บุกรวบอดีตจนท.รพ.รัฐปลอมเอกสารเบิกเงินล่วงเวลากว่า 5 แสนบาท

ตำรวจสอบสวนกลางบุกรวบตัวอดีตเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรัฐ ทุจริตปลอมเอกสารและใช้เอกสารราชการปลอม เพื่อเบิกเงินค่าล่วงเวลาเสียหายกว่า 5 แสนบาท

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กก.4 บก.ปปป. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ท.)  ร่วมกันจับกุม นางธนัตถ์อรฯ อายุ 44 ปี ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่ 21/2568 ความอาญาซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด “กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,161 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะกระทำความผิด(ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172)”โดยสถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้าน หมู่ที่ 1 ต.กระแซง อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากผู้ต้องหาเคยทำงานเป็นลูกจ้างประจำของโรงพยาบาลปทุมธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 จนถึงปี พ.ศ.2559 ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลและเจ้าหน้าที่การเงินโดยระหว่างทำงานได้รับคำสั่งจากแพทย์ของโรงพยาบาลให้ตนทำหน้าที่บันทึกรายงานการเข้าเวรและทำรายงานการเบิกเงินค่าโอที หรือ ค่าล่วงเวลา  และจากการตรวจสอบข้อมูลของโรงพยาบาล พบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์การสร้างหลักฐานเอกสารบันทึกการเข้าเวร และลงลายมือชื่อเป็นเท็จกว่า 10 ราย ในช่วงปี 2558 ไม่ตรงกับความเป็นจริงเพื่อเอาเงินค่าโอที หรือ ค่าล่วงเวลา สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ทำให้รัฐได้รับความเสียหายกว่า 530,000 บาท ผู้ต้องหากลัวความผิดจึงชิงลาออกจากการทำงาน ต่อมาเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลฯออกหมายจับ

ต่อมา เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ได้ประสานขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ติดตามตัวทราบว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่และเปลี่ยนชื่อและพบตัวผู้ต้องหาที่หน้าบ้านใน อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ได้อ่านหมายจับของศาลฯและรับว่าเป็น นางธนัตถ์อรฯ จริง ยังไม่เคยถูกจับมาก่อน จากนั้นได้นำตัวมาลง ปจว.และบันทึกจับกุม ณ สภ.สามโคก จ.ปทุมธานี และได้รายงานฝ่ายปกครอง อัยการท้องถิ่น ตามขั้นตอนกฎหมาย จากนั้น นำตัวผู้ต้องหาส่งอัยการพิเศษคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“ฮ่องกง” อายัดทรัพย์ “ปรินซ์ กรุ๊ป” กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท โยงอาชญากรรมข้ามชาติในกัมพูชา

A special unit of the Hong Kong police provides security in the city’s Wanchai district on June 30, 2022, as Chinese President Xi Jinping arrives in Hong Kong to attend celebrations marking the 25th anniversary of the city’s handover from Britain to China. (Photo by Peter PARKS / AFP)

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.68 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.68 ทางการฮ่องกง ได้ประกาศคำสั่ง อายัดทรัพย์สิน ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท “ปรินซ์ กรุ๊ป” (Prince Group) คิดเป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 2,750 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ มากกว่า 11,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าทรัพย์สินเหล่านี้เป็นรายได้ที่ได้มาจากการก่ออาชญากรรมในประเทศกัมพูชา

การเคลื่อนไหวดังกล่าวสืบเนื่องมาจากกรณีที่ทางการสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อหา นายเฉิน จื้อ นักธุรกิจชาวจีนผู้ก่อตั้งปรินซ์ กรุ๊ป ฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ ตั้งค่ายบังคับใช้แรงงาน

มาตรการของฮ่องกงครั้งนี้ถือเป็นการอายัดทรัพย์สินของ ปรินซ์ กรุ๊ป ครั้งใหญ่ล่าสุด หลังจากก่อนหน้านี้ ตำรวจสิงคโปร์ ได้เคยดำเนินการอายัดทรัพย์สินของกลุ่มนี้ไปแล้วรวมมูลค่ากว่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์จำนวน 6 แห่ง พร้อมสั่งห้ามการซื้อขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อทำการสอบสวนในข้อสงสัยเกี่ยวกับ การหลอกลวงและการฟอกเงิน

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางการไต้หวัน ก็ได้สั่งอายัดทรัพย์สินของปรินซ์ กรุ๊ป มูลค่ารวมมากกว่า 4,700 ล้านบาท พร้อมทั้งจับกุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อสอบสวนอีกจำนวน 25 คน

ในส่วนของประเทศอินโดนีเซีย สื่อท้องถิ่นได้รายงานอ้างคำพูดของรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ว่า อาจมีชาวอินโดนีเซียหลายพันคน ที่พำนักอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์และทำหน้าที่ ควบคุมแหล่งพนันออนไลน์ โดยทำงานภายใต้กลุ่มอาชญากรรมที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศกัมพูชา ข้อมูลดังกล่าวได้มาจากการหารือกับรัฐมนตรียุติธรรมของฟิลิปปินส์เมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้

รัฐมนตรีอินโดนีเซียยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์ยังคงร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชาในการ ปราบปรามการพนันออนไลน์ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้จำนวนพลเมืองอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับขบวนการพนันออนไลน์ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็รับทราบว่าพลเมืองบางส่วนได้เลือก ย้ายฐานการปฏิบัติการ ไปยังประเทศกัมพูชาแทน

สมาคมน้ำตาลฯ จี้รัฐเร่งเจรจา GACC ผ่อนผันนำเข้าหลังจีนสั่งแบนสินค้าน้ำตาลแปรรูปไทยเสียหายทะลุ 5 หมื่นล้าน

น้ำตาลไทยสะเทือน! จีนสั่งแบนสินค้าน้ำตาลแปรรูปจากไทยทุกชนิด สมาคมน้ำตาลฯ ร้องวุฒิสภาช่วยประสาน GACC ผ่อนผันนำเข้า หลังโรงงาน-ชาวไร่อ้อยเดือดร้อนหนัก สูญรายได้กว่า 5 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา นายเอกชัย เรืองรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ได้รับหนังสือจากนายทศพร เรืองพัฒนานนท์ นายกสมาคมน้ำตาลแปรรูปไทย  ขอให้ประสานกับ สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) เพื่อหารือมาตรการผ่อนผันการปิดรับสินค้าประเภทน้ำตาลแปรรูปจากประเทศไทย

นายทศพร กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยถูกแบนโดยประเทศจีน ห้ามไม่ให้เราส่งน้ำตาลแปรรูปใน 4 พิกัดศุลกากร ทำให้เราไม่สามารถส่งน้ำตาลประเภทนี้ไปที่ประเทศจีนได้เลย จากเดิมที่ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2567 ในครั้งนั้น มีความเสียหายประมาณ 50,000 ล้านบาทที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งประเทศ รวมถึงมูลค่าน้ําตาลที่ตกลงมาอีก

ทั้งนี้ จึงขอให้คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภาช่วยประสานในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่ช่วยเหลือเรามาโดยตลอด ในครั้งที่แล้วที่เราถูกแบน คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ฯนำโดยนายเอกชัยก็เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่ประสานให้จนสามารถไปเปิดตลาดที่ประเทศฟิลิปปินส์ได้

“สิ่งที่เรารู้สึกผิดหวัง เพราะก่อนหน้าที่จะมีการแบนในครั้งนี้ ประเทศจีนได้ขอมาตรวจที่โรงงานของเรา เพื่อผ่อนผัน หรือเปิดให้เรานําเข้าไปประเทศจีน แต่เมื่อตรวจแล้วทุกอย่างถูกต้อง นอกจากจะไม่เปิดยังจะแบนเพิ่มอีก ผมก็สงสัยว่า ในเมื่อผลประเมินออกมาดีทั้งหมด ทําไมจึงโดนแบน หากเป็นเพราะเราไม่มีหน่วยงานกํากับรับผิดชอบเรื่องคุณภาพก็ไม่เป็นความจริงเพราะในประเทศไทยมีอยู่แล้ว แต่หากเกิดปัญหาจากเอกสารก็ควรแก้ไขในส่วนนี้ ไม่ควรต้องแบนต้องหมด”นายทศพรกล่าว

นอกจากนี้ เราอยากขอร้องให้กระทรวงพาณิชย์ ช่วยเป็นด่านหน้าในการเจรจากับ GACC ประเทศจีน เพราะหากไม่สามารถผ่อนผันอะไรได้เลย เราแย่แน่นอน ความต้องการของเรา คือ 1.ต้องการให้ผ่อนผันสินค้าที่ค้างส่งอยู่ที่ท่าเรือในตอนนี้ สามารถส่งเข้าประเทศจีนได้ 2.ต้องการให้ผ่อนผันสินค้าที่อยู่ที่คลังสินค้า ซึ่งผลิตเสร็จแล้ว ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ส่งมอบได้ และ 3.เราอยากจะแสดงจุดยืนของเราว่า ควรให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมคุณภาพของโรงงานน้ําตาลแปรรูปทั้งระบบ

ด้าน นายเอกชัย กล่าวว่า การแบนครั้งนี้เป็นเรื่องความเดือดร้อนของชาวไร่ออย ซึ่งมีปัญหาใหญ่จากราคาน้ําตาลที่ตกลง ซึ่งสมาชิกวุฒิสภากได้มอบหมายให้ตนมาดูแลเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ตนขอเรียกร้องและไหว้วานให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด เนื่องจากเวลาที่มีปัญหาลักษณะนี้จะมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวพันทั้ง สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มกอช. และกระทรวงพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก GACC ประเทศจีน ได้ชี้มาว่า เราไม่มีตัวแทนในการควบคุมคุณภาพ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีลงมาดูกระบวนการที่มีความซับซ้อนของ 3 หน่วยงานนี้ เป็นผู้ชี้ชัดว่า หน่วยใดจะเป็นผู้กํากับดูแลที่ชัดเจน รวมถึงเร่งเจรจากับ GACC ประเทศจีน เพื่อให้ทันการเก็บเกี่ยวอ้อย และส่งผลต่อราคาน้ําตาล สิ่งที่เกิดผลกระทบก็หวังว่า จะเป็นการกระทบเพียงช่วงสั้นๆ ตนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย. มีงานหนัก มีระยะเวลาสั้น จึงต้องฝากให้พิจารณาเรื่องนี้โดยด่วนด้วย

“โผล่งสะนี่พุ่งเพี่ย” ตลาดเช้ากลางป่าใหญ่ แหล่งรวมหัวใจชุมชนบ้านสะเนพ่อง

กลางหุบเขาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตกของอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มี “ตลาดเล็ก” ที่ไม่ธรรมดา ชื่อว่า “โผล่งสะนี่พุ่งเพี่ย” ตลาดเช้าที่เกิดจากแรงใจของคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านสะเนพ่อง หมู่ที่ 1 ตำบลไล่โว่ ที่อยากเห็นของดีในชุมชนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ตลาดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงที่ซื้อขายของกินของใช้ แต่คือ “หัวใจของชุมชน” ที่รวมผู้คนตั้งแต่เช้าตรู่ให้กลับมาพบกัน ทักทาย แลกเปลี่ยนรอยยิ้ม และต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมให้คงอยู่

จากยุ้งข้าวกลางหมู่บ้าน สู่วิถีตลาดกลางใจคน

ตลาดโผล่งสะนี่พุ่งเพี่ยเริ่มต้นจากแนวคิดของกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้ชาวบ้านนำผลผลิตจากไร่นาและป่ามาแปรรูปเป็นสินค้าเพิ่มมูลค่า ก่อนจะจำหน่ายโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง

พวกเขาช่วยกันเลือกพื้นที่ “ยุ้งข้าวกลางหมู่บ้าน” เป็นจุดตั้งตลาด และสร้างร้านค้าด้วยวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ไผ่ ใบลาน เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีเรียบง่ายของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่

สินค้าพื้นบ้าน หอมกลิ่นกาแฟกลางป่า

สินค้ายอดนิยมของตลาดคือ “กาแฟสะนี่พุ่ง” กาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์พื้นบ้าน กลิ่นหอมเข้มที่คั่วบดโดยคนในหมู่บ้านเอง นอกจากนี้ยังมีขนมพื้นบ้านอย่าง ขนมกล้วย ขนมจีนน้ำยากะเหรี่ยง และ “แกงกะเหรี่ยง” สูตรโบราณที่หากินได้เฉพาะที่นี่

น.ส.อิสรีย์ วนาวิเศษศักดิ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งตลาด เล่าว่า

“เราอยากให้ชาวบ้านเห็นว่าของดีที่มีอยู่ในชุมชนสามารถเพิ่มมูลค่าได้ ไม่จำเป็นต้องออกไปหาที่อื่น เมนูที่ขายในตลาดก็มาจากสูตรของแม่ๆ รุ่นก่อน ที่เราอยากสืบต่อให้คนรุ่นใหม่รู้จักและภูมิใจ”

ตลาดที่ขาย “ความสุข” มากกว่าของกิน

ทุกเช้าวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 05.00 – 10.00 น. (และเร็วๆ นี้จะเปิดเพิ่มในวันเสาร์) พ่อค้าแม่ค้าและผู้คนในชุมชนจะมาพบกัน ตลาดแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่พูดคุย นัดหมายทำกิจกรรม เข้าป่า ทำบุญ หรือแม้แต่สอนเด็กๆ ให้รู้จักการค้าขายและแปรรูปสินค้า

น.ส.จำปา ร่มไพรงาม ชาวบ้านที่นำของมาขาย เล่าว่าด้วยรอยยิ้มว่า

“เมื่อก่อนปลูกผักผลไม้แต่ไม่รู้จะเอาไปขายที่ไหน พอมีตลาดนี้ก็มีที่ให้เราแปรรูปและขายได้เอง รายได้หมุนเวียนในหมู่บ้าน คนก็มีความสุขขึ้น”

จากตลาดเล็กๆ กลางป่า “โผล่งสะนี่พุ่งเพี่ย” จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการพึ่งพากันและการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างแท้จริง — ตลาดที่ไม่เพียงขายของ แต่ยังขาย “ความสุข ความผูกพัน และรากเหง้าวิถีกะเหรี่ยง” ที่ยังคงเติบโตท่ามกลางธรรมชาติ

ข่าว/ภาพ : ปรีชา ไหลวารินทร์ ผู้สื่อข่าวจังหวัดกาญจนบุรี

เกาะยาวพังงาพร้อมใจเก็บเกี่ยวข้าวในนาแปลงใหญ่ที่สุดในทะเลอันดามัน

พังงา – หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนเกาะยาวจัดงาน “วันอาหารปลอดภัย ข้าวใหม่ปลามัน” ร่วมเก็บเกี่ยวข้าวในนาแปลงใหญ่ที่สุดในทะเลอันดามัน

ที่บริเวณหนำนาทอน หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันจัดงาน “วันอาหารปลอดภัย ข้าวใหม่ปลามัน อำเภอเกาะยาว” ครั้งที่ 9 ประจำปี 2569 เพื่อประชาสัมพันธ์ข้าวคุณภาพและอาหารปลอดภัยจากชุมชนเกาะยาว สืบสานวัฒนธรรมดั้งเดิมการทำนาของคนเกาะยาว และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างยั่งยืน  โดยมีกิจกรรมที่สะท้อนวิถีชาวนาและภูมิปัญญาท้องถิ่น อาทิการลงแขกเกี่ยวข้าว และการแข่งขันเกี่ยวข้าว สาธิตการทำข้าวเม่าแบบดั้งเดิม ประกวดหุ่นไล่กานิทรรศการจากหน่วยงานต่าง ๆ บูธโรงแรมและร้านอาหารในพื้นที่ พร้อมกิจกรรม ชม – ชิม – ช้อป ข้าวใหม่ปลามันและผลิตผลเกษตรท้องถิ่น ซึ่งมีเกษตรกรในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นางอรุณี เจียมรา เกษตรอำเภอเกาะยาว เปิดเผยว่า อำเภอเกาะยาวมีทุ่งนาแปลงใหญ่ที่สุดในทะเลอันดามัน เป็นทุ่งนาแปลงใหญ่ผืนสุดท้ายของจังหวัดพังงา มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ในพื้นที่กว่า 400 ไร่ พันธุ์ข้าวที่ปลูกได้แก่ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 กข 21 กข 87 หอมดอกติ้ว ปทุมธานี 1 ข้าวไร้ซ์เบอร์รี่ ฯลฯ. ซึ่งปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีทำให้ผลผลิตปลอดภัย อีกทั้งรสชาติก็อร่อย เนื่องจากข้าวที่ปลูกอยู่ในเกาะมีน้ำทะเลล้อมรอบ มีน้ำทะเลซึมเข้ามาในแปลงนาทำให้ข้าวเกาะยาวมีรสชาติดี เปรียบเสมือนเวลาทำกับข้าวต้องเติมเกลือรสชาติถึงจะเข้มข้น ซึ่งข้าวที่ปลูกส่วนใหญ่ไว้บริโภคภายในครัวเรือน ที่เหลือก็จำหน่ายในเกาะยาวและนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเกาะยาว

ขณะนี้ข้าวอยู่ในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว ข้าวใหม่จะมีรสชาติหอม มันอร่อย เหมาะที่จะนำไปเป็นของฝากของขวัญ การจัดงาน “วันอาหารปลอดภัย ข้าวใหม่ปลามัน” นับเป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยสร้างความตระหนักด้านการผลิตอาหารคุณภาพ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาเกาะยาวให้เป็น พื้นที่ต้นแบบด้านเกษตรปลอดภัย และการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างยั่งยืน สำนักงานเกษตรอำเภอเกาะยาวยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP รวมทั้งพัฒนาช่องทางการตลาด ให้เกษตรกรสามารถเชื่อมโยงสินค้าคุณภาพสู่ผู้บริโภค ทั้งในและนอกพื้นที่ ควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงความอุดมสมบูรณ์

ด้านนายทวีป ไทยวารี นายอำเภอเกาะยาว กล่าวเพิ่มเติมว่า อำเภอเกาะยาวนอกจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามทั้งเขาป่า นา เล แล้ว ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิม การจัดงานครั้งนี้เป็นการสร้างความรู้จักอย่างกว้างขวางให้กับผลผลิตข้าวปลอดภัยของเกาะยาว พร้อมทั้งเปิดช่องทางการตลาดให้แก่สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมถึงยังเป็นการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นให้ดำรงอยู่คู่กับวิถีชีวิตชาวเกาะยาวต่อไป

โพนางดำชัยนาทวิกฤต!เขื่อนเจ้าพระยาพร่องน้ำเพิ่มทะลักท่วม 7 หมู่บ้าน

ชัยนาท – วิกฤตหนัก! โพนางดำออกท่วมครั้งที่ 3 คันกระสอบทรายพังยับ น้ำทะลักท่วม 7 หมู่บ้านกว่า 2,000 ครัวเรือน ชาวบ้านทำใจอพยพอยู่ริมถนนอีกครั้ง

สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาได้เข้าสู่ภาวะวิกฤตสูงสุดอีกครั้ง หลังกรมชลประทานต้องเพิ่มการระบายน้ำลงท้ายเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดระบายอยู่ที่ 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วิ) ส่งผลให้ ต.โพนางดำออก อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ถูกน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนเป็น ครั้งที่ 3 ในรอบปี ถือว่าหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

นายภิรมย์ โถสุวรรณ์ รองนายกเทศมนตรีตำบลโพนางดำออก เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำท้ายเขื่อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ คันกั้นน้ำที่เป็นกระสอบทรายบริเวณหมู่ 7 ไม่สามารถรองรับได้ และพังทลายลง ส่งผลให้น้ำทะลักเข้าท่วมหมู่ที่ 6 และหมู่ที่ 7 อย่างรวดเร็ว  ทำให้พื้นที่ตำบลโพนางดำออกถูกน้ำท่วมเต็มทั้งพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน (หมู่ 1-7) ยกเว้นหมู่ 8 เพียงหมู่เดียว รวมกว่า 2,000 ครัวเรือน ต้องอพยพขึ้นไปพักอาศัยริมถนนคันคลองมหาราชอีกเป็น ครั้งที่ 3 ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น

นอกจากนี้ การท่วมซ้ำซากยังทำให้ต้องประสานอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูชัยนาทเข้าช่วยเหลือ ขนย้ายผู้ป่วยติดเตียง ที่ถูกนำลงมาไว้ชั้นล่าง ขึ้นสู่ชั้น 2 เป็นครั้งที่ 3 เช่นเดียวกัน

ล่าสุด ที่สถานีวัดน้ำ C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 2,965 ลบ.ม./วินาที ที่สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท มีปริมาณน้ำด้านเหนือเขื่อนอยู่ที่ 17.21 เมตร/รทก. มีปริมาณน้ำทางด้านท้ายเขื่อนอยู่ที่ 16.13 เมตร/รทก. ห่างจากตลิ่ง 21 ซม.

ด้านนายภิรมย์ โถสุวรรณ์ รองนายกเทศมนตรีตำบลโพนางดำออก เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำท้ายเขื่อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ คันกั้นน้ำที่เป็นกระสอบทรายบริเวณหมู่ 7 ไม่สามารถรองรับได้ และพังทลายลง ส่งผลให้น้ำทะลักเข้าท่วมหมู่ที่ 6 และหมู่ที่ 7 อย่างรวดเร็ว  ทำให้พื้นที่ตำบลโพนางดำออกถูกน้ำท่วมเต็มทั้งพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน (หมู่ 1-7) ยกเว้นหมู่ 8 เพียงหมู่เดียว รวมกว่า 2,000 ครัวเรือน ต้องอพยพขึ้นไปพักอาศัยริมถนนคันคลองมหาราชอีกเป็น ครั้งที่ 3 ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นตอนนี้เขาทำใจอย่างเดียวเท่านั้น ชาวบ้านบอกว่าจะให้น้ำขึ้นเท่าไรก็ปล่อยมาได้เลยเต็มที่

ฝนถล่มน้ำป่าซัดสะพานขาดชาวกะเหรี่ยงกว่า 100 ชีวิตถูกตัดขาดโลกภายนอก

อุทัยธานี- ผู้ว่าอุทัยฯระดมกำลังจนท.หลายหน่วยงาน เร่งช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยง100 กว่าชีวิต ติดเกาะ ออกไม่ได้  เร่งวางแผนทำสะพานแบริ่ง

เมื่อวันที่  6 พ.ย  68 ผู้สื่อข่าวรายงานที่ฝายอีซ่า ม.3 บ้านละว้า ต.ทองหลาง อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นสะพานข้ามเชื่อมกับเขตติดต่อบริเวณหมู่บ้านของชาวบ้าน อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ได้พบชาวกะเหรี่ยง100 กว่าชีวิต จำนวน 30 ครัวเรือน ติดเกาะ ไม่สามารถสัญจรออกมาข้างนอกได้ เนื่องจากถูกกระแสน้ำป่า ไหลหลากพลัดโหมแรง ทำให้สะพานข้ามฝ่ายอีซ่าแตกหัก ได้รับความเสียหายอยู่ระหว่างหาทางแก้ไข และซ่อมแซม เจ้าหน้าที่ต้องให้ความช่วยเหลือโดยนำเครื่องของใช้บริโภคอุปโภค ลากขึ้นสลิงส่งข้ามฝายไปให้กับชาวเขาชาวกะเหรี่ยง

ล่าสุดนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี พร้อมหน่วยงานอบจ.อุทัยธานี หน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจ.อุทัยธานี หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 15 สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และข้าราชในระดับอำเภอ และตำบล ที่เกี่ยวข้องทั้งพื้นที่อ.ห้วยคต พื้นที่อ.ลานสัก ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณทางข้ามฝายอีซ่า ร่วมวางแผนและดำเนินการแก้ไขปัญหา จากการหารือในเบื้องต้น มีมติให้ดำเนินการติดตั้งสะพานแบรี่ชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในพื้นที่สามารถสัญจรได้ตามปกติ

พร้อมเร่งสำรวจความเสียหายเพิ่มเติมเพื่อวางแผนซ่อมแซมถาวรในระยะต่อไป ระหว่างการดำเนินการทางเจ้าหน้าที่ยังคงดูแลการจัดส่งอาหารและสิ่งของจำเป็นให้กับชาวบ้านชาวกะเหรี่ยงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 5 วัน ชาวบ้านจะสามารถกลับมาใช้เส้นทางสัญจรได้ตามปกติและสำรวจความเสียหายเพิ่มเติมให้กับชาวบ้าน

ด้านชาวบ้านกะเหรี่ยง ได้กล่าวว่าหลังจากที่ฝ่ายอีซ่าได้ถูกน้ำป่าซัดขาดแล้ว ทำให้ชีวิตอยู่ค่อนข้างลำบาก ไม่สามารถเดินทางออกไปข้างนอกได้ รวมถึงพืชผลการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ยังมีสาวท้องแก่ซึ่งใกล้จะถึงกำหนดคลอด หากสะพานยังไม่แล้วเสร็จ หวั่นว่าจะต้องพึ่งหมอตำแยในหมู่บ้านทำคลอดให้ พร้อมขอบคุณไปยังเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน

กู้ภัย 2 มูลนิธิชื่อดัง ทะเลาะไล่ยิงสนั่นถนนลาดพร้าวเจ็บ 3 คาดปัญหาแย่งคนเจ็บ

กู้ภัย 2 มูลนิธิชื่อดัง ทะเลาะไล่ยิงสนั่นถนนลาดพร้าว บาดเจ็บ 3 รายคาดปัญหาแย่งคนเจ็บ ตำรวจเร่งหาตัวมือปืนดำเนินคดี

เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 6 พ.ย.68 ร.ต.อ.วิทวัส ขุนอักษร รองสารวัตร(สอบสวน) สน.วังทองหลาง รับแจ้งเหตุกู้ภัยมูลนิธิฯทะเลาะวิวาทใช้อาวุธปืนยิงมีผู้บาดเจ็บ บริเวณปากซอยลาดพร้าว 122 ถนนลาดพร้าว แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และตำรวจสายตรวจ สน.วังทองหลาง

ที่เกิดเหตุบริเวณฟุตปาธ พบเพียงกองเลือดและปลอกกระสุนปืนกระจายเกลื่อนพื้นถนน รวม 5 ปลอก เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.)จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน

เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้บาดเจ็บ 3 ราย ทราบชื่อนายจิรายุทธ (ขอสงวนนามสกุล )อายุ 27 ปีสภาพร่างกายมีบาดแผลถูกกระสุนปืนยิงที่คอ และนายอัครเดช (ขอสงวนนามสกุล ) อายุ 36 ปีมีบาดแผลถูกกระสุนปืนยิงเข้าเหนือราวนมซ้าย โดยทั้ง 2 รายเป็นอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลลาดพร้าว

นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 1 ราย สภาพมีบาดแผลถูกกระสุนปืนยิงเข้าท้อง ทราบชื่อนางจิตทิวา (ขอสงวนนามสกุล ) อายุ 25 ปีอาสาสมัครมูลนิธิสยามร่วมใจ นำส่งโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุทั้ง 2 กู้ภัยมูลนิธิฯได้รับแจ้งมีรถจักรยานยนต์ประสบอุบัติเหตุมีผู้บาดเจ็บ บริเวณปากซอยลาดพร้าว 122 เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายกู้ภัยฯมาถึงที่เกิดเหตุ จึงเข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ ก่อนกู้ภัยทั้ง 2 ฝ่ายจะมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันชุลมุน จากนั้นมีเสียงปืนดังสนั่น 5-6 นัด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนปืนยิงรวม 3 ราย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิด และสอบสวนเพิ่มเติมผู้บาดเจ็บทั้ง 3 ราย คาดปัญหาเกิดจากแย่งคนเจ็บ สำหรับมือปืนผู้ก่อเหตุเป็นชายแต่งกายสวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงขา 3 ส่วน โดยหลังก่อเหตุหลบหนีไป จึงเร่งติดตามตัวเพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

เตรียมหนาวนี้ก่อนใคร!! FROZEN FANTASIA 2025 ครั้งแรกกับการท่อง 7 อาณาจักรน้ำแข็งกลางกรุง

สัมผัสความเย็น -15 องศา ระดับขั้วโลก ออกเดินทางท่อง  7 อาณาจักรน้ำแข็งสุดแฟนตาซี แต่ละโซนจัดไฟและดีเทล จัดเต็ม เตรียมชุด เตรียมเมมมาให้พร้อม ออกมาถ่ายรูปสวยๆกัน

01 Frozen Gateway ประตูน้ำแข็งสุดอลัง
02 Fairy Ice Village หมู่บ้านเทพนิยายกลางหิมะ
03 Frozen Clock Tower หอนาฬิกาน้ำแข็งที่เล่นแสงสวยทุกช็อต
04 The Ice Wall of Thai Waves ชมลวดลายคลื่นแบบไทย 
     สัญจรใต้ท้องฟ้าดาวพร่างใน 
05 The Starlit Voyage
06 Mythical Sea Creatures สิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งท้องทะเล 
07 The Frost Lounge (Ice คาเฟ่) แช่แข็งความทรงจำให้ละลายไม่ได้

🗓️ตั้งแต่ 2 พฤศจิกายน – 19 ธันวาคม 2568
⏰เปิดทุกวัน 10:00–00:00 น.
📍ASIATIQUE The Riverfront Destination

บัตรเข้าชม
• ผู้ใหญ่ 399 บาท
• เด็กความสูง ≤120 ซม. 329 บาท
• เด็กความสูง <90 ซม. เข้าฟรี (โดยมีผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด)

ซื้อบัตรออนไลน์ จองล่วงหน้าสะดวก รอเช็กอินได้เลย 
👉 https://www.zipeventapp.com/e/FROZENFANTASIA-2025

#FrozenFantasia2025 #FrozenFantasia #หลงเที่ยวกับเธอ #IceGallery 
#BangkokWinter #เอเชียทีค #ที่เที่ยวกรุงเทพ 
#นิทรรศการน้ำแข็ง #เอเชียทีค
#Asiatique

อุทัยธานี วิกฤต! น้ำทะลักท่วมเขตเศรษฐกิจ โรงเรียนปิด–การค้าชะงัก การจราจรโกลาหล

อุทัยธานี – ท่วมแล้ว!!ถนนสว่างอารมณ์ บนถนนพบรถจอดเสียจากน้ำเข้าห้องเครื่อง เด็กๆเล่นน้ำสนุกสนาน

g,njvวันที่ 5 พ.ย  68 ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี วิกฤต! น้ำทะลักท่วมเขตเศรษฐกิจ โรงเรียนปิด–การค้าชะงัก การจราจรโกลาหล สถาการณ์น้ำท่วมถนนการจราจร และชุมชน ในพื้นที่ เทศบาลตำบลสว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ซึ่งได้รับผลกระทบจากมวลน้ำที่ไหลบ่ามาจาก แม่น้ำตากแดด และน้ำระบายจาก อ่างเก็บน้ำคลองโพ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ ส่งผลให้มวลน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ สำคัญของอำเภอเป็นบริเวณกว้าง

พื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบ หน้าถนน ที่ว่าการอำเภอสว่างอารมณ์, ตลาดสด, วัด โรงเรียน รวมถึง โรงพยาบาล ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักเป็นบางส่วน ชาวบ้านต้องเร่งย้ายสิ่งของหนีน้ำ ขณะที่โรงเรียนหลายแห่งประกาศหยุดเรียนชั่วคราว เด็กๆ บางกลุ่มใช้โอกาสดังกล่าวออกมาเล่นน้ำบนถนนสายหลัก ท่ามกลางกระแสน้ำที่ยังคงไหลเชี่ยว

สภาพการจราจรบริเวณ สี่แยกสว่างอารมณ์ เนื่องจากระดับน้ำเริ่มสูง รถเล็กสัญจรผ่านได้ยาก หลายคันต้องจอดเสียกลางถนนเพราะน้ำเข้าห้องเครื่องจนดับ เจ้าหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกและแนะนำเส้นทางเลี่ยงเป็นการด่วน