข้อความในเอกสารและใบประกาศเท่านั้น แต่กลับไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงภายใต้กรอบกระบวนการยุติธรรมของตุลาการของสหรัฐอเมริกาแล้วล่ะก็ มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวจะกลายเป็นเพียงตัวอักษรลอย ๆ ขาดทั้งความเป็นธรรมและความน่าเชื่อถือ

ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงขอเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างจริงจัง ดำเนินขั้นตอนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนทันที เพื่อให้นายเสอจื้อเจียงสามารถพิสูจน์ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อศาล ได้รับคำพิพากษาอันชอบธรรม ไม่ใช่ว่าตกเป็นเครื่องมือจากการใส่ร้ายป้ายสีด้วยข้อมูลเท็จ

พวกเรายืนหยัดต่อต้านการกระทำกรรมวิธีใดอันเกิดจากแรงกดดันรัฐบาล มีเพียงองค์การตุลาการเท่านั้นที่สามารถหลีกจากความอยุติธรรมไปได้ พวกเราเชื่อมั่นว่า องค์กรตุลาการของสหรัฐอเมริกาจะมีความเป็นอิสระในการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง และสุดท้ายตัดสินว่าเสอเจ้อเจียงเป็นผู้บริสุทธิ์

7.       ข้อเรียกร้องต่อนานาชาติ

a.     ข้อเรียกร้องต่อสื่อนานาชาติ

พวกเราขอเรียกร้องให้สื่อนานาชาติ รวมถึงเอเอฟพี สำนักข่าวรอยเตอร์ สำนักข่าวอัลญะซีเราะฮ์ เข้ามายังเมืองย่าไท่เพื่อรายงานข่าวจากพื้นที่จริง เพื่อเป็นการระงับข่าวเท็จลำเอียง

b.     ข้อเรียกร้องต่อองค์กรสิทธิมนุษยชน

พวกเราขอเรียกร้องให้สำนักงานองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมาคมเนติบัณฑิตยสภาระหว่างประเทศ และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ติดตามความคืบหน้าของคดีและกำกับดูแลความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม

c.     ข้อเรียกร้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ

พวกเราเรียกร้องให้แต่ละประเทศพิจารณาอย่างเป็นอิสระ ไม่ถูกชักจูงให้เข้าใจผิด

8.       คำมั่นสัญญาและแนวทางในอนาคต

นายเสอจื้อเจียงและเอเชียแปซิฟิกกรุ๊ปจะดำเนินการต่อไปนี้อีกต่อไป

          ส่งเสริมการพัฒนากิจการที่ถูกกฎหมาย ถูกกฎระเบียบ และโปร่งใส

          ให้ความร่วมมือกับประชาคมโลก ให้ข้อมูลที่เป็นความจริง

          ยึดมั่นในหน้าที่ความรับผิดชอบ ปกป้องเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของพื้นที่

พวกเราเชื่อว่า

          สุดท้ายความจริงจะเปิดเผย ความยุติธรรมจะไม่จางหายไปไหน พวกเรายังคงเชื่อว่า นายเสอจื้อเจียงจะได้รับความบริสุทธิ์กลับคืนมาจากการตัดสินขององค์กรตุลาการสหรัฐอเมริกา และเอเชียแปซิฟิกกรุ๊ปเองก็จะร่วมมือกับภูมิภาคและรับชอบต่อสังคมต่อไป

9.       ความยากลำบากที่แท้จริงและข้อเรียกร้องต่อสหประชาชาติ

“ความผิด” ของเสอจื้อเจียงนนั้นคือการดำเนินการพัฒนาก่อสร้างเมืองในฐานะองค์กรเอกชน

เป็นเพราะเขาและเอชียแปซิฟิกกรุ๊ปได้พัฒนาและก่อสร้างเมือง จึงสร้างอาชีพให้แก่คนราว 80,000 คนทางอ้อม อีกทั้งเลี้ยงดูคนราว 400,000 ชีวิต

ในตอนนี้ พวกเราหวังว่าสหประชาชาติจะสามารถส่งตัวแทนมายังเมืองย่าไท่ รับรองการสร้างงานให้กับผู้คนราว 80,000 คน และแก้ไขปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนอีกหลายแสนคน

ถึงแม้ว่าในนามแล้วที่นี่จะเป็นเมือง แต่ในความเป็นจริงพื้นที่นี้ยังคงต้องแบกรับผู้ประสบภัย ช่วยเหลือให้ประชาชนยังคงมีชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางสงคราม

อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบนี้ในปัจจุบันนั้น นายเสอจื้อเจียงและเอเชียแปซิฟิกกรุ๊ปไม่สามารถแบกรับหน้าที่นั้นได้เพียงลำพังอีกต่อไป พวกเราร้องขอให้สหประชาชาติเข้ามาดำเนินการแก้ไข อีกทั้งยอมรับกระทำตามการตัดสินใจใด ๆ ของสหประชาชาติอย่างไม่มีเงื่อนไข พวกเราเชื่อว่าสหประชาชาติสามารถมองพวกเราได้อย่างถูกต้องและเป็นกลาง

10.     การจัดตำแหน่งกลุ่มและข้อเรียกร้อง

นายเสอจื้อเจียงเป็นเพียงผู้รับผิดชอบบริษัทจำกัดหนึ่งที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทดังกล่าวดำเนินกิจการงานพัฒนาและก่อสร้าง

พวกเรายอมรับว่าในเมืองนั้นมีพื้นที่สีเทาอยู่ แต่เมืองไหนในโลกบ้างที่ไม่มีพื้นที่สีเทากันเล่า

ทว่า องค์กรของพวกเราไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย มีเพียงศักยภาพในการพัฒนาและก่อสร้าง

ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงร้องขอให้สหประชาชาติส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามายังเมืองย่าไท่ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุงการดำเนินกิจการและการก่อสร้าง ไม่ให้เมืองใหม่นี้ตกเป็นเหยื่อของการแย่งชิงอำนาจระหว่างมหาอำนาจสองประเทศ

ข้อเรียกร้องของนายเสอจื้อเจียงนั้นเรียบง่ายมาก ไม่ใช่เพื่อศักดิ์ศรี ไม่ใช่เพื่อการยกย่อง แต่เพียงเพื่อความยุติธรรมเท่านั้น

“นายกฯ-ครม.” ร่วมสืบสานประเพณี”ลอยกระทง ไท ไทย คารวาลัย พระแม่ของแผ่นดิน”

“นายกรัฐมนตรี” และ ครม. ร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง “ลอยกระทง ไท ไทย คารวาลัย พระแม่ของแผ่นดิน” ชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมกิจกรรมตามประเพณีอย่างความเหมาะสมกับช่วงเวลาของการแสดงความอาลัยถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความสงบ เรียบง่าย และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ จัดกิจกรรมตามแบบวิถีประเพณีไทย อัตลักษณ์ที่โดดเด่น สร้างเสน่ห์ให้ประเทศไทยเป็นที่น่าประทับใจและเป็นภาพจำของนักท่องเที่ยวทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ

เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล – กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีลอยกระทง ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทง ไท ไทย คารวาลัย พระแม่ของแผ่นดิน” ดึงวิถีตามแบบประเพณีไทย อัตลักษณ์ที่โดดเด่น เสริมจุดแข็ง สร้างเสน่ห์ ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการมาเยือน

ในโอกาสนี้ นายอนุทิน  ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีลอยกระทง ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทง ไท ไทย คารวาลัย พระแม่ของแผ่นดิน” ณ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(ปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม) พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี นายประสพ  เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นางสาววราพรรณ  ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ รับชมการแสดงการเล่นของเด็กไทย จากนั้น นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำเสนอภาพรวมการจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๘ ข้อมูลองค์ความรู้ คุณค่าสารัตถะอันดีงามของการจัดงานประเพณีลอยกระทง จัดแสดงกระทง ๔ ภาค และการสาธิตกระทง

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม กำหนดจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทง ไท ไทย คารวาลัย พระแม่ของแผ่นดิน” ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร และส่งเสริมการจัดงาน “ลอยกระทง ไท ไทย” ๑๘ จังหวัดวิถีถิ่น ๕ จังหวัดอัตลักษณ์ และเขตพื้นที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร โดยมุ่งเน้นสนับสนุนให้แต่ละพื้นที่จัดกิจกรรมลอยกระทงตามอัตลักษณ์ที่สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น เปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้แสดงออกทางวัฒนธรรม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ แก่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเน้นยำให้ทุกภาคส่วนปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมประเพณีลอยกระทงให้มีความเหมาะสมกับช่วงเวลาของการแสดงความอาลัยถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความสงบ เรียบง่าย

และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ รวมถึงกระทรวงวัฒนธรรมได้ขอความร่วมมือประชาชนทุกท่าน แต่งกายด้วยชุดไทยพระราชนิยมหรือผ้าไทย ในรูปแบบที่เหมาะสม หรือชุดสุภาพ สีขาว ดำ หรือสีสุภาพ เข้าร่วมงานประเพณีลอยกระทงในปีนี้ นอกจากนั้น ขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนบูรณาการจัดงานประเพณีลอยกระทง ครอบคลุม ๔ มิติ ได้แก่ มิติด้านวัฒนธรรม มิติด้านสังคม มิติด้านเศรษฐกิจ และมิติด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทุกหน่วยงานจัดกิจกรรมประเพณีลอยกระทงตามอัตลักษณ์ที่ดีงามของท้องถิ่น เปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้แสดงออกทางวัฒนธรรมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในรูปแบบที่เหมาะสม เป็นการสืบสานประเพณีดั้งเดิมผสานกับแนวคิดวัฒนธรรมเพื่อความยั่งยืน อีกทั้งยังคงภารกิจสำคัญในการเตรียมจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอประเพณีลอยกระทงในประเทศไทยเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก

สำหรับการจัดงาน “ลอยกระทง ไท ไทย คารวาลัย พระแม่ของแผ่นดิน” ในวันพุธที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมกับ

วัดอรุณฯ กองทัพเรือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมมากมาย อาทิ  นิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง “ชุดไทยพระราชนิยม ๘ แบบ” การแสดงโดรนชุดไทยพระราชนิยม ๘ แบบ นิทรรศการเผยแพร่คุณค่าสาระความสำคัญของประเพณีลอยกระทงกิจกรรมตลาดนัดวัฒนธรรมสร้างสรรค์ สาธิตอาหารและขนมโบราณ กิจกรรมการสาธิตการทำกระทง การทำโบว์ไว้ทุกข์ งานคราฟต์ และงาน DIY กิจกรรมการลอยกระทงด้วยระบบเทคโนโลยี Interactive การขับร้องเพลงแสดงความอาลัย โดย ศิลปินแห่งชาติและศิลปินยอดนิยม เป็นต้น

สุดท้ายนี้ นางสาวศุภมาส กล่าวเชิญชวนพี่น้องชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่งชุดไทยพระราชนิยม เข้าร่วมกิจกรรมประเพณีลอยกระทง เพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยและเพื่อร่วมกันรักษา สืบสาน ประเพณีลอยกระทงให้คงคุณค่าความเป็นไทย ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประเพณีลอยกระทงอันเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ผลักดันประเพณีลอยกระทงให้เป็นเทศกาลที่น่าประทับใจและเป็นภาพจำ

ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

ทั้งนี้ ติดตามรายละเอียดข้อมูลการจัดงานเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม www.culture.go.thหรือ Facebook Fanpage : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

“ทีเส็บ” เชิญ 40 องค์กรหารือ ร่วมงานระดับโลก “เวิลด์เอ็กซ์โป”

ทีเส็บ จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นองค์กรภาครัฐ เอกชน และ สถาบันการศึกษากว่า 40 องค์กรทั่วประเทศ ร่วมหารือการเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารการเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ จัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ และเวิลด์เอ็กซ์โป

ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า จากผลการศึกษา “ถอดบทเรียนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand (White Paper) ของประเทศไทย” พบว่าหนึ่งในประเด็นสำคัญจากการศึกษาหน่วยงานในต่างประเทศ และข้อเสนอแนะจากการสัมภาษณ์หน่วยงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในประเทศ คือ การนำเสนอรูปแบบหน่วยงานกลางของประเทศไทย เพื่อรับผิดชอบการดำเนินการเข้าร่วมงานเอ็กซ์โปในนามประเทศ โดยให้ขยายบทบาท และความรับผิดชอบของทีเส็บเป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบการเข้าร่วมงานเอ็กซ์โปในการบริหารจัดการพาวิลเลียนประเทศไทย โดยดำเนินการร่วมกับเครือข่ายภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมงานระดับโลก และมีกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการจัดงานในแต่ละปี ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ เพื่อเตรียมเนื้อหาการจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยร่วมกัน 

“การเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารการเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ” เป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของทีเส็บในการปรับบทบาทให้เข้มข้นและขยายศักยภาพการทำงานในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์และงานเมกะอีเวนต์และเทศกาลระดับโลก ภายใต้นโยบายคณะอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์ขององค์กร ปีงบประมาณ 2568-2570 และได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโดยมอบหมายให้ศึกษาและนำเสนอทีเส็บเป็น “ผู้แทนประเทศไทยในการแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในต่างประเทศในงานเวิลด์เอ็กซ์โป และการจัดงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ”

จากผลการศึกษาแนวทาง และรูปแบบการบริหารการเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ (พาวิลเลียนประเทศไทย) โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปความสำคัญและวัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการพาวิลเลียนในประเทศต่าง ๆ บนเวทีโลกว่า การนำเสนอพาวิลเลียนแต่ละประเทศ เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์ของประเทศในระดับโลก (Global Vision) ผ่านภาพของทั้งประเทศ (National Branding) และมีวัตถุประสงค์ในเวทีระดับโลกเป็น 4 เป้าหมาย คือ 1. ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความร่วมมือระหว่างกัน (Diplomatic Platform) 2. แสดงภาพลักษณ์ วิสัยทัศน์ และความก้าวหน้าด้านการพัฒนาของประเทศ (National Branding Platform) 3. ถ่ายทอดแนวคิด ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีระหว่างอารยธรรมต่าง ๆ (Innovation & Cultural Exchange Platform) และ 4. การเชื่อมโยงและจับคู่ธุรกิจของเมืองและภาคเอกชนในประเทศกับประเทศต่าง ๆ (Business Trading Platform)

จากความท้าทายของการเข้าร่วมจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ และเวิลด์เอ็กซ์โป ในรูปแบบพิจารณาหน่วยงานบริหารจัดการจากการพิจารณาแนวคิดการจัดงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่วยงาน สามารถสรุปความท้าทายของการเข้าร่วมจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยที่ผ่านมาและข้อเสนอแนะใน 4 ประเด็น คือ 1. การมอบหมายหน่วยงานกลางที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงในการบริหารจัดการงานระดับโลก 2. การส่งต่อและการจัดการความรู้อย่างต่อเนื่อง 3. การสนับสนุนให้เกิดการสื่อสารภาพลักษณ์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง 4. การมีบุคลากรและหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพื่อให้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาจุดแข็งของทีเส็บในการเป็นหน่วยงานกลางรับผิดชอบการเข้าร่วมงานเอ็กซ์โปในการบริหารจัดการพาวิลเลียนประเทศไทยมี 7 ประเด็นได้แก่ 1. บทบาทเชิงนโยบาย (Mandate & Authority) เป็นองค์การมหาชนภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี มีภารกิจโดยตรงในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ และงานเมกะอีเวนต์และเทศกาลระดับโลก 2. ประสบการณ์ด้านการบริหารการจัดงานระดับโลก (Global Event Management) มีประสบการณ์ตรงในการสนับสนุนและร่วมบริหารการจัดงานระดับนานาชาติ 3. เครือข่ายระหว่างประเทศ (Global Partnerships and Networks) ในการเป็นสมาชิกองค์กรระดับโลกในอุตสาหกรรมการจัดงานนานาชาติ

4. ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้า ตลอดจนการประสานงานการออกแบบและบริหารจัดการพาวิลเลียน (Exhibition Management & Pavilion Design Coordination) 5. การบูรณาการกับยุทธศาสตร์ประเทศ (National Strategic Alignment) ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์และการจัดงานระดับโลก 6. ความพร้อมเชิงงบประมาณและระบบบริหาร (Financial & Operational Readiness) ในฐานะองค์การมหาชนที่มีความคล่องตัวและประสานงานได้กับทุกภาคส่วน 7. ประสบการณ์ร่วมมือกับหน่วยงานระดับกระทรวงและระดับกรม ทั้งการเป็นคณะทำงานพาวิลเลียนประเทศไทย และการดึงงานระดับโลกร่วมกัน

การประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศ จัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ และเวิลด์เอ็กซ์โป มีองค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาเข้าร่วมกว่า 40 องค์กร อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ กรมการท่องเที่ยว กรมประชาสัมพันธ์ กรมศุลกากร 

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) สมาคมการแสดงสินค้าไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นต้น

ดร. ศุภวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า “หลังจากการประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการเป็นตัวแทนรัฐบาลในการบริหารเข้าร่วมงานระดับโลกในนามประเทศของทีเส็บในฐานะผู้แทนรัฐบาลจัดแสดงพาวิลเลียนประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษและเวิลด์เอ็กซ์โป จะนำส่งสรุปผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลพิจารณา และเสนอครม. ตามกระบวนการต่อไป”

เปิดรายชื่อ 50 นักฟุตบอลชายทีมชาติไทย ชุดเตรียมสู้ศึกมหกรรมซีเกมส์ ครั้งที่ 33

สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศรายชื่อ 50 นักกีฬาฟุตบอลชายทีมชาติไทย ที่อยู่ในการพิจารณา สำหรับทำการแข่งขันฟุตบอลชายในมหกรรมซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 3-20 ธันวาคม 2568 

สำหรับ นักกีฬาที่มีรายชื่อ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ลงทะเบียนกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย ในเบื้องต้น และจะมีการคัดเลือกนักกีฬา อีกครั้งให้เหลือ 23 คน ก่อนเข้าร่วมการแข่งขัน โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้

ผู้รักษาประตู
ณรงศักดิ์ เนื่องวงษา สโมสร อยุธยา ยูไนเต็ด
ชมพัฒน์ บุญเลิศ สโมสร พัทยา ยูไนเต็ด
สิรเศรษฐ เอกประทุมชัย สโมสร ชัยนาท ฮอร์นบิล
ศรวัสย์ โพธิ์สมัน สโมสร สงขลา เอฟซี
ศิรัสวุฒิ วงค์เรือนคำ สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

กองหลัง
วิชั่น อินอร่าม สโมสร ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
อรรถพล แสงทอง สโมสร นครปฐม ยูไนเต็ด
บุคฆอรี เหล็มดี สโมสร นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี
ธนชัย นาถธนกุล สโมสร นครศรี ยูไนเต็ด
โยนัส ยศรัญ ชวาเบ สโมสร บางกอก เอฟซี
ชนภัช บัวพันธ์ สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
วาริส ชูทอง สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
นาธาน เจมส์ สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ชานนท์ ทำมา สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
สิงหา มาระสะ สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
พิชิตชัย เศียรกระโทก สโมสร โปลิศ เทโร เอฟซี
สพล น้อยวงษ์ สโมสร โปลิศ เทโร เอฟซี
พลเอก มณีกร สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
ธีร์กวิน จันทร์ศรี สโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด
กิตติพัฒน์ กุลภา สโมสร ระยอง เอฟซี
ธวัชชัย อินทร์ประโคน สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
ภัทรพล ศึกษากิจ สโมสร สุโขทัย เอฟซี
ชัยพล อดทน สโมสร สุโขทัย เอฟซี

กองกลาง
ปฎิภาณชัย โพธิ์เทพ สโมสร ชัยนาท ฮอร์นบิล
สิทธา บุญหล้า สโมสร การท่าเรือ เอฟซี
ยศกร นาถสิทธิ์ สโมสร ขอนแก่น ยูไนเต็ด
วรฤทธิ์ มุงคุณ สโมสร ขอนแก่น ยูไนเต็ด
สิรภพ วันดี สโมสร ชลบุรี เอฟซี
ณัฐพง เชื้อกามุด สโมสร นครปฐม ยูไนเต็ด
รัฐศาสตร์ บังสูงเนิน สโมสร นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี
ธนกฤต โชติเมืองปัก สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 
สงครามสมุทร น้ำผึ้ง สโมสร โปลิศ เทโร เอฟซี
จิตติพัฒน์ วะสูงเนิน สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
คคนะ คำยก สโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด
เสกสรรค์ ราตรี สโมสร ระยอง เอฟซี
นันทิพัฒน์ ใจมั่น สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 

กองหน้า

ณัฐกิตติ์ โพธิ์ศรี สโมสร การท่าเรือ เอฟซี
ต้นตะวัน ปุนทมุณี สโมสร ชลบุรี เอฟซี
นพรัตน์ พรมเอี่ยม สโมสร ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
ภูวเนตร ทองคุ่ย สโมสร ทัพหลวง ยูไนเต็ด
ฐิติภัส เอกอรัญพงศ์ สโมสร นครปฐม ยูไนเต็ด
ธีรภัทร ปรือทอง สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 
ชวัลวิทย์ แซ่เล้า สโมสร พราม แบงค็อก
เจะฮานาฟี มามะ สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
อิคลาส สันหรน สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
พันธมิตร ประพันธ์ สโมสร พีที ประจวบ เอฟซี
ชินเงิน ภู่ตันหยง สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 
ชินวัตร ประจวบมอญ สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 
ธนาวุฒิ โพธิ์ชัย สโมสร หนองบัว พิชญ เอฟซี
ยศกร บูรพา สโมสร โฮวกัง ยูไนเต็ด

สำหรับ ฟุตบอลชายทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ อยู่ในกลุ่ม เอ ร่วมกับ กัมพูชา และ ติมอร์ เลสเต โดยมีโปรแกรมการแข่งขันดังนี้

#Matchday1 
📅 วันที่ 3 ธันวาคม 2568
🇹🇱 ติมอร์ เลสเต พบ ไทย 🇹🇭 
⏰ เวลา 19.00 น.
🏟️ ราชมังคลากีฬาสถาน
📺 TBC

#Matchday2
📅 วันที่ 10 ธันวาคม 2568
🇹🇭 ไทย พบ กัมพูชา 🇰🇭
⏰ เวลา 19.00 น.
🏟️ ราชมังคลากีฬาสถาน
📺 TBC

ส่วนการแข่งขัน รอบรองชนะเลิศ และ ชิงชนะเลิศ จะแข่งขันที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพมหานครฯ ในวันที่ 15 และ 18 ธันวาคม 2568 ตามลำดับ

#FAThailand #ฟุตบอลทีมชาติไทย #ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ #ซีเกมส์ #SEAGamesThailand2025

ผู้ว่าฯสมุทรปราการสนธิกำลังทุกฝ่ายลุยแก้ปัญหาน้ำท่วมขังหลังฝนตกหนักต่อเนื่อง

นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นายวัฒนา เจริญจิต นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ, นายพนม  เกตุนคร  ปลัดอาวุโสอำเภอบางพลี ,พ.ต.อ.อดิเรก ทองแกมแก้ว ผกก.สภ.บางแก้ว,นายกาญจนะ  พงศ์จริยา  ปลัดเทศบาล รักษาราชการแทนนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว และ นางสาวอังคนา  ฐานโอฬาร หัวหน้าสำนักปลัดเทศบาลเมืองบางแก้ว หัวหน้าสำนักงานป้องกันและสาธารณะภัยจังหวัดสมุทรปราการ

ตลอดทั้งปภ.จังหวัดสมุทรปราการ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองบางแก้ว(ถนนเทพรัตน์) หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลทำให้มีน้ำท่วมขังในหลายจุด โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน ในพื้นที่ บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์น้ำท่วมขัง อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกล รถสูบน้ำ และกำลังเจ้าหน้าที่ให้พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับฝนที่อาจตกเพิ่มในระยะต่อไป พร้อมกำชับให้มีการเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง และรายงานสถานการณ์ให้จังหวัดทราบทันทีหากมีเหตุฉุกเฉิน

กมธ.ศาสนาฯวุฒิสภาเดินหน้าแก้วิกฤติศรัทธาศาสนา เปิดเสวนาหน่วยงานรัฐออกก.ม.อุดช่องโหว่เอาผิดสื่อฯ ”ละเมิด”

ปัจจุบันนับได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเผยแพร่ภาพ เสียง และเนื้อหาผ่านสื่อออนไลน์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไร้ขอบเขตจำกัด ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ มิได้ส่งผลกระทบจำกัดอยู่แค่ในมิติทางเศรษฐกิจหรือความบันเทิงเท่านั้น หากแต่ลุกลามไปสู่มิติของความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมไทย ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือ การบิดเบือนและการล้อเลียนบุคคลสำคัญทางศาสนา รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สร้างสื่อที่ผิดเพี้ยน บิดเบือน หรือหมิ่นศาสดาของศาสนาต่าง ๆ สื่อเหล่านี้เผยแพร่ไปสู่สาธารณะได้อย่างรวดเร็วเกินกว่ากลไกการกำกับดูแลจะควบคุมได้ทันการณ์ 

ล่าสุด ที่อาคารรัฐสภา คณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ในคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้เล็งเห็นว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ขึ้นโดยไม่แก้ไขใดๆ จะส่งผลถึงความเปราะบางด้านศาสนา จึงจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนากฎหมายและมาตรการเชิงนโยบายให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี  จึงได้จัดงานเสวนาทางวิชาการขึ้น ในหัวข้อเรื่อง “ทัศนคติและบทบาทของหน่วยงานภาครัฐเชิงบูรณาการ : แนวทางปฏิบัติและการจัดการปัญหาละเมิดศาสนาในสื่อสมัยใหม่เพื่อธํารงศรัทธาในสังคมไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นเวทีในการรับฟังความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อจำกัดทางกฎหมาย

และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐในการกำหนดมาตรการเชิงบูรณาการ เพื่อคุ้มครองศรัทธาทางศาสนาร่วมกัน โดย นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ประธานในพิธีเปิดงานได้เน้นย้ำว่า แม้สื่อดิจิทัลจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ แต่ก็ปรากฏปัญหาที่กระทบต่อความเชื่อและความมั่นคงทางศาสนา ซึ่งเป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหาทางออกอย่างจริงจัง

ผู้นำ 5 ศาสนิกสะท้อนปัญหา “สื่อสมัยใหม่”


ไฮไลน์ของงานเสวนา ทีมงานได้ทำสัมภาษณ์ผู้แทนจากผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนา ผ่านคลิปวิดีโอ โดยสะท้อนปัญหาการละเมิดที่ส่งผลกระทบต่อความศรัทธาอย่างชัดเจน: อาทิ การล้อเลียนและลดทอนคุณค่าของศาสนา เช่น การแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุสงฆ์ในภาพยนตร์ หรือการนำดาราที่โด่งดังมาแต่งกายชุดเป็นพระภิกษุสงฆ์ไปขับขี่รถ จักรยานยนต์   การสร้างสื่อที่หมิ่นประมาทโดยการใช้เทคโนโลยี AI ในการผลิต ภาพพระเยซูกับพระพุทธเจ้าร่วมชนพิซซ่ากัน หรือการนำบทสวดสำคัญ เช่น คาถาชินบัญชร ไปใส่ทำนองเพลงที่ไม่เหมาะสม ตลอดถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ล้อเลียนบุคคลสำคัญทางศาสนา

นายสันติ เสือสมิง ผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ระบุว่า ศาสนาอิสลามก็เป็นเป้าหมายของการโจมตี ทั้งการใช้เท้าเหยียบพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน หรือการกล่าวหาว่าคัมภีร์ดังกล่าวมีคำสอนที่นำไปสู่ความรุนแรงและเป็นภัยต่อความมั่นคง นายสัตนามซิงห์ มัตตา ที่ปรึกษาสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา เน้นย้ำว่า การมีเจตนาหมิ่น หรือการทำเพื่อความสนุกสนานตลกโปกฮา ถือเป็นการหมิ่นซึ่งไม่เหมาะสม ด้านพระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา แสดงความเป็นห่วงว่า “หากเด็กและเยาวชนมีสติปัญญาไม่ถึง ก็จะหลงเชื่อตามกระแสสื่อออนไลน์ที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักธรรม ขณะที่พระพรหมวัชรสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม เรียกร้องให้คณะกรรมการชาวพุทธช่วยกันระมัดระวังและตำหนิสื่อที่ทำลายศาสนาพุทธ เพราะสื่อออนไลน์ในปัจจุบันทำลายมากที่สุด  

ส่วนพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ กล่าวเสริมว่า “ส่วนใหญ่เขาก็จะเอาภาพที่มีอยู่เดิม มาเป็นภาพเคลื่อนไหวแล้วนำมาตัดต่อเพื่อให้เกิดความรู้สึกสนุก ..ทั้งนี้ การให้ความรู้น่าจะเป็นทางออกที่ดี การให้ความรู้เรื่องการมห้เกียรติบุคคล  ให้เกียรติศาสนา ให้เกียรติตนเอง เพราะฉะนั้น การให้การศึกษาจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์เหล่านี้มันลดลงไป”   บาทหลวงอนุชา ไชยเดช เลขาธิการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย  กล่าวว่า มีการลบหลู่ที่พบเห็นได้ในทางสื่อสมัยใหม่ที่ผลิตและเข้าถึงสื่อได้ง่าย  ขณะเดียวกันการใช้สื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เรื่องคุณธรรม จริยธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด อ่อน  เรื่องกฎระเบียบการบังคับใช้ ควรมีความชัดเจน.

”งานเสวนาเชิงบูรณาการ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่องค์กรศาสนาต้องเผชิญในยุคที่โลกไร้พรมแดนแดน มุ่งตอบโจทย์ความท้าทายจากข่าวที่บิดเบือนข้อมูล ในสื่อดิจิทัลบนแพลตฟอร์มต่างๆ…โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการคมนาคมแห่งชาติ(กสทช), นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนัก งานอัยการสูงสุด, นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(DE)

นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ , พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 และนางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอ นิกส์ [ETDA]  พิธีกรผู้ดำเนินการรายการ:โดยนายธนพล พรมสุวงษ์ เลขานุการ กรมการศาสนา  นายศักดิ์เพชร ยานะแก้ว นักวิชาการศาสนาเชี่ยวชาญ (ด้านศาสนิกสัมพันธ์) กรมการศาสนา ซึ่งมีสาระสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อศาสนาและสังคม ดังนี้ 

@แนวทางแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางกฎหมายและข้อจำกัดในการบังคับใช้

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายได้แสดงความเห็นพ้องว่า กฎหมายที่มีอยู่มีข้อจำกัดอย่างยิ่งในการจัดการกับคดีทางศาสนา นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้รับคดีเกี่ยวกับศาสนาเลย เนื่องจากปัญหาอยู่ที่จุดเริ่มต้นของกระบวนการ ดังข้อจำกัดของประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ หลักกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองศาสนาในประมวลกฎหมายอาญามีอยู่เพียงสามมาตรา (มาตรา ๒๐๖ ถึง ๒๐๘) ซึ่งถูกบัญญัติขึ้นในยุคที่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้คิดว่าจะมีการกระทำความผิดในลักษณะหมิ่นศาสนาเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

โดยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๖: มุ่งคุ้มครอง วัตถุและสถานที่อันเป็นที่เคารพในศาสนา แต่ไม่ได้เขียนถึงการกระทำต่อพระภิกษุโดยตรง การบังคับใช้กฎหมายจะเกิดขึ้นต่อเมื่อการกระทำนั้นได้ความว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนาด้วยเจตนาที่มุ่งร้ายต่อศาสนาเท่านั้น  ต่อมาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๗: มุ่งคุ้มครอง พิธีกรรมในศาสนา โดยคุ้มครองความสงบเรียบร้อยในการรวมศูนย์ของประชาชนเพื่อทำกิจกรรมของแต่ละศาสนาส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘: มุ่งคุ้มครอง เครื่องแต่งกายของพระภิกษุ หากมีการแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุ แต่ผู้แสดงละครหรือภาพยนตร์อ้างว่า เป็นการแสดงเท่านั้น และไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าคนแสดงเป็นพระจริง ๆ ก็จะไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรานี้

“ในฐานะนักกฎหมายและผู้ปฏิบัติงาน ต้องหาช่องทางทางกฎหมายอื่นเท่าที่มีอยู่เพื่อนำมาปรับใช้คุ้มครองศาสนาและความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒: สามารถนำมาใช้ในการห้ามโฆษณาสินค้าที่ทำให้สังคมเสื่อมลง เช่น สินค้าที่ล้อเลียนพระพุทธรูป  พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔: กำหนดว่า ผู้ใดนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ความปลอดภัยของราชอาณาจักรของประเทศ ซึ่ง ความมั่นคงของราชอาณาจักรประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ … หากเนื้อหาที่เผยแพร่มีลักษณะที่ผิดแปลกไปจากหลักศาสนา เช่น การทำคลิปพระภิกษุไปปาร์ตี้ ทั้งที่พระต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อ  ย่อมถือเป็น ข้อความเท็จอยู่ในตัว และหากสามารถพิสูจน์เจตนาของผู้กระทำผิดที่กระทำซ้ำในลักษณะเดิม ก็สามารถดำเนินคดีได้” นายอังคารกล่าว 

ด้านพันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์  ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ยืนยันว่า กฎหมายมาตรา ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘ ไม่ครอบคลุมการกระทำในยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้การตีความและการเริ่มต้นดำเนินคดีเป็นข้อจำกัด  นอกจากข้อจำกัดของตัวบทกฎหมายแล้ว ในการดำเนินคดีคือ การรวบรวมพยานหลักฐานบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำได้ยาก เนื่องจากผู้ควบคุมข้อมูลคือเจ้าของแพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Google หรือ Facebook ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลไทย หากไม่รู้ตัวตนผู้กระทำความผิดอย่างชัดเจน ก็ไม่สามารถเอาผิดใครได้  พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ ชี้ว่า พยานหลักฐานทางดิจิทัลสามารถถูกป้อนเข้าสู่ระบบและ เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ทำให้การระบุตัวตนทำได้ยากและล่าช้า

บทบาทของ กสทช.และ ETDA ในการกำกับดูแลสื่อ

นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ กสทช. อธิบายว่า สำหรับสื่อยุคเก่า (โทรทัศน์ วิทยุ เคเบิล ดาวเทียม) กสทช. มีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลทั้งในรูปแบบของการป้องกันและการปราบปราม ซึ่งแนวทางที่ดีที่สุดคือการป้องกัน ในอดีต กสทช. เคยลงโทษปรับและสั่งให้ดึงเนื้อหาออก จากรายการโทรทัศน์ที่นำเพลงนะโมมาดัดแปลงเนื้อร้อง ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยแล้วว่าทำให้เกิดการดูหมิ่นศาสนา

อย่างไรก็ตาม สำหรับสื่อออนไลน์ในรูปแบบของ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม กสทช. ได้เริ่มก้าวเข้าไปใช้กลไกในการ ป้องปราม โดยการประสานงานและดำเนินการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กสทช. มีอำนาจในการกำกับดูแลสื่อ และจะเริ่มดำเนินการได้ต่อเมื่อ หน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องนี้จะต้องขยับตัวเสียก่อน และแจ้งให้ กสทช. ทราบว่ามีการเผยแพร่เนื้อหาที่ ไม่ถูกกฎหมาย บนสื่อนั้น

นางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ETDA อธิบายแนวคิดการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม โดยระบุว่า ปัจจุบันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มดิจิทัลกำหนดให้แพลตฟอร์มบางประเภทต้องมีบทบาทในการ ป้องปราม ซึ่งหมายความว่า แพลตฟอร์มต้องมีกระบวนการจัดการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องรอหมายศาล เนื่องจากหากรอหมายศาล เนื้อหาที่เป็นปัญหาก็จะแพร่กระจายจนควบคุมไม่ได้ นางสาวพลอย เจริญสม เน้นย้ำว่า การทำงานจะง่ายขึ้นหากมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า เนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาลักษณะใดถือเป็น เนื้อหาที่ผิดกฎหมาย ซึ่งแพลตฟอร์มก็จะมีหน้าที่ช่วยจัดการได้ทันที

บทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)

นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (DE) กล่าวว่า กระทรวง DE ดำเนินงานภายใต้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๖๐)  ในการดำเนินงาน: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเก็บพยานหลักฐานและชี้แจงต่อกระทรวงฯ ว่า เนื้อหานั้นมีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือครองอย่างไร จากนั้น DE จะยื่นคำร้องต่อศาลผ่านทางระบบ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่  กรณีจากศาลมีคำสั่งแล้ว จะต้องแจ้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้มีการระงับหรือนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้นออกไป 

“กระทรวง DE มีบุคลากรจำนวนไม่มาก การดำเนินงานจึงต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการจัดเก็บหลักฐานอย่างเป็นระบบ” นายศรัณย์ กล่าว 

บทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)

นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า พศ. มีภารกิจหลักในการสนองงานคณะสงฆ์ แม้จะยอมรับว่าปัญหาการหมิ่นศาสนาเป็นเรื่องยุ่งยากและหนักใจในการสกัดกั้นเนื้อหา โดยศาสนาพุทธถูกกระทำในเชิงของการทำลายหรือลบหลู่มากที่สุด ในสองลักษณะคือ 1) กระทำต่อตัวบุคคลหรือภาพลักษณ์ และ 2) ในเรื่องของหลักธรรมคำสอน

“พศ. มิได้นิ่งนอนใจและมีกองงานที่รับผิดชอบเรื่องการรับเรื่องร้องเรียนตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งบางเดือนมีหลายสิบ URL แต่ไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด เนื่องจากบางสื่อมาจากต่างประเทศ นายพศุตม์ ขอดเมชัย ระบุว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดมีบุคลากรเพียง 4–5 คน ที่ต้องดูแลพระภิกษุทั้งจังหวัด ทำให้การรับข้อมูลข่าวสารเข้าถึงยาก และขาดเครื่องมือที่ทันสมัยไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม พศ. จะดำเนินการตามศักยภาพ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง”

บทบาทของตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.)

พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ กล่าวในฐานะตัวแทนของตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) ว่า ภารกิจหลักคือการป้องกันและปราบปราม รวมถึงการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การทำงานแบ่งเป็น 2รูปแบบ:ได้แก่ 1.การทำงานเชิงรับ: หากคดีเข้าองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจนตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘ หรือ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ผู้เสียหายสามารถร้องทุกข์ต่อตำรวจไซเบอร์หรือพนักงานสอบสวนท้องที่ได้ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย  2.การทำงานเชิงรุก: มีการจัดตั้งทีมมอนิเตอร์เนื้อหาที่บิดเบือนหรือการใช้ AI สร้างภาพล้อเลียน และมีการสร้างช่องทางพิเศษในการประสานงานโดยตรงกับเจ้าของแพลตฟอร์ม (Facebook, TikTok, Line) เพื่อปิดกั้นและบล็อกการเข้าถึง

ชู 3 ข้อเสนอเชิงนโยบายและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อธำรงศรัทธา

ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ปฏิบัติงานเห็นพ้องว่า แนวทางที่ดีที่สุดในระยะยาวคือ การปฏิรูปกฎหมาย และมาตรการป้องกัน:

1)ด้านการปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนายอังคาร เพชรอาวุธ และ พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ เห็นว่า ถึงเวลาที่จะต้องมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในหมวดเกี่ยวกับศาสนา เพื่อให้ถ้อยคำในกฎหมายเก่าครอบคลุมการกระทำความผิดในปัจจุบัน

นายอังคาร เสนอให้พิจารณาแก้ไขถ้อยคำใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘ (กรณีแต่งกายเลียนแบบพระนักบวช) โดยเปลี่ยนถ้อยคำจาก “เพื่อให้เชื่อว่า เป็นความจริง” เป็นถ้อยคำที่ครอบคลุมลักษณะความเสียหายในยุคปัจจุบันมากขึ้น เช่น “เพื่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในทางศาสนา” เป็นต้น ทั้งนี้ การแก้ไขต้องมีการรับฟังประชาชนก่อน

2.การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางและการต่างประเทศ 

นายอังคาร เสนอว่า ควรมีการจัดตั้ง กองงานศาสนา หรือหน่วยสืบสวนสอบสวนด้านศาสนาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อจัดการกับปัญหาโดยตรง นอกจากนี้ ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารในการกระชับความสัมพันธ์กับเจ้าของแพลตฟอร์มต่างชาติ (Facebook และ Google) เพื่อให้การร้องขอพยานหลักฐานเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดทำได้ง่ายขึ้น

3.มาตรการป้องกันผ่านความรู้ดิจิทัล  

นางสาวมณีรัตน์ และ พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ  ต่างเน้นย้ำว่าแนว ทางที่ดีที่สุดคือ การป้องกัน 

พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ  เสนอว่า ต้องมีการสร้างและส่งเสริม ความรอบรู้ทางดิจิทัล (Digital Literacy) หรือที่เรียกว่า “วัคซีนไซเบอร์” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน นักเรียน และเยาวชน ว่าการกระทำลักษณะใดที่หมิ่นเหม่จะผิดกฎหมายและสร้างความเสื่อมเสียให้กับศาสนา 

พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ได้เสริมว่า การให้ความรู้โดยเน้นให้รู้จัก การให้เกียรติบุคคล ศาสนา และตนเอง จะเป็นเป้าหมายสำคัญที่ช่วยลดเหตุการณ์เหล่านี้

การเสวนาครั้งนี้โดยคณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนาฯ ถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความท้าทายในยุคสื่อดิจิทัลที่ส่งผลกระทบระทบต่อความศรัทธาของศาสนาอย่างยิ่งยวด โดยได้ชี้ให้เห็นทั้งข้อจำกัดของกฎหมายอาญาที่ต้องได้รับการปรับปรุง และความจำเป็นของการมีกลไกการกำกับดูแลที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผู้ช่วยศาสตราจารย์วราวุธ ตีระนันทน์ ได้กล่าวสรุปว่า คณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนาฯ จะนำข้อคิดและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการเสวนาไปจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสนอต่อกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านกฎหมายและมาตรการที่เหมาะสมต่อไป และยืนยันว่า พลังในความร่วมมือและความตั้งใจของทุกท่านที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันจะเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงรักษาและความศรัทธา เพื่อทำให้สังคมไทยเกิดความสงบ ความเข้าใจ และความสามัคคีอย่างแท้จริง

รายนามผู้มีส่วนร่วมในการเสวนาที่อ้างอิง:
1.นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง
2.ผู้ช่วยศาสตราจารย์วราวุธ ตีระนันทน์ สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม
3.นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
4.นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
5.นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)
6.นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
7.พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ในเอกสารต้นฉบับระบุ พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี)
8.นางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)

รำลึก “ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้วางรากฐานสังคมไทยปลอดบุหรี่

“หมอประกิต” สดุดีคุณูปการ “ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้วางรากฐานสังคมปลอดบุหรี่ไทย จี้รัฐบาลปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าจริงจังหลังพบสถิติเยาวชนเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าพุ่ง วอนรัฐบาลให้ความสำคัญบังคับใช้กฎหมายจัดการควบคุมยาสูบอย่างเด็ดขาด

ที่เรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน เขตดุสิต เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา จัดงาน ปาฐกถารำลึก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการควบคุมยาสูบในประเทศไทย” โดยมีทายาท ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร่วมงาน อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และบุคคลสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการความสำเร็จในการควบคุมยาสูบในประเทศไทย

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการควบคุมยาสูบในประเทศไทย” ว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อรำลึกถึงคุณูปการของศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน ผู้มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มและผลักดันการรณรงค์ลดการสูบบุหรี่ในประเทศไทยให้ประสบผลสำเร็จเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่คุณงามความดีของท่านให้สาธารณชนได้ตระหนักถึงจิตวิญญาณแห่งความเสียสละเพื่อส่วนรวม

ทั้งนี้ ราชบัณฑิตยสภาได้จัดงานปาฐกถารำลึกครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “กัลยาณมิตรในความทรงจำของข้าพเจ้า” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากวงวิชาการและประชาชนทั่วไป

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ และศึกษาต่อ ณ สหราชอาณาจักร สำเร็จแพทยศาสตร์บัณฑิตจากโรงเรียนแพทย์กายส์ มหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อปี พ.ศ. 2502 และได้รับประกาศนียบัตร M.R.C.P. จากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอนในปี พ.ศ. 2506 ก่อนจะได้รับเกียรติเป็นภาคี F.R.C.P. ในปี พ.ศ. 2519

“ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมองของประเทศไทย มีผลงานทางวิชาการระดับสากล และดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล, นายกราชบัณฑิตยสถาน, และ สมาชิกวุฒิสภา

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้ก่อตั้ง “โครงการผลิตแพทย์เพื่อชนบท” มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหนึ่งในผลงานที่ถือเป็นคุณูปการสำคัญของศาสตราจารย์อรรถสิทธิ์ฯ คือ การริเริ่มงานรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ในประเทศไทย โดยได้ชักชวน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ ซึ่งขณะนั้นเป็นอาจารย์หน่วยโรคปอด ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาร่วมดำเนินงานรณรงค์จนเกิด “มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่”

ภายหลัง เมื่อศาสตราจารย์อรรถสิทธิ์ฯ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ผลักดัน พระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 และ กฎหมายห้ามโฆษณาบุหรี่ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยที่ล้ำหน้าหลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือสหรัฐอเมริกา ผลจากมาตรการดังกล่าว ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงปี พ.ศ. 2534 – 2558 จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงจาก 12.26 ล้านคน เหลือ 10.9 ล้านคน ขณะที่อัตราการสูบบุหรี่ในเพศชายลดลงจากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 50 จนประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกว่าเป็นประเทศ “ต้นแบบ” ด้านการควบคุมยาสูบ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสดใส สูตะบุตร มีบุตร-ธิดา 3 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอลิสา สมรสกับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ นางสาวงามพรรณ เวชชาชีวะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย ท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดหลายชั้น อาทิ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก, มหาวชิรมงกุฎ, ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา รวมถึงรางวัลระดับนานาชาติ เช่น เหรียญทององค์การอนามัยโลก (Health Medal) พ.ศ. 2539 และ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์หลายสาขา จากมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยรังสิต

“ศาสตราจารย์เกียรติคุนายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2566 สิริอายุ 87 ปี ท่ามกลางความอาลัยและการรำลึกของศิษย์และผู้ร่วมงานทั่วประเทศ”

ศ.นพ.ประกิต กล่าวว่างานปาฐกถารำลึกในปีนี้นับเป็นอีกครั้งที่วงวิชาการและสาธารณชนได้ร่วมสดับและตระหนักในปณิธานของ “หมออรรถสิทธิ์” ผู้เชื่อมั่นว่า “สุขภาพของคนไทยคือรากฐานของประเทศ” เสียงปาฐกถาของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ ในวันนี้จึงไม่เพียงเป็นการกล่าวถึงอดีต แต่ยังเป็นการสืบสานเจตนารมณ์ของผู้ริเริ่ม เพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าสู่อนาคตที่ปราศจากควันบุหรี่และอวลด้วยสุขภาวะที่

ศ.นพ.ประกิต กล่าวถึงสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันว่า ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า จำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 11.4 เท่า จากปี 2564 โดยมีเยาวชนอายุ 15–24 ปี เป็นกลุ่มหลักกว่า 2.5 แสนคน อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เช่น “ทอยพอด” “พอดจมูก” และ “นิโคตินพาวช์” ที่ออกแบบให้มีรูปลักษณ์คล้ายของเล่นหรือยาดม ซึ่งเจาะตลาดวัยรุ่นผ่านสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 41.4 รองลงมาคือ Facebook และ Instagram น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินเข้มข้นสูง ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงเสียชีวิตเฉียบพลัน และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นมากขึ้น 2–3 เท่า

อีกทั้งยังเป็น “ประตูสู่สารเสพติดอื่น” ที่สร้างปัญหาสังคมในวงกว้าง จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการปราบปรามบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันเยาวชนหลงผิดเสพติดในอัตราเพิ่มขึ้นสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง และขอให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะอันตรายของบุหรี่เป็นเหตุให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งถึง 70 % จากผู้ป่วยโรค NCDs ไม่ว่าโรคหลอดเลือดหัวหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรงเบาหวาน ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญและสนับสนุนการควบคุมบุหรี่อย่างจริงจัง

“การรำลึกถึงคุณูปการของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิใช่เพียงเพื่อเชิดชูเกียรติของผู้ล่วงลับ หากแต่เป็นการสืบสานอุดมการณ์ “เพื่อสุขภาพของคนไทย” อันเป็นพลังสำคัญในการสร้างสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืนและปลอดควันบุหรี่” ศ.นพ.ประกิตกล่าวย้ำ