องค์การสวนสัตว์ฯ จับมือ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ วางเป้าเพิ่มมาตรการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในสวนสัตว์

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (อสส.) ร่วมลงนามความร่วมมือกับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) วางเป้าหมายเพิ่มมาตรการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
(27 ธ.ค. 64) นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และ เรืออากาศเอก อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อการดำเนินงานการแพทย์ฉุกเฉินในองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ณ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี โดยมี นางจงกลนี แก้วสด รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และ ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง ผู้ช่วยเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ

เป็นพยานในการร่วมลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานได้ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย ส่งเสริมสนับสนุนและประสานการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน พัฒนา แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ การจัดทำหลักสูตรการปฐมพยาบาลฉุกเฉินและการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน การฝึกอบรม ศึกษาวิจัย การศึกษา ดูงาน และการประชุมทางวิชาการ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวข้องกับงานการแพทย์ฉุกเฉินให้กับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวขอบคุณ สพฉ. ที่ทำให้เกิดความร่วมมือในวันนี้ เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งจะทำให้บุคลากรขององค์การสวนสัตว์ฯ ได้ตระหนักถึงการเตรียมพร้อมในการป้องกันกรณีเกิดเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินอย่างถูกต้อง และทันท่วงที เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม สวนสัตว์มากยิ่งขึ้น

ทางด้าน เรืออากาศเอก อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการดูแลเรื่องการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ส่งเสริมสนับสนุน จัดทำหลักสูตรการอบรมการแพทย์ฉุกเฉิน การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน และการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน อันจะเป็นการเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย ด้วยการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ให้มีความรู้และทักษะในการดูแลผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินเบื้องต้น กรณีเกิดเหตุการณ์ขึ้นภายในสวนสัตว์

กรมเจ้าท่า ส่งมอบพื้นที่ชายหาดจอมเทียน 800 เมตร ให้กับเทศบาลตำบลนาจอมเทียน

กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เผย ได้ทำการส่งมอบพื้นที่ชายหาดจอมเทียนที่เสริมทรายแล้ว ความยาว 800 เมตร ความกว้างเฉลี่ย 51 เมตร ให้กับเทศบาลตำบลนาจอมเทียน เป็นของขวัญปีใหม่ พร้อมเตรียมการเดินหน้าเสริมทรายชายหาดที่เหลือ ในพื้นที่เขตเมืองพัทยา ความยาว 2.5 กิโลเมตร ความกว้างเฉลี่ย 50 เมตร เป็นระยะต่อไป 

นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงต่อการพัฒนาการขนส่งทางน้ำ และดูแลรักษาร่องน้ำและชายหาดของประเทศ ได้ส่งมอบพื้นที่ชายหาดจอมเทียนอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

ที่เสริมทรายในเขตเทศบาลตำบลนาจอมเทียนคืนให้กับเทศบาลแล้ว หลังจากได้มีการจัดทำโครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยกรมเจ้าท่า ได้ว่าจ้าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ในวงเงินงบประมาณจำนวน 586,047,000 บาท ทำการก่อสร้างเสริมทรายชายหาดจอมเทียน โดยใช้แหล่งทรายบริเวณทิศตะวันตกของเกาะรางเกวียน ซึ่งอยู่ห่างจากชายหาดจอมเทียนออกไปประมาณ 15 กิโลเมตร มาถมหน้าชายหาด เพื่อฟื้นฟูบูรณะชายหาด

ให้มีขนาดหน้าหาดทรายกว้างเฉลี่ย 51 เมตร สำหรับทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ มีการก่อสร้างแหล่งสำรองทราย ระบบป้องกันน้ำท่วมชายหาด ระบบท่อระบายน้ำที่เชื่อมต่อกับท่อระบายน้ำเดิม ตลอดจนบันไดคอนกรีตสำหรับขึ้นลงชายหาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจริมชายหาดจอมเทียน ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาชายหาดที่สูญหายไป และเพื่อเป็นการปรับทัศนียภาพชายฝั่งให้น่าท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น

“ กรมเจ้าท่า” ได้ให้ความสำคัญกับชายหาดท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ เพื่อทำการดูแลรักษา ฟื้นฟู ให้เป็นสมบัติของลูกหลานต่อไป ซึ่งจะมีการเข้าไปศึกษา และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละพื้นที่ ในกรณีของชายหาดจอมเทียน กรมเจ้าท่า เลือกใช้วิธีการถมทรายเสริมชายหาด เช่นเดียวกับชายหาดพัทยา เนื่องจากผลการวิจัยศึกษาชี้ชัดว่า วิธีการนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม และใช้งบประมาณได้คุ้มค่าที่สุด กรมเจ้าท่า คาดหวังว่าชายหาดจอมเทียนโฉมใหม่นี้ จะมีส่วนในการกระตุ้นการท่องเที่ยววิถีใหม่ให้กลับมาคึกคัก และยั่งยืนอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ทำให้การท่องเที่ยวสะดุดลง ประกอบกับรัฐบาลได้มีนโยบายเปิดประเทศแล้ว ชายหาดจอมเทียนโฉมใหม่นี้ จะนำประโยชน์มาสู่ประชาชนในท้องถิ่น และประเทศชาติต่อไป โดยกรมเจ้าท่ามุ่งหวังให้เกิดการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานส่วนกลางคือกรมเจ้าท่าในการเสริมทรายฟื้นฟูชายหาด กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการชายหาด การจัดระเบียบใช้ประโยชน์ชายหาด การดูแลรักษาความสะอาดและความปลอดภัย อีกทั้งเป็นหูเป็นตาคอยแจ้งเหตุปัญหาการกัดเซาะชายหาดเพื่อแจ้งกรมเจ้าท่าเข้ามาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสมต่อไป ” รองอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าว

ด้าน นายสมพงษ์ สายนภา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลนาจอมเทียน ในฐานะเจ้าของพื้นที่ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียนของกรมเจ้าท่านี้ นับเป็นโครงการที่จะทำให้การท่องเที่ยวของจอมเทียนกลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยขนาดของชายหาดที่กว้างถึง 51 เมตร จะทำให้เกิดกิจกรรมหน้าชายหาดตามมาอีกมากมาย สามารถใช้ประโยชน์ในธุรกิจการท่องเที่ยว ก่อให้เกิดรายได้ต่อประชาชน และภาคธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
“ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับมอบพื้นที่ชายหาดโฉมใหม่ ในส่วนของเทศบาล ถือเป็นของขวัญปีใหม่ที่มีค่าสำหรับชาวตำบลนาจอมเทียน และจังหวัดชลบุรีทุกคน โครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี ระยะที่ 1 มีพื้นที่ของชายหาดที่คาบเกี่ยวอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อยู่ประมาณ 1.05 กิโลเมตร ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 2.5 กิโลเมตร อยู่ในพื้นที่เขตเมืองพัทยา ทำให้ทั้งสองหน่วยงาน คือ เมืองพัทยา และเทศบาลตำบลนาจอมเทียน ได้ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี จนการทำงานในส่วนแรกคือ เขตเทศบาลตำบลนาจอมเทียน

สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่ได้ตั้งใจไว้ คือ การคืนความสวยงามของชายหาดจอมเทียนให้กลับมาดังเดิม มีทรายเต็มพื้นที่หน้าชายหาด เหมาะสมต่อการท่องเที่ยวในรูปแบบวิถีใหม่ สำหรับรองรับกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ อีกมากมาย ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ” นายสมพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน เกิดขึ้นเพราะสภาพชายหาดจอมเทียนซึ่งเป็นจุดขายสำคัญจุดหนึ่งด้านการท่องเที่ยวของ จังหวัดชลบุรี กำลังประสบปัญหาชายหาดมีสภาพเสื่อมโทรมอย่างหนัก เนื่องจากถูกน้ำทะเลกัดเซาะอย่างรุนแรง และหากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลให้ชายหาดบางช่วงขาดหายไปภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ดังนั้นจึงได้มีนโยบายเร่งด่วน จัดทำโครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน ในระยะที่ 1 ตั้งแต่ครัวลุงไสว ในเขตเทศบาลตำบลนาจอมเทียน ไปจนถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ ซอยนาจอมเทียน

14 ซึ่งอยู่ในเขตเมืองพัทยา รวมระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร โดยกรมเจ้าท่า ได้ร่วมมือกับ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาถึงสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาของชายหาดจอมเทียน ซึ่งที่ผ่านมาได้ประชุมสัมมนาเพื่อนำเสนอข้อมูล ผลการศึกษาให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ พร้อมทั้งนำข้อคิดเห็นต่างๆมาปรับปรุงรูปแบบโครงการ จนได้แนวทางและรูปแบบการการเสริมทรายในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะของชายหาดจอมเทียน จึงเป็นที่มาของโครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียนในครั้งนี้
หากประชาชนท่านใดต้องการข่าวสารโครงการ มีข้อสงสัย ปัญหา หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการ สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ประสานงานในพื้นที่โครงการ ซอยนาจอมเทียน 14 โทรศัพท์ 096 115 5835 หรือติดต่อผ่านสายด่วนกรมเจ้าท่า 1199 และ www.jomtienbeachnourishment.com

โพล มธ. “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”และ”กระทรวงเกษตรฯ.” ขึ้นแท่นรัฐมนตรีและกระทรวงที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดปี2564

วันนี้( 28 ธ.ค.64 )ศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อผลงานของรัฐบาล ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 21-25 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยสอบถามกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนในกรุงเทพมหานคร ประชาชนต่างจังหวัดในเขต อ.เมือง และประชาชนต่างจังหวัดในเขตต่างอำเภอ ปรากฎผลดังนี้
  1. ความพอใจภาพรวมผลงานและการทำงานของรัฐบาล พบว่า ประชาชนในกรุงเทพมหานคร พอใจ 49.47% ประชาชนต่างจังหวัดในเขต อ.เมือง พอใจ 51.08% และประชาชนต่างจังหวัดในเขตต่างอำเภอ พอใจ 65.60% 
  2. ภาพรวมผลงานและการทำงานของแต่ละกระทรวงที่ประชาชนพอใจมากที่สุด อันดับ 1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 58.58% อันดับ 2 กระทรวงสาธารณสุข 57.17% อันดับ 3 กระทรวงพาณิชย์ 56.83% และอันดับ 4 กระทรวงแรงงาน,กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 54.65%
  3. ภาพรวมรัฐมนตรีที่ประชาชนชื่นชอบผลงานมากที่สุด อันดับ 1 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน 40.92% อันดับ 2 นายอนุทิน ชาญวีรกูล 39.91% อันดับ 3 จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ 35.41% และอันดับ 4 นายสุชาติ ชมกลิ่น,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 34.13% 
  4. ผลงานของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบและรับรู้มากที่สุด อันดับ 1 โครงการประกันรายได้เกษตรกร 40.16% อันดับ 2 โครงการ “คนละครึ่ง” 38.54% อันดับที่ 3 โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” 34.23% อันดับที่ 4 ผลงานตัวเลขการส่งออกสินค้า 33.42% อันดับที่ 5 โครงการจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกร 32.61% อันดับ 6 การแก้ไขปัยหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 30.73% อันดับ 7 โครงการ “มง33 เรารักกัน” 30.51% อันดับ 8 โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.56% อันดับ 9 โครงการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว 11.32% และอันดับ 10 โครงการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ 8.09%
  5. ประชาชนให้ความสำคัญกับนโยบายด้านใดของรัฐบาลมากที่สุด อันดับ 1 ด้านเศรษฐกิจ 52.20% อันดับ 2 ด้านสาธารณสุข 39.20% อันดับ 3 ด้านการศึกษา 39.01% อันดับ 4 ด้านคมนาคม 34.42% และอันดับ 5 ด้านการท่องเที่ยว 33.27%

ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสคนใหม่ เป้าหมายยุทธศาสตร์ จ.นราธิวาส พี่น้องประชาชนมีความสุข

นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสคนใหม่ เดินทางจากจังหวัดกาฬสินธุ์ เริ่มทำงานวันแรกห่วงสถานการณ์น้ำท่วม รณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ช่วยเหลือคนจน เพื่อเป้าหมายยุทธศาสตร์จังหวัดนราธิวาส พี่น้องประชาชนมีความสุข
นายอับดุลนัสเซอร์ หะมิ พัฒนาการอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วยนางสิริวิมล พงษ์อักษร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส, จากรองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ มาจากภาคอีสาน มารับราชการครั้งแรกที่จังหวัดนราธิวาส แต่เป็นคนที่เข้าใจและรู้พื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างดี ที่มีพี่น้องประชาชนนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ เพราะเกิดที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และได้เรียนหนังสือในพื้นที่ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาจบจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา และเดินทางไปเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง จบรัฐศาสตร์บัณฑิต คุณนายเป็นคนอำเภอเมือง จัดหวัดสงขลา บรรจุรับราชการครั้งแรกเป็นปลัดอำเภอบันนังสตา ปี 2531 เป็นปลัดอำเภอยะหา ทำงานศอ.บต.ยะลา ปลัดอาวุโสอำเภอเบตง อยู่จังหวัดยะลา 15 ปี และเป็นป้องกันจังหวัดปัตตานี เป็นนายอำเภอนำร่อง

เพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่พิเศษ ซึ่งอาสาสมัครโดยไม่ต้องเรียงตามลำดับรุ่น ครั้งแรกที่อำเภอแม่ลาน แล้วมาเป็นนายอำเภอหนองจิก นายอำเภอโคกโพธิ์ นายอำเภอเมืองปัตตานี อยู่จังหวัดปัตตานี 12 ปี รวม 2 จังหวัด 27 ปี ช่วงปี 2547 เหตุการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังมีปัญหาเกิดความไม่สงบพอดี จากนั้นไปเป็นปลัดจังหวัดเพชรบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2564 เดินทางรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2564 โดยมีนายไพโรจน์ จริตงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส, นายบุญพาศ รักนุ้ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส, นายปรีชา นวลน้อย ปลัดจังหวัดนราธิวาส, นายกฤษณนันท์ กำไร หัวหน้า สำนักงานจังหวัดนราธิวาส, พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผบก.ภ.นราธิวาส, นายซาฟีอี เจ๊ะเล๊าะ ประธานกรรมการอิสลามจังหวัดนราธิวาส, นายอับดุลอาซิซ เจ๊ะมามะ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย, นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโกลก, นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ นายอำเภอรือเสาะ, นายสังคม เกิดก่อ นายอำเภอตากใบ, ว่าที่ร.ต.จิรัสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอระแงะ, นายอนิรุทธ บัวอ่อน นายอำเภอสุไหงปาดี, นายรุสดี ปูรียา นายอำเภอแว้ง, นายดำรงศักดิ์ แก้วดวง นายอำเภอยี่งอ, นายวิจัย เพ็ญพัฒนากุล นายอำเภอบาเจาะ, นายอรุณ ศรีใส นายอำเภอสุคิริน, ว่าที่ร.ต.สมบัติ สิงห์คาร นายอำเภอจะแนะ, นายมามะยากี หะยีมะ นายอำเภอเจาะไอร้อง, นายสุวิทย์ นาคเป้า ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอเมือง, นายหฤษฎ์ มาหามะ ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอศรีสาคร, หัวหน้าส่วนราชการ, ข้าราชการ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, ประชาชน, เพื่อนร่วมรุ่นนักศึกษาปริญญาโทนิด้ายะลา รุ่นที่ 1 ปี 2538 (ผู้ว่าสนั่นคนดีน่ารักที่สุดของรุ่น) และนายอับดุลนัสเซอร์ หะมิ พัฒนาการอำเภอรือเสาะ นำคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดนราธิวาส ร่วมให้การต้อนรับ
นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า มีความตั้งใจว่าคงจะมีโอกาสมาทำงานจังหวัดนราธิวาส เพราะไม่เคยทำงานที่นราธิวาสมาก่อน เมื่อได้รับโปรดเกล้าฯจึงมีความยินดีและดีใจมาก ที่มาทำงานนราธิวาสตามที่มีความตั้งใจไว้ ในโอกาสนี้อันดับแรกต้องขอขอบคุณ ผู้บังคับบัญชาที่ให้การสนับสนุน พณฯ พลากร สุวรรณรัตน์ องคมนตรี ซึ่งเป็นผอ.ศอ.บต.สมัยนั้น, ท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธีระ มินทราศักดิ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา,นครศรีธรรมราชและปัตตานี,นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี,นายขวัญชาติ วงศ์ศุภรานันท์ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยและรองเลขาธิการศอ.บต. 2.เต็มที่จะทำงานตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มที่ทุกอย่างสมกับที่ได้รับความไว้วางใจ 3.เต็มใจจะเอาใจเข้าไปทำงานให้เข้าถึงความรู้สึกของประชาชนจริงๆ จะนำรูปแบบเมืองท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มาเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยวจังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่กาฬสินธุ์ผมทำโครงการคนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งไว้ข้างหลัง เป็นการช่วยคนจนในพื้นที่ ต่อไปนี้ ถือโอกาสขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กอดคอกันทำงาน เพราะผมจะทำงานคนเดียวไม่ได้ เพื่อสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ของจังหวัดนราธิวาสให้ประชาชนมีสุข สำหรับสถาณการณ์น้ำท่วมวันที่ 20 ธันวาคม 2564 ลุ่มน้ำสายบุรี บ้านท่าเรือ อำเภอรือเสาะ ระดับน้ำ+19.28 ม. ต่ำกว่าตะลิ่ง 5.22 ม. ลดลงจากเมื่อวาน 0.67 ม. ปกติ,ลุ่มน้ำบางนรา บ้านตันหยงมัส อำเภอะระแงะ ระดับน้ำ+14.21 ม. ต่ำกว่าตะลิ่ง 1.37ม. ลดลงจากเมื่อวาน 1.00 ม. ปกติ , ลุ่มน้ำสุไหงโกลก สะพานลันตู อำเภอสุไหงโกลก ระดับน้ำ+9.95 ม. สูงกว่าตะลิ่ง 0.65 ม. เพิ่มขึ้นจากเมื่อ .20 ม. ล้นตะลิ่ง ทำให้เกิดน้ำท่วมที่อำเภอสุไหงโกลก บางหมู่บ้าน ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มากว่า 10ปีแล้ว จะได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพต่อไป

สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล (DMPA) ได้เข้าร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับโครงการ Safty Taxi 4.0

เมื่อเร็วๆนี้ สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล (DMPA) ได้เข้าร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับโครงการ Safty Taxi 4.0 ที่ร่วมกับ สวพ.91, TKC และ ตัวแทน Taxi ตามคำรับเชิญของ พล.ต.ต.อธิศวิส กมลรัตน์ ผบก.สส. ประธานโครงการ โดยมีตัวแทนสมาคมฯเข้าร่วมประชุม 2 ท่านคือ นายกิตติพันธ์ ขันติศีลชัย นายกสมาคม และนายอธิวัฒน์ อมรวีระวัฒน์ อุปนายกสมาคม (ตัวแทนกลุ่มแท็กซี่) ณ ห้องประชุม พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 8 ตร.

ร้าน “โก๋++” Grand Openning ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

Grand Openning โก๋++

เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา มีบรรดาเพื่อนๆ ยุค 60 และสื่อมวลชนร่วมงานกันอย่างคับคั่ง อาทิ พันธ์เลิศ ใบหยก,ต้อย เมืองนนท์,สุชาติ บรรดาศักดิ์,เสรี สุวรรณภานนท์ และกิตติพันธ์ ขันติศีลชัย นายกสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนดิจิทัล โดยมี คมเพ็ชร อิสริยะ และ 2 โก๋ เจ้าของร้านให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

ร้าน “โก๋++” เป็นร้านอาหารไทย-อิตาเลี่ยนฟิวชั่น ที่โดดเด่นด้วยบรรยากาศร้านอันร่มรื่น ของสวนไม้นานาพันธุ์ ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นหรูหรา ผนวกด้วยเมนูรสเลิศรังสรรค์ โดยเชฟมากประสบการณ์ บริหารโดยมืออาชีพพี่โก๋ รุ่นเก๋า

พี่โก๋ หรือ อาจารย์โก๋ ริเวอร์ เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะเป็นร้าน โก๋++ เดิมชื่อ Trees O’Clock ซึ่งมีคุณโก๋เป็นผู้บริหาร และหลังจากการมาตรการผ่อนคลายให้สถานบันเทิงเปิดบริการได้ จึงเข้ามาร่วมหุ้น เพื่อเป็นสถานที่นัดหมายพบปะเพื่อนฝูงรุ่นเก่าๆ กัน และเห็นว่าผู้ร่วมทุนมีชื่อเดียวกันจึงตั้งชื่อร้านว่า “โก๋++” (โก๋พลัสพลัส)

“เราได้รีโนเวทใหม่ มีทั้งโต๊ะนั่งด้านนอกบรรยากาศซิลๆ มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง ตกแต่งไฟแสงสี พร้อมมีเสียงเพลง (ดนตรีสด) ย้อนยุคเคล้าคลอเบาๆ ภายใต้บรรยากาศเทศกาลแห่งความสุข เมอรี่คริสต์มาส และฉลองปีใหม่ 2022 ส่วนด้านในจะมีดนตรีเต็มวงบรรเลงจากวงดนตรีชั้นนำ “พิมพ์รภัสร์ ” ทุกวันเสาร์”

ร้าน โก๋++ ตั้งอยู่ถนนเลี่ยงเมืองปากเกร็ด 46 สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือจองโต๊ะได้ที่เบอร์โทรศัพท์
082-3067998
081-3196868
065-7879569

วช. จัดประชุม รับฟัง “แผนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้าน ววน. ของประเทศ ปี 2566 – 2570”

วันที่ 23 ธันวาคม 2564 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) แผนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 ผ่านระบบ ZOOM

โดยมี ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เป็นประธานการประชุม

ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธาน กสว. กล่าวว่า คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) มีมติเห็นชอบให้มีการพัฒนาระบบบริหารจัดการด้านวิจัยและนวัตกรรม หรือ NRIIS เป็นระบบสารสนเทศกลางด้านวิจัยและนวัตกรรมของประเทศเพื่อการบริหารจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลด้านวิจัยและนวัตกรรม และให้หน่วยรับงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ทั้งหมด บริหารจัดการโครงการผ่านระบบบริหารจัดการข้อมูลกลางนี้ หรือหากจะใช้ระบบสารสนเทศอื่นต้องสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบข้อมูลกลางได้ระบบนี้จะครอบคลุมตั้งแต่นโยบายการขอรับงบประมาณ การจัดสรรงบประมาณและการติดตามผลของงบประมาณด้าน ววน. ของประเทศ โดยให้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นผู้ดูแล ที่ผ่านมา กสว. ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้าน ววน. มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก และเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายและให้เป็นไปตามที่ กสว. กำหนดไว้ จึงจำเป็นต้องมีการจัดทำแผนพัฒนาระบบสารสนเทศกลางด้าน ววน. ซึ่งความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่เข้ามานั้น มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาระบบให้ดีขึ้นต่อไปในอนาคต

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้ กระทรวง อว. มีการดำเนินงานพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้าน ววน. มาอย่างต่อเนื่อง และจัดให้มีระบบข้อมูลสารสนเทศกลางเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการวิจัยและนวัตกรรมระดับนานาชาติกับระบบสารสนเทศของหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรม ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรม ในการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ ระบบ NRIIS ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศกลางด้านวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการงานวิจัย และเป็นฐานข้อมูลกลางด้านวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อให้การดำเนินงานพัฒนาระบบข้อมูลด้าน ววน. มีแนวทางที่ชัดเจน ครอบคลุมและสอดคล้องกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งใช้เป็นแนวทางให้หน่วยงานในระบบวิจัย และนวัตกรรม นำไปใช้ในการปฏิบัติ ในการเชื่อมโยงข้อมูลด้าน ววน. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้าน ววน. ที่สมบูรณ์และครบถ้วน ดังนั้น วช. จึงจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปเป็นข้อมูลและประเด็นสำคัญในการจัดทำแผนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 และพัฒนายกระดับระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้าน ววน. ของประเทศ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงของระบบการบริหารจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลด้าน ววน. ได้อย่างสมบูรณ์ ผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วนสามารถใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไป

สำหรับระบบข้อมูลสารสนเทศวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (National Research and Innovation Information System : NRIIS) เกิดจากความร่วมมือ 3 ฝ่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งระบบ NRIIS มีระบบงานหลัก ประกอบด้วย ระบบสำหรับหน่วยงานกำหนดนโยบาย ระบบบริหารจัดการงบประมาณและแผนงาน ระบบบริหารจัดการโครงการสำหรับหน่วยบริหารจัดการ(ProgramManagement Unit : PMU) ระบบบริหารจัดการโครงการสำหรับหน่วยงานหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารจัดการและส่งมอบผลลัพธ์ (Outcome Delivery Unit : ODU) โดยระบบ NRIIS จะสนับสนุนระบบบริหารจัดการโครงการสำหรับนักวิจัย ระบบประเมินสำหรับผู้ทรงคุณวุฒิ ระบบข้อมูลบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมระบบเชื่อมโยงข้อมูล ระบบบริการข้อมูล และระบบสนับสนุนการดำเนินงาน ตลอดจนบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบเพื่อสามารถให้บริการตามความต้องการใช้งานของผู้ใช้ระบบแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

กรมศุลกากร ยึดไอซ์เตรียมส่งออกออสเตรเลีย 193.5 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 116 ล้านบาท

วันนี้ (23 ธันวาคม 2564) เวลา 10.00 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร พร้อมด้วย นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปราบปรามยาเสพติด ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พล.ต.ต. พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ผู้แทนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด น.อ.ธนวิทย์ ธีรชาติธำรง ผู้แทนศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย พล.ต.ต. มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม ผู้แทนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายบัณทิต สาครวิศวะ ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ ผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทย และ Mr. Joel Carruthers ที่ปรึกษาสำนักงานพิทักษ์เขตแดนออสเตรเลีย (Australian Border Force – ABF) ประจำสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ร่วมกันแถลงข่าวตรวจยึดยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 193.5 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 116 ล้านบาท

ณ ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ  

เผยแพร่โดย: ส่วนสื่อองค์กร สลข.

จุดพุล! นำร่อง 7 เมืองท่องเที่ยวโคราช

เริ่มแล้ว เทศกาลปราสาทหินพิมายครั้งที่ 33
เริ่มแล้ว! งานประจำปีอุทยานประวัติศาสตร์โบราณสถานมรดกล้ำค่าของโลก “เทศกาลท่องเที่ยวพิมาย ครั้งที่ 33”งานท่องเที่ยวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เ มืองโคราช 22-26 ธันวาคมนี้ ปลุกความคึกคักกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จุดพลุนโยบายโคราชเปิดเมืองนำร่อง 7 อำเภอตั้งแถวจัดงานท่องเที่ยวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
นายชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเปิดเผยถึงความคืบหน้า การจัดงานเทศกาลเที่ยวพิมาย ประจำปี 2564 ว่า วันนี้เป็นวันแรกของการจัดงาน โดยจังหวัดนครราชสีมาได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 33 แล้ว ในรูปแบบงานที่เน้น การแสดงแสง สี เสียง และตลาดย้อนยุค ประเพณีวัฒนธรรมพื้นถิ่น ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งการจัดงานเทศกาลเที่ยวพิมาย จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างรายได้จากการการท่องเที่ยว ภายใต้มาตรการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด โดยปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2564

สำหรับกิจกรรมภายในงานนั้น มีหลากหลายกิจกรรม ประกอบด้วย การแสดง แสง สี เสียง และสื่อผสม พิมายปุระ The Musical วิมายะนาฏการ ‘‘ยอยศชัยวรมัน น้อมอภิวันท์สดุดี ศรีวิเรนทราศรม’’ ซึ่งจะจัดแสดงทุกวัน เวลา 19.00 น. ภายในงานยังมีกิจกรรมแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น อาทิ ตลาดย้อนยุคแสดงวีถีชีวิตของคนในท้องถิ่น, การจำหน่ายอาหารพื้นบ้าน, การแสดง และจำหน่ายสินค้า OTOP และการออกร้านค้าต่างๆ
“อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย เป็นโบราณสถานมรดกล้ำค่าของโลก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย การจัดงานเทศกาลเที่ยวพิมายนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไปอีกด้วย และเป็นการนำร่องเปิดเมืองด้านการท่องเที่ยว 7 อำเภอ ซึ่ง อำเภอพิมาย ก็เป็น 1 ใน 7 อำเภอ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดนครราชสีมา คือ อำเภอเมือง ,ปากช่อง, อำเภอเฉลิมพระเกียรติ, อำเภอโชคชัย, อำเภอสีคิ้ว, อำเภอวังน้ำเขียว, และอำเภอพิมาย ”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ทางจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดแถลงข่าวไปแล้ว ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช โดยมีผู้ร่วมแถลงข่าว ประกอบด้วย นายชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา, นายสทิศ สิทธิมณีวรรณ ท่องเที่ยว และกีฬาจังหวัดนครราชสีมา , นายเศรษฐี แพรกนัทที ปลัดอำเภอพิมาย รักษาการแทนนายอำเภอพิมาย , นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา , ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และนางสาวกรรณิการ์ พัฒนพีระเดช นายกเทศมนตรีตำบลพิมาย
โดยนางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่าในปีนี้ อบจ.ได้รับมอบหมายให้จัดกิจกรรม “ตลาดย้อนยุค” บริเวณถนนจอมสุดาเสด็จ โดยรูปแบบเน้นความเป็นพื้นถิ่น อาหารพื้นถิ่นของพิมายและอาหารพื้นถิ่นของชาวโคราช ที่อาจจะหารับประทานได้ยากในปัจจุบันกว่า 100 ร้านค้า โดยพ่อค้าแม่ค้าจะแต่งกายแบบย้อนยุคของคนสมัยก่อน เพื่อเข้ากับบรรยากาศของการจัดงาน ในช่วงเย็น และช่วงค่ำ จะได้เห็นบรรยากาศความสวยงามของการประดับไฟ เข้ากับช่วงฤดูหนาวในโซนตลาดย้อนยุค ซึ่งจะเพิ่มอรรถรสของการมาเที่ยวชมงาน โดยจัดจุดถ่ายภาพเช็คอิน เพื่อเก็บภาพความประทับใจ

“งานเทศกาลเที่ยวพิมาย” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับการบรรจุอยู่ในโครงการ “โคราชเที่ยวได้ทุกเดือน” โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาส่งเสริมให้จังหวัดนครราชสีมาสามารถเที่ยวได้ทุกเดือน ขอเชิญชวนพี่น้องชาวจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่ใกล้เคียงได้มาเที่ยวชมอย่างมีความสุข “มาเที่ยวโคราชบ้านเอ็ง…แล่วจะติ๊ดใจ๋เด้อออออ”

ด้านนายสทิศ สิทธิมณีวรรณ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชสีมา กล่าวเพิ่มว่า ปราสาทหินพิมายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันดีทั้ง ชาวไทย และ  ชาวต่างประเทศ และด้วยการตระหนักถึงความสำคัญ การสร้างจิตสำนึกให้คนไทยเดินทางมาท่องเที่ยวปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมอันดีงาม และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ยั่งยืน โดยการจัดงานเทศกาลเที่ยวพิมายครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ในการจัดงานดังนี้

1. เพื่อขยายอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
2. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
3. กระตุ้นเศรษฐกิจพ่อการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่น 4. เพื่อส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวภายใต้มาตรการป้องกันการแพ้ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 5. ส่งเสริมให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวภายใต้การท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal)

นอกจากการจัดกิจกรรมภายในงานแล้ว จังหวัดนครราชสีมา ยังได้เชิญชวนนักท่องเที่ยว ปฏิบัติตามมาตรการท่องเที่ยวปลอดภัย งดดื่ม ลดเสี่ยง เลี่ยงโควิด เทศกาลท่องเที่ยวพิมายครั้งนี้ด้วย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ จัดกำลังนับร้อย คุมเข้มป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ซึ่งเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ภายในอุทยานปราสาทหินพิมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พิมาย, หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย, สาธารณสุขอำเภอพิมาย ร่วมกับ ประชาคมงดเหล้าจังหวัดนครราชสีมา

ได้ร่วมกันรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางมาเที่ยวงานเทศกาลท่องเที่ยวพิมาย  ให้ปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองโรค ปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด

ไม่เพียงเท่านั้นทางประชาคมงดเหล้าจังหวัดนครราชสีมา และเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง ยังได้เตรียมกิจกรรมรณรงค์ ลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การขับขี่ปลอดภัย ทั้งยังได้มอบกรวยสะท้อนแสง ป้ายรณรงค์เมาไม่ขับ ให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พิมาย เพื่อใช้ในงานด้านการจราจร ช่วงงานเทศกาลเที่ยวพิมาย โดยทางสาธารณสุขอำเภอพิมาย เตรียมเจ้าหน้าที่ “อสม.” ตั้งจุดคัดกรองทุกจุดภายในงานเพื่อคัดกรองผู้ที่จะเดินทางมาเที่ยวงาน เป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พิมาย ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่นับร้อยนายป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทภายในงานอีกด้วย

คณะอนุกรรมการฝ่ายกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เข้าเฝ้ารับพระราชทานไฟพระฤกษ์เพื่ออัญเชิญจุดถวายเป็นพุทธบูชา

คณะอนุกรรมการฝ่ายกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นำคณะอนุกรรมการฯ เข้าเฝ้ารับพระราชทานไฟพระฤกษ์เพื่ออัญเชิญจุดถวายเป็นพุทธบูชาในโครงการไหว้พระใหญ่ทั่วไทย จำนวน 9 แห่ง ได้แก่

  1. วัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  2. วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  3. วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร
  4. วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
  5. วัดเจริญราษฎร์บำรุง (หนองพงนก) อำเภอกำแพงแสน นครปฐม
  6. วัดวีระโชติธรรมาราม อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
  7. วัดม่วง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
  8. มูลนิธิพุทธานุสรณ์ หน่วยเผยแพร่ศีลธรรม กรมการศาสนา อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
  9. อารามวัตรมหายาน อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

เพื่อนำความศิริมงคลต้อนรับเทศกาลปีใหม่ พุทธศักราช 2565